ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คำมั่น สัญญา

    ลำดับตอนที่ #1 : จุดเริ่มต้นคำว่ารัก

    • อัปเดตล่าสุด 25 มี.ค. 49


    คำมั่น.....สัญญา

    โดย...แพวา...

                                                                                                    ตอนที่  1 

              เด็กสาวแหงนหน้าขึ้นมองรูปปั้นสีน้ำตาลทองที่ตั้งทรงสง่าอยู่เบื้องหน้า  หลังกลั้นใจก้มลงกราบจนแทบทนต่อกลิ่นที่ไม่รู้ว่าหอมหรือฉุนไม่ไหว  เสียงประทัดและพุไฟยังดังอยู่เนือง ๆ  ไม่ขาดสาย  ศาลพระเจ้าตากสินเป็นสิ่งที่ทุกคนที่นี้นับถือและยกย่องอย่างมาก  กลิ่นธูปคละคลุ้งจนเด็กสาวต้องปิดปากและสำลักควันวิ่งออกมาด้านนอก  เธอหลับตาเพราะแสบร้อนจากควันธูปในศาลที่โขมงไปทั่ว  แล้วค่อย ๆ ขยี้ตาเบา ๆ แต่ก็ยังลืมตาขึ้นไม่ได้  ทรุดตัวลงนั่งหน้าศาลท่าทางเหมือนคนตาบอดที่ทำอะไรไม่ถูก  เธอก้มหน้านิ่ง  จนมีความรู้สึกว่าเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างหยุดยืนอยู่ใกล้ ๆ  น้ำเสียงแผ่วเบานั่นดังอยู่สองสามรอบ

              "ให้อภัยฉันได้ไหมข้าวปุ้น  ให้อภัยฉันได้ไหม.."

              ข้าวปุ้นแหงนหน้าขึ้นมองตามเสียง ๆ นั้นอย่างไม่คาดคิด  สีหน้าที่ซีดเซียวของอีกฝ่ายทำให้เธอรู้สึกใจไม่สู้ดีเท่าไหร่  ก่อนจะทำเหมือนไม่ได้ยินเสียง ๆ นั้นแม้แต่น้อย

              "ฉันขอโทษ  ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นเลย  ฉันขอโทษ ฟังฉันหน่อยได้ไหม " หญิงสาวคุกเข่าลงนั่งใกล้ ๆ จนทุกสายตาจ้องมองมา  อย่างสงสาร...."ความรักมันทำให้พี่เป็นแบบนั้น  พี่ขอโทษ...เธอจะให้พี่ทำอะไรก็ได้  พี่ยอมทั้งนั้น  ขอให้เธอลดความแค้นที่มีอยู่ในใจสักหน่อยจะได้ไหม"

              "อะไรทำให้พี่อยากจะขอโทษปุ้น  ความระอายหรือค่ะ หรือว่าความรักโง่ ๆ ของพี่ที่คิดว่าอยากจะทำอะไรก็ได้  พอเถอะค่ะเรื่องมันผ่านมาเนินนาน  พี่อย่ากลับมาลื้อฟื้นมันอีกเลย" ข้าวปุ้นละสายตาจากฝ่ายตรงข้าม  ดวงตาที่แดงกล่ำตอนนี้เป็นเพราะแสบร้อนจากควันธูปหรือว่าความเจ็บปวดที่มันฝังรากลึกอยู่ก่อนหน้าที่จะได้ยินคำขอโทษเพียงไม่กี่คำกัน

              "เธอน่าจะลดความเกลียดลงเสียบ้างนะ  พี่ต้องการจะขอโทษเธอจากใจจริงเท่านั้น  ความผิดทั้งหมดมันทำให้พี่ต้องทุกข์ทรมาร" หญิงสาวน้ำเสียงแผ่วลงกว่าเดิมอีก  "ขอร้องหละ...เธอหน้าจะให้โอกาสพี่อีกสักครั้ง"

              "โอกาสของคนที่เราเคยรักและนับถือ  แต่.......ว่าทำให้เราเหมือนตายทั้งเป็นงั้นหรือค่ะ"

              เธอตอบอย่างไม่ใส่ใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเท่าไหร่นักแล้วย้ำกับคำถามที่อีกฝ่ายต้องการคำตอบอยู่นั่น

              "ใส่ใจด้วยหรือค่ะว่าปุ้นจะให้อภัยรึเปล่า  จะรู้สึกดีไหมหากมันจะเป็นเพียงคำพูดแต่ไม่ได้ออกมาจากใจ  มันจะมีประโยชน์ไหมค่ะ  ถ้าต้องการเพียงคำพูดปุ้นจะพูดให้ก็ได้"ข้าวปุ้นเสียงแข็งขึ้น  "แต่ถ้าจะให้ยกโทษจากใจคงจะยาก "       ข้าวปุ้นรีบเดินหนีจากไป......ทิ้งคำพูดนั้นไว้อย่างเลื่อนลอย  ก่อนจะลับตาของอีกฝ่ายข้าวปุ้นก็ต้องหลั่งน้ำตาอีกครั้งเมื่อความรู้สึกเจ็บปวดมันบาดลึกและยากเกินกว่าจะเยียวยาด้วยคำว่าขอโทษเพียงไม่กี่คำ  น้ำใส ๆ ที่กำลังเอ่อล้นในดวงตาทำให้ตาเธอเริ่มพร่ามัวลงไปทุกที  ขออย่าเลยหากความรู้สึกเจ็บปวดเก่า ๆ เหล่านี้จะทำให้เธอมีอาการทางประสาท  ข้าวปุ้นวิงวอนให้เรื่องราวในอดีตอย่ากลับมาทำร้ายเธอ  แต่มันก็ทำไม่ได้ 

              สายฝนปรอย ๆ ลงมากระทบร่างบอบบางให้หนาวสั้นและนั่งม้วนตัวอยู่ข้างต้นไม้ ต้นหนึ่ง  อะไรทำให้เธอรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างติดตามอยู่ตลอดเวลา  อะไรทำให้เธอเจ็บแปลบ ปวดร้าวทุกครั้งที่ภาพในอดีตเก่า ๆ มันคอยย้ำความทรงจำ  กับความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยของอีกฝ่าย

              เสียงลูกบาสกระทบพื้นดังจนดูวุ่นวายไปเสียหมด  ก่อนที่หัวหน้าทีมจะเป่านกหวีดให้ทุกคนหยุดพัก  ข้าวปุ้นยืนขึ้นและจ้องมองไปหาชายคนหนึ่งที่กำลังจะล้มลง  ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นโรคประจำตัวอะไรสักอย่าง  เธอรีบคว้าขวดน้ำแล้วเดินจ้ำอ้าวผ่านชายที่เป็นหัวหน้าทีมอย่างลืมตัว  ว่าเขาคนนั้นต่างหากที่เธอควรจะเอาน้ำไปให้  ความรู้สึกเก้อของเขาทำให้รู้สึกฉุนข้าวปุ้นอยู่มาก  และคนที่จะโดนลูกหลงก็คือเจ้าคนที่ถูกหยิบยื่นน้ำให้

