ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dangerous Spy รักอันตรายวายร้ายสายลับ

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 5 เริ่มภารกิจ

    • อัปเดตล่าสุด 6 ม.ค. 54


     5

    เริ่มภารกิจ

     

                ครืด~

    ฉันม้วนผมขึ้นหนีบกับกิ๊ฟก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่านข้อความ

     

    ‘From…Victor

    Hi, honey

    อย่าลืมนะจ๊ะที่รัก..วันนี้เรามีเรื่องต้องทำกัน เก้าโมงตรงผมจะไปรับ..แต่งตัวสวยๆ ล่ะ ^^

    Love you จุ๊บๆ

     

    =_= ใครก็ได้ช่วยบอกฉันทีว่าข้อความที่ถูกส่งมามันมาจากวิกเตอร์จริงๆ..ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าทำไมหมอนั่นถึงได้เรียกฉันว่าที่รัก ก็เพราะเรื่องมันเกิดตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนที่หมอนั่นพาฉันไปทานข้าวไง -_-; หมอนั่นเลือกพาฉันไปร้านอาหารอิตาเลี่ยน มันเป็นร้านเดียวกับที่ฟอสเคยพาฉันไป และตอนนั้นเองที่ฉันเพิ่งรู้ว่าร้านอาหารนั่นเป็นของวิกเตอร์! ตอนนั้นฉันอยากกรีดร้องออกมาดังๆ และยิ่งหมอนั่นรู้ว่าฉันเป็นลูกค้าประจำของร้านนั่นอีก ฉันก็แทบดิ้นเร่าๆ ให้รู้แล้วรู้รอด T_T นับตั้งแต่วินาทีนั้นหมอนั่นก็เรียกฉันว่าที่รักทันทีทันใด อ๊ากกก~ ฉันอยากจะกระทืบหมอนั่นให้ตายคาบาทาของฉันจริงๆ T^T

    ในระหว่างที่รันเวย์พยายามจะกรีดร้อง ดีดดิ้น ให้กับนิสัยของวิกเตอร์นั้น ก็มีรถเฟอร์รารี่สีแดงเพลิงวิ่งเข้ามาจอดที่หน้าบ้านทันที แล้วไม่นานผู้ชายที่มีผมสีน้ำตาลแดง นัยน์ตาสีสนิมเหล็กก็ก้าวลงมาจากรถคันหรูเพื่อจะเข้ามาเจรจากับยามหน้าประตูบ้านของหญิงสาว แต่ผลที่ได้ก็ยังเหมือนเดิม

    “ไม่ได้ครับ ไม่ว่าคุณจะมาสักกี่ครั้ง พวกเราก็คงจะให้คุณเข้าไปไม่ได้เพราะนี่คือคำสั่งจากเจ้านาย พวกผมต้องทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด คุณกลับไปเถอะครับ”

    “แค่ครั้งเดียวไม่ได้เหรอครับ ผมแค่อยากเข้าไปพบเวย์ แค่ครั้งเดียวก็ยังดี”

    “ไม่ได้จริงๆ ครับ ผมให้คุณเข้าไปไม่ได้จริงๆ” เมื่อฟอสเซรัสพยายามเข้าไปในบ้านให้ได้ เหล่ายามก็ทำหน้าที่กีดกันเขาอย่างแข็งขัน ฝ่ายหนึ่งรุกอีกฝ่ายหนึ่งก็รับเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนฟอสเซรัสหมดความอดทน เขาตะโกนเข้าไปในบ้านของหญิงสาวเพื่อหวังว่าหญิงสาวที่เขาพยายามมาหานั้นจะยอมให้เขาเข้าไปในบ้าน

    “เวย์! เวย์ออกมาเปิดประตูให้ผมหน่อยสิ ผมต้องการคุยกับเวย์นะ เวย์!

