คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ยมทูตกับวันจันทร์ของผู้โทสะ
ตอนที่ 1
ยมทูตกับวันจันทร์ของผู้โทสะ
วันนี้เป็นเปิดภาคเรียนแรกและเป็นวันที่จะได้เริ่มต้นใหม่ สำหรับเด็กหนุ่มที่ย้ายมาใหม่จากโรงเรียนในตัวเมืองมาอยู่โรงเรียนชนบทเล็กๆมันคงจะเป็นอะไรที่ แตกต่างไปจากเดิมมากทั้งการใช้ชีวิตประจำวันที่เคยทำ เพื่อนฝูง อาจารย์ สำหรับฮิคารุแล้วมันคงจะเป็นอะไรที่แปลกใหม่และลำบากสำหรับเขา
“อรุณสวัสดิ์นะทุกๆคนครูเป็นครูประจำชั้นคนใหม่ และก็เป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ด้วยชื่อ คุโรงาเนะ คาราสึ นะ”…อาจารย์ที่กำลังแนะนำตัวเองอยู่นั้นเป็นคนตัวสูงผมสีดำตาสีแดง เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวใช้เสื้อไหมพรมมัดเป็นเสื้อคลุม บวกกับแว่นสายตาทำให้ดูเหมือนอาจารย์ที่ใจดี พวกสาวๆพากันกรี๊ดลั่นห้อง
“ก็วันนี้เป็นวันแรกที่ครูย้ายมาสอนที่โรงเรียนนี้ แต่ก็ไม่ได้มีครูคนเดียวที่ย้ายมาใหม่หรอกนะเข้ามาสิ”…ประตูห้องถูกเลื่อนออกมีคนก้าวเข้ามาในห้อง เป็นเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนผมด้านหน้าป้ายและติดกิ๊บสีดำดวงตาสีเขียวเข้ม
“สวัสดีครับผมชื่อ โอโซระ ฮิคารุ ผมเพิ่งย้ายมาใหม่ก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรมากยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”…พูดจบพวกสาวๆก็พากันกรี๊ดลั่นอีกครั้งบางส่วนก็ซุบซิบกันแบบไม่ต้องทำแบบไม่ต้องซุบซิบก็มีคนได้ยินกัน
“ห้องเราโชคดีจังเลยเนอะปีนี้มีคนหล่อตั้งสองคนแน่ะ”
“นั่นสิๆเทอมนี้โชคดีที่สุดเลย”
“(ฮะฮะสงสัยเราคงไม่ได้อยู่แบบสงบๆแน่ๆเลยสินะงานนี้)”
“เป็นการแนะนำตัวที่ดีมากฮิคารุคุงในฐานะที่เราย้ายมา ใหม่มาเหมือนกันมาพยายามด้วยกันนะทุกๆคนก็ด้วยนะ”
ครับ/ค่ะ
“ฮิคารุคุงที่นั่งของเธออยู่ตรงที่ว่างริมหน้าต่างนะ”
“ครับคุณครู”…แล้วฉันก็เดินตรงไปที่นั่งริมหน้าต่างระหว่างที่เดินไปฉันก็ได้กลิ่นของดอกสึบากิที่มันจะออกดอกช่วงฤดูใบไม้ผลิเท่านั้นมาจากผู้หญิงคนหนึ่งเธอนั่งอยู่ด้านหลังที่นั่งขอฉันพอดีเธอมีผมสีดำยาวด้านหน้าไว้หน้าม้าทรงผมทวินเทลต่ำดวงตาสีน้ำเงินใบหน้าเรียบเฉยดูแล้วคงจะเป็นคนที่สวยมาก ถ้าไม่ติดตรงยางรัดผมที่เป็นรูปกระต่ายลูกตาทำจากกระดุมสีดำปากถูกด้ายเย็บดูแล้วน่ากลัวแปลกๆเธอนั่งอ่านวรรณกรรมญี่ปุ่นตั้งแต่ฉันเข้ามาในห้องแล้ว
“(กลิ่นของดอกสึบากิเหรอแต่นี้มันหน้าร้อนนี้นา)”