              น้องใหม่ที่พึ่งเข้าชมรมบาสเกตบอลต้องผ่านด่านอะไรมากมายกว่าจะได้เข้าร่วมทีมของมหาลัย  ณพัทธ์เด็กหนุ่มคนนี้ก็เช่นกัน  หากแต่ว่าเขามีอะไรที่ดูเด่นกว่าหลาย ๆ คนนัก  ทั้งหน้าตาท่าทางออกจะเก่งเหนือหัวหน้าทีม  แต่ว่าร่างกายของเขาไม่เอื้อสักเท่าไหร่  ข้าวปุ้นยื่นน้ำส่งให้

              "อ่ะ...น้ำ...สักพักค่อยกินนะ"

              ณพัทธ์กำลังจะรับน้ำมาแต่ก็ถูกเพทายซึ่งเป็นหัวหน้าทีมปัดมือจนขวดน้ำตกลงกับพื้น  ข้าวปุ้นจ้องหน้าอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังทำ  แต่อีกฝ่ายต้องรีบแก้ตัวเพราะกลัวแฟนสาวจะโกรธ

              "โถ..หนูจ้า  ให้มันกินน้ำตอนนี้เดี๋ยวมันก็ตายพอดี.."

              "หนูไม่ได้ให้กินตอนนี้สักหน่อย  หนูบอกเขาแล้วว่าเดี๋ยวค่อยกิน...แล้วนี่อะไรคะ" เธอพยักหน้าตามขวดน้ำที่ตกลงกับพื้น

              "ก็..ก็..." เพทายอ้ำอึ้งไม่มีคำตอบ  จึงหาเรื่องคนอื่น "นายหน่ะ....เป็นโรคประจำตัวอะไรรึเปล่า  ทำท่าทางเหมือนคนจะตาย  ในประวัติที่เขียนมาไม่มีคนเป็นโรคเลยนะ"

              "เอ๊ะ...หนูถามพี่พายนะคะ  อย่าพึ่งพาลหาเรื่องคนอื่นได้ไหม..."

              "หนูเข้าข้างมันทำไม "

              "หนูไม่ได้เข้าข้างเขา แต่พี่พายทำไม่ถูก" ข้าวปุ้นอธิบาย

              "งั้นเชิญเลย.. เอาซิหากหนูคิดว่าสิ่งที่หนูทำมันถูกนัก" เพทายเดินหนีจากไปเพราะรู้ยังไงตัวเองก็เป็นต่ออยู่เสมอ 

              "พี่พายหยุดก่อน..พี่พาย.." ข้าวปุ้นตะโกนเรียกแต่เพทายก็ไม่หันมามอง  เธอเก็บขวดน้ำขึ้นมาส่งให้ณพัทธ์อีกครั้ง  เสียงตวาดดังขึ้นจนเธอหน้าเสีย

              "ไปง้อกันให้พอเลยสิ  ไปสิ  ไปเลย  อย่ามายุ่งกับผม " เขาปัดขวดน้ำอีกรอบ ทั้งที่อาการแทบไม่ไหว  เลือดกำลังขึ้นหน้าข้าวปุ้นเมื่อความเป็นห่วงเป็นใยของเธอไม่เป็นผล 

              "เชอะ..เห็นทำท่าเหมือนจะตายหรอกถึงได้เข้ามาดู  รู้งี้ปล่อยให้ตายไปเลยดีกว่า "

              ข้าวปุ้นเตะขวดน้ำกลิ้งไม่เป็นท่าไปโดนใส่ข้าโต๊ะตัวหนึ่งเสียงดังจนทั้งคู่สะดุ้ง

              "วั๊ยยยยยย"

              เขาพยายามเดินไปหยิบขวดน้ำพร้อมกับบ่นไปด้วยขำไปด้วย 

              "แห๊ม....น่าตาก็น่ารักไม่น่าอารมณ์เดือนง่าย ๆ เลยนะ"

              "ก็คนอุตส่าห์เป็นห่วงนี่ ไม่อยากให้ตายคาสนาม" เธอกล่าวงอน ๆ

              "ผมก็ขอบคุณที่เอ่อ..."

              "ฉันชื่อข้าวปุ้น..เรียนอยู่ศิลป์แล้วนายหล่ะ "

              "ผมเรียนจิตวิทยา   ผมขอโทษนะที่ไม่สุภาพกับคุณ"

              "ไม่ต้องมาคงมาคุณกับฉันหรอก.ผมไม่ได้ตั้งใจ  เรียกแทนตัวเองซะโก้เชียว" ข้าวปุ้นอมยิ้มรู้สึกถูกชะตากับนายคนนี้เข้าแล้วซี

              "จะให้เรียกอะไรล่ะคร๊าบบบบ...หนูข้าวปุ้น  หนูนี่ตัวใหญ่ดีนะครับ"

              " ไม่ใช่อยากจะเรียกหนูหรอกนะ แต่แม่น่ะให้เรียกแทนตัวเองแบบนี้  นายตั้งใจจะล้อเลียนฉันใช่ไหม  "

              "ปะปะเปล่านะ...ผมเอ่อ เราไม่ได้คิดอย่างนั้นสักหน่อย  แล้วเธอไม่ไปตามง้อพี่พายเหรอ  ป่านนี้คงจะฆ่าตัวตายไปแล้วมั้ง"เขาหยุดคิด แล้วถามลอย ๆ  "จะไปง้อรึเปล่า"

              ข้าวปุ้นส่ายหัวเบา ๆ เหมือนจะรู้ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นยังไง  ทั้งคู่เดินไปนั่งที่อัศจรรย์  ก่อนที่เสียงโทรศัพท์จะดังขึ้น 

              "ค่ะ...จะให้ทำยังล่ะค่ะ" น้ำเสียงของเธอแข็งกระด้างต่างเป็นคนละคน  "รู้แล้วค่ะ...แม่ไม่ต้องสั่งหรอกค่ะ หนูรู้หน้าที่ของตัวเองดี  "เสียงกระด้างไม่สุภาพทำให้อีกฝ่ายเริ่มงง

              "นี่เธอคุยกับแม่เหรอ  "เขาถาม

              "ใช่..ทำไม" เธอตอบห้วน ๆ

              "ไม่เพราะเลย  คุยกับผู้ใหญ่ต้องอ่อนน้อม  นี่อะไร รู้แล้วค่ะ น้ำเสียงใช้ไม่ได้"

              "สอนฉันหรือ" เธอถามแล้วเชิดหน้า  "นายจะรู้อะไร....รู้รึไงว่าแม่ฉันเป็นคนยังไง รู้รึว่าพี่พายเป็นยังไง แต่ช่างมันเถอะ"

