คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Can we fall one more time? (1) - banghim
Can we fall one more time?
(Stop the tape and rewind)
(1)
Bang Yongguk x Kim Himchan
PG
Romance
Summary: But if you walk away I know I’ll fade 'Cause there is nobody else
A/N ขอให้เรียกว่าฟิกแก้บนค่ะ ความจริงแล้วนี่คือคู่ที่ชิพแรงที่สุดในบรรดาทุกแฟนด้อมที่แต่งมา แต่ชิพหนักมากเลยไม่กล้าแต่งเองซะที ได้โอกาสละ! แบ่งเป็นสองพาร์ทเพราะมันยาวเกิ๊น
ว่าด้วยเรื่องของออเคสตร้านิดนึงโนะ อย่างแรกที่ต้องรู้คือเวียนนาที่ถูกพูดถึงบ่อยมากในฟิกเรื่องนี้ คือเมืองเวียนนา ในประเทศออสเตรีย ซึ่งถูกเรียกว่าเป็นจุดศูนย์กลางของดนตรีคลาสสิคค่ะ เมืองที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กันอีกเมืองคือ มันไฮม์ อยู่ในออสเตรียเช่นกัน
เรื่องของเครื่องดนตรีมากมายในวงออเคสตร้า เราขอไม่พูดถึงเพราะมันหลายตำราละเกิน หาไปงงไป เอาเป็นว่าส่วนไหนผิดพลาดประการใดขออภัยล่วงหน้าฮะ
ปล. ควรอ่านในเว็บเพราะมันมีตวหนาตัวเอียงสีที่บอกถึงเวลาของแต่ละเหตุการ์นะคะ
เสียงปลายปากกากระทบกับพื้นโต๊ะเป็นจังหวะ สลับกับเสียงดนตรีที่ดังออกมาจากเครื่องเสียง ไม่ช่วยให้ความคิดของชายที่นั่งหลับตาเท้าคางอยู่กับโต๊ะทำงานตัวนั้นไหลลื่นเลยสักนิด
บังยงกุกยังคงนั่งเคาะปลายปากกาไปกับโต๊ะตามโน๊ตที่เขาสร้างขึ้นมา น่าแปลกที่สมองเขาตันได้ถึงขนาดนี้ เขานั่งอยู่แบบนั้นมาตั้งแต่ฟ้าสว่าง จนตอนนี้แสงสว่างเดียวในห้องนั้นมาจากจอคอมสว่างจ้า สมุดโน๊ตสีขาวตรงหน้ามีรอยเขียนและขีดฆ่าเต็มไปหมด ยงกุกไม่เคยรู้สึกหงุดหงิดขนาดนี้
“ยงกุกอา” เสียงอ่อนหวานดังขึ้นตอนที่เขาทิ้งหัวลงนอนราบไปกับโต๊ะ เขาแค่ครางรับในลำคอ ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อไฟในห้องถูกเปิดขึ้น
“หลับคาโต๊ะทำงานอีกแล้วหรอ” เจ้าของเสียงเดิมยังถามต่อ ยงกุกยกหัวขึ้นมามองเจ้าของเสียง ก่อนจะส่งยิ้มให้คนที่เดินเข้ามา “ยังไม่หลับ แค่หลับตาเผื่อจะมีความคิดดีๆน่ะ” เอ่ยพร้อมอ้าวงแขนรับร่างที่เดินเข้ามาใกล้เขา แล้วรั้งกายให้ทิ้งน้ำหนักลงมาที่ขาข้างหนึ่ง
“ทำงานมืดๆแบบนี้ตาจะเสียนะ” มือขาวจัดของอีกคนหนึ่งแนบเข้ากับข้างแก้มคร้ามแดดของเขา ปลายนิ้วขยับเบาๆราวกับจะนวดผ่อนคลายและบรรเทาร่องรอยความตึงเครียดให้หายไปจากใบหน้าของชายหนุ่ม ยงกุกยิ้มบางกับการกระทำนั้น ยื่นหน้าลงไปกดจูบคลอเคลียข้างแก้มที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆของอีกฝ่าย ในขณะที่เจ้าของร่างที่เขากอดรัดอยู่นั้นถามขึ้นมา “คิดงานไม่ออกหรอ”
“อืม คิดอะไรไม่ออกเลย” ยงกุกเอ่ยด้วยเสียงเหนื่อยล้า พลางเอนหัวลงซบกับลาดไหล่ของคนบนตัก
บังยงกุกเป็นนักดนตรีมืออาชีพ ที่ก้าวเข้ามาในวงการเพลงตอนอายุยังน้อย ด้วยผลงานที่เขาทำเล่นๆในสมัยเรียนไปถูกตาต้องใจใครหลายๆคนเข้า บวกเข้ากับความทะเยอทะยานของตนเอง ยงกุกใช้เวลาไม่นานก้าวมาเป็นทั้งนักแต่งเพลง และโปรดิวเซอร์มีชื่อ ระหว่างทางที่ผ่านมา ยงกุกทั้งได้อะไรมาหลายอย่าง
เขาได้เงินทองไม่มีที่สิ้นสุด ชื่อเสียงอันโด่งดัง ประสบการณ์ล้ำค่ามากมาย
และคนในวงแขนของเขาตอนนี้
“ไปหาอะไรกินข้างนอกกันไหม เผื่อสมองจะโล่งขึ้น” ยงกุกพยักหน้ารับก่อนจะปล่อยวงแขนให้อีกคนผละลุกขึ้น พร้อมกับยันตัวเองลุกตามแรงมือที่ถูกดึง “ไปทานอะไรกันดี?”
