ตอนที่ 5 : บทที่ 2 Part 3
(ต่อ)
เกาหมินเดินหน้าดำคร่ำเครียดเข้าไปในตำหนักหย่างซิน ก่อนจะเอ่ยถามออกไปตรงๆ โดยไม่คิดจะถวายบังคมก่อน “องค์ชายหกสั่งโบยข้ารับใช้ตายไปสี่คนโดยไม่มีสาเหตุ ฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้หรือไม่”
“ไม่มีสาเหตุจริงหรือ เมื่อก่อนองค์ชายหกใช้ชีวิตเช่นไร เจ้ารู้บ้างหรือไม่” หลีจิ่นเทียนย้อนกลับไป ถ้าหากไม่ได้สั่งให้คนสืบเรื่องราวทั้งหมดมาก่อน เขาคงไม่รู้ว่าลูกของตนเองเคยถูกคนอื่นข่มเหงรังแกขนาดไหน องค์ชายสิบสองตายไปแล้ว ถ้าขืนเขายังละเลยต่อไป จะมีองค์ชายถูกเคี่ยวกรำทรมานตายไปอีกกี่คนจนเหลือองค์ชายห้าแค่คนเดียว ตกลงว่าเกาหมินจงใจหรือไม่
ดวงตาของเกาหมินสว่างวาบ หลีกเลี่ยงไม่ยอมตอบมันก็เห็นได้ชัดเจนแล้ว
หลีจิ่นเทียนรู้สึกผิดหวังอย่างมาก เกาหมินก่อนมาเกิดใหม่เป็นคนใจกว้างมีเมตตาและผ่าเผยซื่อตรง แต่เกาหมินหลังมาเกิดใหม่กลับกลายเป็นคนเย็นชาเห็นแก่ตัวและโหดเหี้ยม นอกจากองค์ชายห้ากับตระกูลเกาแล้ว ก็ไม่คิดจะสนใจไยดีใครทั้งนั้น ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของใครกัน แต่ถ้าจะสืบสาวให้ถึงที่สุดก็ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นต้นตอของเรื่องทั้งหมด
เกาหมินมิอาจประกาศก้องออกไปว่าถามใจตัวเองแล้วไม่มีสิ่งใดต้องละอายจึงหาทางเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาไปเรื่องอื่น “เรื่องแต่งตั้งกระหม่อมเป็นแม่ทัพปราบปรามชนเผ่าป่าเถื่อนทางฝั่งตะวันตก ฝ่าบาททรงพิจารณาแล้วหรือยัง”
“เจ้าจะคอยอยู่ข้างกายข้าไม่ได้เลยหรือ”
เกาหมินตอบคำถามด้วยความเงียบ ทว่าดวงตาฉายชัดถึงความไม่พอใจ เคียดแค้น และแฝงความทะเยอทะยานอยู่ในนั้น เขาอยากออกจากวังหลวงที่ชวนให้อุดอู้จนแทบหายใจไม่ออก อยากออกไปสนามรบที่อาบย้อมด้วยเลือด อยากออกไปสร้างผลงานทำความดีความชอบ ชาติก่อนเขาทำตัวต้อยต่ำจนเกินพอแล้ว ชาตินี้ต้องเปลี่ยนแปลงเสียใหม่ เพราะเขาเริ่มตระหนักแล้วว่ามีเพียงอำนาจเท่านั้นที่ช่วยปกป้องตำแหน่งฐานะของเขาไว้ได้
ความทะเยอทะยาน? หลีจิ่นเทียนไม่สามารถบอกกับตัวเองว่าคงเข้าใจผิด เขาคลี่ยิ้มอย่างอ่อนล้า โบกมือพร้อมเอ่ยว่า “ไปเถอะ ไปทำสิ่งที่เจ้าอยากทำ” ข้าจะยอมปล่อยมือให้เจ้ากางปีกโบยบินไปก่อน แต่สักวันข้าจะหักปีกของเจ้าให้ดู
เกาหมินดีใจมาก หลังจากกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจแล้วก็รีบร้อนผละไป
