ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fanfic : หัวขโมยแห่งบารามอส : ~A New Journey Of Baramos~

    ลำดับตอนที่ #1 : กลับป้อมอัศวิน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.53K
      3
      10 พ.ค. 48

    เมื่อพระอาทิตย์อัสดง  แสงสีทองของพระจันทร์ก็เข้ามาแทนที่  สายลมเย็นพัดเอื่อยๆ  หอบกลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์มาตามริมธาร  มีเสียงสายน้ำเย็นไหลกระทบโขดหิน  ให้ฟังดูไพเราะยิ่งนัก  บรรยากาศช่างดูแสนสงบและแสนสบาย  แต่ทว่ากลับมีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากคณะเกวียนของเหล่าชาวป้อมอัศวินที่แวะรับเพื่อนๆตามรายทางหัวเมืองต่างๆมาจนครบ  และมาตั้งที่พักอยู่ที่บริเวณริมธารนี้เอง  ที่ทำให้บรรยากาศที่แสนสงบและแสนสบายกลับกลายมาเป็นรื่นเริงสนุกสนาน



    “พรุ่งนี้ก็จะถึงเอดินเบิร์กแล้วสินะ”  เสียงจากเจ้าตัวยุ่งดังขึ้นมา  ทำให้เพื่อนๆที่นั่งคุยกันอยู่รอบกองไฟชะงักไป



    “หรือว่านายไม่อยากกลับเอดินเบิร์ก”  โร  เซวาเรส  กล่าวขึ้น



    “อย่าคิดหนีอีกนะ  พวกเราออกมาตามตัวนายแทบพลิกแผ่นดิน  รู้ไหม๊ว่ามันยุ่งยาก”  เสียงของสาวน้อยคู่ปรับแห่งป้อมอัศวินดังขึ้น  น้ำเสียงของเจ้าหล่อนฟังดูออกจะบ่นว่ารำคาญอยู่ก็จริง  แต่เฟรินก็รู้ว่าน้ำเสียงนั้นมีความห่วงใยแฝงอยู่  ทำให้เจ้าตัวยิ้มเผล่



    “ใครว่าฉันหนี  ตอนนั้นฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะไปเที่ยวเกาะสวรรค์แดนใต้กับพ่อ  ไม่ได้หนีซะหน่อย”  เจ้าตัวยุ่งยังกวนไม่เลิก  “แล้วที่ยอมกลับมาด้วยเนี่ย  ก็เพราะสงสารพวกนายหรอกนะ  ฉันรู้  พวกนายขาดฉันไม่ได้หรอก”  พูดจบเจ้าตัวก็ยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิมอีก



    “นายหมายถึงพวกฉัน  หรือ คาโล กันแน่”  ครี้ด  ธันเดอร์  สวนเข้าให้  ทำให้เฟรินที่ยิ้มอยู่อย่างเป็นต่อหุบยิ้มทันที  ดวงหน้าร้อนผ่าว  เลือดที่วิ่งอยู่ตามร่างกายก็ดูจะขึ้นไปอยู่บนดวงหน้าสาวน้อย  ทำให้ขึ้นสีระเรื่อ  ดูน่ารักยิ่งนัก  ส่วนคนที่นั่งอยู่เฉยๆ  แต่ดันโดนลากไปมีเอี่ยวด้วย  ดวงหน้าขาวๆก็พลันขึ้นสีขึ้นมาเหมือนกัน  ฉายาเจ้าชายน้ำแข็งที่เคยได้รับดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ทุกทีเมื่ออยู่ใกล้สาวน้อยจอมยุ่งคนนี้



    “แล้วไอ้คาโลมันเกี่ยวอะไรด้วย”  เฟรินที่นิ่งไปสักพักด้วยความเขินก็กลับขึ้นมาเถียงต่ออย่างไม่ยอมแพ้  “ฉันกลับมาไม่เกี่ยวกับมันซะหน่อย”



    “ใช่ๆ  ฉันรู้  ไม่เกี่ยวกับมันเลย”  คิลเห็นเพื่อนซี้เถียงอย่างไม่ยอมรับเลยแกล้งประชดเข้าให้  ด้วยน้ำเสียงที่มีแววจริงจังปนขบขัน  ซึ่งตอนนี้เพื่อนซี้เริ่มทำตัวสมกับเป็นผู้หญิงขึ้นมาทุกทีนับตั้งแต่มันอยู่กับคาโล  แต่ก็อดเป็นห่วงอีกคนหนึ่งไม่ได้  จึงเบือนหน้าไปสบกับเจ้าหญิงคนงามแห่งคาโนวาล  ที่บัดนี้ก็หัวเราะขบขันไปพร้อมกับเพื่อนๆ