“เอาล่ะในเมื่อฮิคารุคุงนั่งประจำที่แล้วครูก็ ขอให้ทุกคนแนะนำตัวเองหลังจากครูเรียกชื่อนะ”…เมื่อครูเรียกชื่อของแต่ละคนก็ลุกขึ้นแนะนำตัวเองบางคนก็ปรบมือให้ บางคนก็หยอกล้อคนที่แนะนำตัวเองจนถึงคนสุดท้ายของห้องซึ่งก็คือเธอคน ที่นั่งอยู่ข้างหลังของฉันอยู่ๆบรรยากาศในห้องก็เงียบกริบเธอลุกขึ้นแล้วแนะนำตัว
“ฉันชื่อ คุโรงาเนะ ชิโนะ ฉันไม่มีอะไรจะพูดมากแค่นี้แหละ”…แล้วเธอก็นั่งลงอ่านวรรณกรรมต่อ
“(แนะนำตัวได้เป็นมิตรมากเลยแฮะเธอคนนี้ แต่เดี๋ยวก่อนนะนามสกุลคุโรงานเนะเหรอเหมือนของอาจารย์เลยนี่นา)”
“ถ…ถ้างั้นก็แนะนำตัวกันหมดแล้วแถมหมดคาบโฮมรูมพอดี ครูขอตัวไปสอนห้องอื่นก่อนนะไว้เจอกันอีกทีคาบสุดท้ายของพักกลางวันนะทุกคน”…อาจารย์ก็เดินออกจากห้องไปทุกคนในห้องก็ลุกออกจากโต๊ะเข้ามาถามฉันกันแบบไม่ให้ฉันได้ตอบเลยสักนิด
“สวัสดีจ้ะฉันชื่อมัตสึริ นะนี่ฮิคารุคุงเธอย้ายมาจากที่ไหนเหรอ”
“ฉันชื่อยูกินักเรียนในเมืองเขาทำอะไรกันบ้างเหรอ”
“ฉันชื่อไดรมีคนช่วยนำทัวร์ในโรงเรียนหรือยังฉันช่วยนายได้นะ”
“เออ…คือ…ว่าช่วยถามทีละคนได้ไหมฉันตอบไม่ทัน”
“โอ๊ะ!…ขอโทษที”…ขณะที่ทุกคนมารุมล้อมฮิคารุก็มีรังสีอาฆาตมาจากชายกลุ่มหนึ่ง ที่ดูแล้วไม่เป็นมิตรเอาซะเลย
“ชิ!...มาถึงก็ทำตัวเด่นเลยนะหน้าหมั่นไส้ที่สุดเลยวะ”
“นี้พวกเธอถึงเวลาเรียนแล้วนั่งที่เดี๋ยวนี้”
“ซวยล่ะคาบแรกวิชาคณิตศาสตร์นี่ พวกเราไปก่อนนะไว้คุยกันพักกลางวัน”…จากนั้นทุกคนก็กลับไปนั่งที่ของตัวเองเวลาผ่านไปในที่สุดก็พักกลางวันสักที
“เฮ้ออออออ…พักกลางวันสักทีถึงเนื้อหาเราพอจะไปรอดก็เถอะแต่แบบนี้ก็ไม่ไว้แฮะ”
“สวัสดีจ้ะฮิคารุคุง ฮายาเมะ อาเกฮะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”…มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาแนะนำตัวกับฉันผมของเธอย้อมสีทองตาสีน้ำตาลวาดยิ้มหวานบนใบหน้าอย่างเป็นมิตร
“ส…สวัสดีคุณฮายาเมะ”
“เรียกฉันว่าอาเกฮะก็ได้ไปกินข้าวเที่ยงกันเถอะนะ”
“ใช่ๆอาเกฮะจังพูดถูกนายไปกินข้าวเที่ยงกับพวกเราเถอะ”
“ไปนะฮิคารุคุงฉันน่ะรู้จักที่เหมาะๆจะไปกินข้าวกล่องกันไปเถอะนะ”
“เอิ่ม…ก็ได้พวกเธอไปกันก่อนเดี๋ยวฉันตามแล้วกัน”
“ตกลงจ้ะ”…แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันออกจากห้องไปเหลือฉันอยู่คนเดียว แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่คนเดียวพอค่อยๆหันหลังไปก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เธอคนนี้ยังไม่ได้ลุกออกจากโต๊ะเลยเธอ
“เออ…คือว่าคุณคุโรงาเนะ”
“………”
“เออคุณคุโรงาเนะไม่ไปกินข้าวเที่ยงกับคนอื่นๆเหรอ”
“ฉันยังไม่หิว”