    “เอ๊ะคุณ..บอกว่าเข้าไปไม่ได้ก็เข้าไปไม่ได้สิ..ยังจะดึงดันอยู่อีก”

    “ขอร้องล่ะครับให้ผมเข้าไปพบเวย์หน่อยเถอะครับ สักห้านาทีก็ได้ ขอร้องละครับ”

    “ก็บอกว่าไม่ได้ไง คุณฟังไม่รู้เรื่องรึไง” ไม่ว่ายามจะปฏิเสธอีกกี่ครั้งฟอสเซรัสก็ยังจะดึงดันเข้าไปให้ได้เพื่อหวังจะเข้าไปพบกับเธอ...

    (Special: Victor Talk)

    ผมขับรถมาถึงบริเวณบ้านของรันเวย์ก็ต้องแปลกใจ รถเฟอร์รารี่สีแดงเพลิงของใครมาจอดขวางประตูบ้านยัยนั่นกัน? ผมว่ามันดูคุ้นๆ ตานะเหมือนเคยเห็นมันที่ไหน..อ้อ รู้แล้ว นึกว่ารถใคร ที่แท้ก็รถแฟนเก่าของยัยนั่นเอง เฮอะ! ได้ข่าวว่าเลิกกันไปแล้วไงแล้วยังจะตามหาถึงบ้านทำไมเนี่ย -_-^

    ปัง!

    ผมปิดประตูรถอย่างฉุนๆ เมื่อเข้าก่อนจะมาก็อารมณ์ดีอยู่ แต่พอมาเห็นไอ้หมอนั่นก็เท่านั่นละ..อารมณ์เสียจริงๆ -_-^

    “เสียงเอะอะโวยวายลั่นบ้านแบบนี้ มีอะไรกันเหรอครับ” ผมพูดออกมาเสียงดัง ทำเอาพวกที่เถียงกันอยู่หน้าบานหันมามองผมกันเป็นตาเดียว..แฟนเก่ายัยนั่นก็หล่อใช้ได้นี่นา ถึงจะน้อยกว่าผมก็เถอะ -.,- (หลงตัวเองชะมัด)

    “ว่าไงครับ มีอะไรกัน” ผมยังคงถามทุกคนด้วยใบหน้าใสซื่อ แต่พอเห็นใบหน้าซีดเผือดของแฟนเก่ายัยนั่นก็แทบจะแสดงละครต่อไปไม่ไหว อยากจะหัวเราะออกมาดังๆ ชะมัด

    “ก็ผู้ชายคนนี้สิครับพยายามจะเข้าไปหาคุณหนู ทั้งๆ ที่คุณหนูสั่งห้ามเอาไว้ไม่ให้เข้าไปครับ”

    ผมพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะแอบสังเกตปฏิกิริยาของคนที่ถูกพาดพิง ไอ้หมอนั่นหันมามองผมอย่างงงๆ ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

    “เขาจะเชื่อหรือครับว่าเวย์สั่งห้ามจริงๆ ทำไมไม่ลองให้เขาเข้าไปในบ้านดูละครับ ถ้ายัยนั่นไม่ให้เข้าไปเดี๋ยวก็คงลงมาไล่เองละ”

    “เอ่อ..แต่ว่าคุณหนู...” ผมยิ้มออกมาเมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้ ฮะๆ ไม่ผิดใช่มั้ย ถ้าผมจะแกล้งใครเล่นสักหน่อย แบบว่ามันสะใจลึกๆ นะ วะฮะฮ่า ^_^

    “เดี๋ยวผมโทรไปถามให้ก็ได้ครับ ^^” ผมยิ้มออกมาอีกรอบก่อนจะล้วงโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาใครบางคน ไม่นานเสียงใสๆ ก็ตอบกลับมา

    (จะโทรมาเร่งฉันรึไงย่ะ -_-;) ใส จริงๆ ด้วย แว้ดมาเชียว -_-;

    “เปล่า..ถ้าฉันจะเร่งเธอจริงๆ ฉันขึ้นไปช่วยเธอแต่งตัวบนห้องก็ได้” ผมแอบปรายตาไปมองนายฟอสซิลไรนั่น ปรากฏว่าหมอนั่นกำลังจ้องผมเขม็งเชียว ฮะๆ ได้แกล้งคนนี่สะใจชะมัด

    (อย่ามาล้อฉันเล่นนะวิกเตอร์ นายมาถึงบ้านฉันแล้วใช่มั้ยเนี่ย -_-)