              "เราไม่รู้หรอกว่าคนอื่นจะเป็นยังไงรู้แค่เพียงว่าเธอเป็นยังไงเท่านั้น"

              "ขนาดรู้ว่าฉันเป็นยังไงนะ  ยังไม่เข้าใจฉันเลย นี่นะหรือที่นายว่าเข้าใจ"

              "ใช่ที่บอกว่าเข้าใจเพราะเธอกำลังมีทิฐิ  ไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นได้ล่วงรู้อะไรในตัวเธอ  ภายนอกทำตัวเข้มแข็งแต่ภายในอ่อนไหวสิ้นดี"

              ข้าวปุ้นก้มหน้าไม่เถียงสักคำ  เพียงแต่เอ่ยคำถามลอย ๆ

              "ฉันผิดมากหรือที่เกิดมาแล้วก็ทำให้พ่อต้องตาย  ผิดมากหรือที่เรียนหนังสือไม่เก่ง  ฉันผิดมากใช่ไหม"

              ณพัทธ์ลูบหัวข้าวปุ้นเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ปลอบ  เขาควรจะใช้หลักจิตวิทยาที่กำลังศึกษาอยู่รึเปล่า  มันจะได้ผลสักแค่ไหน  มันก็น่าลองดู

              "คนเราเกิดมาก็ต้องตายกันทั้งนั้น  พ่อแม่ของฉันมีฉันเป็นลูกเพียงคนเดียว  สิ่งที่หวาดกลัวที่สุดคือการที่ฉันต้องจากไป " เขาเงียบจนอีกฝ่ายเริ่มเปิดใจพูดอะไรออกมาอีก

              "ฉันไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลยสักครั้ง  พอลืมตัวดูโลกก็เหมือนเป็นบาปเป็นกรรม"

               เขาจ้องหน้าเธอเอาจริงเอาจัง  เห็นสีหน้าไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนเรื่อง

              "วันนี้เธอคงต้องเดินกลับบ้านแล้วล่ะ  แฟนเธอทิ้งไปซะแล้ว  เป็นเรานะจะไม่แค่ทิ้งอย่างเดียว" เขาทำหน้าอมยิ้ม

              "ทำไมแล้วนายจะทำอาร่ายฉันฮะ  ถามหน่อย.."ข้าวปุ้นทำหน้ากวนประสาท เขาจึงเงียบไป "เอะ..ฉันถามทำไมไม่ตอบ"

              "ถามผมเหรอ..ขอโทษ" เขาทำหน้ากวนประสาทตอบ "ขอโทษ ๆ  นึกว่าถามหน่อย"

              "กวนโอ๊ยนักนะ..เพื่อนเล่นเหรอเนี้ย" ข้าวปุ้นทำท่าขลึงขลัง

              "ผู้หญิงนี่อารมณ์แปรป่วนนะ  โดยเฉพาะเธอ  ทำไมถึงไม่คุยกับแม่ดี  ๆ ผู้ใหญ่ถ้าเราพูดดี ๆ อธิบายเหตุผลท่านก็ต้องเข้าใจ"

              ข้าวปุ้นเบ้ปากแล้วเดินหนีไปเสียดื้อ ๆ ณพัทธ์ทำท่างง ๆ แต่ก็เดินตามไป

              "มีปัญหากับที่บ้านเหรอ  ทำไมไม่คุยกันให้รู้เรื่อง  ปล่อยไว้อย่างนี้ยิ่งนานวันก็ยิ่งไม่เข้าท่า  เปิดอกคุยกับท่านไปเลย  "

              "คุยแบบไหนให้รู้เรื่องล่ะ  นี่ไงแล้วฉันจะให้นายคุย"

              เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเมื่อมีสายเรียกเข้า 

              "ค่ะแม่  อยู่ค่ะ  พี่พายก็อยู่นี่" เธอส่งโทรศัพท์ให้ กระซิบกระซาบกันอยู่นานจนสายหลุด

              "นายไม่ต้องพูดอะไร เป็นพี่พายให้ฉันทีเท่านั้นแหละ ได้ไหม.." เธอขู่อย่างรีบเร่ง  ก่อนเสียงโทรศัพท์จะดังอีกครั้ง

              "ครับแม่....น้องอยู่กับผม" ข้าวปุ้นบอกให้เปิดเสียง  เขากดโทรศัพท์แล้วเสียงนางปางทองผู้เป็นแม่จึงดังขึ้น

              "ตาพาย..อยู่กับน้องก็ดีล่ะ  แม่จัดการยายปุ้นให้แล้ว พายไม่ต้องเป็นห่วง  คราวหลังมีอะไรพายโทรมาบอกแม่นะ  แม่จะจัดการให้  ยายปุ้นก็เป็นอย่างนี้ชอบคบคนไม่รู้จักดูหัวนอนปลายเท้า  พายได้ยินแม่ไหม พาย...."

              "ครับแม่ ครับ "

              "เป็นอะไรไป  เสียงพายแปลก ๆ นะ"
    "ไม่ได้เป็นอะไรนี่ครับ"  
     
    ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว  ถ้ายายปุ้นทำอะไรงี่เง่าอีก พายรีบโทรมารายงานแม่ด่วยเลยนะ  ลูกคนนี้ไม่เคยรักดี  มันไม่รักดีตั้งแต่เกิด  งั้นแค่นี้ก่อนนะลุก
    "

              ตู๊ดดดดดดด.......แล้วสายก็ตัดไป         

              ข้าวปุ้นจึงยักคิ้วถามณพัทธ์

              "ไง..เมื่อกี้ทำปากดี  ทีให้คุยจริง ๆ ไม่เห็นกล้า"

              "เอ่อนะ  เอ่อนะ คราวหลังก่อนเถอะ  จะย้อนกลับให้"

              "ไหนเมื่อกี้บอกว่าคุยกับผู้ใหญ่จะต้องมีเหตุผล  อ่อนน้อมถ่อมตน สุภาพเรียบร้อย อะไรแบบนี้ไม่ใช่เหรอ  ไหนกลืนน้ำลายตัวเองเสียง่าย ๆ "

              "มันก็ใช่  แต่แม่เธอจะให้คบคนแต่ภายนอกที่ร่ำรวย รูปหล่อ เป็นนักกีฬามหาลัยแค่นั้นน่ะเหรอ  ไม่ถามหรือว่าลูกสาวตัวเองรักเขารึเปล่า......จริงสิแล้วเธอรักพี่พายรึเปล่า"

              "รักเหรอ....สะกดยังไงก็ยังไม่รู้"

              "ฉันเข้าใจก็ตอนนี้นี่เองที่เขาพูดกันว่าการศึกษาไม่สามารถช่วยให้คนฉลาดขึ้น"