“ยะ…อย่างงั้นเหรอ คุณคุโรงาเนะชอบอ่านวรรณกรรมญี่ปุ่นมากเลยสินะ”…เธอเหลือบขึ้นมามองฉันแว้บหนึ่งยิ่งมองดวงตาสีแดงนั่นใกล้ๆแล้ว มันเหมือนกำลังจะพาเราไปในอีกโลกหนึ่งที่เราไม่เคยไปมาก่อน
“ก็ไม่เชิงหรอกส่วนใหญ่ฉันชอบอ่านเกี่ยวกับพวก เรื่องราวทางศาสนามากกว่าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น”
“อ๋อเหรอฮะฮะ”
“อีกอย่างเรียกฉันชิโนะก็ได้”
“เอ๊ะ!...อะ…อืมงั้นฉันขอตัวก่อนละนะ”…แล้วฉันรีบเดินออกจากห้องไปเพราะไม่อยากรบกวนเธอและอีกอย่างทุกคนที่ไปถึงจุดนัดกินข้าวคงรอกันแย่แล้ว เมื่อกี้ฉันรู้สึกเหมือนได้ยินชิโนะพูดอะไรบางอย่างแต่เพราะรีบฉันเลยไม่ได้สนใจอะไร…
“ในที่สุดก็ปรากฏตัวออกมาจนได้ ระฆังเรียกบาปทั้งเจ็ด”
“เฮ้ออออ…เอายังไงดีละทีนี่ฉันยังไม่รู้เรื่องสถานที่ในโรงเรียนเลยนี่นา รู้งี้น่าจะบอกให้ทุกคนรอก่อนจะดีกว่า”…ระหว่างที่ฉันกำลังเดินหาที่นัดกับพวกเพื่อนอยู่ๆก็มีคนวิ่งมาลากฉันไปแบบไม่ทันตั้งตัว
“ฮิคารุรีบมากับฉันเร็ว”
“อ้าวเดี๋ยว!...ไดรนายจะรีบลากฉันไปไหนล่ะ”
“เอาเถอะน่ารีบมาเร็ว”…สุดท้ายฉันก็โดนไดรลากไปที่ชั้นล่างด้านหลังของอาคาร ที่นั่นมีต้นไม้อยู่พวกเพื่อนๆนั่งรอกันอยู่ตรงนั้นแต่สีหน้าแต่ละคนไม่มีดีนัก
“ทุกคนฉันพาฮิคารุมาแล้ว”
“ฮิคารุคุงเธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“หมายความว่ายังไงอาเกฮะ”
“ก็ยูกิคุงกับไดรคุงบอกว่าเธอคุยกับคุโรงาเนะนี่นา”
“เอ๋?...ฉันคุยกับชิโนะแล้วมันแปลกตรงไหนเหรอ”
“เอ๋อออ!?!”
“แล้วทุกคนจะตกใจกันทำไหม”
“นี่เพื่อนนายบ้าไปแล้วเหรอเธอคนนั้นน่ะคือแม่มดนะ”
“แม่มด?ฉันคุยกับเธอก็ปกติดีนี่นา….มั้งนะ”
“พวกเราดันลืมบอกเรื่องสำคัญให้เธอฟังไปเลย”
“ทำไมเหรอมัตสึริ”
“คือว่ามัน…ก็เกี่ยวกับเรื่องของคุณคุโรงาเนะอะนะ”
“ฮิคารุในฐานะที่ฉันเพิ่งรู้จักกับนายฉันขอบอกเลยว่า อย่าเข้าใกล้เธอคนนั้นเป็นอันขาดถ้าแบบว่า….ถ้านายยังไม่อยากตายน่ะ”
“ตาย!?...พูดเรื่องอะไรน่ะยูกิ”
“ที่ยูกิพูดเป็นความจริงเรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อตอน ม.5นี้เองเมื่อตอนนั้นเธอเพิ่งย้ายมาแล้วเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นคือช่วงนั้นอยู่ๆก็มีนักเรียนตายด้วยอุบัติเหตุหลายคน ซึ่งเธอมักจะอยู่แถวๆนั้นตลอดทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”
“มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้นี่นา”
“ตอนแรกเราก็คิดแบบนั้นแต่คนที่ตายทุกคนต่างเข้าใกล้เธอทั้งนั้น อย่างรุ่นพี่ที่ตามจีบเธอหลังเลิกเรียนเขาก็บันไดคอหักตาย อาจารย์หญิงที่คอยมาคุยกับเธอก็ขับข้ามรถรางรถไฟแต่ไม่พ้นโดนรถไฟชนจนตายคางในรถแล้วนายยังคิดว่ามันบังเอิญอีกไหมล่ะ”