    ผมได้ยินเสียงกุกกักดังมาตามสาย ถ้าให้เดายัยนั่นคงกำลังเร่งแต่งตัวอยู่แน่ๆ เลย -0-

    “อืม ตอนนี้ฉันอยู่หน้าบ้านเธอ..แต่รู้สึกว่ามีปัญหานิดหน่อย” ท้ายประโยคผมลดเสียงลงอย่างจงใจ เพื่อเรียกความสนใจจากยัยนั่น รู้สึกว่าจะได้ผลซะด้วยแฮะ

    (ปัญหาอะไรขอนายหรือว่ายามไม่ให้เข้าบ้านฮะ..เดี๋ยวฉันจะไล่พวกนั้นให้หมดเลยคอยดู -_-^)

    “ฮะๆ ยัยต๊อง ฉันพูดแล้วรึไงว่ายามไม่ให้เข้าบ้านนะ” ผมยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ยัยนั่นชอบพูดหรือทำตัวให้ผมขำเสมอ ไม่รู่ว่าจะทำตัวเปิ่นๆ ไปทำไมแค่นี้ผู้ชายก็หลงเสน่ห์ยัยนั่นกันตรึมแล้ว

    (แล้วมีปัญหาอะไรล่ะ ฉันจะได้จัดการให้ถ้ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับบ้านฉันอ่ะนะ..ตุ้บ!)

    ผมปล่อยเสียงหัวเราะออกมากับความซุ่มซ่ามของยัยนั่น ไม่รู้ว่าคราวนี้ทำอะไรหล่น

    (หัวเราะอะไรเล่า -_-// แล้วตกลงมีปัญหาอะไรล่ะ)

    “ออกมายืนที่ระเบียงห้องนอนเธอสิแล้วเธอจะรู้” ยัยนั่นทำเสียงเฮอะในลำคอก่อนจะเดินออกมาที่ระเบียงห้องนอนแล้วก็มองลงมาที่ประตูบ้าน

    (ฟอส..)

    กะเอาไว้แล้ว..ยัยนั่นชะงักไปนิดเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่กับผมอีกคน ผมหันไปมองหน้าแฟนเก่าของรันเวย์ หมอนั่นหันมาจ้องผมอย่างเอาเรื่องก่อนจะหันไปสนใจเวย์แทน

    “เวย์! ผมขอเข้าไปหาเวย์ได้รึเปล่า แค่ห้านาทีก็ยังดี” ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่าแต่ผมรู้สึกว่าเสียงของไอ้หมอนั่นมันฟังดูเศร้าๆ ยังไงไม่รู้ ท่าทางว่าหลายเดือนมานี้หลังจากที่เลิกกับยัยนั่นคงจะหงอยเหงาน่าดู

    “ว่าไง..หมอนั่นมันขอเข้าไปพบเธอนะ..ที่รัก”

    ผมเหยียดยิ้มออกมาเมื่อไอ้เวรนั่นหันขวับมามองผมทันทีที่ได้ยินคำว่า ที่รัก จากปากผม ท่าทางว่ามันคงจะไม่เคยได้เรียกเวย์ว่าที่รักสินะ ดีล่ะ..ถ้าผมจะแย่งยัยนั่นมาเป็นของตัวเองก็คงไม่ผิดใช่มั้ย?

    (อย่าให้เขาเข้ามานะวิกเตอร์..ฉันไม่อยากให้เขาเข้ามาเหยียบบ้านของฉัน) ผมเหยียดยิ้มออกมาอีกครั้งก่อนจะหันไปพูดกับหมอนั่นอย่างสะใจ

    “ยัยนั่นไม่ต้องการให้แกเข้าไปว่ะ”

    “ฉันขอคุยกับเวย์หน่อย”