              "นี่นายกำลังว่าฉัน " เธอถามเสียงเข้ม "ว่าฉันโง่ใช่ไหม" ข้าวปุ้นเขย่าตัวณพัทธ์  เขาจับแขนเธอไว้เธอจึงหยุดนิ่งวเหมือนถูกสะกด  ทั้งคู่สบตากันช้า ๆ  จ้องมองความสัมพัทธ์ลึก ๆ ทางจิตใจ  เธอต้องพยายามเข้าใจว่าเธอจะเผลอใจไปให้ใครไม่ได้อีกแล้วเพราะคนที่จะเป็นสามีในอนาคตต้องชื่อเพทายคนเดียวเท่านั้น  ทุกสิ่งทุกอย่างถูกจับวางราวกับเกมส์หมากรุกที่ผู้เล่นคิดไว้แต่เบื้องหน้าว่าจะทำอย่างไรให้ตัวถึงเป้าหมาย  โดยหมากบางตัวที่เดินไปอาจจะฝืนกับความจริง

              "ตอนที่แม่เธอท้องคงชอบทานขนมจีนสินะ"         

    "เหน็บแนมนี่เก่งจริง ๆ   ฉันว่านายน่าจะเลือกเข้าชมรมเหน็บแนมแห่งประเทศไทยนะ  คงได้เป็นประธานชมรมแน่ ๆ เชื่อฉันสิ "

              "เธอก็ว่าไปนั่น  เข้าชมรมสิจะได้เจอกันทุกวัน"

              " แม่ฉันไม่อนุญาตให้เล่นกีฬาเพราะกลัวว่าจะบาดเจ็บ  ตอนอยู่ม .ต้นฉันเคยแขนหักเพราะเล่นบาสนี่แหละ หลังจากนั้นแม่ก็เลยสั่งห้าม  และแม่ก็เริ่มตั้งกฎเกณฑ์ให้ฉันตั้งแต่ตอนนั้นมา  แต่ที่นายพูดเมื่อกี้หมายความว่าไง อยากเจอฉันหรือ "

              "ใครบอก.....ฉันจะไปอยากเจอเธอทำไม  หน้าตาก็งั้น ๆ แถมยังต๊องอีกต่างหาก  แล้วเธอไม่มีเพื่อนเหรอ  เห็นเธอมานั่งอยู่แบบนี้ตั้งแต่เปิดเทอมแล้วนี่หน่า "

              "ไม่มีหรอก แม่ไม่ยอมให้คบใครนอกจากพี่พายเท่านั้น  แม่กลัวจะเสียคนเพราะเพื่อน  ฉันไม่เคยมีโลกส่วนตัว ไม่เคยสังสรรค์  และไม่เคยทำอะไรที่อยากทำเลยสักครั้ง"

              "ถ้าเราจะเป็นคนพาเธอให้รู้จักกับอะไร ๆ ในโลกอันสวยงามนี่ล่ะ จะว่าไง "

              "ฮึ..อยากออกจากชมรมแบบไม่มีเงื่อนไขรึไง  กล้ามาก ๆ ระวังจะโดนไล่ออกนะจ๊ะ นี่คือคำเตือน พี่พาย..หวงฉันเข้าไส้  นายลองมายุ่งสิจะได้เจอเด้งออกจากทีมโดยไม่รู้ตัว"

              "เอาเหตุผลอะไรมาไล่ผมออกล่ะ"

              "เหตุผลที่นายชอบทำท่าทางเหมือนจะตายคาสนามนะสิ  อย่ามายุ่งกับฉันเลย  ถ้าไม่อยากเดือดร้อน  เพราะฉันคบใครไม่ได้อีกแล้ว"

              "ทำไมล่ะ อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เธอปิดกั้นความรู้สึกขนาดนั้น"

              "ปิดกั้นความรู้สึก  นายเอาอะไรมาพูด.....มันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถมีใครเข้าใจฉัน ไม่เลย..." น้ำเสียงนั้นแผ่วเบาลงมากเหลือเกิน  จนเขาเองก็แทบจะมีน้ำใส ๆ ออกมาเมื่อความรู้สึกเหมือนผสานเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน  ทำไมนะทุกครั้งที่เธอสบตามันถึงเหมือนโลกทั้งโลกแทบจะหยุดหมุน

              "เธอรักเขารึเปล่า....ปุ้น...เธอรักเขาไหม"

              "รักหรือไม่..แล้วฉันจะทำอะไรได้  หากตอนนี้ไม่มีแม้แต่ความคิดที่เป็นของตัวเอง  ทุกอย่างแม่ฉันได้จัดวางไว้ให้เรียบร้อยแล้ว"

              ณพัทธ์คว้าแขนข้าวปุ้นแล้วดึงวิ่งข้ามถนนขณะที่รถรอบเมืองจอดอยู่เบื้องหน้าพอดี

              "จะไปไหนกัน"

              "เห็นถนนที่ตรงไปข้างหน้าไหม  รถคันนี้เราขึ้นประจำ  สักพักจะถึงสี่แยก  เธอเคยผ่านมารึเปล่า" ข้าวปุ้นส่ายหน้า  เมื่อรถติดไฟแดงเขาจึงถามต่อไปอีก

              "การที่ผู้ใหญ่บอกให้เราทำตามที่ท่านต้องการก็เพราะว่าหวังดี  อยากให้เราเดินให้ถูกทางแต่ทางที่ท่านเลือกให้เราวันข้างหน้าท่านก็ยังไม่รู้เลยว่ามันจะเป็นยังไง  เนี้ยถ้าเป็นเธอจะเลือกไปทางไหนถ้าเธอยังไม่ตั้งเป้าหมายในชีวิต"

              "แล้วฉันควรทำยังไงล่ะ" น้ำเสียงเธออ่อนลงมาก

              "เธอก็ควรคิดได้แล้วว่าเธอจะทำอะไร  มีจุดมุ่งหมายเพื่ออะไร  ถ้าเธอไม่คิดแล้วจะมุ่งสู่ทางข้างหน้าได้ยังไง  เธอเป็นมนุษย์ไม่สามารถจะทำตามใจคนอื่นให้ดีได้ทุกอย่าง  แต่เราก็ไม่ได้อยากให้เธอไม่เชื่อฟังพ่อแม่หรอกนะ  เพียงแต่อยากให้เธอรู้จักคิดเองเป็น  " เสียงอ๊อดดังขึ้นแล้วรถก็จอดลง ทั้งคู่เดินลงมาจากรถ  เขาบีบมือเธอไว้

              "สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สิ  อย่างนั้นแหละเอาให้เต็มปอดเลย  สบายใจขึ้นรึยัง" ณพัทธ์สั่ง ข้าวปุ้นจึงทำตาม รู้สึกโล่งขึ้นมาทันที

              "ขอบใจมากนะ  นี่เป็นครั้งแรกเลยรู้ไหม  ที่ฉันออกมาข้างนอกโดยไม่มีพี่พายมาด้วย"

              "และมันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย" เขาส่งยิ้มให้อย่างมีความสุข 