ข่าวจวินฟู่ได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพออกรบสร้างความปีติยินดีให้หลี่ซวี่เหยียนเป็นอย่างมาก เพราะทอดตามองไปทั่วแคว้นต้าเยี่ยน มีเกอร์คนไหนบ้างหลังจากเข้าวิวาห์แล้วแต่ยังสามารถเปิดเผยหน้าตาเวลาอยู่ข้างนอกและเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรูได้ แต่ไหนแต่ไรมาเสด็จพ่อก็ทรงโปรดปรานจวินฟู่มากจนมิมีอะไรจะมาเทียบเคียงได้แล้ว
พอเขาคิดมาถึงตรงนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เพราะฉุกคิดถึงฉีกุ้ยจวินซึ่งแม้จะถูกเสด็จพ่อลงโทษประหาร แต่ช่วยกลับมาได้ทันเวลาและส่งทหารองครักษ์ไปปกป้องคุ้มครองเป็นอย่างดี ตกลงว่าเสด็จพ่อรู้สึกอย่างไรกับเขาคนนั้นกันแน่ ก่อนอื่นสังหารคนในครอบครัวของเขาทั้งตระกูล ต่อมาพาเขากลับมาอยู่ในตำหนักจื่อเฉินอย่างดี ทำตัวกลับไปกลับมาเช่นนี้มีจุดประสงค์อะไรกันแน่ แล้วการรับเลี้ยงองค์ชายหกของฉีกุ้ยจวินจะส่งผลกระทบอะไรต่อเขากับจวินฟู่หรือไม่
หลี่ซวี่เหยียนขมวดคิ้วด้วยความวิตกกังวล ตอนเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นองค์ชายหกหิ้วย่ามใส่หนังสือใบใหม่ก้าวเข้ามาในห้องเรียนหลวง จากนั้นนำพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกราคาแพงออกมาวางเรียงทีละอย่าง
พอหลี่ซวี่เหยียนเห็นดังนั้นก็เดินเข้าไปชี้รอยเขียวช้ำตรงปลายคางของอีกฝ่าย แล้วถามด้วยความประหลาดใจว่า “น้องหก ตรงนี้ของเจ้าเป็นอะไรหรือ” แค่ย้ายไปอยู่ตำหนักจื่อเฉินวันเดียว องค์ชายคนนี้ก็สังหารคนไปถึงสี่คนด้วยกัน เขาไม่น่าหลงคิดไปเลยว่าอีกฝ่ายอ่อนแอ คราวนี้เห็นได้ชัดแล้วว่าเมื่อก่อนคงเสแสร้งแกล้งทำตัวงุ่มง่ามมาตลอด
ก่อนหน้านี้คงเพราะอยากได้รับความสนใจจากฉีกุ้ยจวินจึงแสดงนิสัยที่แท้จริงออกมาภายในคืนเดียว แต่ดูจากรอยช้ำตรงปลายคางแล้ว คาดว่าฉีกุ้ยจวินคงไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ เช่นนี้ก็ดีแล้ว
เกาหมินเคยบอกเขามานับครั้งไม่ถ้วนว่าหากเจอคนที่มีนิสัยใจคอและความสามารถเก่งกาจดี อย่าเพิ่งรีบร้อนสังหารทิ้งเพียงเพราะรู้สึกว่าอาจเป็นภัยคุกคามตนเอง เพราะนั่นอาจจะทำให้เขาสูญเสียผู้ช่วยชั้นดีไป ทางที่ดีคือลองหาทางดึงอีกฝ่ายเข้ามาเป็นพวกก่อน ถ้าดึงเข้ามาเป็นพวกไม่ได้ค่อยลงมือก็ยังไม่สาย
เวลานี้องค์ชายหกเริ่มมีคุณค่าพอให้ดึงเข้ามาเป็นพวกแล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถอยู่จริงหรือไม่ก็ตาม แค่ฉีกุ้ยจวินยอมรับเขามาเลี้ยงดูก็เป็นเหตุผลมากพอแล้ว เพราะจู่ๆ ฉีกุ้ยจวินก็ได้รับความสำคัญและไว้วางพระทัยจากเสด็จพ่อโดยไม่มีสาเหตุ เรื่องนี้จึงทำให้หลี่ซวี่เหยียนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