    หมอนั่นตั้งท่าจะเข้ามาแย่งโทรศัพท์ไปจากผม โชคดีที่ผมไหวตัวทันก่อนจะพูดสร้างความสะใจให้แก่ตัวเอง แต่สร้างความร้าวฉานให้กับคนอื่น ถึงยังไงซะยัยนั่นก็ไม่กลับไปคบกับไอ้ฟอสอะไรนั่นหรอก ผู้ชายที่กล้าหักหลังยัยนั่น..เธอไม่มีทางหันกลับไปให้ความสนใจหรอก..แล้วผมยังจะต้องแคร์อะไรอีกล่ะ เดินหน้าเข้าไปเลยสิ

    “โอ๊โอ๋..อย่ารีบร้อนสิ ฉันจะต้องถามที่รักของฉันก่อน..ว่าไงจ๊ะที่รัก หมอนั่นมันต้องการคุยกับเธอ เธอจะยอมคุยกับมันรึเปล่า?”

    (ขอร้องล่ะวิกเตอร์ ฉันไม่อยากคุยกับหมอนั่น..นายช่วยไล่เขากลับไปหน่อยได้มั้ย)

    “เอางั้นเลยเหรอ..ก็ได้ ถ้าเธอต้องการ” ผมถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับหมอนั่น นี่ตกลงว่าผมเป็นไม้กันหมารึเปล่าวะ -_-^

    “เสียใจด้วย ยัยนั่นไม่ต้องการคุยกับแก อ้อ..แล้วยัยนั่นต้องการให้แกไสหัวกลับไปด้วย แล้วก็ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก”

    “ฉันไม่เชื่อว่าคนอย่างเวย์จะพูดแบบนั้น ฉันรู้จักเวย์ดี แกไม่ต้องมาโกหก”

    อะโธ่ พูดออกมาแบบนั้นมันหยามกันนี่หว่า อย่างนี้ให้อภัยไม่ได้ซะแล้ว

    “ฮึ! รู้จักยัยนั่นดี..กล้าพูด แกจะรู้จักยัยนั่นดีกว่าฉันที่กำลังจะเป็นสามีในอนาคตของเธออย่างนั้นเหรอ จะบอกอะไรให้ ฉันรู้จักยั่ยนั่นมาตั้งแต่เด็กจนโตและก็จะรู้จักยัยนั่นไปจนตาย..เป็นอย่างนี้แล้ว แกยังจะมีหน้ามาบอกว่ารู้จักยัยนั่นดีกว่าฉันอีกมั้ย”

    ลูกใครวะ เล่นละครเก่งจริงๆ -0- ดูเหมือนว่าไอ้หมอนั่นมันจะไม่ค่อยเชื่อคำพูดของผมตั้งเท่าไหร่นะ แต่ก็ช่วยไม่ได้ หมอนั่นอยากดึงดันที่จะเจ็บเองดังนั้นต้องทำใจหน่อย

    “แกอย่ามาโกหกฉันซะให้ยาก เวย์ไม่มีทางแต่งงานกับคนอย่างแกแน่ -_-^

    “ทำไม..ทำไมยัยนั่นจะแต่งงานกับฉันไม่ได้ หรือว่าต้องแต่งงานกับแกเท่านั้นยังนั่นถึงจะแต่งงานได้”

    ผมเหยียดยิ้มออกมา ผู้ชายคนนั้นมั่นในรักจริงๆ แต่มีเหรอที่คนอย่างวิกเตอร์จะพ่ายแพ้ให้กับผู้ชายแบบนั้น ไม่มีทาง แล้วยิ่งโดยเฉพาะเป้าหมายเป็นผู้หญิงคนเดียวกันแบบนี้ ยิ่งไม่มีทางที่ผมจะหลีกทางให้เด็ดขาด..ถ้ายัยนั่นไม่ได้เป็นของผม ใครหน้าไหนก็อย่าหวังเลย..

    “ฉันไม่อยากเสียเวลาทะเลาะกับแก..บอกมาดีกว่า เวย์ให้ฉันเข้าไปพบได้ใช่มั้ย?”