    เพื่อนๆในป้อมอัศวินทุกคนตอนนี้รู้เรื่องเฟรินกับคาโลกันหมดแล้ว  บางคนรู้ตั้งแต่ที่เฟรินหายตัวไปหลังจากหมากกระดานเกียรติยศครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างเอเดนกับเดมอส  ที่ตอนแรกเจ้าตัวคิดว่าเป็นคนที่ทำให้เอเดนต้องพ่ายแพ้  จนหนีออกจากเอดินเบิร์กไปโดยไม่ลาใครซักคน  แม้แต่เพื่อนซี้ของมันทั้งสองคน

      

    ทำให้คนหนึ่งที่เห็นอะไรเป็นเรื่องสนุกไปเสียหมด  ดูท่าจะออกอาการเป็นนักฆ่าขึ้นมาทุกทีๆ  ส่วนยิ่งไปกว่านั้นคนที่ดูเหมือนจะเป็นคนที่ควบคุมสถานการณ์ได้ดีที่สุด  เป็นคนที่มาดนิ่งที่สุด  เย็นชาที่สุดอยู่แล้วนั้น  ก็กลายเป็นยิ่งนิ่ง  ยิ่งเย็นชาจนน่ากลัว  เพื่อนๆไม่กล้าเข้าใกล้  จากที่แต่เดิมก็กลัวๆ  เกรงๆกันอยู่แล้ว  เพราะทั้งสองคนนี้คอยพยายามหาทุกวิถีทางที่จะตามหาเจ้าตัวยุ่งให้กลับมาโดยเร็วที่สุด  ไม่ว่าจะต้องพลิกทั้งผืนแผ่นดินเอเดนก็ตาม



    เพื่อนๆทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะต้องช่วยกันตามหา  เพราะทั้งไม่อยากให้เจ้าตัวยุ่งมันหนีไป  และก็ไม่อยากเห็นเพื่อนร่วมป้อมอัศวินต้องเป็นทุกข์กันอยู่แบบนี้  ทั้งๆที่ตอนหลังจ้าวปีศาจเอวิเดสก็ประกาศเป็นฝ่ายยอมแพ้  ไม่มีสงคราม  ไม่มีผู้คนที่จะต้องล้มตายอีกแล้ว  แต่เจ้าตัวยุ่งก็ยังไม่ยอมกลับมาอยู่ดี

      

    จนเจ้าชายโรเวน  ฮาเวิร์ด ยินยอมให้เพื่อนๆชาวป้อมอัศวินช่วยกันยกโขยงออกตามหา  ร่วมถึงเจ้าชายอาเธอร์  บริสตั้น ที่ช่วยออกความคิดให้ออกประกาศใช้เงินรางวัลเข้าล่อราวกับรู้ใจและรู้เท่าทันในศักดิ์ศรีนักต้มชันเซียนจนจับตัวเฟรินไว้ได้



    ในวันที่จับตัวเฟรินได้ที่ท่าเรือสกาเลท  เมืองสกอร์ปิโอ  ก็เป็นวันที่เพื่อนๆทั้งหมดรู้ความจริงระหว่างเจ้าชายน้ำแข็งกับหัวขโมยจอมยุ่ง  เมื่อครี้ดได้อยู่ในเหตุการณ์และได้เอามาใช้แซวเวลาเถียงกับเฟรินไม่ชนะซะที  จนเพื่อนๆในป้อมอัศวินรู้กันจนหมด



    “พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางกันแต่เช้ามืด  ไปพักผ่อนกันได้แล้ว”  เสียงที่เหมือนคำสั่งจากเจ้าหญิงแห่งอเมซอนดังขึ้น  ทำให้เสียงที่เงียบไปกลับมาคุยกันอีกครั้ง



    “ไม่ต้องรีบออกแต่เช้ามืดก็ได้มาทิลด้า  เอดินเบิร์กมันไม่หนีไปไหนหรอก”  เฟรินส่งเสียงขัดขึ้นมาอีกจนได้



    “ก็ไม่ใช่เพราะนายหรอ  เดี๋ยวแวะเมืองโน้นที  เมืองนี้ที  จนทำให้พวกเราจะกลับไปไม่ทันพิธีเปิดภาคการศึกษาของโรงเรียนพระราชาอยู่แล้ว”  มาทิลด้า  เริ่มหงุดหงิด  แต่พอมองเจ้าตัวยุ่งที่ดูจะเริ่มสำนึกผิดก็พูดขึ้นว่า  “แต่เอาเถอะ  ยังไงซะก็ยังดีที่กลับมาทัน”  เท่านั้นแหละสีหน้าสำนึกผิดก็ดูจะออกอาการแตกต่างไปจากเดิมเป็นคนละคน  จนทำให้เพื่อนๆต่างถอนใจกับเจ้าตัวยุ่งกันเป็นแถวๆ  ส่วนคิลก็หันไปหัวเราะหึๆ  กับคาโลที่ทำสีหน้าปลงตกกับแม่ยอดยุ่งตัวแสบของเขา