หลี่ซวี่ตงกุมคางตัวเองแล้วส่ายหน้าตอบ “ไม่มีอะไร แค่ถูกข้ารับใช้กำเริบเสิบสานทำร้ายนิดหน่อยเท่านั้น”
ต่อให้ข้ารับใช้บังอาจสักแค่ไหนก็ไม่น่าจะกล้าทำร้ายพระพักตร์ขององค์ชายกระมัง หลี่ซวี่เหยียนไม่เชื่อเด็ดขาด แค่ถอนหายใจแล้วกำชับว่า “ภายภาคหน้าหากมีปัญหาอะไร น้องหกแค่มาหาข้ากับจวินฟู่ที่ตำหนักเทียนเฉินก็พอ เราไม่มีทางเพิกเฉยต่อเจ้าอย่างแน่นอน”
ไม่มีทางเพิกเฉยต่อข้า? แล้วก่อนหน้านี้ตอนข้าถูกคนอื่นข่มเหงรังแก พวกเจ้าไปอยู่ที่ไหน ในวังมีองค์ชายสูญเสียพระมารดาหรือจวินฟู่ตั้งมากมาย แต่มีใครบ้างที่เคยได้รับการดูแลเอาใจใส่จากเกากุ้ยจวิน เขาปกครองหกตำหนักเช่นนี้หรอกหรือ ผู้คนต่างยกย่องสรรเสริญเกากุ้ยจวินว่ามีใจเมตตา สุขุมงามสง่า เชี่ยวชาญทั้งบุ๋นและบู๊ แต่เท่าที่เขาเห็นมามันก็อย่างนั้นเอง เทียบกับจวินฟู่ไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้วเดียว
หลี่ซวี่ตงแสร้งทำเป็นซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหล แต่ในใจกลับลอบหัวเราะเย้ยหยัน
เมื่อเหล่าองค์ชายกับสหายร่วมศึกษาทยอยกันมาถึงก็ทำให้เขารับรู้ได้ถึงความแตกต่างอย่างใหญ่หลวง เมื่อก่อนคนพวกนี้ไม่เคยเหลือบมองเขาเลยสักแวบ แต่บัดนี้กลับตรงเข้ามาทักทายอย่างกระตือรือร้น เพียงเพราะเขาถูกฉีกุ้ยจวินซึ่งเป็นที่โปรดปรานอันดับสองรับเลี้ยงไว้ ต่อให้ไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ แต่ภายภาคหน้าต้องมีอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน
และเพราะเขากล้าสั่งโบยข้ารับใช้กำเริบเสิบสานหลายคนจนตาย จึงทำให้ฮ่องเต้หันมามองสถานะอันชวนกระอักกระอ่วนขององค์ชายทั้งหลาย และลงมือแก้ไขปรับปรุงทุกอย่างในวังใหม่หมด เขากลายเป็นคนที่นำประโยชน์สุขมาสู่ทุกคน ย่อมเป็นที่ชื่นชมในห้องเรียนหลวงเป็นธรรมดา
หลี่ซวี่เหยียนก็เป็นที่ชื่นชมเช่นกัน แต่คำเยินยอเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งจอมปลอม เพราะจวินฟู่ของเขานั่นเองที่ทำให้องค์ชายทุกคนต้องตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ ขอถามว่าพวกเขาจะชื่นชอบหลี่ซวี่เหยียนจากใจจริงได้อย่างไร บางทีอาจจะลอบเกลียดชังเขาเข้ากระดูกดำด้วยซ้ำ