“เรื่องนั้นมันก็…”
“หลังจากนั้นเธอเลยถูกเรียกว่าแม่มด”
“ขอร้องละนะฮิคารุคุงฉันว่าเธออย่าไปใกล้เธอคนนั้นเลยนะ”
“เออ…ก็ได้ฉันจะพยายามไม่คุยกับเธอแล้วกัน”
“ดีแล้วล่ะเอาเรื่องน่ากลัวออกไปจากหัวแล้วพวกเรามากินข้าวเที่ยงกันเถอะ”
“ดูท่าทางจะกินข้าวกันสนุกใหญ่เลยนะ”…จู่ๆก็มีเสียงของใครบางคนแทรกขึ้นมากลางบทสนทนาของพวกเราเป็นผู้ชายใส่ผ้าโพกหัวสีน้ำเงิน ผิวสีแทนตาเรียวแหลมทำหน้าเหมือนจะมาหาเรื่องกับพวกลิ่วล้ออีกสองคน
“บาคุนี่นายมีธุระอะไรไม่ทราบ”
“เปล่าฉันก็แค่ได้ยินพวกเธอคุยเรื่องนักเรียนใหม่ที่ เพิ่งย้ายมาใกล้ตายเพราะดันไปคุยกับยัยแม่มดนี้นา”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วยบาคุ”
“โธ่เอ้ยไดรนายไม่เห็นจะต้องห่วงมันเลยนี่นาปล่อยมันตายๆไปซะ มาถึงก็ทำตัวเด่นตีสนิทคนโน้นคนนี้เห็นแล้วน่าโมโหที่สุด”
“คนอย่างนายนี่มันพาลหาเรื่องคนอื่น เขาไปทั่วเลยนะทั้งๆที่ไม่มีใครสนใจแท้ๆ”
“ว่าไงนะพูดอย่างงี้คิดจะหาเรื่องฉันใช่ไหมไดร”
“ก็เอาสิ”
“หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะพวกนายสองคนนี้มันในโรงเรียนนะ บาคุถ้านายยังไม่เลิกงี่เง่าฉันจะไปฟ้องอาจารย์”
“ชิ!...งานนี้ฝากเอาไว้ก่อนแล้วกัน”
“เฮ้ออออ…ไปจนได้”
“นี่เขาชอบหาเรื่องคนอื่นเป็นประจำเลยเหรอ”
“อืมใช่จ้ะแต่ฮิคารุคุงไม่ต้องไปสนใจหรอกนะ”
“อืม”…แล้วเราก็กินข้าวกันต่อจนหมดเวลาพักเที่ยงพอถึงเวลาเข้าเรียน หนังเท้าตึงหนังตาก็เริ่มหย่อยช่วงคาบเรียนภาคบ่ายฉันรู้สึกง่วงนอน แต่ก็ทนจนถึงเวลาเลิกเรียนจนได้
“เฮ้อออออ…โรงเรียนเลิกสักที”
“เรียนช่วงคาบบ่ายเป็นยังบ้างฮิคารุคุงท่าทาง คงจะง่วงน่าดูเลยสินะโดยเฉพาะวิชาของครู”
“ไม่ใช่อย่างงั้นครับอาจารย์คุโรงาเนะผมไม่ได้หมายความว่า อาจารย์สอนไม่สนุกหรืออะไรหรอกนะครับแต่อยู่ๆมันก็ง่วงของมันเองน่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอกนะที่มาเรียน วิชาประวัติศาสตร์ช่วงบ่ายๆมันก็ต้องง่วงนอนบ้างแหละ”
“จริงสิครับอาจารย์คุโรงาเนะผมมีเรื่องอยากจะถามอาจารย์อยู่พอดีเลยครับ”
“เรียกว่าอาจารย์คาราสึก็ได้นะมีอะไรจะถามฉันงั้นเหรอ?”
“คือว่าทำไมอาจารย์ถึงใช่นามสกุลเหมือนชิโนะ เออ…ผมหมายถึงคุณคุโรงาเนะน่ะ”
“อ๋อ!...เรื่องนั้นน่ะเหรอก็มีคนมาถามหลายคนแล้วล่ะนะแต่ฉันคงจะบอกไม่ได้น่ะ”
“อย่างงั้นเหรอครับ”
“แต่ถ้าเป็นเธอฉันจะยกให้เป็นกรณีพิเศษแล้วกันนะ”
“จะ…จริงเหรอครับ”
“อืม…เหตุผลที่ฉันนามสกุลเหมือนคุณคุโรงาเนะก็คือ….”