    ทุกคนทยอยไปนอนกันจนหมด  เหลือแต่เฟรินกับคาโลที่ยังนั่งกันอยู่สองคน  ท่ามกลางสายลมเย็นที่หอบกลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์มาทำให้บรรยากาศรอบข้างดูสงบขึ้นมาอีกครั้ง



    “คาโล  นายว่าพรุ่งนี้จะมีเรื่องมาทำให้เราต้องแยกจากกันอีกรึเปล่า”  เสียงของสาวน้อยที่ฟังดูมีความกังวลจากเหตุการณ์ร้ายๆที่ผ่านมาดังขึ้น  ทำให้คนฟังหันหน้าคมคาย  พานัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยมาสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่โตที่คิดถึงเหลือเกิน  นานแล้วที่ไม่ได้เห็นชัดๆแบบนี้  นับแต่แม่เจ้าประคุณหนีเค้ามา



    “ก็ถ้านายไม่หนีไปอีก”  คาโลตอบสั้นๆตามนิสัย  ทำให้คนฟังซึ่งเป็นนักยั่วชั้นดี  อดไม่ได้  เกิดอาการอยากยั่วขึ้นมากะทันหัน  จากที่พูดดีๆก็กวนเข้าให้



    “ฉันรู้  นายขาดฉันไม่ได้หรอก”  เจ้าตัวดีเริ่มยิ้มเจ้าเล่ห์  หลังจากเห็นนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยเริ่มมีประกายดุขึ้นมา  เลยรีบพูดต่อ  “เพราะฉันก็ขาดนายไม่ได้เหมือนกัน”  เท่านั้นเองนัยน์ตาสีฟ้าที่มีประกายดุก็เปลี่ยนเป็นแววอ่อนโยน  ดึงร่างบางของคนตรงหน้ามาโอบกอดไว้ด้วยความรักและไม่อยากแยกจากกันอีกต่อไป  แต่ไม่ทันที่จะมอบความรักที่มีอยู่อย่างเปี่ยมล้นลงบนริมฝีปากบางของสาวน้อยตรงหน้า  เจ้าหล่อนก็ผลักเค้าออกไปเมื่อได้ยินเสียงเพื่อนซี้เรียก



    “เฟริน  คาโล  วันนี้จะนอนข้างในเกวียนหรือข้างนอกเกวียนดี”  คิลร้องทักขณะเดินเข้ามาใกล้



    “ง่า…ฉันมาผิดจังหวะอีกแล้วใช่มั๊ยเนี่ย”  คิลเริ่มยิ้มเจ้าเล่ห์  ขณะเห็นเพื่อนซี้ทั้งสองคนกำลังหน้าแดงอย่างกับลูกตำลึงสุก



    “เออ…รู้ตัวก็ไปได้แล้ว”  เจ้าชายแห่งคาโนวาลพูดขึ้นก่อน  ขณะที่หัวขโมยตัวแสบได้แต่ยืนนิ่งพูดไม่ออก  ไม่รู้จะตอบเพื่อนซี้ยังไง



    “งั้นฉันไปนอนก่อนนะ  เชิญพวกนายตามสบาย”  คิลพูดด้วยน้ำเสียงขบขัน  พลางหันหลังเดินไปที่เกวียน  ปล่อยให้เพื่อนสองคนพูดอะไรต่อไม่ถูก  นิ่งไปสักพัก



    “คิล  รอฉันด้วย”  เฟรินจะเดินตามคิลไป  ทำให้คาโลต้องรั้งตัวไว้ก่อน



    “นายจะไปไหน”  คาโลทัก



    “ไปนอนสิ  ถามได้”  เฟรินตอบ  พลางก้าวเท้าเดินออกไป



    “จะรีบไปทำไม  เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็ต้องแยกกันแล้วนะ”  คาโลพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง  ทำให้เฟรินหันมามองด้วยความตกใจ



    “ทำไม  ทำไมต้องแยกกัน  ฉันจะไม่ให้นายไปไหนอีกแล้วนะ  คาโล”  คนฟังมองดูสาวน้อยตรงหน้าด้วยความเอ็นดู  พร้อมกับอมยิ้มนิดๆ  เมื่อเห็นคนตรงหน้าเริ่มจะโวยวายขึ้นมา



    “ก็นายเป็นผู้หญิง  พรุ่งนี้พอถึงป้อมอัศวินนายก็ต้องย้ายห้อง”  คำตอบของคนตรงหน้าทำให้สาวน้อยคนฟังสบถอุบไม่สมกับเป็นเจ้าหญิงเลยซักนิด



    “ก็ฉันไม่ย้าย  แล้วใครจะทำไม”  เฟรินตอบกลับเสียงแข็ง  “ฉันนอนกับพวกนายมาตั้งสองปีแล้วนะ  อยู่ดีๆจะให้ฉันไปนอนคนเดียวได้ไง  ไม่เอาด้วยหรอก”  เฟรินเว้นช่วงนิดนึงเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่  “เดี๋ยวผีได้มาหลอกน่ะสิ”  พูดพลางทำสีหน้ากลัวขึ้นมาทันที