“ตามใจเธอเถอะ . . . ยูรา”
*
เขาอยู่ในชุดสูทสีดำที่ค่อนข้างน่าอึดอัดเกินไปสำหรับหน้าร้อน ยงกุกขยับมือกำลังจะคลายปมเนคไทให้หลวมลง แต่กลับโดนมือของแฟนสาวฟาดลงมาเสียก่อน “อย่าดึงลงแบบนั้นสิ มันไม่เรียบร้อย”
ยงกุกยื่นปากใส่เธอโดยไม่เถียงอะไร ขยับตัวก้าวลงยืนรอเธอก้าวลงจากรถแล้วอุ้มช่อดอกไม้ช่อใหญ่ลงมาด้วย
“พี่ถือให้ดีกว่าไหมยูรา” แต่หญิงสาวส่ายหน้าพร้อมยิ้มสดใส “ไม่หนักหรอก จูเลียเห็นจะต้องดีใจแน่ๆเลย” เธอบอกพร้อมยิ้มกว้างขึ้นไปอีก
รอยยิ้มของเธอที่ทำให้ใครต่อใครหลงรักหนักหนา ยงกุกเองยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าคนที่ได้มีเธออยู่ในอ้อมแขนจะเป็นเขาคนนี้ เพราะคิดแบบนั้น ยงกุกจึงเฝ้าทนุถนอมยูรามาตั้งแต่วันแรกที่เขาเจอกัน ยงกุกเป็นคนใจดีของยูรา เขายอมให้เธอเสมอ ยอมตามใจเธอทุกเรื่อง แม้กระทั่งการพาเธอมานั่งฟังดนตรีคลาสสิคที่เขาไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เขาก็ยังยอมพาเธอมา เพราะเธอหลงรักดนตรีคลาสสิคยิ่งกว่าอะไร
“ได้ยินว่าวงเปลี่ยนตัวนักเปียโนเมื่อไม่นานมานี้เองล่ะยงกุก เป็นคนเกาหลีด้วยนะ เป็นรุ่นพี่ที่สถาบันเดียวกับฉันด้วย แล้วก็เป็นเกาหลีคนเดียวที่ออดิชั่นติดวงนี้เลยล่ะ” เธอเอ่ยเล่า ในตอนที่รับสูจิบัตรจากหน้างานมาถือเอาไว้ แล้วพากันเดินเข้าไปยังบ๊อกซ์ที่นั่งของเขาทั้งสอง วงออเคสตร้าที่มาเปิดการแสดงในคืนนี้ จริงๆแล้วจะเรียกว่ามีชื่อเสียงระดับโลกก็ว่าได้ วงที่มาจากประเทศต้นตำรับอย่างเวียนนา เมืองที่ยงกุกเกลียดนักหนา
ยงกุกครึมครางรับในคอ เขาเสียบสูจิบัตรลงกับกระเป๋าสูทโดยไม่ได้สนใจจะเปิดมันออกดู ยงกุกพอจะรู้จักวงนี้ในระดับหนึ่ง เพราะตัวยูราเองมักจะเล่าให้เขาฟังบ่อยๆ ยูราเป็นนักดนตรีคลาสสิคที่เคยไปร่ำเรียนที่เวียนนามาเช่นกัน เธอเคยพยายามจะออดิชั่นเข้าวงนี้อยู่ครั้งหนึ่ง แต่ความสามารถของเธอไม่สูงพอ เธอจึงเลือกจะกลับมาที่เกาหลี แล้วเล่นดนตรีอยู่ที่นี่
หญิงสาวขยับตัวอย่างตื่นเต้นเมื่อไฟมืดลง และม่านค่อยๆเปิดขึ้น ยงกุกไม่ได้จับจ้องที่ไหนเป็นพิเศษ เขาเพียงปล่อยให้บทเพลงเหล่านั้นผ่านเข้ามาช้าๆ ดวงตาสีเข้มปิดลงบ่อยครั้ง ยูรารู้ดีว่ายงกุกไม่ได้ง่วง แม้ดนตรีคลาสสิคจะไม่ใช่ความสนใจหลักของยงกุก แต่นับว่าดนตรีแล้ว ยงกุกก็มักจะให้เกียรติคนเล่นอยู่เสมอ เขากำลังรับรู้ตัวโน๊ตเหล่านั้นอย่างดีแม้ดวงตาจะปิดอยู่
“จูเลีย กับรุ่นพี่ของฉันกำลังจะโซโล่แล้วนะ” ยูรากระซิบบอก ทำให้ยงกุกลืมตาขึ้นมา ขยับตัวมองบนเวที
บนเวทีคือหญิงสาวผมทองดูสง่างาม จูเลีย เพื่อนสนิทของยูราที่เคยฝึกซ้อมมาด้วยกันสมัยเธออยู่ที่เวียนนา บัดนี้เธอเรียกได้ว่าเป็นไวโอลินที่หนึ่งของวง ยงกุกเคยเจอเธออยู่บ้างเวลาเธอมาเที่ยว หรือมาแสดงที่นี่ เธอจับไวโอลินในมือด้วยท่าทางคุ้นชิน บรรเลงเพลงควบคู่กับเสียงเปียโนอย่างไพเราะ ส่วนนักเปียโนชาวเกาหลีคนใหม่ที่ยูราแนะนำนั้น ในตอนแรกยงกุกไม่ได้สนใจมอง จนกระทั่งท่อนโซโล่ของไวโอลินที่หนึ่งจบลง และเสียงของเปียโนที่เพียงคลออยู่เบาๆเข้ามาแทนที่ ยงกุกจึงหันไปให้ความสนใจ
เขาเป็นนักดนตรี เขาจึงรู้ดีว่านักดนตรีที่เก่งหลายๆคนมักจะมีจังหวะของตัวเอง มีน้ำหนักมือที่หนักเบาต่างกันที่คนทั่วไปฟังไม่ค่อยออก ส่วนมากต้องใช้วาทยกร หรืออาจารย์ที่มีประสาทการรับฟังระดับเทพเท่านั้น
แต่บางที ก็ใช้เพียงแค่ความเคยชิน เพราะได้ยินบทเพลงที่คนคนนั้นซักซ้อมมานับพันครั้ง
เขาจ้องอยู่แบบนั้น ราวกับว่ากำลังรับฟังทุกโน๊ตที่ชายชาวเอเชียคนนั้นเล่นออกมา เข้าถึงทุกอารมณ์ที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ
สุดท้ายแล้ว น้ำตาก็ไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างของบังยงกุก
“ถ้ามันคือฝันของนาย ฉันจะยอมปล่อยมือ"
*
“จูเลีย เธอเก่งมากเลยนะ เก่งขึ้นจากครั้งที่แล้วที่ดูอีกนะเนี่ย” เสียงยูราทักทายเพื่อนสนิทด้วยความยินดี ยงกุกค้อมหัวให้หญิงสาวคนนั้น ก่อนจะแตะศอกบอกกับยูราว่าเขาจะออกไปรอเธออีกด้านหนึ่ง เพื่อปล่อยให้เธอได้คุยกับเพื่อนสนิทได้ตามสบาย
ยงกุกคิดว่ายูราคงไม่สังเกตุเห็นตอนที่เขาร้องไห้ออกมาในหอประชุมนั้น ยงกุกถอนใจ เดินตรงไปที่รถของเขา เปิดเก๊ะหาบุหรี่ที่เคยซ่อนเอาไว้ จริงๆเขาพยายามจะเลิกมันมานานแล้วตั้งแต่คบกับยูรา เธอไม่ชอบกลิ่นนี้ แม้เธอมักจะยิ้มแล้วบอกเขาว่าไม่เป็นไร แต่เขาพอจะดูปฏิกริยาของเธอออก
แต่วันนี้เขาอึดอัด และต้องหาทางระบาย
มือใหญ่เคาะบุหรี่ออกมาจากกล่อง พลางจุดไฟ เมื่อสูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอด พอปล่อยกลุ่มควันออกมา อะไรๆที่อัดอยู่ในหัว และหนักอยู่ในอกก็เหมือนจะเบาลงไปบ้าง เขาคาบบุหรี่ไว้กับริมผีปาก ก่อนจะถอดสูทออกเมื่อรู้สึกว่าอากาศร้อนเกินไปที่จะยืนใส่เสื้อสูทตัวหนาอยู่แบบนี้
ตอนที่เขาโยนสูทเข้าไปในรถนั่นเอง เขาถึงเห็น สูจิบัตรที่ถูกเขายัดไว้ลวกๆก่อนการแสดงคืนนี้จะเริ่ม ยงกุกเอื้อมมือดึงสมุดเล่มเล็กๆที่ถูกพิมพ์อย่างปรานีตออกมาถือ เขาถอนใจยาวอีกครั้งก่อนจะพลิกเปิดมันไปยังหน้ารายชื่อนักดนตรี ดวงตาสีเข้มจัดไล่ไปตามชื่อเครื่องดนตรีทั้งหมด ก่อนจะหยุดลงที่บรรทัดก่อนสุดท้าย
แกรนด์เปียโน – คิมฮิมชาน
ตะกอนความรู้สึกทั้งหลายที่เขาทำให้มันสงบลงได้เมื่อครู่ถูกกวนให้ขุ่นขึ้นมาใหม่ ยงกุกรู้สึกเหมือนกำลังจะร้องไห้ออกมาอีกรอบเมื่อขอบตาทั้งสองข้างของเขาเริ่มร้อนผ่าว มือกำแน่นขึ้นจนสูจิบัตรเริ่มยับเป็นรอย
“บังยงกุก . . .”