    “ฮึ! ถ้าอยากรู้ก็ถามยัยนั่นเอาเองสิ..ว่าไงจ๊ะเบบี๋! จะยอมให้หมอนี่เข้าไปรึเปล่า!!” ผมตะโกนขึ้นไปถามรันเวย์ที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่ระเบียงห้อง ผมยืนลุ้นอยู่ตั้งนานว่ายัยนั่นจะขยับปากพูดรึเปล่า ไม่นานทุกคนก็ได้ยินเสียงยัยนั่นดังลั่นลงมาจากห้อง

    “วิกเตอร์! บอกให้เขากลับไปซะ ฉันไม่อยากจะเห็นหน้าเขา!! วิกเตอร์! นายรอฉันอีกสักสองนาทีนะ! เดี๋ยวฉันจะลงไปหา!!!” ยัยนั่นพูดจบก็วิ่งผลุนผลันเข้าไปในห้องทันที ได้ฟังเสียงยัยนั่นแล้วสะใจชะมัด..ไม่รู้สิ อาจจะเป็นเพราะว่ามันเป็นคู่แข่งหัวใจของผมก็ได้เมื่อยัยนั่นเลือกผมมากกว่ามัน

    “ว่าไง..แกได้ยินชัดมั้ย ทีนี้แกก็ควรจะกลับไปได้แล้ว แล้วอย่ามาเหยียบที่นี่อีก..อย่าหาว่าฉันไม่เตือน” ผมพูดขู่มันเสียงเหี้ยมก่อนจะเดินไปรับรันเวย์ที่วิ่งลงมา ไหนบอกว่าสองนาทีไง นี่ยังไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ -_-

    “ขอโทษที่ต้องให้รอนะวิกเตอร์ แล้วนี่จะไปกันได้รึยัง เดี๋ยวไม่ทันกันพอดี”

    “ก็ไปสิ”

    ผมถือโอกาสที่ยัยนั่นเดินมาเคียงข้าง โอบไหล่..น้อยไป โอบเอวเลยดีกว่า -.,- ผมเลื่อนมือไปโอบรอบเอวยัยนั่นเอาไว้แล้วกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นก่อนจะก้มลงสูดความหอมจากแก้มนวลอย่างชื่นใจ

    “ชื่นใจจัง รู้งี้มาเช้ากว่านี้ก็ดี จะได้จูบแทนหอมแก้ม”

    “ทะลึ่ง -_-//

    “เอ้า..ถ้าไม่อยากให้ฉันทะลึ่งใส่ก็ไปอยู่ที่บ้านฉันเลยสิ ฉันจะได้จูบเช้าจูบเย็นให้หายคิดถึง”

    “บ้า” ยัยนั่นยิ้มออกมาอย่างเอียงอายก่อนที่ผมจะเปิดประตูรถจากัวร์ให้ยัยนั่นขึ้นไปนั่ง ฮะๆ สมกับเป็นรันเวย์จริงๆ ตีบทแตกชะมัด -_- แต่ก่อนที่ผมจะก้าวไปนั่งในรถก็หันมาพูดกับใครบางคนที่ยืนเป็นหมาหัวเน่าซะก่อน

    “ไปก่อนนะ ฉันรีบพาเวย์ไปลองชุดแต่งงาน..ได้ฤกษ์เมื่อไหร่ฉันจะชวนแกไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว”

    ผมยิ้มยียวนไปให้หมอนั่นก่อนจะก้าวขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างสะใจ แต่ก็ได้แต่สะใจชั่วคราวเมื่อเสียงแว้ดๆ ของเวย์ดังขึ้น

    “ใครใช้ให้นายไปบอกฟอสว่าฉันจะแต่งงานกับนาย -_-;

    “คนเขาอุตส่าห์มีน้ำใจช่วยเหลือยังจะมาด่ากันอีก..ทำบุญบูชาโทษแท้ๆ”

    “ช่วยนะช่วยได้ แต่ไม่เห็นจะต้องไปพูดเลยนี่นาว่าฉันจะแต่งงานกับนาย -_-;

    “ก็เราจะแต่งงานกันจริงๆ นี่นา” ผมพูดอุบอิบก่อนจะโดนฟาดเข้าที่ต้นแขนอย่างแรง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครทำร้ายร่างกายผม T_T ผู้หญิงอะไรซาดิสต์ชะมัด