    “งั้นนายก็ต้องไปนอนกับผู้หญิงด้วยกัน”  คาโลยังแย้ง



    “นั่นยิ่งไม่เอาใหญ่  ขืนไปนอนกับยัยพวกนั้น  เป็นอันไม่ได้นอน  มีหวังคงได้ทะเลาะกับยัยแองจี้ตายพอดี  แถมยังมีมาทิลด้ากับเรนอนอีก  ไม่ไหวๆ  เดี๋ยวไอ้คิลมันว่าเอา”  เฟรินยังหาเหตุผลมาได้เสมอถึงจะฟังไม่เข้าท่าก็เถอะ



    “เหมือนนายอยากไล่ฉันให้ไปนอนที่อื่นจังเลยนะ”  เฟรินสงสัย  แต่ก็ทำท่าจะเดินจากไปซะดื้อๆ  ทำให้คนห่วงเกินเหตุต้องรีบคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของสาวน้อย



    “นายก็รู้”  คนพูดชะงักกับคำพูดที่จะพูดต่อไปนิด  ทำให้นัยน์ตาคู่สีน้ำตาลหันกลับมาสบกับนัยน์ตาคู่สีฟ้า  ที่บัดนี้แสดงออกมาให้เห็นชัดถึงความเป็นห่วง



    “ตอนนี้นายเป็นผู้หญิงแล้วนะ  คนอื่นเค้าจะมองนายไม่ดี”  พูดจบคนฟังก็หัวเราะคิกคัก  ทำให้คนพูดเริ่มหน้าขึ้นสี



    “แล้วนายจะทำอะไรฉันหรือไง”  เฟรินยังพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ  “ไอ้คิลก็อยู่  คิดมากไปน่าคาโล”  พูดจบเจ้าตัวดีก็ยังหัวเราะต่ออย่างสนุกสนาน  และสิ่งที่เฟรินคิดว่าเป็นเรื่องตลกนั้นก็เกินขึ้น  เมื่อเจ้าชายคนสำคัญของคาโนวาลผู้ที่มีมาดสงบและเยือกเย็นนั้น  ทนไม่ไหวกับแม่เจ้าประคุณที่หัวเราะระรื่นอยู่ตรงหน้า  เลยจัดการกับริมฝีปากบางของเจ้าหล่อน  จนทำให้เจ้าตัวคนที่ถูกเอาเปรียบดิ้นอยู่สักพัก  ก่อนจะนิ่งลงด้วยความรู้สึกนุ่มนวล  อ่อนโยน  ของคนตรงหน้า  ที่ความรู้สึกตอนนี้อยากหยุดเวลาอยู่แค่ตรงนี้ตลอดไป



    เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาแทนที่แสงจันทรา  ในเช้าวันรุ่งขึ้นคณะเกวียนของชาวป้อมอัศวินก็แล่นผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจี  ซึ่งสองข้างทางเป็นทุ่งกว้างมองเห็นฟาร์มแกะ  ฟาร์มวัว  ฟาร์มม้า  ตลอดจนบ้านหลังเล็กหลังน้อยที่ขนาบไปกับถนนเล็กๆ  ที่คดเคี้ยวเป็นเนินขึ้นๆ  ลงๆ  เส้นเดียวโดยวิ่งตรงไปสิ้นสุดลงที่กำแพงสีเทามหึมา  ซึ่งถูกล้อมไปด้วยลำธารสายเล็กๆ



    บรรยากาศโดยรอบนั้นเป็นภาพที่เหมือนกับตอนก่อนเกิดสงครามระหว่างเอเดนกับเดมอสยิ่งนัก  ผู้คนต่างออกมาประกอบอาชีพกันเป็นปกติ  โดยเฉพาะวันนี้ก็ดูจะมีผู้คนพลุกพล่านมากยิ่งกว่าเดิม  วันนี้เป็นวันรับสมัครนักเรียนใหม่ของโรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์ก  แม้แต่ชาวป้อมอัศวินทั้งหลายที่อยู่ในเกวียนก็ยังรู้สึกตื่นเต้นไปด้วย



    “โอ้โฮ  วันนี้มีเด็กใหม่มาสมัครกันเต็มเลยว่ะ”  ครี้ด  ธันเดอร์  พูดขณะเอาหน้าชโงกออกไปนอกเกวียน



    “วันนี้ปีหนึ่งมีหนเดียวนี่ครับ”  ซีบิลคนที่สงบกว่าเพื่อนออกความคิดเห็นบ้าง



    “ใช่ๆ  ตอนปีที่พวกเรามาสมัครกันยังเยอะกว่านี้อีก”  โคล์วเสริม



    “ต้องนี้สงครามเพิ่งจะสงบ  คนมาสมัครก็เลยดูน้อยกว่าทุกปี”  เอ็ดเวิร์ดเสริมเข้าไปอีก