ครอบครัวของฉีกุ้ยจวินถูกสั่งประหารทั้งตระกูล พบเจอชะตากรรมสุดแสนรันทด แม้ว่าจะกลับมาได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้อีกครั้ง แต่ยังคงต้องอยู่ลำพังเช่นเดิม องค์ชายทุกคนรวมถึงพระมารดาและจวินฟู่ของพวกนั้นจึงไม่รู้สึกอิจฉาริษยาอะไรเขา
หลี่ซวี่ตงรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงจากการเลื่อนสถานะของตนเอง แต่ในใจกลับไม่รู้สึกยินดีหรือลำพองใจเลยสักนิด คนอื่นจะมองเขาเช่นไรก็ไม่ได้มีความสำคัญใดๆ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาก็คือจวินฟู่จะรู้สึกผิดหวังกับตัวเขาหรือไม่ ดังนั้นเวลาเข้าเรียนเขามักจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเป็นพิเศษ อาจารย์มอบหมายการบ้านมาก็รีบทำให้เสร็จสมบูรณ์ บทความที่อ่านแล้วจดจำไม่ได้ก็พยายามท่องจำซ้ำแล้วซ้ำเล่า จวบจนถึงเวลาพักกลางวันค่อยยอมวางม้วนตำราวางพู่กัน
ขันทีผู้ติดตามของทุกคนหิ้วปิ่นโตบรรจุอาหารเข้ามา แต่ขันทีของตำหนักจื่อเฉินกลับดึงดูดสายตาของทุกคนเป็นพิเศษ คงเพราะปิ่นโตที่เขานำมาส่งมีขนาดใหญ่เกินไป และดูท่าทางจะหนักมากนั่นเอง
“ทำไมถึงได้เยอะขนาดนี้” หลี่ซวี่ตงมองปิ่นโตห้าชั้นอย่างตกตะลึง
“นี่เป็นอาหารที่พระสนมทรงทำเองพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ตรัสว่าองค์ชายมีพระอามาศัย[1]ใหญ่ เกรงว่าปริมาณอาหารเท่าคนปกติทั่วไปอาจจะเสวยไม่อิ่ม” ขันทีผู้ติดตามอธิบายพลางหยิบปิ่นโตแต่ละชั้นออกมาจัดวาง กลิ่นหอมเข้มข้นโชยไปทั่วบริเวณจนเรียกสายตาของทุกคนให้มองมาอย่างหักห้ามใจไม่อยู่
“จวินฟู่ทำอาหารเป็นด้วยหรือ” หลี่ซวี่ตงเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง จวินฟู่ดูเผินๆ แล้วอ่อนแอเปราะบาง แต่ความจริงแล้วเข้มแข็งมาก วิชาแส้กับพละกำลังก็แข็งแกร่งไม่น้อยเช่นกัน เขารับรู้ได้เป็นอย่างดี เดิมทีคิดว่าคนเข้มแข็งเช่นนี้คงไม่ถนัดเรื่องทำอาหาร จึงคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเข้าครัวด้วยตัวเอง
หลี่ซวี่ตงดีใจมาก ก่อนจะรู้สึกเขินอาย เขากินจุมากจริงๆ ปริมาณมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า และเพราะเหตุนี้การลงโทษที่เขาหวาดกลัวที่สุดก็คือถูกพวกข้ารับใช้จำกัดอาหาร แต่พอย้ายมาอยู่ตำหนักจื่อเฉิน เขาไม่อยากให้ฉีกุ้ยจวินดูแคลนจึงพยายามควบคุมตัวเองอย่างสุดความสามารถ คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายยังคงดูออก
ดูเหมือนฉีกุ้ยจวินจะเอาใจใส่เขายิ่งกว่าที่เขาคิดจินตนาการเอาไว้มาก พอคิดได้เช่นนี้ หลี่ซวี่ตงยังไม่ทันกินก็รู้สึกอิ่มแล้ว อิ่มเอมจากความสุขมหาศาลที่ได้รับมา
เขาค่อยๆ กินอาหารทีละคำจนหมดเกลี้ยงแล้วปล่อยลมหายใจออกมาอย่างพึงพอใจ เมื่อก่อนมือเท้ามักจะอ่อนแรงเพราะความหิวโหยอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นจึงรู้สึกว่าวิชาขี่ม้ายิงธนูในตอนบ่ายเป็นเรื่องยากมาก แต่เวลานี้ราวกับว่ามีกำลังวังชาเยอะจนใช้เท่าไหร่ก็ไม่ยอมหมด หลังเลิกเรียน เขาอยากจะรีบวิ่งกลับไปที่ตำหนักจื่อเฉินจนแทบทนรอไม่ไหว เมื่อเห็นคนที่กำลังยืนตัดกระดาษสร้างแบบ[2]อยู่ตรงโต๊ะทำงานก็รีบเปลี่ยนเป็นเดินย่องอย่างรวดเร็ว
ร่างของคนผู้นั้นอาบไล้ด้วยแสงอาทิตย์ ผิวขาวเนียนละเอียดเปล่งประกายเรืองรองจนดูเหมือนโปร่งใส ราวกับว่าแค่เพียงสัมผัสอย่างแผ่วเบาก็แตกสลายเหมือนไอหมอก และค้นหาไม่เจออีกแล้ว หลี่ซวี่ตงตื่นตกใจกับความคิดนี้และอดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาไม่ได้
“จวินฟู่” เขาหายใจถี่กระชั้น เริ่มรู้สึกว่าลำคอตีบตันอย่างรุนแรง
“มีอะไรหรือ” คนผู้นั้นไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา น้ำเสียงฟังดูเกียจคร้านและแฝงด้วยความผ่อนคลาย
“อาจารย์ให้การบ้านมา ข้ามีอยู่หลายข้อที่ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก จวินฟู่พอจะช่วยข้าคลี่คลายข้อสงสัยได้หรือไม่” หลี่ซวี่ตงรีบเก็บซ่อนสีหน้าแตกตื่นพร้อมคิดหาข้ออ้างมาสนทนา
“เอามาให้ข้าดูสิ” โจวอวิ่นเซิ่งวางกระดาษสร้างแบบลงแล้วเปิดพื้นที่ว่างบนโต๊ะให้ส่วนหนึ่ง
หลี่ซวี่ตงหยิบตำราออกมากางตรงหน้าแล้วชี้ตัวหนังสือไม่กี่แถวในนั้น โจวอวิ่นเซิ่งเหลือบมองแล้วถามเหมือนจะกลั้วหัวเราะอยู่นิดๆ “องค์ชายไม่เข้าใจจริงหรือ”
หลี่ซวี่ตงพยักหน้า
“แล้วเหตุใดเมื่อคืนข้าถึงได้เห็นเจ้าเขียนอรรถาธิบายเกี่ยวกับบทความนี้ในการบ้านเล่า ความคิดแปลกใหม่มาก ตีความออกมาไม่เหมือนใคร”
หลี่ซวี่ตงนิ่งอึ้งพูดไม่ออก ใบหูค่อยๆ แดงก่ำขึ้นมา เมื่อคืนจวินฟู่แค่เหลือบมองการบ้านของเขาแค่แวบเดียว แค่แวบเดียวเท่านั้น ไม่ถึงหนึ่งชั่วกลั้นลมหายใจด้วยซ้ำ แต่กลับสามารถอ่านเนื้อหาทั้งหมดและจดจำได้อย่างแม่นยำ มันสมองของจวินฟู่ฉลาดปราดเปรื่องขนาดไหนกันนะ ถ้าหากไม่มีเสด็จพ่อคอยกดไว้ เขาจะเปล่งประกายเจิดจ้าสักแค่ไหน ทุกคนต่างเยินยอเกากุ้ยจวินกันว่ามีความสามารถโดดเด่น เชี่ยวชาญทั้งบุ๋นและบู๊ แต่เมื่อนำมาเทียบกับจวินฟู่แล้วก็แทบไม่ติดฝุ่น!