“อาจารย์คุโรงาเนะคะมีประชุมด่วนอาจารย์ช่วยรีบมาด้วยนะคะ”
“แย่จริงมีประชุมด่วนเหรอเนี่ยน่าเสียดายนะแต่ไว้ คราวหน้าฉันสัญญาว่าจะบอกนะแต่คราวนี้ฉันมีธุระพอดี”
“ก็ได้ครับงั้นผมขอตัวกลับบ้านก่อนนะครับ”
“กลับดีๆนะไว้เจอกันวันพรุ่งนี้”
“ครับอาจารย์…”
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีคนน่าสนใจขนาดนี้อยู่ด้วยเธอว่างั้นไหม ชิโนะ”
“ก็ไม่ทราบสินะคะ”
“วันนี้เหนื่อยจังเลยพระอาทิตย์ตกดินในบ้านนอกเนี่ยก็สวยไปอีกแบบต่างจากที่เห็นในเมืองเลยแฮะ”…ระหว่างที่เดินดูพระอาทิตย์เพลินๆก็มีผู้ชายประมาณ7คน มายื่นดักหน้าฉันไว้อีกสามคนเป็นคนที่ฉันคุ้นหน้าดีแต่อีกสี่คนฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
“ว่าไงๆเจ้าเด็กใหม่กำลังจะกลับบ้านอย่างงั้นเหรอ”
“นายมันบาคุ”
“เฮ้ๆอย่ามาเรียกชื่อกันห้วนๆอย่างงั้นสิเจ้าเด็กใหม่”
“ต้องการอะไร”
“ไม่มีอะไรมากนักหรอกก็แค่ตามพวกฉันมาดีๆอย่าขัดขืนไม่งั้นนายได้เจ็บตัวแน่”
“ก็ได้จะให้ไปที่ไหนล่ะ”
“ตามฉันมา”…ด้วยความที่ฉันยังไม่อยากเจ็บตัวตั้งแต่ย้ายมาใหม่จำใจต้องทำตามที่บาคุบอก และเมื่อฉันเดินตามเขาไปพอถึงจุดหมายแล้วกมันก็เป็นที่ๆฉันเพิ่งจะออกมาก็คือ โรงเรียน
“เดี๋ยวนะนายพาฉันกลับมาที่โรงเรียนอีกทำไม”
“เดินตามาเงียบๆเถอะน่า”…บาคุก็เดินนำต่อจนไปถึงด้านหลังของโรงเรียน บาคุปีนข้ามรั่วไปจากนั้นพวกที่เหลือก็สั่งให้ฉันปีนข้ามไปแล้วพวกมันก็ตามมา ฉันกับพวกของบาคุเดินขึ้นไปบนภูเขาเข้าไปไม่ลึกมากนักก็มีบันไดเก่าๆขึ้นไปข้างบน พอขึ้นไปแล้วก็มีศาลเจ้าเก่าแก่ ถูกเถาวัลย์ขึ้นพันบนหลังคาเต็มไปหมดตัวศาลเจ้าก็ทรุดโทรมแต่ตรงด้านหน้ามีแท่งบูชาอะไรสักอย่างอยู่ มีตู้ไม้เก่าใบเล็กๆมียันต์แป๊ะเอาไว้อยู่พร้อมตู้
“นี่นายพาฉันมาที่ไหนกันเนี่ย”
“ศาลเจ้าอาถรรพ์ประจำหมู่บ้านแห่งนี้ไงล่ะ”
“ศาลเจ้าอาถรรพ์!?”
“ใช่ตามตำนานของหมูที่นี้เคยมียักษ์ตาเดียวออกอาละวาดจับผู้คนกินเป็นอาหารแต่มีนักบวชที่เดินทางมาที่หมู่บ้านแห่งนี้แล้วปราบเจ้ายักษ์โดยการผนึกใส่ตู้ไม้เก่าๆ ที่นายเห็นอยู่นั่น พวกชาวบ้านสร้างศาลเจ้าไว้บูชายักษ์เพื่อไม่ให้มันหิวโหยและพยายามจะออกมาจากตู้ แต่ก็นะด้วยความแค้นเจ้ายักษ์ก็เลยสาปพวกชาวบ้านที่มาที่นี่ให้กลายเป็นบ้าแล้วฆ่ากันเอง”
“แล้วนายพาฉันมาที่นี่ทำไมในเมื่อที่นี้มันอันตรายขนาดนี้”
“ทดสอบความกล้าไงถ้านายกล้าเปิดตู้นั่นฉันจะไม่ยุ่งกับนาย”
“ถ้าฉันไม่เปิดมันล่ะ”
“แต่ถ้านายไม่กล้าเปิดละก็ชีวิตของนายไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุขแน่ๆเลยล่ะ”
“(โธ่เอ้ย!...นี่ฉันพาตัวเองมาหาเรื่องเองซะงั้น)”
“ไม่ต้องทำหน้าน่ากลัวแบบนั้นก็ได้ไม่ก็แค่เรื่องงมงายของพวกคนแก่ พวกฉันเคยเปิดมันแล้วไม่มีอะไรอยู่ข้างในหรอก”
“ก็ได้ฉันจะไปเปิดมันนายเองก็รักษาสัญญาที่พูดไว้ด้วยแล้วกัน”
“แน่นอนฉันเป็นพวกคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว”…ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินตรงไปที่แท่งบูชาฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนอยู่ๆฉันก็รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในตู้ไปนี้ แต่ฉันไม่มีทางเลือกนอกเหนือกว่านี้แล้วจากนั้นฉันก็เปิดตู้ข้างในว่างเปล่า
“อุ๊บ….ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
“นี่พวกนายหัวเราะอะไรกันห๊ะ!”
“ฉันไม่คิดว่าจะหลอกนายได้ง่ายดายขนาดนี้ยังไงล่ะ”
“อะไรนะ!”