    หลังจากฟังบทสนทนาของเพื่อนๆ  ทำให้เฟรินนึกขึ้นได้ว่าการสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนพระราชานั้น  จะต้องผ่านการทดสอบจากสิ่งวิเศษสี่อย่าง  หรืออาจจะเรียกได้ว่าสิ่งอาถรรพ์สี่อย่างก็ได้  คือ  ดาบแห่งกษัตริย์  คทาแห่งนักรบ  แหวนแห่งปราชญ์  และมงกุฎแห่งใจ  แต่ในเมื่อที่ผ่านมานั้นของสามอย่างได้ถูกทำลายไปแล้วโดยมือของกษัตริย์บาโรแห่งคาโนวาล  เหลือแค่ดาบแห่งกษัตริย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น  ถึงแม้ว่าตนเองจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วในใจ  แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้จากปากของคนอื่นด้วย  ความสงสัยนี้คงต้องไปถามห้องสมุดเคลื่อนที่แห่งป้อมอัศวิน



    “โร”  เฟรินเรียก  ขณะเดินเข้ามานั่งข้างๆ  คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมามองแล้วยักคิ้วให้



    “นายว่าปีนี้เค้าจะคัดเลือกเด็กใหม่กันยังไง  ในเมื่อ…เหลือแค่ดาบแห่งกษัตริย์เพียงอย่างเดียว”  เฟรินถาม



    “นายก็รู้  สมบัติอาถรรพ์ต่อให้ทำลายกี่ครั้งกี่หนก็คงไม่มีวันสูญ  ตราบใดที่มนุษย์อย่างเรายังมีความรัก  โลภ  โกรธ  หลง  บางคนอาจจะทำลายได้หมดด้วยความมุ่งมั่น  เมตตา  ปัญญา  และความกล้าหาญ  แต่ก็คงเป็นคนส่วนน้อยนิดที่ทำได้  แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังคงวนเวียนอยู่ในความวุ่นวายนั้นต่อไป”  คำกล่าวยิ้มๆจาก  โร  เซวาเรส



    “งั้นก็ขออย่าให้มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นกับฉันอีกล่ะกัน  ฉันเบื่อ”  เฟรินยิ้มกลับ  แล้วก็หาว  ทำท่าเหมือนจะไปนอนต่อ



    โป๊ก!!!



    เสียงคทาจากสาวน้อยคู่ปรับแห่งป้อมอัศวินที่ตีลงตรงกลางกบาลพอดีเป๊ะ  จนทำให้เฟรินต้องเอามือคลำหัวป้อยๆ

      

    “อะไรกันยัยแองจี้  ฉันไปทำอะไรให้เธอ”  เฟรินเริ่มหงุดหงิด



    “จะมาถามอีกว่าอะไร  นี่มันถึงป้อมอัศวินแล้วนะ  ยังมีหน้าจะไปนอนต่ออีก”  คนฟังได้แต่ทำหน้างงๆ  เพราะตัวเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่ามาถึงที่หมายแล้ว  เลยได้แต่ทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม  ส่งยิ้มให้สาวน้อยตรงหน้า



    “แล้วใครว่าฉันจะไปนอน  ฉันจะไปปลุกไอ้คิลมันต่างหาก”  เฟรินยังหาทางออกได้เสมอ  โชคยังดีที่เพื่อนซี้ตอนนี้มันยังไม่ตื่น  พูดจบก็รีบเดินไปทางเพื่อนซี้ทั้งสองคน  ขณะที่คาโลกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่  เฟรินก็เดินไปนั่งข้างๆ



    “คาโล  นายปลุกคิลมันที  ไอ้หมอนิ่มันตื่นยากฉันขี้เกียจปลุก”  เฟรินเริ่มพูดขึ้นก่อน  ทำให้คนฟังที่นั่งอ่านหนังสืออยู่หันมามอง



    “นายอยากปลุกก็ปลุกเอง”  คาโลยังตอบสั้นๆเหมือนเคย  ทำให้เฟรินยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์  ขณะคิดหาแผนการปลุกเพื่อนซี้  ก่อนรีบลุกไป



    “คิล  คิล  ตื่นๆๆๆ”  เฟรินเริ่มทำเสียงโวยวาย  ขณะที่เพื่อนซี้ยังทำเป็นนอนไม่รู้ไม่ชี้



    “แย่แล้วๆ  เรนอน  เรนอน…ทำไงดีเรนอนห…”  พูดยังไม่ทันจบประโยค  เพื่อนซี้ก็ตื่นขึ้นมาทันที  ทำให้เจ้าตัวยุ่งคิดในใจ  แผนนี้ได้ผลแฮะ…^o^