    “พูดให้มันดีๆ นะวิกเตอร์ ใครจะไปแต่งงานกับนายกัน -_-

    “ก็หลังจากยื่นใบสมัครนี่ไง พวกเราก็จะอยู่กินด้วยกันแล้ว -0-;” ผมยังคงบ่นอุบอิบอยู่แบบนั้นไม่กล้าพูดเสียงดังออกไป เพราะกลัวฝ่าพระหัตถ์จะลอยมากระทบหน้าหล่อๆ ของผม -0-

    “นายอย่าเอาเรื่องงานมาปนเรื่องส่วนตัวจะได้มั้ย!” เฮือก! ผมสะดุ้งสุดตัวกับเสียงราวฟ้าผ่าของยัยนั่น แล้วทำไมผมต้องกลัวเสียงยัยนั่นด้วยเนี่ย ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ T_T

    “ไม่ได้ปนสักหน่อย -0-; ยังไงต่อไปนี้เราก็ต้องอยู่กินด้วยกันนี่นา”

    “วิกเตอร์!!

    “คร้าบๆ รู้แล้วๆ”

    ผมจำเป็นต้องเงียบเสียงอย่างช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ผมไปทะเลาะกับผู้หญิงอย่างยัยนั่นล่ะ ขืนพูดต่อไปเดี๋ยวยัยนั่นก็โกรธอาจถึงขั้นแยกห้องก็ได้ ใครมันจะไปยอม..ผมไม่ได้แอ้มยัยนั่นพอดี -0-;

    “รู้แล้วก็เงียบไปเลยนะ..อย่าแม้แต่จะเอ่ยปากพูดเรื่องนั่นออกมา แล้วอย่าหาว่าฉันไม่เตือน -_-^

    ปากก็ขู่ฝ่อ มือก็ตั้งท่าจะหยิบไอ้นั่นขึ้นมา นี่ใจคอจะฆ่ากันเลยเหรอเนี่ย -_-;

    “คร้าบๆ”

    “แล้วนี่อีกตั้งไกลมั้ยกว่าจะถึงมหาลัยนะ” ผมหันไปมองเวย์ที่ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ผมว่ายัยนั่นพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาๆ ล่ะก็...น่ากินกว่าเยอะ

    “ก็พอสมควร ถามทำไม”

    “เปล่า..ก็แค่ชวนนายคุย กลัวจะเหงา” ยัยนั่นแบมือไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ แต่มันทำให้ผมแปลกใจมากกว่า วันนี้ยัยนั่นมาแปลกๆ หรือว่า...

    “ไม่เจอกันสองวัน คิดถึงฉันล่ะเซ่~

    “ใช่ ฉันคิดถึงนาย..” คำพูดของยัยนั่นทำให้ผมชะงัก ก่อนจะเหลือบมองเสี้ยวหน้าของยัยนั่นอย่างแปลกใจ แต่ก็ต้องเก็บอาการไว้ ถ้าผมเดาไม่ผิด..คนอย่างรันเวย์ไม่มีทางชมผมหรือพูดความจริงออกมา ยัยนั่นจะต้องด่าผมสิถึงจะถูก

    “...”

    “ฉันคิดถึงนาย..คิดว่าเมื่อไหร่ฟาร์มในปากของนายจะหมดลงไปสักที” นั่นไง! เดาผิดซะที่ไหนล่ะ..ยัยนั่นพูดหลอกล่อผม สุดท้ายก็ไม่วายลงท้ายด้วยการด่าผม เฮอะ..นั่นล่ะธาตุแท้ผู้หญิงอย่างรันเวย์ -_-;;

     

    มหาลัย Scintillation

    “ไปยื่นใบสมัครที่ไหนล่ะเนี่ย” ผมหันไปมองรันเวย์ที่บ่นออกมาทันทีที่ถึงมหาลัย พูดถึงมหาลัยก็ใหญ่ชะมัด อย่างนี้ผมจะต้องพารถมาขับในมหาลัยซะแล้ว..แต่ไม่ใช่จากัวร์นะ ผมกะว่าจะขับรถมินิคูเปอร์แทนจากัวร์ เอ๊ะ..หรือว่าจะขับบีเอ็มดี..หรือว่าพอร์ชดีนะ..เลือกไม่ถูกแฮะ -.,- คนมีรถเยอะก็แบบนี้ละ

    “พี่วิชบอกว่าให้ไปที่ห้องอธิบดีการ จะได้ตัดปัญหาที่จะตอบคำถามของพวกอาจารย์” ผมพูดพลางก็หักพวงมาลัยเลี้ยวรถไปตามเส้นทาง

    “เหรอ..เออนี่วิกเตอร์ คอนโดฯ ที่พวกเราอยู่นะ อยู่ห่างจากมหาลัยไปเท่าไหร่?”