เสียงเรียกที่เขาคุ้นเคยกว่าอะไรทั้งหมดในโลกนี้ดังขึ้นในตอนที่ความรู้สึกของเขาตีกันจนวุ่นวายไปหมด เขาหันไปตามเสียงเรียกด้วยสัญชาตญาณ และเขาก็รู้ได้ทันทีว่าเขาควรจะทำเป็นไม่ได้ยิน
เขาควรจะขึ้นรถขับออกไป โทรบอกกับยูราว่ามีเรื่องด่วนจริงๆหรืออะไรก็ตาม เขาไม่ควรจะหันมาเจอผู้ชายคนนั้น ยืนมองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจแบบนั้น
“ยงกุกจริงๆด้วย” ชายคนนั้นเอ่ยซ้ำ เขาหันไปส่งช่อดอกไม้มากมายในมือให้กับคนที่เดินตามหลังมา ก่อนจะพูดจากันเบาๆ ยงกุกเดาว่าเขาคงบอกว่าจะตามไปที่รถในไม่ช้า ก่อนจะเดินตรงมาที่ยงกุก
“แปลกใจจัง เห็นนายมาดูออเคสตร้าแบบนี้” ยงกุกไม่รู้ว่าควรจะตอบชายตรงหน้าด้วยคำไหน หรือควรจะทักอย่างไร ทั้งหมดที่ยงกุกทำไปในวินาทีนั้น ก็เพียงแค่พยายามยกมุมปากขึ้น โดยหวังว่าจะสร้างรอยยิ้มให้คนตรงหน้าเห็น
คิมฮิมชานยังคงสาวเท้าเข้ามาใกล้เขาอย่างช้าๆ แต่ละก้าวเต็มไปด้วยความมั่นใจ และมั่นคงดังที่ชายคนนั้นเคยเป็นมาตลอด จนมาหยุดอยู่ในระยะที่เอื้อมถึง “จะไม่มาแสดงความยินดีกันซักนิดเลยหรอ มาดูแบบนี้ก็น่าจะเห็นแล้วนี่ว่าฉันได้ขึ้นเล่นน่ะ”
“ฉันไม่มีดอกไม้น่ะ” เป็นประโยคที่โง่เขลาอย่างไม่น่าเชื่อ ประโยคแรกในรอบไม่รู้กี่ปีที่เขาได้เจอคิมฮิมชานคือประโยคนี้
ฮิมชานหัวเราะออกมาทันที พลางส่งยิ้มอย่างสบายๆให้กับยงกุก “สมเป็นนายเลย ประโยคแรกในรอบ เอ เท่าไหร่นะ 5ปี?”
“ประมาณนั้นแหละ” ยงกุกตอบกลับไป พลันความรู้สึกหนักอึ้งทั้งหลายในอกก็ปลิวหายไป เมื่อฮิมชานเริ่มต้นพยักหน้า พร้อมหัวเราะเบาๆออกมาอีกครั้ง “นานขนาดนั้นแล้วเนอะ”
ยงกุกยิ้มได้สบายกว่าในตอนแรก เขาส่งยิ้มกลับไปให้ฮิมชาน ส่งเสียงในลำคอตอบรับคำพูดลอยๆของคนตรงหน้า
ห้าปี สี่เดือน กับอีกยี่สิบสองวัน...... นับจากตอนที่เขายอมปล่อยมือ
“แล้วตอนนี้.....” ฮิมชานเอ่ยถามขึ้นมายังไม่ทันจบประโยค ยงกุกเห็นว่าอีกฝ่ายชะงักไป ตอนที่มองไปด้านหลังของเขา เขาจึงหันตามไป
เธอกำลังเดินตรงมา ผู้หญิงผมยาวระบ่าในชุดราตรีที่แสนสวย พร้อมรอยยิ้มที่ดูดีเกินกว่าหญิงสาวคนไหนโลก
“ยงกุกอา” เธอเอ่ย ตอนที่เร่งความเร็วเข้ามาหาเขา มือน้อยแตะลงที่ท่อนแขนอย่างเคยชิน เช่นเดียวกับที่ยงกุกอ้าแขนรับเธอเข้ามาใกล้ด้วยความคุ้น “ว่าไงครับยูรา”
“อ๊ะ รุ่นพี่!!” เธอเอ่ยทักด้วยเสียงตื่นเต้น เช่นเดียวกับฮิมชาน
“ชเวยูรา! กำลังคิดอยู่เลยว่าเธอจะมาดูมั้ย”
“ฉันจะพลาดได้ยังไงกันคะ รุ่นพี่เพิ่งได้เลื่อนมาเล่นเปียโนหลักของวงนี่นา ยินดีด้วยจริงๆนะคะ” เธอผละจากแขนยงกุกไปจับมือของชายหนุ่มอีกคนเขย่าเบาๆเป็นการแสดงความยินดี ในขณะเดียวกัน ก็แสดงความสนิทสนมที่มีมากพอดูออกมาด้วย
“ว่าแต่รุ่นพี่รู้จักยงกุกด้วยหรอคะ” เธอเอ่ยถาม หันมามองยงกุกที่ยืนเอามือสองข้างล้วงกระเป๋าไว้ เขาตีหน้านิ่งสนิท ทั้งที่ในใจกำลังมีพายุพัดอย่างรุนแรง
“เพื่อนเก่าสมัยที่เรียนมอปลายที่โรงเรียนศิลปะน่ะ” ฮิมชานตอบออกมาแบบนั้นด้วยรอยยิ้มที่ยังเคลือบอยู่บนริมฝีปาก ในขณะที่ยงกุกกำลังขบกัดริมฝีปากตัวเองจนเขาคิดว่าเขาได้กลิ่นเลือดจางๆ “เราล่ะ”
“ยงกุก อ่า.. ต้องเรียกพี่ยงกุกสิเนาะ” เธอเรียกชื่อของเขาอย่างคุ้นชิน ยงกุกคิดว่าน่าจะตั้งแต่ตอนครบรอบปี ที่เธอเลิกเรียกเขาว่าพี่ แล้วเริ่มเรียกเขาด้วยชื่ออย่างเดียว ยูราบอกเขาว่ามันทำให้เธอรู้สึกใกล้เขามากขึ้น เขาเองก็ไม่ได้ขัดอะไร
“พี่ยงกุกเป็นแฟนฉันเองค่ะ”
ยงกุกกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เขาจองมองฮิมชานอย่างสงสัยในปฏิกิริยาตอบรับ แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมาคือความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงซักอย่าง ลมหายใจไม่สะดุด ดวงตายังคงทอแสงอ่อนไปยังยูรา มือยังจับมือน้อยของหญิงสาวไว้อย่างปกติ
คนตรงหน้าคือคิมฮิมชาน มือเปียโนแห่งวงออเคสตร้าระดับโลก
ไม่ใช่คิมฮิมชาน เด็กผู้ชายที่เล่นเปียโนอยู่ในห้องซ้อมหมายเลขสี่
“ยูรา คุยกับจูเลียเสร็จแล้วหรอ” ยงกุกขัดขึ้นมาตอนที่เห็นว่าหญิงสาวตั้งท่าจะคุยกับฮิมชานต่ออีกยาว นั่นทำให้เธอสะดุ้งขึ้นมาก่อนจะหันมาหาเขา
“ตายแล้ว มัวแต่ดีใจที่ได้เจอรุ่นพี่ จริงๆฉันจะมาบอกยงกุกว่าจะไปต่อกับจูเลียน่ะ เธอชวนไปดื่มนิดหน่อย แล้วก็ค่อยกลับบ้าน” เธอเดินเข้ามาใกล้พร้อมแตะมือลงกับท่อนแขนของเขาอีกครั้ง พร้อมส่งรอยยิ้มที่ทำให้เขาตามใจเธอเป็นประจำมาให้ “ให้ไปด้วยไหม”
เธอส่ายหัวเสียจนผมสีอ่อนปลิวฟุ้ง “ไม่ต้องหรอก เราคุยกันเรื่องผู้หญิงๆไม่ก็เรื่องดนตรีคลาสสิคทั้งนั้น กลับก่อนเถอะนะ ไปด้วยเดี๋ยวจะเบื่อ”
“เอาแบบนั้นก็ตามใจ กลับเมื่อไหร่ส่งข้อความมาบอกด้วยนะ” ยงกุกเอื้อมมือไปลูบหัวเธอเบาๆ พร้อมส่งยิ้มให้ “พรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวพี่ไปรับเธอไปส่งที่สนามบิน”
ยูราพยักหน้ารับ เธอยิ้มพร้อมยืดตัวมากดจูบเบาๆที่ข้างแก้มของยงกุก หันไปล่ำลาฮิมชาน หยิบของในรถ แล้วเดินกึ่งวิ่งไปยังทิศทางที่เธอเดินมา
ยงกุกหันกลับมามองฮิมชานหลังจากที่ยูราเดินหายไปจนลับสายตา รอยยิ้มสบายๆยังติดอยู่บนริมฝีปากของฮิมชาน เขาคิดว่าฮิมชานจะถามเรื่องยูรา แต่มันกลับตรงกันข้าม
“ว่างหรือเปล่า ไปหาที่นั่งคุยกันไหม” ชาหนุ่มถามพร้อมรอยยิ้มนั้น
“ก็ว่างแหละนะ ไปที่ไหนดีล่ะ” ยงกุกถามกลับไป ยืนมองฮิมชานที่กรอกตาเหมือนใช้ความคิดอยู่ในที ก่อนจะตอบออกมา
“บาร์ด้านล่างโรงแรมที่ฉันพักไหม?”