              รอบ ๆ บึงแห่งนี้มีต้นไม้สูงตะหง่าดให้ร่มเงา  ยังได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังกระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง  ตามคำบอกเล่า  จู่ ๆ เขาก็หยุดเดินและถามเธอว่า

              "ได้ยินเสียงอะไรรึเปล่า"

              เธอส่ายหน้าเบา ๆ  และเอี้ยหูฟังอย่างเงียบ ๆ  จนแรงที่เขาบีบทำให้เธอสัมผัสได้ถึงความมีมิตรไมตรีและความรู้สึกดีเล็ก ๆ ที่กำลังจะก่อตัวขึ้นมา  ข้าวปุ้นจ้องใบหน้าขาวซีด ๆ  ของเขา  เห็นริมฝีปากสีชมพุระเรื่อมันช่างเข้ารูป เธอเองยังอยากมีปากบาง ๆ แบบนั้น  จมูกโด่งเป็นสันดูคล้ายจะเหมือนพวกฝรั่ง  แต่ก็ไม่ใหญ่มากจนไม่เข้ากับหน้า  เขามีลักยิ้มด้วยสิเธอสังเกตเห็นมันขึ้นเพียงข้างเดียวเท่านั้นเอง   

              เสียงตะโกนดังขึ้นจนเธอเองก็ต้องสะดุ้ง

              "ผมชอบผู้หญิงคนนี้...ผมชอบข้าวปุ้น"

              เธอหน้าแดงเหมือนเคอะเขินเสียเต็มที่  เสียงสะท้อนกลับมาให้ได้ยินเมื่อเขาตะโกนออกไป  ตะวันกำลังลับขอบฟ้ามีเพียงแสงแดงสีส้มจาง ๆ ส่องให้เห็นคนทั้งคู่กำลังเดินรอบบึงอัตราวัตร เขาพาเธอเดินไปเรื่อย ๆ จนจะครบรอบที่สาม  เมื่อเสียงมอเตอร์คันหนึ่งดับเครื่องลงใกล้ ๆ

              "ไอ้หนุ่มเอ้ย  คนนี้รึว่ะแฟนเอ็ง น่ารักไม่เบา"

              ชายวัยกลางคน นามว่าเชิง ถามอย่างเรียบๆเคียงๆ

              "ครับ" เขาตอบอย่างอาย ๆ

              "แหมะ.....สายฟ้าแลบเชียวนะเอ็ง บทจะมีแฟนก็มีเอาซะดื้อ ๆ แม่หนูคนนี้รึเปล่าที่ทำให้หัวใจเอ็งบอบช่ำมานาน "

              เขาทำท่าทางจุปากเหมือนเคยเอ่ยพร่ำเพรื่อถึงใครคนหนึ่งที่ตัวเองหลงรักซึ่งเจ้าตัวได้ยืนข้าง ๆ แล้ว

              "บอกไปเถอะว่ะ  ว่าหลงรักเขามานานแรมปี  มีโอกาสดีก็วันนี้  เอาว่ะ..ข้าเห็นเอ็งเดินจะครบสามรอบแล้วนี่น่า " ลุงเชิงเอามือล้วงเข้าไปในย่าม  หยิบสิ่งของบางอย่างพร้อมกับด้ายสีขาวที่พันกันป็นเกลียวขึ้นมา

              "ลุงจะทำอะไรคะ" ข้าวปุ้นร้องทัก

              "จะมัดแขนให้เอ็งสองคนไงจะได้รักกันไปนาน ๆ "

              เมื่อมัดแขนของเขาเสร็จแต่ข้าวปุ้นยังไม่ยื่นมือไป  ณพัทธ์จึงออกปากแทน

              "ไม่เป็นไรครับลุง ขอบคุณมากเดี๋ยวผมผูกให้เธอเอง"

              คำกล่าวนั้นออกจะซื่อเสียจนอีกฝ่ายรู้ถึงความจริงใจ  ข้าวปุ้นยื่นมือออกไป

              "ลุงผูกให้หนูด้วยค่ะ  ขอให้หนูได้เรียนรู้รักด้วยตัวเองโดยที่ไม่มีใครต้องบงการ"

              ณพัทธ์อึ้งไปครู่หนึ่งจนลุงเชิงมัดมือให้ข้าวปุ้นเสร็จ เขาจ้องหน้าเธอไว้อยากจะรู้เหตุผลบางอย่าง

              "ที่พูดเมื่อตะกี๊  จริงรึเปล่า"

              เธอเดินหนีไม่ตอบแต่แอบอมยิ้มเดินไปเรื่อย ๆ 

              "ตอบหน่อยสิว่าเมื่อตะกี๊พูดจริงรึเปล่า"

              "ตอบหน่อยก็ได้" ข้าวปุ้นหยั่งเชิง

              "จริงนะ .." แต่เธอยังไม่ยอมพูด "อ้าวแล้วทำไมไม่พูดล่ะ"

              "ก็ยังไม่เห็นหน่อยนี่หน่า  ถ้าหน่อยมาเมื่อไหร่จะตอบ"

              "เป็นหมารอบกัดหรือเรา นี่แน๊ะอย่างนี้ต้องโดนทำโทษ"

              ทั้งคู่วิ่งไล่ไปจนเหนื่อย  ข้าวปุ้นหยุดมองออกไปโดยรอบ ก่อนจะเป็นคนบีบมือณพัทธ์แล้วตะโกนกลับไปยังบึงว่า

              "ลลนาชอบณพัทธ์  ลลนาชอบณพัทธ์คะ"

              "ขอเป็นชื่อข้าวปุ้นได้ไหม"

              "ข้าวปุ้นชอบพัทธ์"  เสียงสะท้อนกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า  เพราะเธอตะโกนจนเหนื่อยหอบ

              "รู้สึกโล่งอกยังไงบอกไม่ถูกเลยนะ เหมือนยกภูเขาออกจากอก"

              "มีอยู่แค่นี้ยังจะ  หนักอกหนักใจอีกหรือ" เขาทำท่าเหมือนมันเล็กมาก

              "นี่กำลังหมายถึงอะไรย่ะ  หน้าอกงั้นเร๊อะ  ถึงจะมีแค่น้อยนิดแต่ก็พอตัวแหละหน่า  ถามจริง...ชอบเรามานานแล้วจริงอ่ะ...."ข้าวปุ้นเดินไปจ้องหน้าเขาอย่างเอาจริงเอาจัง  "ถามจริง ๆ ตอบมาดิ" เธอยังเซ้าซี้ต่อ

              "เรื่องอะไรจะบอก...ถ้ารู้ก็ข่มตายสิจ๊ะ"

              "ไม่บอกก็อย่าบอก  คราวหลังถ้าอยากบอกจะไม่ฟังด้วยนะจะบอกให้"

              ข้าวปุ้นก้มดูนาฬิกาเห็นเข็มชี้ไปที่เลขหกก็เริ่มใจไม่ดี  ท่าทางของเธอทำให้เขาเดาออก

              "อยากกลับแล้วใช่ไหม..."