    “ประมาณสองกิโลกว่าๆ ได้มั้ง..เย็นนี้กลับไปจัดเตรียมข้าวของที่จำเป็นซะด้วยล่ะ พรุ่งนี้ฉันจะมารับ พาข้าวของไปเก็บที่คอนโดฯ..ขอบอกเอาไว้ก่อนนะ เอาของไปเฉพาะที่จำเป็นจริงๆ ถ้านอกเหนือจากนั้น ฉันจะโยนทิ้งจริงๆ ด้วย -_-^

    “ง่ะ..นายมีสิทธิ์อะไร นั่นมันข้าวของของฉันนะ”

    “หนักรถฉัน พอใจรึยัง” ผมปรายตาไปมองยัยนั่น ก็ทำให้เห็นว่ายัยนั่นกำลังย่นจมูกน้อยๆ เห็นแล้วน่ากินชะมัด -0-;

    “เชอะ..นั่นๆ ถึงห้องอธิบดีการแล้ว อย่าพ้นซะล่ะ” ผมส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหยุดรถหน้าห้องอธิบดีการ

     

    “ผมรู้เรื่องทุกอย่างมาจากท่านผู้การแล้วล่ะ”

    “...”

    “มาอยู่ที่นี่ก็อย่าทำตัวให้เป็นพิรุธล่ะ เดี๋ยวพวกมันจะสงสัยพวกเธอสองคน”

    “ค่ะ/ครับ”

    “พวกเธอสองคนก็ถือโอกาสนี้สำรวจรอบๆ มหาลัยไปเลยก็แล้วกัน..อีกสองวันมหาลัยก็จะเปิดแล้ว ถ้าขืนพวกเธอไปสำรวจตอนนั้น ก็คงจะไม่สะดวกเท่าไหร่..ไปเถอะ ไปสำรวจทางหนีทีไล่เอาไว้ก่อน”

    “ค่ะ/ครับ”

    ผมกับเวย์ยกมือขึ้นไหว้ท่านอธิบดีการก่อนจะเดินออกมาจากห้องด้วยความโล่งใจ

    “ทีแรกฉันนึกว่าท่านอธิบดีการจะโหดกว่านี้ซะอีก แต่ที่ไหนได้ใจดีชะมัด”

    “ก็ไม่แน่หรอกนะ..รู้หน้าใช่ว่าจะรู้ใจเสมอไป ไปเถอะ..ฉันว่าเราไปสำรวจเส้นทางในมหาลัยไว้ก่อนดีกว่า เพื่อจะมีกรณีฉุกเฉิน”

    “อืม” รันเวย์ยิ้มให้ผมนิดๆ ก่อนจะเดินนำหน้าไปก่อน ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจก่อนจะเดินตามยัยนั่นไป..ก็บอกแล้วไงว่ายัยนั่นแปลกๆ ไป

                                                                                                                                                    (Special: End)

     

    ฉันปรายตาไปมองวิกเตอร์ก็เห็นว่าหมอนั่นกำลังจ้องฉันอยู่ ฉันเลยสะบัดหน้าหนีหมอนั่นทันที ไม่รู้ว่าฉันรู้สึกไปเองรึเปล่านะ..ฉันรู้สึกว่าหมอนั่นจ้องฉันอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ออกมาจากห้องอธิบดีการแล้ว หมอนั่นจะจ้องฉันไปถึงไหนนะ เห็นแล้วอึดอัดใจชะมัด -_-;