*
ยงกุกไม่แน่ใจว่าจากบาร์ใต้ห้องพักโรงแรมที่ฮิมชานพัก กลายเป็นห้องพักชั้นบนที่ฮิมชานพักได้ยังไง ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่แน่ใจว่าบทสนทนาอันไหนทำให้เขาสองคนที่นั่งอยู่กับพื้นห้องปลายเตียง ขยับชิดกัน เบียดกัน ใบหน้าใกล้จนได้กลิ่นลมหายใจที่ผสมปนเปกับแอลกอฮอล์
ฮิมชานยังคงเล่าเรื่องราวที่เขาพบเจอในตลอดห้าปีให้ยงกุกฟังอย่างสนุกสนาน ยงกุกยังคงพูดถึงวงการเพลงที่เขาทำงานอยู่ให้ฮิมชานฟังไม่ขาดตอน
เสียงพูดคุยของเขาหายไปชั่วครู่ ยงกุกยังคงจับจ้องใบหน้าที่เขาไม่ได้เห็นมานาน ฮิมชานยังคงมีรอยยิ้มบางๆประดับอยู่บนใบหน้า มือข้างหนึ่งของเขาที่ไม่ได้ถือแก้วที่ใส่ไวน์ชั้นดีเอาไว้ เคลื่อนไปแตะลงบนหน้าขาของฮิมชานในที่สุด
“ห้าปีที่ผ่านมา เป็นยังไงบ้าง” ยงกุกเอ่ยถามช้าๆ เหมือนไม่แน่ใจในคำถามที่เขาเอ่ยออกมา ฮิมชานเลิกคิ้วกลับมาให้ ตอบพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆ “สามชั่วโมงกว่าที่ผ่านมานี่ฉันไม่ได้กำลังเล่าให้นายฟังหรอกหรือ”
“ไม่ใช่สิ” ยงกุกตอบกลับไปทันที “ไม่ใช่เรื่องพวกนั้น”
ฮิมชานเงียบไปพักหนึ่งกับคำถาม ตาคู่นั้นเสมองไปทางอื่นพักใหญ่ ก่อนจะกลับมามองที่ยงกุกอีกครั้ง
“สองปีแรกฉันฝึกแทบตาย ให้ผ่านเกณฑ์ที่สถาบันกำหนดไว้ อีกสองปีถัดมา ฉันเอาแต่ซ้อมให้ความสามารถของตัวเองแซงหน้าคนอื่น หนึ่งปีที่เหลือ ฉันเอาแต่พิสูจน์ตัวเองว่าฉันจะเป็นนักเปียโนที่สามารถเดี่ยวเปียโนนำหน้าวงออเคสตร้าชื่อดังของโลกได้” รอยยิ้มของฮิมชานอ่อนลงมาก เจ้าของชายผมดำเอนหัวลงซบกับเตียงนุ่มที่เขานั่งพิงกันอยู่ “ฝันของฉันใหญ่เกินไป ฉันไม่มีเวลาให้เรื่องอื่นหรอก”
“นายรู้ดีไม่ใช่หรือไง” เสียงของฮิมชานที่เอ่ยถามเขาแผ่วเบาลงไปขนแทบไม่ได้ยิน ดวงตาคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่เขาอย่างตั้งใจ มือของฮิมชานเคลื่อนมาวางทาบไว้กับมือของเขา ยงกุกขยับพลิกมือ รองรับมือของฮิมชานเอาไว้ด้วยฝ่ามือ ก่อนจะสอดเกี่ยวนิ้วเข้าไปด้วยกัน “ฉันรู้”
“เสียงนายเหมือนโล่งใจ” ฮิมชานเอ่ยปนเสียงหัวเราะเย้า ยงกุกจึงขยับกายเข้าใกล้ฮิมชานมากกว่าเก่า วางเอาแก้วในทือลงไปกับพื้นให้ไกลตัว ใช้มือข้างที่ว่างคว้าเอาท่อนขายาวของฮิมชานมาวางพาดไว้ เพื่อให้ร่างชิดกันมากขึ้น
“จะว่าแบบนั้นก็ไม่ผิดอะไร”
เขาเอ่ยพร้อมกับโน้มตัวเขาใกล้ มือข้างเดิมวางแทบอยู่ข้างแก้มที่มีเลือดฝาดจากแอลกอฮอล์ของชายหนุ่มอีกคน ปลายนิ้วไล้ใต้ริมฝีปากบางที่ฮิมชานเม้มเข้าหากันจนเป็นรอยสีขาว
“ฉันดีใจ”
ยงกุกว่าแบบนั้น ทำให้ฮิมชานที่เอนหัวซบลงกับเบาะนุ่มอยู่ ขยับขึ้นมานั่งคอตรงในที่สุด
“และฉันคิดถึงนาย คิมฮิมชาน”
ภายในห้าปีที่ผ่านมา ไม่มีครั้งไหนที่ยงกุกจะรู้สึกเช่นนี้ ไม่มีใครที่ยงกุกกดริมฝีปากลงแนบชิดแล้วได้ความรู้สึกแบบนี้ แม้จะเป็นเพียงแค่รอยจูบเพียงบางเบา แต่เขากลับใจเต้นแรงกว่าจูบครั้งไหนๆ หรือจูบกับคนไหนก็ตาม
“ชเวยูรา”
เสียงของฮิมชานเบาหวิวตอนที่ยงกุกถอนจูบ แต่เขาไม่ได้ผละตัวห่างออกมา กลับกัน เขาปล่อยมือที่จับกุมกันไว้ แล้วช้อนร่างของฮิมชานเข้ามาในอ้อมแขนจนชิด
“ให้ตอนนี้มีแค่เราก่อนได้ไหม”
“ฉันรู้ฉันเห็นแก่ตัว แต่แค่ตอนนี้เท่านั้น”
“ขอร้องล่ะ”
เสียงลมหายใจที่ถี่กระชั้นขึ้น กับแรงกอดรอบตัวของเขาคือคำตอบ ยงกุกไม่แน่ใจว่าเขาขยับตัวขึ้นจากปลายเตียงมาอยู่บนเบาะนุ่มได้อย่างไร เขาไม่แน่ใจว่าเสื้อเชิ๊ตสีขาวสะอาดตาถูกปลดออกไปตอนไหน ริมฝีปากของเขาสัมผัสกันครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับยงกุกต้องการจะส่งความรู้สึกส่วนลึกทั้งหมดออกมา
เขากอดฮิมชานด้วยแรงทั้งหมดที่มี พร่ำบอกว่าคิดถึงเหลือเกินอยู่ข้างใบหู กดจูบซับน้ำตาที่ไหลหยดออกมาตามแรงอารมณ์ของฮิมชาน
ยงกุกตั้งใจจะลืมทุกอย่างที่สำคัญ
ณ วินาทีนี้สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงแค่การกอดคิมฮิมชานเอาไว้ ให้สมกับเวลาที่ฮิมชานหายไป
*
“ยงกุกอา เหนื่อยหรอ”
เสียงเรียกของคนข้างกายทำให้เขาที่เหม่ออยู่สะดุ้งขึ้นมา เขาเอียงหน้ามองเธอนิดๆ ก่อนจะกลับไปมองถนนต่อ พลางขานรับเธอ