    “เรนอนหายไปได้ยังไง”  คิลรีบถาม  เฟรินยิ้มเผล่  ขณะที่คาโลถอนหายใจเฮือกใหญ่



    “ก็นายเอาแต่นอน  ไม่ดูเรนอนให้ดี”  เฟรินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังปนขบขัน  เว้นช่วงให้คนฟังใจหายนิด  “เรนอนเค้าก็เลยหายจากเกวียน  เข้าป้อมอัศวินไปแล้ว”  พอเฟรินพูดจบ  คิลก็กระโดดเข้ามาพร้อมกับหมัดหนักๆ  โดยไม่คิดเลยว่าเจ้าเพื่อนซี้ที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นผู้หญิง  บทหนักเลยตกอยู่ที่คาโล  ต้องไปเป็นฝ่ายห้ามทัพระหว่างนักฆ่าบ้าเลือดกับหัวขโมยตัวยุ่ง  ซ้ำร้ายยังโดนลูกหลงไปด้วย  ทำให้คู่ชกจากสองคน  กลายเป็นสามคนซะอย่างนั้น



    “เฟรี่  คาลี่  คิลลี่  มาถึงปุ๊บก็ก่อเรื่องปั๊บเลยนะ”  เสียงเรียกชื่อที่ไม่เหมือนใคร  ทำให้การตะลุมบอนกันอยู่นั้น  หยุดชะงักทันที  ทั้งสามคนเงยหน้าขึ้นมาดูพร้อมกัน  ก็เห็นรุ่นพี่ลูคัสยืนยิ้มด้วยท่าทางที่เอ็นดูกับรุ่นน้องทั้งสามคนตรงหน้า  และรุ่นพี่ลอเรนซ์ที่ยืนอยู่ด้วยท่าทางสีหน้าหงุดหงิดเป็นประจำ  ทำให้ทั้งสามคนหยุดการกระทำต่างๆทันที  เพราะเกรงว่าเดี๋ยวรุ่นพี่ลอเรนซ์จะให้กริชเงินเป็นของขวัญตอนรับการกลับมาของพวกเค้า



    “รุ่นพี่ยังไม่ตายหรอครับ”  เฟรินโพล่งออกไปด้วยความสงสัยก่อนจะรีบเอามือปิดปาก  ด้วยเห็นสีหน้าของรุ่นพี่ลอเรนซ์ชักจะน่ากลัวขึ้นทุกที



    “ถ้าตายแล้วคงไม่มายืนอยู่ตรงนี้หรอกนะ  เฟรี่”  เมื่อลูคัสเห็นรุ่นน้องยังทำสีหน้างงๆ  เลยอธิบายต่อ  “ถึงตอนนั้นฉันกับลอรี่จะไม่ได้ดื่มยาประคองพลังชีวิตก่อนลงแข่ง  แต่พวกเธออย่าลืมสิ  ผู้ที่ใช้พลังเวทควบคุมการแข่งขันคือมหาปราชญ์เลโมธีแห่งเอดินเบิร์กกับราชินีจันทราแห่งเดมอสเชียวนะ  พวกเค้าคงไม่ปล่อยให้ใครมาตายในสนามหรอก”  พูดจบลูคัสก็ยิ้มนิดๆ  ก่อนพูดต่อไปอีกว่า  “อีกอย่างฉันกับลอรี่ดื่มยาประคองพลังชีวิตกันมาแล้วก่อนถึงเอดินเบิร์ก”



    “ง่า…งั้นตอนนั้นที่พวกเราทิ้งแก้วกันก็ทำเป็นเท่กันหมดเลยสิ”  เฟรินเสริม



    “ตอนนั้นเค้าเรียกว่าเป็นการเสริมสร้างกำลังใจให้กับนักรบต่างหาก  เฟรี่”  ลูคัสพูดจบก็เดินนำรุ่นน้องเข้าไปในป้อมอัศวิน  โดยมีลอเรนซ์เดินนำเข้าไปก่อนแล้ว  เนื่องจากทนฟังโดนเรียกชื่อตนเองที่ทุเรศๆแบบนั้นไม่ได้  โดยคิดไว้ในใจว่าโรเวนให้มาห้ามรุ่นน้อง  ก่อนจะกลับกลายเป็นเรื่องของรุ่นพี่ซะเอง



    “แล้วนี่รุ่นพี่อย่าบอกนะว่าเดินมารับพวกผมถึงเกวียน”  เฟรินพูดพลางทำหน้างงๆ



    “ก็ทำนองนั้น  โรเวนให้พวกฉันมาดูว่าพวกนายยังอยู่ครบดีหรือเปล่า  สงสัยจะเดาได้ว่าคงเกิดเรื่องวุ่นๆ”  ลูคัสหันมายิ้มให้  “แล้วก็เรื่องห้องใหม่ของเฟรี่ด้วย”