              "ยังหรอก..แต่ว่าต้องกลับแล้วสิ..แย่จังนะ" เธอเสียงเศร้า

              "ไม่อยากให้กลับเลย  รู้ไหมว่าเรามีความสุขมาก  ที่ได้อยู่กับเธอ "

              "รู้สิ  ตัวเองมีความสุขคนเดียวซะเมื่อไหร่  เราก็มีความสุขเหมือนกัน "

              "เห็นต้นไม้นั่นไหม มันเป็นสีชมพู " เขาชี้พร้อมบอกให้เธอหยุดเดิน

              "หยุดทำไมล่ะ ไหนต้นไหน  ไม่เห็นเลย....มีด้วยเหรอที่ต้นไม้เป็นสีชมพู"เธอทำหน้างง

              "แสดงว่ายังไม่มีความรัก เพราะเขาบอกว่าคนที่มีความรักจะมองอะไรก็เป็นสีชมพู "

    เธอเบ้ปาก เบื่อสำนวนน้ำเน่าเต็มทน " เชื่อไหมว่าที่นี่เขาเล่าขานกันว่าเป็นบึงย้อนกลับ  เหมือนชื่อของมัน"

              "ชื่อบึงอัตราวัฎแปลว่าย้อนกลับงั้นหรือ  อะไรคือการย้อนกลับ"

              "เขาว่าถ้าเราอธิฐานอะไรแล้วให้เดินวนซ้าย  เช่นถ้าเราบอกว่ารักปุ้นแล้วเดินวนซ้ายจนครบสามรอบด้วยกัน  ความรักของเราจะยั่งยืน  แต่ถ้าเราจะเลิกกันให้มาถอนคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้แก่กันโดยการวนขวาและตะโกนบอกไปว่าเราสองคนหมดรักกันแล้ว"

              "ถ้าเลิกกันแล้วไม่ได้บอกล่ะจะเกิดอะไร"

              "จริงสิ..ลืมถามลุงเชิงเลย...คิดได้ยังไงนะ"

              "ทำมาเป็นชม..เชอะ.."เธอเชิดหน้า พร้อมกับกอดอก"อากาศเริ่มเย็นแล้วนะ" ข้าวปุ้นจ้องเสื้อกันหนาวที่เขาใส่อยู่  แล้วนึกถึงความอุ่นของมัน

              "อากาศเริ่มหนาวนะ ว่าไหม" เธอย้ำหลายครั้งแต่อีกฝ่าย ยังแกล้งไม่ได้ยิน "อากาศเริ่มหนาวแล้วเน๊อะ..." ข้าวปุ้นพูดเสียงดังอีกรอบ คราวนี้ไม่ได้ยินก็ต้องได้ยิน

              "ฮะ..หนาวหรือ  แล้วไงอ่ะ  อย่า...อย่าแม้แต่คิดว่าฉันจะยอมเสียสละเสื้อกันหนาวให้เธอนะ ฉันก็หนาวเหมือนกัน"

              "ใครบอกว่าฉันอยากจะใส่ของนาย ฮู้......." เธอทำปากจู๋

              "อ่ะ......เอาไป" เขาถอดเสื้อกันหนาวที่ใส่อยู่ส่งให้ ข้าวปุ้นกำลังจะรับมา แต่เขาชักมือกลับ

              "แน  ไหนว่าไม่เอา " ณพัทธ์ล้อ ข้าวปุ้นจึงชักมือกลับ

              "กวนประสาทนักนะ  จะให้ไม่ให้" ข้าวปุ้นเสียงแข็ง เขาจึงยื่นเสื้อให้อีกแต่ข้าวปุ้นไม่ยอมรับ

              "เอาไป  ล้อเล่นแค่เนี้ย ทำเป็นโกรธ  เอา  เอาไปเถอะน่า.....ไม่ล้อแล้ว นะจ๊ะ นะจ๊ะ" เขาขอร้องข้าวปุ้นอยู่นานจนเธอยอม  ยื่นมือรับเสื้อแต่เขาจะดึงกลับข้าวปุ้นจึงมองตาแข็งขู่  แต่ยังฟอร์ม

              "เห็นว่าขอร้องหรอกนะ  เป็นโรคผิวหนังรึเปล่า  กลิ่นก็แบบว่าพอทน" เธอทำท่าแขยง

              "บ้าสิ.......เอาคืนมาเลย เราอาบน้ำทุกเดือนยะ"

      ทั้งคู่หัวเราะชอบใจ

              ข้าวปุ้นค่อย ๆ ย่องเข้าไปในบ้านสะดุ้งเมื่อไฟฟ้าสว่างขึ้น  เสียงชายหนุ่มถามเสียงเข้ม

              "ไปไหนมา...ทำไมถึงกลับเอาป่านนี้"

              "ก็พี่พายทิ้งปุ้นทำไมล่ะค่ะ....."

              เพทายเงียบทำให้ข้าวปุ้นเป็นต่อ เพทายรู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังปกปิดและทำลงไปเป็นสิ่งที่ผิด เขาจึงได้แต่เงียบไม่ตอบคำถาม  เพราะเขาไม่เคยทิ้งเธอเลยแม้สักครั้ง

              "เงียบทำไมจ๊ะ..มีอะไรแน่ ๆ ทำผิดมาใช่ไหมบอกมานะ"ข้าวปุ้นถามลอย  แต่อีกฝ่ายกลับรนไปเอง 

              เพทายทำหน้าไม่ถูก  กระวนกระวายรีบจะแก้ตัวแต่ข้าวปุ้นบอกซะก่อน

              "ล้อเล่นน่ะ  ทำเหมือนมีความผิดเลยนะเนี้ย" คิดอยู่ในใจว่าเธอก็ทำผิดมาเหมือนกัน  "อย่าให้รู้ล่ะว่าไปทำอะไรไม่ดีมา ถ้ารู้เมื่อไหร่โดนแน่ ๆ เอ๊ะหรือว่าแฟนเก่ากลับมาหานะ เลยทำให้หน้าตาเป็นแบบนี้"ข้าวปุ้นล้อเลียน

              "ปะ ปะเปล่านะ  ไม่มีใครมาทั้งนั้นแหละ แฟนกงแฟนเก่าอะไร " เขาเฉไฉ "ปะ ไปกินข้าวกันดีกว่า  อย่าซีเรียสเลยนะจ๊ะ"

              "มีอะไรแน่ ๆ ใช่ไหม" ข้าวปุ้นเค้นเอาคำตอบ  แกล้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู  เพทายยึกยักกลัวความผิดบางอย่าง แต่เธอก็เปลี่ยนใจเพราะเธอเองก็ได้ทำอะไรบางอย่างที่ไม่อยากให้เขารู้มาเหมือนกัน  ข้าวปุ้นวางโทรศัพท์ลง  แล้วถอนหายใจ

              "ไม่ดีกว่าค่ะ  อยากได้ยินจากปากของพี่เองมากกว่า  หนูไม่อยากทำให้พี่ลำบากใจ  ว่าแต่พี่มีอะไรจะบอกหนูไหม"

              "พี่..พี่.."