“ไม่หรอก แค่คิดอะไรเพลินๆน่ะ” เขาปดไปแบบนั้น เอาเข้าจริงๆกว่าเขาจะได้หลับแสงสีอ่อนก็เริ่มจับขอบฟ้าแล้ว เขาหลับไปแค่ไม่นาน นาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ก็ทำงานทำให้ทั้งเขา และคนที่นอนหลับอยู่ข้างกันสะดุ้งตื่นขึ้นมา
ยงกุกรีบคว้าเอาเสื้อผ้ามาใส่ แล้วทำเพียงจูบลงบนลาดไหล่เปลือยของคนที่มุดตัวลงไปซุกกับผ้านวมผืนใหญ่ เอ่ยอย่างแผ่วเบาว่าเขาจะกลับมาหา ได้โปรด รอเขาก่อน ก่อนจะละออกมา
“คิดอะไรหรอ” เธอถามขึ้นมาอีก ยงกุกจึงพูดปดกับเธออีกครา “งานน่ะ ยังคิดไม่ออกเลย”
เธอรับด้วยความเข้าใจ หญิงสาวหันไปสนใจโทรศัพท์อีกครั้ง พลางบอกกับเขาว่าจะส่งไฟลท์บินขากลับมาให้ทีหลัง เขาครางรับในลำคอ ในขณะที่คิดว่าหลังจากส่งเธอขึ้นเครื่องเขาจะรีบกลับไปยังที่ๆเขาจากมาเมื่อเช้าอีกที
รถของเขาจอดลงที่จุดส่งผู้โดยสาร เพราะยูราย้ำกับเขาว่าไม่จำเป็นต้องเข้าไปส่งเธอด้านใน เขายกข้าวของของเธอลงมาจากหลังรถแล้วเข็นมาให้เธอที่ยืนรออยู่ด้านข้างแทน
“ไปดีๆนะยูรา ขยันๆด้วย อย่าไปเปรี้ยวมากนัก” เขาเอ่ยย้ำกับยูราแบบนั้น วงดนตรีที่ชเวยูราเป็นสมาชิกอยู่ออกทุนให้กับนักดนตรีทุกปี ปีละคนหรือสองคน ให้ไปเข้ารับการอบรมและฝึกซ้อมที่สถาบันชื่อดังที่มันไฮม์ ปีนี้เป็นตาของยูราที่ได้รับทุนนั้นไป หญิงสาวหัวเราะกับคำพูดของแฟนหนุ่ม เธอเดินเข้ามาสอดแขนโอบรอบเอวเขา แล้วซุกหน้าลงมากลางอก “ฉันไม่อยู่สองเดือนยงกุกอย่าเหงานะ”
ยูราเอ่ยยิ้มๆ เธอเงยหน้าขึ้นจ้องชายหนุ่มที่วาดแขนโอบรอบตัวเธอเอาไว้ “อย่าทำงานหนักมากไป อย่านั่งทำงานมืดๆ ถ้าคิดงานไม่ออกก็ออกไปข้างนอกบ้าง อย่าอุดอู้อยู่แต่ในบ้านนะ”
“พักผ่อนให้พอด้วย กินของดีๆ อย่าเอาแต่ดื่มกับสูบบุหรี่ ออกไปหาเพื่อนบ่อยๆด้วย”
“นี่สั่งยังกับแม่นะเนี่ย” เขาเอ่ยล้อเธอ เธอจึงส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างสดใส “สุดท้าย”
“ไม่ว่าจะทำอะไร ยงกุกต้องคิดถึงฉันมากๆ คิดถึงฉันตลอด ห้ามไม่คิดถึงกันนะ”
ยงกุกยิ้มให้เธอ พยักหน้ากับคำบอกนั้น ก่อนจะโน้มตัวลงกดจูบร่ำลา แล้วมองเธอเดินหายเข้าไปในสนามบิน
*
ยงกุกยืนเคว้งอยู่หน้าโรงแรม เมื่อฟร้อนท์บอกเขาว่าห้องที่เขาต้องการติดต่อ เพิ่งเช็คเอาท์ไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา เมื่อทำอะไรไม่ได้อีก ยงกุกจึงต้องจำใจกลับไปยังห้องพักกึ่งสตูดิโอของตัวเอง ตั้งใจจะทำงานต่อ แต่เมื่อเปิดคอมพิวเตอร์แล้วปล่อยให้ทำนองที่เขียนไว้เล่นไปได้ซักพัก ยงกุกก็ตัดสินใจว่าเขาไม่มีอารมณ์ที่จะทำเพลงในตอนนี้ สุดท้ายแล้วเขาจึงคว้าเอากระเป๋าเงิน กุญแจห้องแล้วออกไปเดินเล่นข้างนอกแทน
เขาเดินลากขามาจนถึงลานกว้างริมแม่น้ำที่มีวัยรุ่นมากมายเล่นสเกตบอร์ดอยู่ สมัยที่ยังเด็กกว่านี้ ยงกุกเคยมาเล่นแถวนี้อยู่บ่อยๆ พอโตขึ้น อะไรต่ออะไรก็เปลี่ยนไปตามเวลา เพื่อนฝูงที่เคยเล่นด้วยกันตั้งแต่สมัยก่อนก็ต่างมีการงานทำกันไปหมดจนไม่มีเวลามาเล่นสนุกอย่างทุกวัน
ยงกุกทิ้งตัวลงนั่งกับม้าหินมุมหนึ่งของลาน มองดูเด็กวัยรุ่นชายหญิงวิ่งเล่นบนแผ่นไม้ติดล้อ พลางจุดไฟที่ปลายมวนบุหรี่ขึ้นมา เขาถอนหายใจเชื่องช้า มองดูกลุ่มควันสีขาวลอยขึ้นไปกลางอากาศ
บางทียงกุกก็คิดว่าชีวิตของเขาน่าอิจฉา เขามีทำงานที่เขารัก เขาประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงในวงกว้าง ถูกจัดให้อยู่แถวหน้าในวงการ มีเงินทองมากมายพอจะเลี้ยงทั้งตัวเองและครอบครัวได้สบายๆ มีผู้หญิงที่ทั้งรักและเข้าใจเขาคนที่มีทั้งโลกส่วนตัวสูงและยังจะมีอารมณ์ศิลปินมากอีก
แต่วันนี้ ยงกุกกำลังคิดว่า ถ้าย้อนเวลาไปเมื่อห้าปีที่แล้ว แล้วเขาต้องกลับกลายเป็นบังยงกุกที่เป็นแค่นักเรียนในโรงเรียนดนตรี ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีคนรู้จัก ไม่มีผลงานโดดเด่น ไม่มีเงินทอง เขาคิดว่าเขาอาจจะยอม เพราะอย่างน้อยที่สุด เด็กคนนั้นก็ยังมีของที่เขารักที่สุดอยู่ในมือ
ถึงจะไม่มีอะไรเลยนอกจากความฝันลมๆแล้งๆ
อย่างน้อยที่สุดวันนั้นยงกุกก็ยังมีฮิมชาน
“ฉันว่าแล้วว่าต้องเจอนายที่นี่”
เสียงที่ดังขึ้นมาทำเอายงกุกที่นั่งหลับตาอยู่ ปล่อยบุหรี่ลงกับพื้นด้วยความตกใจ เขาหันไปตามเสียงทัก แล้วก็เห็นคนที่เขาเพิ่งนึกถึงยืนอยู่ตรงนั้น ในเสื้อยืดสบายๆกับกางเกงขาสามส่วน ฮิมชานส่งยิ้มให้ยงกุกเนือยๆ ทิ้งตัวลงนั่งตรงที่ว่างข้างๆ พลางยืดขาออกจนสุด
“ฉันนึกว่า. . .”