หลี่ซวี่ตงไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดเสด็จพ่อที่แทบไม่เคยเห็นหน้าคนนั้นถึงได้ให้ความสำคัญกับเกากุ้ยจวินนักหนา และทำร้ายจวินฟู่ถึงเพียงนี้ ทั้งที่จวินฟู่เป็นคนดีที่สุดในโลก ทว่าเสด็จพ่อกลับมีตาแต่ไร้แวว เอาเถิด ความพิเศษของจวินฟู่มีเขาล่วงรู้แค่คนเดียวก็พอแล้ว
โจวอวิ่นเซิ่งหารู้ไม่ว่าลูกหมาป่าตัวนี้ยกย่องเทิดทูนเขาจนถึงขั้นนัยน์ตามืดบอดแล้ว เขาดึงหูเจ้าลูกหมาป่าน้อยพลางถามว่า “เวลาอาจารย์ถามตอนอยู่ในห้องเรียนหลวง เจ้าก็บอกว่าเจ้าไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือ”
หลี่ซวี่ตงไม่กล้าโกหก หลังจากลังเลอยู่ชั่วอึดใจก็พยักหน้ารับ เดิมทีเขาก็ใช้ชีวิตค่อนข้างลำบากอยู่แล้ว ถ้าแสดงความสามารถโดดเด่นออกมา ไม่รู้ว่าจะถูกพวกพระสนมพวกนั้นหลอกใช้หรือกดดันหนักขนาดไหน เพราะเขาไม่อยากกลายเป็นเครื่องมือของคนอื่น
แต่นั่นเป็นเรื่องของเมื่อก่อน ฉีกุ้ยจวินแค่มองแวบเดียวก็เลือกเขาในช่วงเวลาที่ตัวเขายังไม่มีคุณค่าใดๆ อีกทั้งยังเอ่ยถ้อยคำอันแสนวิเศษเหล่านั้นออกมา ต่อให้ฉีกุ้ยจวินเสแสร้งแกล้งทำ หรือต่อให้เขาล่วงรู้ว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงในภายภาคหน้า หลี่ซวี่ตงก็ยอมรับผลของมันแล้ว ตอนนี้เขากลับเกรงว่าตัวเองจะไม่มีคุณค่าพอให้ฉีกุ้ยจวินใช้สอยจนถูกอีกฝ่ายทอดทิ้งมากกว่า
โจวอวิ่นเซิ่งปล่อยใบหูแดงก่ำของหลี่ซวี่ตงแล้วกำชับว่า “เดิมทีเจ้าเป็นเช่นไรก็แสดงออกเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำตัวโง่งม ข้าฉีซิวเจี๋ยแม้จะตกอับแล้ว แต่แค่ปกป้องเจ้าคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร เจ้าจงจดจำไว้ว่า โอรสของข้า ฉีซิวเจี๋ย สามารถเป็นได้ทั้งคนเลวและนักบุญ แต่ห้ามเป็นตัวโง่งมอ่อนแอเด็ดขาด ต่อให้เจ้าแสดงความสามารถโดดเด่นกว่าหลี่ซวี่เหยียนแล้วอย่างไร ถ้าเกาหมินสองพ่อลูกไม่พอใจเจ้า ข้าก็มีวิธีเล่นงานพวกเขาเช่นกัน”
น้ำเสียงของจวินฟู่ฟังดูสบายๆ แต่หลี่ซวี่ตงยังคงรับรู้ได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งจากคำพูดเหล่านั้น ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรในโลกนี้สามารถทำให้เจ้าตัวขมวดคิ้วได้ และอีกฝ่ายจะแสดงความแข็งแกร่งเช่นนี้ออกมาต่อหน้าเขาคนเดียวเพื่อปกป้องเขา หลี่ซวี่ตงดีใจมากจนมิอาจหาอะไรมาเทียบได้ จับชายเสื้อของจวินฟู่ไว้แล้วพยักหน้ารับแรงๆ ดวงตาแดงเรื่อขึ้นมา