“ฉันโกหกนายตู้นั่นน่ะพวกฉันไม่เคยเปิดมันหรอกนั่นก็เพราะว่า ใครก็ตามที่เปิดตู้นั่นจะต้องตายยังไงล่ะฮ่าฮ่าฮ่า”
“นายทำแบบนี่ทำไมทำไมนายอยากให้ฉันตายขนาดนั้นด้วย”
“ก็เพราะนายมันขวางหูขวางตาฉันน่ะสิเห็นแล้วน่าโมโห แค่ย้ายมาใหม่แท้ๆก็ทำตัวตีสนิทกับพวกนักเรียนแล้วก็พวกอาจารย์ตายๆไปซะดีกว่า”
“อะไรกันเพราะเรื่องแค่นี้เนี่ย…”
“ขอบใจที่ช่วยปลดปล่อยข้าน่ะเจ้ามนุษย์”…จู่ๆฉันก็ได้ยินเสียงของใครบางคนไม่สิของอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่คนมากกว่าฉันหันด้านหลังมีแสงสีแดง หนึ่งดวงอยู่ในตู้ไม้ที่ฉันเปิดแล้วมันก็พุ่งออกมาจากตู้ลมที่เกิดจากการพุ่งของมันทำฉันเซจนล้มลงไป
“อ้าว?...นี่นายกลัวตายจนเป็นบ้าไปแล้วเหรอไง”…ฉันไม่ได้สนใจคำพูดของบาคุฉันจ้องมองไปที่เงาดำที่กำลังขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เผยให้เห็นรูปร่างใหญ่ยักษ์สีแดงมีตาเพียงดวงเดียว ฟันอันแหลมคมที่คอมีหัวของคนห้อยอยู่อย่างน่าสยดสยองมือขวาถือกระบองหนามอันใหญ่
“(มะ…ไม่จริงใช่ไหมนี่มันยักษ์ของจริงเลยนี่นา)”…ทันใดนั้นจู่ๆบาคุก็หยุดหัวเราะเขาทำหน้าซีดเหมือนจะกลัวสิ่งที่เกิดอยู่ตรงหน้า
“นี่หรือว่าหมอนั่นก็เห็นเหมือนกับฉัน”
“อ้าว?...บาคุนายเป็นอะไรไปไงทำหน้าซีดอย่างงั้นน่ะ”
“พวกนายไม่เหรอไงยักษ์อยู่ตรงหน้าพวกเราเนี่ย”
“หา?...พูดเรื่องอะไรไม่เห็นมีอะไรเลย”
“ก็ตรงนั้นไง”
“ไหนอะไม่มีนี่นายติดเชื่อบ้ามาจากเจ้าหมอนั่นหรือเปล่าเนี่ย”
“เจ้ามนุษย์ในฐานะที่เจ้าช่วยปลดปล่อยข้าออกมา ข้าจะเก็บเจ้าไว้กินทีหลังก็แล้วกัน”…แล้วมันก็เอื้อมมือไปจับหนึ่งในพวกของบาคุขึ้นมา
“เฮ้ยๆนี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ยมีอะไรมาจับฉันก็ไม่รู้!!!”…ไม่ทันที่จะได้คำตอบเจ้ายักษ์ก็งับเข้าที่หัวแล้วกระชากออกเลือดพุ่งกระฉุดเต็มพื้น พวกที่เห็นสภาพตรงหน้าแทบจะรับไม่ได้พวกมันพากันวิ่งหนีแต่เจ้ายักษ์ก็ใช้กระบองของมันทุบไปที่พวกที่กำลังจะวิ่งหนีทีละคน สภาพศพเละไม่เหลือชิ้นดีทำให้ฉันแทบจะอ้วกออกมาตอนนี้คนที่เหลือรอดมีแต่ฉันกับบาคุที่กำลังวิ่งมาทางฉัน เขาจับตัวฉันลุกขึ้นแล้วเอาตัวฉันเป็นที่กำบังเจ้ายักษ์
“เฮ้!...นี่เจ้ายักษ์ยะ…อย่ากินฉันเลยนะ…กินเจ้าหมอนี่แทนเถอะ”
“นี่นายยังคิดจะให้คนอื่นมาเสียสละแทนตัวเองเหรอ”
“ก็แหงละสิใครจะไปยอมตายกันละ”
“พวกเจ้าไม่ต้องเถียงกันหรอกยังไงข้าจะกินพวกเจ้าทั้งหมดนั่นแหละ”…เจ้ายักษ์ง้างกระบองขึ้นจะตุบพวกเราให้เละแบบพวกศพที่กองอยู่ตรงนั้น
“(ไม่นะนี่ฉันจะต้องมาตายเพราะเรื่องแบบนี้อย่างงั้น ขอร้องล่ะใครก็ได้จะเทพเทวดาหรือปีศาจอะไรก็ช่างช่วยฉันด้วย)”…ขณะฉันกำลังสิ้นหวังก็มียันต์แผ่นลอยมาตรงหน้าฉันแล้วสะท้อนกระบองออกไป
“ใครกันน่ะที่มาช่วยฉันไว้กลิ่นแบบนี้มัน…”…กลีบดอกสึบากิรวงโรยมาทางเสาประตูทางเข้าศาลเจ้าข้างบนนั้นปรากฏร่างของหญิงสาวที่คุ้นเคยในเครื่องแบบนักเรียน ผมสีดำที่สะท้อนกับแสงจันทร์ทำให้รู้สึกความงดงามที่ลึกลับ
“ชิโนะ!”