    “อะไรนะ  ห้องใหม่อะไร”  เฟรินเริ่มโวยวาย  ขณะหันไปมองกับเพื่อนซี้ทั้งสองคน  พลางคิดว่าหรือที่คาโลพูดมันจะจริง



    “ผมไม่ย้ายนะ  เอาทองมากองอยู่ตรงหน้า  ผมยังต้องคิดดูก่อนเลย”  เฟรินยังเถียงด้วยนิสัยหัวขโมยชั้นเซียน



    “ก็นายเป็นผู้หญิง  จะมานอนกับพวกฉันได้ยังไง  ตอนนี้คนอื่นเค้ารู้กันหมดแล้ว”  คิลเถียงกลับ



    “รู้แล้วไง  ไม่เห็นเกี่ยวกับคนอื่นเลย”  เฟรินยังไม่ยอมแพ้



    “เดี๋ยวคนอื่นเค้าจะมองนายไม่ดี”  คนที่นิ่งไปนานพูดขึ้น  พลางหันนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยไปสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลคู่โตของแม่ตัวยุ่งที่กำลังโวยวาย  พร้อมรอยยิ้มนิดๆที่มุมปาก  พลางคิดถึงเหตุกราณ์เมื่อคืน



    “ไม่ต้องมาทำยิ้มดีไป  คราวนี้ไอ้คิลก็อยู่”  เฟรินพูดขณะหันไปมองเจ้าชายแห่งคาโนวาลที่กำลังอารมณ์ดีเกินเหตุ



    “เอาเถอะ  ยังไงก็กลับไปที่ห้องเดิมกันก่อนล่ะกัน  เดี๋ยวฉันกับลอรี่จะไปคุยกับโรเวนให้อีกที”  ลูคัสรีบพูดตัดบท  เพราะเห็นทีเรื่องนี้จะไม่จบลงง่ายๆ



    เมื่อทั้งสามคนกลับมาถึงห้องก็เจอโกโดม  โคมุส  ที่รออยู่แล้วภายใน  ท่าทางของมันดูชอบกลนัก  เดินไปเดินมาอยู่ที่บริเวณหัวเตียงของเฟริน  ก่อนจะทำตาโตและรีบเดินมาหา



    “เจ้าหญิงเสด็จไปไหนมาพระเจ้าค่ะ  หม่อมฉันเป็นห่วงแทบแย่”  โกโดมพูด  ขณะเดินเข้ามาถวายบังคม



    “เจ้ากวาง  ถ้าเป็นห่วงนักทำไมไม่ออกตามหาล่ะ  มัวมาทำอะไรอยู่ที่นี่”  พูดจบเฟรินก็เดินไปที่เตียงทำท่าจะนอนต่อ



    “กระหม่อมเห็นว่าท่านราชบุตรเขยออกตามหาตัวเจ้าหญิงด้านนอกแล้ว  เกรงว่าถ้าเจ้าหญิงกลับมาจะไม่เจอใคร  กระหม่อมเลยรออยู่ที่นี่พระเจ้าค่ะ”



    “ราชบุตรเขย!!!”  เฟรินร้องเสียงหลง  “ใครเป็นราชบุตรเขยมิทราบ  เจ้ากวางพูดให้มันดีๆนะ”  เฟรินสะดุ้งขึ้นจากเตียงทันที  ใบหน้าเริ่มขึ้นสีระเรื่อ



    “ก็ราชบุตรเขยจากคาโนวาลผู้นี้ไงพระเจ้าค่ะ  ท่านจ้าวเอวิเดสทรงแต่งตั้งขึ้นด้วยพระองค์เอง”  โกโดมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง  ทำให้คิลที่ยืนอยู่ด้วยต้องใช้ความพยายามในการกลั้นเสียงหัวเราะอย่างยากลำบาก  ยิ่งเห็นสีหน้าของเพื่อนซี้ทั้งสองคนก็ยิ่งเข้าไปใหญ่  เพราะแทบจะไม่แตกต่างกันเลย



    “แล้วเจ้ากวางจะกลับไปหาท่านพ่อเมื่อไหร่”  เฟรินรีบเปลี่ยนเรื่อง



    “คงอีกนานพระเจ้าค่ะ  เพราะท่านจ้าวให้กระหม่อมมาเป็นองครักษ์ประจำตัวเจ้าหญิง  ขณะเรียนอยู่ที่โรงเรียนพระราชา”  โกโดมพูดด้วยท่าทางภาคภูมิใจในภาระกิจของตนเองเป็นอย่างมาก



    “หา!!!  เจ้าคนแคระจะมาอยู่ด้วย”  คิลพูดพร้อมโคลงหัวไปมา  “แต่ก็ดีนะเฟริน  นายจะได้หาข้ออ้างกับโรเวนได้ไง”  เจ้าเพื่อนซี้เสนอความคิดเห็น