              เพทายไม่ทันได้พูดอะไรเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น 

              "ใครโทรมาหรือค่ะ..ไม่รับโทรศัพท์ก่อนล่ะ.." เธอชักสงสัยเมื่อเห็นโทรศัพท์ดังอยู่หลายรอบ "มีอะไรปิดบังหนูอยู่ บอกได้ไหม"

              ข้าวปุ้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย  ได้ยินเสียงผ่านสายออกมาเป็นเสียงหญิงสาวคนหนึ่ง  น้ำเสียงเอ่ยถามข้าวปุ้นเบา ๆ

              "หวัดดีค่ะ  น้องปุ้นรึเปล่าเอ่ย  หายไปไหนมาค่ะ พี่ชายเราเป็นห่วงแทบแย่"

              "ค่ะ..พี่คือ..."

              "แหม..ไม่รู้จักพี่เหรอค่ะ  พายเนี้ยไม่ไหวเลย น่าตีจัง  เล่าแต่เรื่องน้องสาวให้ฟัง  แต่ไม่ยักกะเล่าเรื่องของแฟนให้น้องฟังบ้าง  พอดีพี่จะมาต่อโทที่นี้  ไม่ค่อยไว้ใจพี่พายขานี้เผลอทีไรเป็นขี้หลีทุกที"

              ข้าวปุ้นจ้องหน้าเพทาย  ก่อนดวงตาจะแดงกล่ำเพราะความผิดหวัง  นี่หรือความเจ็บปวดไม่น่าเชื่อว่าวัน ๆเดียวจะทำให้เธอเรียนรู้อะไร ๆ ที่มากกว่า 

              "พี่จะคุยกับพี่พายไหมค่ะ" ข้าวปุ้นเสียงสั่น

              "ไม่ล่ะจ๊ะ..เดี๋ยวพี่พายคงกลับบ้าน  บอกว่าพี่รออยู่นะ  ขอบใจจ๊ะ"

              หลังวางสายข้าวปุ้นทรุดตัวลงนั่งช้า ๆ บนโซฟา  นี่น้ำตามันเกิดมาจากความรู้สึกของอะไรกันนะ  เธอไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือความรัก ความหึงหวง ความโกรธ หรือความน้อยใจ  ที่ผู้ชายคนเดียวที่เธอคิดว่าเขารักเธอมากนักมากหนาจะทำร้ายเธอได้แบบนี้ อย่างเลือดเย็น

              "พี่..ไม่ได้คิดอะไรกับณัฐนันแล้วนะ  มันเป็นเรื่องในอดีตเท่านั้นเอง  "

              "ทำไมไม่เล่าให้ฟังบ้าง  ว่าพี่มีคนที่พี่รักมากขนาดนั้น"

              "พี่ไม่ได้รัก..ความใก้ลชิดมันทำให้พี่เผลอใจไปเท่านั้น "เพทายแก้ตัว

              "แล้วพี่ก็จะบอกหนูว่าความห่างไกลระหว่างพี่และผู้หญิงคนนั้นทำให้พี่หมดรักเธออย่างนั้นหรือค่ะ  แล้วถ้าเธอกลับมาแบบนี้  เธอจะทำยังไง พี่จะให้หนูรู้สึกยังไง  ตอนนี้หนูอยู่ในฐานะน้องสาวพี่เท่านั้นใช่ไหมค่ะ " น้ำเสียงนั้นน้อยในเหลือเกิน "ตอบมาสิคะ"

              "หนูเป็นคนรักของพี่  พี่รักหนูคนเดียว"เพทายเสียงสั่น

              "อย่าบอกว่ารักหนูอีก..." ข้าวปุ้นเดินเข้ามาปิดปากเพทายไว้ "ไม่กี่เดือนผู้หญิงคนนั้นก็จะมาอยู่ที่นี่  ถ้าพี่เคลีย์มันไม่ได้  เราสองคนก็คงต้องจบกัน" เธอเงียบไปครู่หนึ่ง "นะคะ"

              "ไม่นะ...คนดี" เพทายดึงมือออก  "พี่รักหนู  พี่รักหนู" เพทายเขาไปกอดข้าวปุ้นไว้

              "คนที่เขารักกันเขาทำกันแบบนี้หรือคะ  เขาโกหกกันแบบนี้หรือคะ"

              เธอสะอื้นไห้เบา ๆ เกะมือชายหนุ่มออก

              "ไปนะ..ไปหาเขาเถอะ  หนูไม่อยากเสียใจ หนูไม่อยากผิดหวัง"

              "หนูไม่อยากจะรักพี่เพราะว่าหนูกำลังเปิดใจรับไอ้เด็กนั่นใช่ไหม  อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้ว่าหนูไปไหนมานะ  เพียงแต่พี่ไม่อยากจะพูด"

              "ค่ะ...หนูกำลังเปิดใจรับเขา ทำไมล่ะ...แล้วพี่พายจะทำไม" เสียงสั้น ๆ นั้นกระด้างขึ้นทุกที

              "พี่ไม่ทำอะไรหนูหรอกนะ  แต่ไอ้นั่นมันต้องเจอดีแน่" เพทายโมโหเปิดประตูแล้วปิดกระแทกเสียงดังข้าวปุ้นปล่อยโฮออกมาอย่างผิดหวัง 

              ข้าวปุ้นกลั้นใจเดินเข้าไปในโรงยิม  เห็นณพัทธ์ถูกฝึกหนักอยู่คนเดียวกับเพทายหลังจากที่ทุกคนถูกปล่อยตัวกันหมด  ความไม่พอใจทำให้ข้าวปุ้นต้องออกปาก

              "นี่พี่พายกำลังทำอะไรอยู่คะ  เขาจะไม่ไหวแล้วนะ" ข้าวปุ้นพยุงตัวณพัทธ์ขึ้น  ยิ่งทำให้เพทายโมโห

              "ไม่ไหวก็ดี  งั้นการคัดเลือกตัวก็เป็นอันว่าจบ  นายไม่ผ่าน"

              ณัฐนันเดินเข้ามาทำให้บรรยากาศยิ่งตึงเครียดขึ้น 

              "พาย..คุณทำไมฝึกน้องเขาหนักอย่างนี้ล่ะคะ  แฟนน้องปุ้นหรือ"

              ทุกคนยิ่งเงียบกันไปใหญ่เมื่อคำถามถูกส่งเข้าโสตประสาทของทุกคน  เพทายดึงแขนข้าวปุ้นมาใกล้