“ยะ…ยัยแม่มดที่ฉันต้องมาซวยแบบนี้เพราะเธอใช่ไหม”
“……….”
“ถึงเจ้าจะเป็นใครที่ไหนก็ช่างแต่สาวน้อยเจ้ามาได้เวลาพอดี เจ้าจะกลายเป็นของหวานของข้าหลังจากที่ข้ากินสองคนนี้เรียบร้อยแล้ว”
“ถึงคนอื่นๆจะเรียกฉันว่าแม่มด…”เธอดีดนิ้วจากนั้นก็ปรากฏเคียวสีดำอันใหญ่ตรงส่วนที่เป็นใบมีดนั้นมีลูกตาสีแดงดวงใหญ่ ด้ามจับก็มีลวดลายเหมือนกับเถาวัลย์หนามสีทอง
“แต่ฉันคือ…ยมทูต ต่างหากล่ะคะ”
“ยมทูตงั้นเหรอ”
“สาวน้อยนี่เจ้าเป็นคนของตระกูลคุโรงาเนะอย่างงั้นรึ”
“ฉันไม่จำเป็นจะต้องตอบคำถามของปีศาจชั้นต่ำอย่างเจ้าหรอก”…เธอกระโดนขึ้นแล้วใช้เคียวฟันเจ้ายักษ์ขาดเป็นสองท่อนเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ตอนนี้เธอยื่นอยู่ข้างหน้าของฉันห่างออกไปเล็กน้อยเธอสะบัดเลือดที่เคียวออกแล้วก็จ้องมองมาที่ฉัน
“คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”
“อ…อืม”
“ยะ…ยัยปีศาจถึงว่าทำไมทุกคนที่อยู่ใกล้เธอถึงพากันตายหมด ที่แท้เธอมันก็ไม่ใช่คนเธอมันปีศาจส่งมาเกิดชัดๆ”…เธอเดินเข้ามาใกล้อีกตอนนี้ระยะห่างของฉันกับเธออยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งเมตรเลยซะด้วยซ้ำ
“ฉันน่ะเหรอปีศาจส่งมาเกิด?คุณต่างหากละที่ปีศาจส่งมาเกิดแต่ก็เอาเถอะยังไงซะอีกแค่10วินาทีนายก็จะ‘ตาย’อยู่แล้วล่ะนะ”
“พูดบ้าอะไรของเธอกันห๊ะฉันจะไม่ตาย…ฉันจะไม่ตายเด็ดขาด!!!”…บาคุวิ่งหนีออกไปอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นด้วยความบ้าคลั่งหรือความหวาดกลัวต่อคำพูดของชิโนะกันแน่
“10..9..8..7..6”
“ไม่ฉัน…ฉันจะไม่ตาย!”
“5..4..3..2..1”
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกก!!!”