“ฉันไปแล้ว?” ฮิมชานเอ่ยขัด ทำให้รอยยิ้มบางๆจุดขึ้นที่ริมฝีปากของยงกุก เขาพยักหน้ารับ ละสายตาจากฮิมชานกลับไปมองด้านหน้าอีกที “คิดว่านายคงหลบหน้าฉัน แล้วก็กลับไปเลย”
“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ” ยงกุกเป็นคนที่มีความมั่นใจสูงเสมอในสายตาของคนอื่น แต่มีความลับเล็กๆที่แทบไม่มีใครรู้คือความจริงที่ว่า เขาไม่มีความมั่นใจอะไรในตัวเองเลยสักครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าฮิมชาน ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหนก็แล้วแต่ เมื่ออยู่ต่อหน้าฮิมชาน เขามักจะมีความรู้สึกว่าเขาไม่เคยดีพอ ไม่คู่ควรเลยสักครั้ง “เพราะเมื่อคืน. . .”
“นั่นสินะ . . .” ยงกุกไม่ได้พูดจาอธิบายใดใด แต่เขารู้ว่าฮิมชานเข้าใจ เหมือนที่เขามักจะเข้าใจอะไรหลายๆอย่างในตัวฮิมชานได้อย่างน่าแปลก “นายคิดว่าฉันเป็นคนเย็นชาขนาดนั้นเลยหรือไงกัน”
“ไม่หรอก ฉันแค่คิดว่ามันคงยาก ด้วยอะไรหลายๆอย่าง” ยงกุกตอบไปตามใจคิด เพราะทุกอย่างในตอนนี้ ไม่มีอะไรเหมือนตอนนั้นสักอย่าง ยงกุกมีคนรักอยู่แล้ว เขากับฮิมชานไม่ได้เจอกันมากว่าห้าปี และฮิมชานก็คงไม่คิดจะกลับมาอยู่ที่นี่ในเร็วๆนี้ เขาคิดว่ามันคงยากสำหรับฮิมชานที่จะบอกลา และเอาเข้าจริง มันก็ยากสำหรับเขา ถ้าจะต้องมองฮิมชานหายไปต่อหน้าอีกครั้ง
“ถึงยังไง เราก็เป็นเพื่อนกันนะบังยงกุก” เสียงของฮิมชานเบาหวิวจนเขายังต้องเงี่ยหูฟัง ราวกับไม่แน่ใจในสิ่งที่พูดออกมา ยงกุกหันไปมองฮิมชานอีกครั้ง “เพื่อนหรอ” เขาเอ่ยถามราวกับต้องการย้ำความแน่ใจ
“ใช่สิ เพื่อน เพื่อนสนิทด้วยล่ะมั้ง” ฮิมชานเอ่ยซ้ำอีกรอบด้วยเสียงที่ดังขึ้นมาอีกนิด ยงกุกได้แค่ผ่อนลมหายใจออกมาพร้อมรอยยิ้ม “เพื่อนสนิทประเภทไหนเขาไม่ติดต่อกันเลยหลายปีขนาดนี้ คิมฮิมชาน”
หนนี้ฮิมชานหัวเราะร่า และยงกุกรู้สึกเหมือนเขาตกหลุมรักอีกครั้ง
“ฉันนึกว่านายกลับเวียนนาไปแล้วซะอีก” ยงกุกเอ่ยขึ้นมาอีก ฮิมชานยักไหล่เชื่องชา ขยับขาที่ยืดขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้หินตัวเดียวกัน ดวงตามองตรงไปยังทิศทางเดียวกับยงกุก ริมฝีปากยิ้มให้กับภาพเด็กวัยรุ่นที่วิ่งเล่นกันอยู่ตรงหน้า
“โซลเป็นที่สุดท้ายในทัวร์น่ะ หลังจากนี้ฉันมีเวลาพักราวๆสองเดือน ก่อนจะต้องกลับไปซ้อม”
ยงกุกพยักหน้ารับ เขาไม่ได้พยายามหาบทสนทนาอะไรเพิ่มขึ้น เพียงแค่นั่งนิ่งๆอยู่ข้างกันเท่านั้น ยงกุกนึกถึงเรื่องเก่าๆขึ้นมาได้ สมัยยังเด็ก สมัยที่ความฝันยังเป็นเหมือนสิ่งที่ไกลเกินจะคว้า สมัยที่เขาทั้งสองคนมีเวลาเหลือเฟือที่จะค่อยๆเดินไปหาอนาคต ตอนนั้นที่เขามักจะทำแบบนี้ ออกไปที่ต่างๆนาๆด้วยกัน บางครั้งก็ใกล้แค่คาเฟ่ใต้ที่พัก บางครั้งก็ไปไกลจนไม่มีคนหาเจอ สุดท้ายแล้วเขาทั้งสองก็เพียงแค่นั่งอยู่ข้างๆกัน ต่างคนต่างให้ความสนใจกับสิ่งที่ตัวเองรัก ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมัน แล้วทำให้เขาตกหลุมรักกันผ่านการนั่งอยู่ด้วยกันแบบนั้น
“ฮิมชานฮยอง!!!” เสียงเรียกชื่อคนข้างกายยงกุกดังขึ้นพร้อมเด็กผู้ชายตัวสูงที่สไลด์สเก็ตบอร์ดมาหยุดอยู่ตรงหน้า เด็กคนนั้นไม่ลังเลที่จะโถมตัวกอดฮิมชานเข้าเต็มรัก ฮิมชานทำหน้างงอยู่เพียงชั่วครู่ และเมื่อเด็กชายคนนั้นผละออกมาพร้อมรอยยิ้มเต็มสองแก้ม เขาจึงยิ้มตามทันที
“ชเวจุนฮง โตเป็นยักษ์เลย”
ยงกุกมองเด็กที่เคยเล่นสเก็ตกับเขาและฮิมชานอยู่บ่อยๆสมัยก่อนนั่งทักทายฮิมชานอย่างตื่นเต้น เขาปล่อยให้จุนฮงเล่าเรื่องมากมายที่เกิดขึ้นกับตัวเองในระยะห้าปีให้ฮิมชานฟัง ส่วนเขาก็ได้แค่เอามือถือออกมา กดตัวโน๊ตที่นึกขึ้นมาได้ในตอนนั้นลงไปในโปรแกรมมือถือเรื่อยเปื่อย
“สมเป็นฮยองเลยนะ พอมีเวลาว่างก็มาหายงกุกฮยองเป็นคนแรก” ตอนที่จุนฮงพูดขึ้นมาแบบนั้น เขาจึงหันไปมองคนสองคนที่สนทนากันอยู่ ฮิมชานโคลงหัวรับ ไม่ได้ตอบอะไรจุนฮงไป ยงกุกจึงได้แค่ส่งรอยยิ้มให้ลมให้ฟ้าเท่านั้น
“ฮยอง นี่ถ้ายงกุกฮยองแต่งงาน ฮยองจะมาเล่นเปียโนในงานมั้ยอ่ะ ไม่ดิ่ๆ ฮยองจะมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวมั้ย” ยงกุกกระตุกตัวเองขึ้นไปผลักหัวของรุ่นน้องคนสนิททันทีที่คำถามถูกเอ่ยขึ้นมา เขาเห็นจากหางตาว่าฮิมชานยังคงยิ้มจนตาหยี ส่วนจุนฮงก็ได้แค่ร้องโอดโอยว่ายงกุกมือหนักเกินไป