              "แฟนปุ้น....ก็พายนี่ไง" เพทายพูดเสียงดัง

              "อะไรกันค่ะ..." ณัฐนันเอะอะ "นี่มันอะไรกัน  อธิบายหน่อยสิ  ทำแบบนี้นันงงไปหมดแล้ว " ณัฐนันเข้าไปเกาะแขนเพทาย "อย่าล้อเล่นแบบนี้สิค่ะ ใจไม่ดีเลย"

              "พายพูดจริง แฟนพายชื่อปุ้น" เพทายบีบมือและดึงตัวข้าวปุ้นมาใกล้  "ผู้หญิงคนนี้เป็นคนรักของพาย"

              ข้าวปุ้นดีใจกึ่งหวั่นความรู้สึกอีกฝ่ายที่ถูกตัดเยื่อใยซึ่ง ๆ หน้า ไม่ใช่แค่ณัฐนันเท่านั้นเธอเผลอคิดไปว่าความรู้สึกของณพัทธ์จะเป็นอย่างไร  ความเงียบทำให้ทุกสิ่งในโลกเหมือนไม่เคลื่อนไหว  หัวใจหลายดวงกำลังทดท้อผิดหวัง  ณัฐนันเรียกสติคืนมาก่อนคนอื่น  รีบแก้ สถานการณ์ตรงหน้า

              "พี่ขอตัวพี่พายก่อนนะค่ะ" เธอลากตัวเพทายออกจากที่นั่น  ข้าวปุ้นตาแดง ๆ  เหมือนน้ำในตาจะไหล  ณพัทธ์จึงเอ่ยถาม

              "ผิดหวังมากรึเปล่า  อยากจะร้องก็ร้องเถอะ"น้ำเสียงแผ่ว ๆ เอ่ยถาม  

              "ร้องไห้หรือ..ร้องไห้ทำไมกันล่ะ  ฉันกำลังเสียใจหรือไงนะ" เสียงสะอึกสะอื้นดังเครือ ๆ ปนกับเสียงพูดไม่เป็นคำ  ณพัทธ์ปาดน้ำตาให้เธอแล้วแกล้งแซว

              "ไม่ร้องไห้อะไรล่ะ  ดูสิตาบวบเป่งขนาดนี้  ร้องไห้เดี๋ยวไม่สวยนะ งานคืนพรุ่งนี้เธอต้องเด่นที่สุดในงานแน่  อาจจะได้เป็นขวัญใจของชาวมหาลัยในเทอมหน้าก็ได้  เตรียมตัวให้ดี"

              "เตรียมตัวทำอะไรล่ะ "

              "เถอะน่า ...พรุ่งนี้ก็รู้เอง...เอาเป็นว่าหมาน้อยอย่าพึ่งร้องไห้นะจ๊ะ  เดี๋ยวจะร้องเพลงให้ฟัง  ร้องเพลงอะไรน๊า..  มาเถอะจะพาไปที่ที่หนึ่ง"

              ณพัทธ์พาข้าวปุ้นเข้าในอาคารแห่งหนึ่ง  เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบว่ามีเครื่องดนตรีหลายชิ้นตั้งอยู่ เขาหยิบกีต้าร์ไฟฟ้าขึ้นมา  แล้วถามเธอว่าร้องเพลงเป็นรึเปล่า หญิงสาวส่ายหน้า

              "คนอะไรนะ ร้องเพลงไม่เป็น"

              "ก็คนแบบฉันนี่แหละ..ทำไม..มีปัญหารึไง "

              ณพัทธ์หัวเราะขำกับท่าทางของเธอ  แล้วเปิดไมค์พูดออกไปว่า

              "เพลง ๆ นี้ขอมอบให้กับหมาน้อยในดวงใจของผม  เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมรัก รัก และรักตลอดไปผมสัญญา "

              .........................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................

              หญิงสาวปรบมือเสียงดัง  พร้อมกับรอยยิ้มในดวงตาอันแสนเศร้า

              "เราไม่อยากมองตาปุ้นเลย  มันเศร้ายังไงไม่รู้  เคยมีใครบอกบ้างไหมว่าตาเธอเหมือนร่ำร้องอะไรสักอย่าง  อย่างน่าสงสาร  คราวหลังเราจะดูแลเธอเองนะไม่ต้องห่วง"

              "เชอะ..ดูแลตัวเองให้รอดก่อนเถอะย่ะ  ฉันว่านายน่าจะไปหาหมอบ้างนะ  ดูท่าทางนายไม่ค่อยปกติเลย  เวลานายเหนื่อย ๆ ฉันเห็นนายเหมือนกับแน่นหน้าอกอยู่บ่อย ๆ  "

              "รู้สึกยังไงที่พี่ณัฐนันเขากลับมา"

              "นายรู้จักเขาเหรอ"

              "ใครจะไม่รู้จักล่ะ  นักเรียนแลกเปลี่ยนของมหาลัย  จบมาเป็นแพทย์ได้สบาย ๆ  สอบนะได้เอทุกวิชา  แถมพ่วงงานวิจัยยาที่กำลังทำอยู่อีก  ไม่รู้หรือว่างานวันพรุ่งนี้เขาจัดให้พี่ณัฐนันเป็นพิเศษ  เนื่องจากที่ทำชื่อเสียงให้มหาลัย  ที่สำคัญใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นเด็กเก่าของพี่พายกันทั้งนั้น"

              "นายรู้เรื่องนี้มานานแค่ไหน"

              "เห็นเพื่อนพี่ณัฐนันที่เป็นนักกีฬาบาสเขาพูดกันเท่านั้นแหละ  ไม่รู้ว่าทั้งคู่สนิทสนมถึงขั้นไหน  ผิดหวังหรือที่ไม่ได้เป็นคนพิเศษอย่างทุกที"

              "ก็มีบ้าง  หลงตัวเองมากไปก็งี้แหละ  คิดแต่ว่าเขาคงรักเราคนเดียว ไม่มีใคร  เชื่อสิ...ให้ตายเถอะ ช่างอ่อนต่อโลกเหลือเกิน"

              "แต่ยังไงก็ต้องระวังตัวนะ  พี่คนเนี้ย น้ำนิ่งไหลลึกเลยล่ะ"

    .....................................
    ขอบคุณนะค่ะที่เข้ามาอ่านยังไงช่วยติดตามและติชมได้เลยนะคะเพราะเป็นการเริ่มต้นครั้งแรก ช่วยคิดเพลงใส่ให้หน่อยเพราะเพลง ๆ นี้มีความหมายต่อคนทั้งสองคนมาก

    .....................................
    ขอบคุณนะค่ะที่เข้ามาอ่านยังไงช่วยติดตามและติชมได้เลยนะคะเพราะเป็นการเริ่มต้นครั้งแรก ช่วยคิดเพลงใส่ให้หน่อยเพราะเพลง ๆ นี้มีความหมายต่อคนทั้งสองคนมาก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×