    “เออ…จริงสิ  มีเจ้ากวางอยู่ด้วย  ฉันก็ไม่ต้องย้ายห้อง”  เฟรินเริ่มยิ้มเจ้าเล่ห์



    “ก็ไม่แน่”  คาโลขัดขึ้น



    “นายจะแน่ใจได้ไงว่าคนแคระเขากวางจะช่วยได้”



    “ไม่ลองก็ไม่รู้…เดี๋ยวฉันจัดการเอง”  พูดจบเฟรินก็รีบออกจากห้องไป  โดยเอาโกโดมติดมือไปด้วย



    เวลาผ่านไปสักพักทำให้คนที่รออยู่ในห้องทั้งสองคนเริ่มเป็นห่วง  พอหันมาสบตากันก็คงคิดเหมือนกันว่า  เพื่อนซี้ของตนคงได้ไปก่อเรื่องยุ่งอีกจนได้



    “นายว่าทำไมเฟรินมันไปนานจัง”  คิลถามขึ้นก่อน  “หวังว่าคงไม่ไปก่อเรื่องเข้าอีกนะ”  พูดเสร็จก็ถอนหายใจเฮือก



    “ฉันจะไปดู”  คาโลพูดพลางเดินไปเปิดประตู



    โครม!!!



    “เฮ้ย…พวกนายเป็นอะไรรึเปล่า”  คิลที่เดินตามหลังมาพูดขึ้นก่อนหัวเราะก๊ากๆ  เมื่อเห็นเพื่อนซี้ทั้งสองคนลงไปนอนกองอยู่กับพื้น  ริมฝีปากบางของคนที่วิ่งเข้าห้องมาด้วยความดีใจเกินเหตุประกบเข้ากับริมฝีปากของคนที่กำลังเป็นห่วงเจ้าตัวยุ่งอยู่นั้น  ทำให้ทั้งเจ้าชายน้ำแข็งและเจ้าหญิงจอมยุ่งต่างหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก  ทำอะไรไม่ถูก  ไม่รู้จะทำยังไงดีต่อหน้าเพื่อนซี้ที่ยืนดูอยู่อย่างนี้



    “เจ้าหญิงๆ  ทรงเป็นอะไรรึเปล่ากระหม่อม”  โกโดมรีบวิ่งมาดู  ทำให้เฟรินรีบลุกออกจากตัวของคาโลทันที



    “ไม่เป็นไร  หกล้มแค่นี้เด็กๆ”  เฟรินรีบพูดก่อนที่โกโดมจะวิ่งมาถึง  ขณะที่คนโดนล้มทับได้แต่ทำสีหน้าปั้นยาก  นั่งนิ่งอยู่กับพื้น  ส่วนคิลก็ได้แต่ยืนหัวเราะอยู่ด้านหลัง



    “แล้วทำไมท่านราชบุตรเขยมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ”  โกโดมสงสัย



    “เอาน่า…เจ้าคนแคระ  มาพูดเรื่องของเฟรินดีกว่า  ตกลงว่าไง  โรเวนยอมรึเปล่า”  คิลรีบช่วยเพื่อน



    “ยอมสิ  มือชั้นนี้แล้ว  มีหรอจะไม่สำเร็จ”  เฟรินตอบ



    “งั้นก็ดีแล้ว  จะได้ไม่ไปก่อเรื่องยุ่งที่ไหนอีก”  คาโลพูดพลางขยับตัวลุกขึ้นยืน  ส่งมือไปให้สาวน้อยตรงหน้า  ก่อนจะดึงร่างบางของเจ้าหล่อนให้ลุกขึ้นด้วยความอ่อนโยน  แล้วโน้มดวงหน้าเข้าไปใกล้คนตรงหน้า  กระซิบว่า



    “ เราจะไม่มีวันแยกจากกันอีก…นับแต่นี้และตลอดไป ”



    คำพูดที่ได้ยินนั้น  ทำให้คนฟังดวงหน้าร้อนผะผ่าว  หัวใจเต้นโครมคราม  ก่อนพยักหน้ารับด้วยความยินดีและเต็มใจยิ่งนัก…





    --------------------------------------------------------------

    มุมจิบน้ำชา(ชื่อซะหรูเลยนะ  เอิ๊กๆๆ...) : เนื่องจากเราเพิ่งแต่งครั้งแรก  ยังไงก็ฝากด้วยนะเจ้าคะ...^^\"  เรื่องนี้เคยเอาไปโพสต์ในเว็บบอร์ดหัวขโมยแห่งบารามอสแล้วแหละ  ที่ใช้ชื่อ rosa อ่ะ  แต่เราอยากเอามาลงที่เด็กดีด้วย(อยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก  ครั้งหนึ่งที่เราแต่งออกมาจนจบ  ถึงจะเป็นแค่ฟิคน้อยๆก็เถอะ  อิอิ)  แต่มีคนใช้ชื่อนั้นไปแล้วอ่ะเลยเปลี่ยนเป็น roseate แทนนะคะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×