“นู่น ไปเลย เพื่อนเรียกแล้ว” ยงกุกชี้มือไปทางเพื่อนฝูงของจุนฮงที่ตะโกนเรียกพอดี รุ่นน้องตัวแสบจึงหันมาร่ำลาฮิมชาน พร้อมกำชับว่าต้องแวะมาหากันบ่อยๆ ก่อนจะวิ่งออกไป
ยงกุกทิ้งตัวลงนั่งอีกครั้ง หันไปมองฮิมชานที่ก้มลงกดข้อความในมือถืออยู่ เขาเม้มปากจนเป็นสีขาวซีด ก่อนจะถอนใจ แล้วก้มลงกดเซฟตัวโน๊ตที่เขานั่งกดอยู่ส่งเมลให้ตัวเอง
“จะแต่งงานกับยูราหรอ” ยงกุกถอนใจออกมา นึกอยู่ว่าคำถามนี้จะออกมาจากฮิมชานไหม ใจหนึ่งเขากลัวว่าฮิมชานจะเอามาคิดจนต้องถาม แต่สิ่งที่เขากลัวมากกว่าคือฮิมชานจะไม่สนใจเอ่ยถามออกมาเลย
“เด็กนั่นก็พูดไปเรื่อย” ยงกุกตอบออกมาแบบนั้น ส่วนฮิมชานก็พยักหน้าตอบ
“นึกว่าจะต้องบินกลับมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวซะอีก” ยงกุกหัวเราะในลำคอ ใบหน้ายังก้มกดมือถือไปมา ทั้งที่อะไรที่ตั้งใจทำก็เสร็จไปนานแล้ว เขานั่งนึกอยู่นานว่าควรจะพูดอะไร ก่อนจะถอนใจเฮือกใหญ่ “ฉันแต่งงานตอนนี้ไม่ได้หรอก”
ยงกุกเดาได้ว่าฮิมชานต้องหันมามองเขาอย่างสงสัย แต่เขาก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นไป เขามีความกลัวที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองฮิมชาน กลัวว่าเขาจะไม่กล้าพูดสิ่งที่ตกค้างอยู่ในจิตใจ กลัวว่าถ้าเขาพูดออกไป เขาจะเห็นแววตาของฮิมชานที่มองเขาอย่างอึดอัดใจ ยงกุกจึงตั้งใจจะก้มหน้าอยู่แบบนี้
“ฉันยังแต่งงานกับยูราไม่ได้ ในเมื่อความรู้สึกของฉันมันยังไม่ชัดเจน ในเมื่อฉันยังรู้ว่าฉันรักเขาไม่มากพอ ฉันไม่ได้รักเขาแค่คนเดียว ฉันเอาเปรียบยูราแบบนั้นไม่ได้”
เขาได้ยินเสียงถอนหายใจเชื่องช้าจากคนข้างกาย เขารู้สึกถึงแรงสัมผัสบางเบาที่ต้นแขน
เขาได้ยินเสียงที่เบาบางของฮิมชาน
และเขา รู้สึกเหมือนอยากร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
“เราเป็นเพื่อนกันนะยงกุก”
“เราเป็นเพื่อนกัน และฉันอยากให้นายมีชีวิตที่ดี”
“ตอนที่ฉันไม่อยู่แล้ว ได้โปรดใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเถอะนะยงกุก”
“ได้โปรด มีความสุขเถอะนะยงกุก”
*
ยงกุกพบตัวเองยืนอยู่หน้าบ้านหลังที่เขาเดิมในตอนเช้าเกือบทุกวันติดต่อกันเกือบสองอาทิตย์ เขายืนมองบ้านหลังนั้นด้วยรอยยิ้มบางเบา บ้านสีฟ้าอ่อนหลังข้างๆกันเคยเป็นบ้านของครอบครัวของเขาจนไม่นานมานี้ ที่พ่อแม่ตัดสินใจจะย้ายไปอยู่ชานเมือง เขาจึงขายบ้านหลังนี้ทิ้งแล้วย้ายไปอยู่อพาร์ทเม้นคนเดียว
เขาใช้ข้ออ้างว่าห้าปีอะไรๆก็เปลี่ยนไป ในฐานี่เขาอยู่ที่นี่มาตลอด เขาขออาสาพาคิมฮิมชานผู้ซึ่งไม่ได้กลับมาเหยียบพื้นแผ่นดินบ้านเกิดเลยสักครั้งตั้งแต่ย้ายถิ่นฐานไปยุโรปเที่ยวเล่นด้วยตัวเอง
ฮิมชานยิ้มรับยงกุกที่ย้ำกับเขาเป็นมั่นเหมาะว่ายงกุกทำลงไปในฐานะเพื่อน ยงกุกรู้ดีว่าฮิมชานเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่อย่างน้อยมันก็ยังดีที่ฮิมชานไม่ใจร้ายกับเขานัก
เขาทั้งสองคนเลือกจะมองข้ามหลายๆเรื่องที่สำคัญไป ไม่พูดถึงเรื่องที่จะดึงเอาความอึดอัดเข้ามาอยู่ระหว่างกลาง ไม่เอาเรื่องที่เขาเห็นไม่ตรงกันมาพูด
ยงกุกไม่ได้พาฮิมชานเที่ยวตลอด เพราะถึงแม้ฮิมชานจะไม่ได้เหยีบยบ้านเกิดมาหลายปี เขาก็ยังจำอะไรต่ออะไรหลายอย่างได้ บางวันฮิมชานแค่อยากออกไปเล่นริมแม่น้ำ บางวันฮิมชานก็แค่อยากจะนั่งเงียบๆในคาเฟ่ บางวันฮิมชานก็แค่อยากหาที่นอนแผ่เฉยๆ หรือบางวัน ฮิมชานก็ไม่ได้อยากทำอะไรเลย
“อยากทำอะไร” มักจะเป็นคำพูดที่ยงกุกทักฮิมชานทุกครั้งที่เจอหน้า แต่ละวันคำตอบของฮิมชานมักจะเปลี่ยนไป แล้วแต่ในวันที่ฮิมชานตื่นมา ยงกุกยืนพิงรถของเขาแล้วหมุนกุญแจในมือเล่นสบายๆ ในขณะที่รอคำตอบของฮิมชาน
“ทำอะไรก็ได้ วันนี้ตามใจนาย” ฮิมชานตอบ พลางเอนตัวพิงประตูบ้านตอนที่ยืนมองยงกุกใช้ความคิด ยงกุกขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มอกมา เขาเอนหัวไปทางรถให้ฮิมชานเดินตามขึ้นไป
“จะไปไหน?” ฮิมชานเอ่ยถามตอนที่ยงกุกสตาร์ทรถแล้วเริ่มออกตัว ยงกุกอมยิ้ม เขาเปิดวิทยุให้เสียงดังขึ้นมา “นอนไปเถอะ เดี๋ยวถึงก็รู้เอง”
ใช้เวลาไม่นาน รถสีดำสนิทก็จอดลงในที่ๆฮิมชานคุ้นเคย เจ้าตัวเปิดประตูรถลงมายืนมองตึกสีขาวโอ่อ่า แล้วหันกลับมามองยงกุกที่ยืนท้าวแขนกับหลังขารถรอส่งยิ้มให้อยู่
“นี่คิดยังไงพามาที่นี่เนี่ย”