“จงอย่าทำตัวไร้ค่าเช่นเดิม กลับไปคัดลอกบทความนี้หนึ่งร้อยรอบ คัดไม่เสร็จห้ามนอน ภายภาคหน้าหากมีข้อสงสัยจริงก็มาถามข้าได้ แต่ห้ามแกล้งทำเป็นเข้าใจทั้งที่ไม่เข้าใจ และห้ามแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจเด็ดขาด” โจวอวิ่นเซิ่งเรียกร้องให้หลี่ซวี่ตงฝึกฝนตนตามมาตรฐานของคนที่จะขึ้นเป็นฮ่องเต้จึงเข้มงวดกับเขาอย่างมาก
หลี่ซวี่ตงไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากเย็นอะไร จึงหยิบกระดาษเซวียนจื่อออกมากาง ก่อนเอ่ยออกมาจากใจจริงว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าจะเริ่มคัดลอกตั้งแต่ตอนนี้ คัดลอกสามร้อยรอบ จวินฟู่สามารถจับตาดูข้าอยู่ด้านข้างได้” เขาไม่อยากกลับไปนั่งคัดอยู่ในตำหนักปีกข้างตามลำพัง เพราะอยากอยู่ข้างกายจวินฟู่ตลอดเวลา
“เด็กดี” โจวอวิ่นเซิ่งพอใจกับความขยันขันแข็งของอีกฝ่ายมาก จึงลูบหัวแล้วตัดกระดาษสร้างแบบต่อ
หลี่ซวี่ตงคัดลอกได้ไม่กี่แถวก็แอบชำเลืองมองจวินฟู่ครั้งหนึ่ง คัดลอกได้อีกไม่กี่แถวก็แอบชำเลืองมองอีกที มักจะรู้สึกว่ามองเท่าไหร่ก็ไม่พอเสียที ตอนคัดลอกได้ห้าสิบรอบ เขาวางพู่กันลงเพื่อพักมือสักครู่หนึ่ง จากนั้นเดินเข้าไปชะโงกหน้ามองโจวอวิ่นเซิ่งตัดผ้าตามกระดาษสร้างแบบแล้วถามว่า “จวินฟู่ ท่านกำลังตัดเย็บเสื้อผ้าหรือ สำหรับเสด็จพ่อใช่หรือไม่” พอสิ้นเสียง ดวงตาก็หม่นแสงลงเล็กน้อย เพราะรู้สึกเกลียดชังเสด็จพ่อยิ่งนัก
“เขา? เขามีวาสนาเช่นนั้นด้วยหรือ” โจวอวิ่นเซิ่งหัวเราะหยัน ดีดหน้าผากเจ้าลูกหมาป่าแล้วเอ่ยต่อว่า “นี่ตัดให้เจ้าต่างหาก รอข้าตัดเสร็จเจ้าค่อยลองดูว่าเหมาะกับตัวไหม”
ในฐานะที่เป็นเกอร์ซึ่งต้องเข้าวิวาห์กับบุรุษ ฉีซิวเจี๋ยคนเดิมจึงเชี่ยวชาญด้านเย็บปักถักร้อย โจวอวิ่นเซิ่งเองก็รับสืบทอดความสามารถด้านนี้มาด้วย และคิดว่าในเมื่อรับเจ้าลูกหมาป่ามาเลี้ยงดู สิ่งที่ควรทำหรือทำได้ก็ทำเสียให้หมด เพราะมีเพียงความจริงใจเท่านั้นที่จะแลกความจริงใจกลับคืนมาได้
หลี่ซวี่ตงย่อมรู้สึกตื้นตันใจอย่างมาก ดวงตาแดงก่ำ กอดแขนข้างหนึ่งของจวินฟู่แน่นเหมือนไม่อยากปล่อยมือ สุดท้ายถึงขั้นมานั่งซุกอยู่ข้างเท้าเขาราวกับลูกสุนัขที่อาลัยอาวรณ์เจ้าของ
โจวอวิ่นเซิ่งหัวเราะ เด็กคนนี้ช่างน่ารักเสียจริงๆ เลี้ยงไว้ไม่เสียแรงเปล่า
+++++++++++++++++++++++++++++
Quickly Wear the Face of the Devil (ทะลุมิติหักเหลี่ยมจอมมาร)
ฉบับตีพิมพ์มีทั้งหมด 19 arc แบ่งเป็น 6 เล่มจบค่ะ สามารถอ่านแยกกันได้
ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ
...XoXo...
มาดามโรส
รอหนังสืออยู่นะจ๊ะ เดือนธันวาแล้วนะจ๊ะ
ธันวาแล้ววววตอนไหนเล่ม2จะมา
อ๊ากๆๆๆๆๆ \\\\\\\\\\ อยากได้เล่มเล่ม เมื่อไรออกเนี้ย พร้อมเปย์เลย
เมียพ่อไหมล่ะลูก