“บะ…บาคุมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ”…ฉันได้ยินเสียงร้องของบาคุแล้วนั่นก็เป็นเสียงสุดท้ายที่ฉันจะไม่ได้มีวันได้ยินเสียงของเขาอีกฉันที่กำลังยื่นอยู่ทรุดลงทันด้วยความอ่อนล้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าโดยไม่ได้สนใจชิโนะที่ยื่นอยู่ตรงหน้าจะพูดอะไร
“คุณไม่เป็นไรแน่นะ”
“ฉันสบายดีก็แค่ทนเห็นสภาพแบบนี้ไม่ไหวนิดหน่อยน่ะ”
“คุณนี่แปลกคนจังเลยนะทั้งๆที่เห็นการกระทำของฉันแล้วยังกล้าคุย กับฉันอยู่อีกนะคะถ้าเป็นคนอื่นๆที่ฉันเคยเจอมาก็เป็นแบบเขาที่วิ่งหนีตาย โดยไม่คิดชีวิตสุดท้ายก็หนีความตายของตัวเองไม่ได้”
“งั้นเหรออาจเป็นเพราะฉันเคยเจอเรื่องแบบนี้มามากละมั้งสาเหตุที่ฉันย้ายมาที่นี่ก็เพราะฉันมองเห็นวิญญาณได้ตั้งแต่เกิดฉันมักจะถูกพวกวิญญาณมาแกล้งหรือจ้องจะทำร้ายบ้างพอเริ่มโตขึ้นสิ่งที่พวกมันทำมันก็เริ่มยิ่งหนักขึ้นพ่อแม่เป็นห่วงฉันพวกท่านก็เลย ส่งฉันมาอยู่กับคุณยายที่เป็นองเมียวจิของศาลเจ้าประจำหมู่บ้านี้น่ะเพื่อที่ฉันจะได้เรียนรู้วิธีการไล่พวกมันไป”
“ถ้าเป็นแบบนั้นคุณคงรู้ตัวดีสิว่าคุณมีพลังที่ทำให้เรียกบาปทั้งเจ็ดขึ้นมา”
“บาปทั้งเจ็ดเหรอไม่นะฉันรู้แค่ว่าฉันเห็นแค่พวกวิญญาณ เรื่องที่เธอพูดมาฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
“แบบนี้นี่เองต่อให้รู้ว่าตัวเองเห็นวิญญาณแต่ก็ไม่ได้ หมายความว่าจะต้องรู้เรื่องพลังอื่นด้วยสินะคะ”
“แล้วพลังที่เรียกบาปทั้งเจ็ดมันคืออะไร”
“มันคือพลังที่เป็นสื่อล้อให้พวกกิเลสต้องห้ามทั้งเจ็ดของมนุษย์หรือที่ได้ยินกันบ่อยก็คือบาปต้องห้ามทั้งเจ็ดพลังนี้จะทำให้กิเลสก่อตัวเป็นสิ่งชั่วร้าย อย่างยักษ์ที่ฉันฆ่าไปเมื่อกี้คือตัวแทนของความโทสะซึ่งเป็นกิเลสอย่างหนึ่งเดิมตามตำนานอาจจะมียักษ์ถูกผนึกอยู่ก็จริง แต่มันไม่มีร่างเนื้ออยู่แล้วแต่เพราะโคบายาชิ บาคุ มีความโกรธแค้นต่อคุณเลยทำให้ยักษ์นั่นมีพลังที่มากขึ้นน่ะคะ”
“ถ้างั้นเป็นเพราะฉันเลยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเหรอ ทั้งๆที่เมื่อก่อนอยู่ในเมืองไม่เห็นจะมีเรื่องแบบนี้เลย”
“มันก็ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกนะเรื่องแบบนี้ มันไม่สามารถแก้ไขได้หรือหนีมันได้หรอก”
“นั่นสินะแล้วจะเอายังไงต่อกับ….ศพพวกนี้”
“มีคนโทรเรียกรถตำรวจกับรถพยาบาลมาแล้วอีกไม่นานก็คงจะมีคนแห่กันมาคุณเองก็ควรจะรีบกลับได้แล้วละนะหรือว่าจะอยู่ต่อให้พวกนักข่าวมาทำข่าวกันล่ะ”
“ไม่ทางหรอกฉันอยากอยู่แบบสงบสุขมากกว่า”…ฉันลุกขึ้นแล้วปัดฝุ่นที่กางเกงออกส่วนสิโนะก็เก็บเคียวของเธอไปพวกเราสองคนเดินตรงไปที่บันได แล้วก็เห็นภาพที่ไม่ว่าไม่อยากจะเห็นยังไงก็ต้องเห็นร่างของบาคุที่ตกจากบันไดสูงสภาพแขนขาบิดงอ ผิดธรรมชาติจนน่ากลัวกับดวงตาที่เปิดกว้างในวินาทีสุดท้ายของชีวิต
“ชิโนะเรื่องพวกจะเกิดขึ้นเรื่อยใช่ไหมถ้าหากฉันยังอยู่ที่นี้”
“แน่นอนค่ะทุกการกระทำของคุณอาจทำให้มีคนให้กำเนิดกิเลสอีกก็ได้ดั่งนั้นแล้วคุณควรจะระวังตัวด้วยเพราะพวกมันจะเล็งเป้ามาที่คุณเพราะฉะนั้นแล้วคุณอย่าอยู่ห่างฉันไปไหนฉันจะค่อยช่วยเอง”
“อ…อืมจริงสิชิโนะแล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่…”พอฉันหันกลับไปตัวของชิโนะก็ไม่อยู่แล้วเธอคนนี่ชอบทำตัวลึกลับซะเหลือเกินฉันต้องแบกสังขารตัวเองกลับบ้าน ตราบใดที่ฉันยังอยู่เรื่องแบบนี้คงจะเกิดขึ้นเรื่อยๆแต่กลับไม่รู้สึกกลัวเลยเพราะคำพูดของชิโนะหรือเปล่านะ…
To be continue....
ความคิดเห็น