ยงกุกหันไปมองตึกสีขาวที่ตั้งอยู่ตรงหน้า สถานที่ที่เขาและฮิมชานคุ้นเคยเหลือเกิน ที่ๆฮิมชานใช้เวลาสองปีสุดท้ายของเขาในเกาหลี และที่ๆยงกุกยังคงกลับมาเสมอเมื่อเขามีเวลาว่าง
Faculty of Music and Performing Arts
คณะการดนตรีและศิลปะการแสดง
“ที่นี่ ที่ฝันของนายค่อยๆกลายเป็นจริง”
ฮิมชานยิ้มบางให้กับยงกุก แล้วก้าวเท้าเร็วๆตามยงกุกขึ้นไปบนตึก
มันเป็นช่วงปิดเทอม แต่นักศึกษาหลายคนยังคงเดินว่อนอยู่ในตึกนี้ หลายคนค้อมหัวทักทายยงกุกอย่างนอบน้อม บางคนที่วิ่งผ่านมาก็เอ่ยทักยงกุกอย่างสนิทสนม ยงกุกตอบคำถามที่ฮิมชานถามมาว่าทำไมคนถึงรู้จักเยอะว่า เวลาเขาว่างๆ เขาก็มาช่วยอาจารย์หลายๆคนสอนนักศึกษาวิชาดนตรีที่นี่
ยงกุกหยุดลงหน้าห้องๆหนึ่ง ที่ทำให้ฮิมชานต้องอมยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง เขาผายมือให้คนตรงหน้าเดินเข้าไปก่อน ฮิมชานเดินตรงไปทิ้งตัวลงนั่งหน้าแกรนด์เปียโนอย่างไม่ลังเล มือจิ้มคีย์เปียโนช้าๆทีละคีย์ ในขณะที่ยงกุกเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตัวที่ตั้งอยู่มุมห้อง ไม่ไกลจากฮิมชาน
“ชอบเปียโนขนาดนั้นเลยนะ” ยงกุกเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นฮิมชานยังกดคอร์ดเปียโนอย่างเชื่อช้า ฮิมชานยกยิ้มมุมปากมากขึ้น เงยหน้ามองยงกุกที่นั่งกอดอกยืดขาอยู่บนเก้าอี้อีกตัว “เสียงเพี้ยนตรงนี้” ฮิมชานกดคอร์ดเดิมซ้ำๆ พาให้ยงกุกเลิกคิ้วกลับมา
“เป็นอาจารย์พิเศษไม่ใช่หรอ ปล่อยให้เปียโนคีย์เพี้ยนมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย” ยงกุกโคลงหัวกลับไป ขยับตัวอยู่ในท่านั่งที่สบายกว่าเก่า “ฉันสอนแต่งเพลง ไม่ได้สอนเปียโน”
“หืมม” ฮิมชานยิ้มรับ มือค่อยๆเปลี่ยนจากกดคอร์ดไปเรื่อย เล่นเพลงกล่อมเด็นอนุบาลออกมา “แต่ก็จูนเปียโนเป็นนี่”
“ฉันจูนเป็นก็เพราะต้องนั่งฟังนายซ้อมเปียโนนั่นแหละ”
ยงกุกเอ่ยตอบออกมาเช่นนั้น ฮิมชานจึงพยักหน้าช้าๆกลับไป มือไม่ได้ละจากเปียโน กลับกันยังคงเล่นเพลงจำพวกเพลงกล่อมเด็กบ้าง เพลงที่ใช้ไว้สอนเด็กหัดเล่นเปียโนบ้างออกมาเรื่อยๆ ยงกุกเอนหัวพิงกับผนังห้องซ้อม ปิดตาลงปล่อยให้ฮิมชานเล่นตัวโน๊ตอยู่แบบนั้น ริมฝีปากขยับขึ้นเป็นรอยยิ้มเรื่อยๆตอนที่ฮิมชานส่งเสียงหัวเราะออกมาเวลาเปลี่ยนเพลงใหม่
“เลือกเล่นแต่เพลงเด็กๆ” ยงกุกเอ่ยขึ้นมาทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ส่วนฮิมชานก็ตอบรับโดยที่ยังไม่หยุดเล่น
“อยู่นั่นเอาแต่ซ้อมเพลงอลังการ ไม่ได้เล่นเพลงเด็กๆแบบนี้หรอก” ยงกุกไม่ได้ตอบอะไรฮิมชาน เขายังคงนั่งกอดอกหลับตาฟังเพลงที่ฮิมชานเล่นต่อไป เหมือนที่เขาเคยทำ เขาเคยนั่งหลับตาฟังฮิมชานซ้อมแบบนี้อยู่เป็นปีๆ นั่งเงียบๆ ปล่อยให้ฮิมชานเล่นเพลงที่อยากจะเล่น ซ้อมให้มากจนกว่าจะพอใจ มันเป็นเรื่องที่ยงกุกเคยทำจนคุ้นชิน เพลงหลายเพลงที่ยงกุกเคยไม่รู้จัก นานวันเข้าเขาก็ฮัมตามได้อย่างแม่นยำ
“ฉันชอบเพลงนี้” อยู่ๆยงกุกก็เอ่ยขึ้นมาตอนที่ฮิมชานเปลี่ยนเพลง เขาได้ยินเสียงหัวเราะจากฮิมชาน เสียงเพลงยังไม่สะดุดไปสักนิดตอนที่ฮิมชานพูดกลับมา “โกหก นายเกลียดเพลงนี้จะตาย”
“ใส่ร้าย” ยงกุกว่า โดยที่ยังนอนอยู่ที่เดิม เป็นฮิมชานที่หยุดเล่นเพลง ขยับตัวขึ้นนั่งขัดสมาธิมองยงกุก เสียงดนตรีที่เงียบหายไปนาน ทำให้ยงกุกต้องลืมตาขึ้นมาในที่สุด เขาเห็นฮิมชานนั่งท้าวคางมองหน้าเขาอยู่ เขาจึงเลิกคิ้วถามอีกครั้ง “อะไร มองทำไม”
“เราเคยไปกินข้าวกัน ร้านแถวกังนัม ที่เล่นดนตรีสด นักดนตรีเคยเล่นเพลงนี้ และตอนนั้น นายบอกว่านายเกลียดมัน” ฮิมชานเอ่ยออกมาให้เขานึกตาม แน่นอนว่ายงกุกจำได้ คืนนั้นที่ฮิมชานบอกเขาว่าได้ทุนไปเรียนดนตรีที่เวียนนา ตอนนั้นนักดนตรีมือสมัครเล่นกำลังเล่นเพลงนี้ ยงกุกไม่รู้จะพูดตอบรับฮิมชานว่าอะไร นั่นเป็นคำแรกที่หลุดออกไปตอนฮิมชานบอกข่าวดีที่สุดในชีวิตของฮิมชานให้ยงกุกรู้ เรื่องที่ยงกุกนับว่าเป็นข่าวร้ายที่สุดของชีวิตเขา “อ่า . . . ตอนนั้น”
ยงกุกนิ่งไปซักพักเหมือนนึกอะไรอยู่ ปล่อยให้ฮิมชานหันกลับไปเล่นเพลงเดิมนั้นต่อ เขายังคงมองฮิมชานกดคอร์ดอย่างแผ่วพลิ้ว เล่นดนตรีที่ไพเราะที่สุดในโลกสำหรับเขา
“พอเป็นนายเล่นแล้วฉันชอบมันนะ”
ฮิมชานเผยยิ้มออกมาพร้อมเสียงหัวเราะอีกครั้ง ส่วนยงกุกก็เพียงเอนตัวพิงเก้าอี้เช่นเดิมแล้วหลับตาลง
*
To be continue.
ความคิดเห็น