    “นี่วิกเตอร์” ความอดทนสิ้นสุด ฉันหยุดเดินก่อนจะหมุนตัวไปหาหมอนั่น แต่เพราะหยุดเดินอย่างกะทันหันของฉันทำให้หมอนั่นเดินมาชนฉันอย่างจัง ฉันเซเกือบจะล้มแต่วิกเตอร์มือไวกว่าคว้าร่างของฉันเอาไว้ก่อนจะล้ม

    “หยุดเดินก็ไม่บอก เกือบล้มเลยเห็นมั้ย” หมอนั่นพูดพร้อมๆ กับส่งสายตาเหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็กมาให้ฉัน..ง่ะ ทำไมหมอนั่นต้องส่งสายตาแบบนั้นมาให้ฉันด้วยอ่ะ ฉันไม่ใช่เด็กสักหน่อยนะ

    “ก็ถ้านายหยุดมองฉันปานจะกลืนกินแบบนั้น นายก็คงจะรู้ว่าฉันหยุดเดิน -_-;

    “ถ้าเธอไม่หันมามองฉันแล้วเธอจะรู้ได้ไงว่าฉันจ้องเธออยู่”

    “ก็..”

    วิกเตอร์ก้มลงมาฟังคำตอบใกล้ๆ ใบหน้าของฉัน จนช่องว่างระหว่างเราเหลือไม่ถึงสิบเซนต์ด้วยซ้ำ ฉันจ้องตาตอบวิกเตอร์แต่ก็ต้องสะบัดหน้าหนีสายตาของเขาอย่างเขินๆ..บ้าเอ๊ย ทำไมหมอนั่นถึงได้จ้องฉันแบบนั้นนะ ไม่เข้าใจความคิดของหมอนั่นเลยจริงๆ -_-//

    “ว่าไง..ถ้าตอบไม่ได้ก็เดินต่อไป จะได้รีบสำรวจแล้วก็ไปจากที่นี่ซะ..ฉันรู้สึกไม่ปลอดภัยยังไงไม่รู้”

    ฉันหันกลับมาจ้องหน้าวิกเตอร์อย่างช่วยไม่ได้ เมื่อกี้หมอนั่นบอกว่ารู้สึกไม่ปลอดภัยอย่านั้นเหรอ? ทำไมเขารู้สึกแบบนั้นทั้งที่ฉันไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย

    “นายคิดมากไปเองรึเปล่าวิกเตอร์ ฉันยังไม่เห็นรู้สึกอะไรเลยนี่นาหรือว่านายระแวงเกินไปกันแน่”

    “ฉันไม่ได้ระแวงนะรันเวย์ แต่ฉันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เรารีบไปสำรวจกันเถอะ ฉันไม่ชอบอยู่ที่นี่นานๆ และที่สำคัญเราต้องเอาข้อมูลไปส่งให้ท่านผู้การอีก”

    “อืม” ฉันตอบรับออกมาอย่างเสียไม่ได้ ก่อนที่วิกเตอร์จะดันหลังให้ฉันเดินต่อไป

    “ถ้าฉันจำไม่ผิด ข้อมูลในแผนที่บอกว่าทางทิศเหนือของมหาลัยจะเป็นประตูหลังที่เชื่อมต่อกับถนนสายเล็กๆ แล้วนที่สำคัญถนนสายนั้นยังเป็นถนนที่ใช้เดินทางไปยังโกดังผลิตยาของพวกมัน”

    “ถ้าเป็นอย่างที่เธอว่าจริง พวกมันก็ฉลาดมากที่ใช้โกดังด้านหลังมหาลัยเป็นที่ผลิตยาเพราะโกดังที่นั้นไม่เป็นจุดสนใจของตำรวจ พวกตำรวจเองก็คงไม่คิดว่าพวกมันจะอาศัยมหาลัยเป็นฉากบังหน้า..ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าคนบางส่วนในมหาลัยเป็นพวกของมันอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นมันคงไม่รู้การเคลื่อนไหวของตำรวจดีขนาดนี้”

    “ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ คณะอาจารย์ส่วนใหญ่ในมหาลัยเป็นภรรยาของตำรวจ หรือไม่ก็เป็นคนดังในระดับแนวหน้า..ปากหนอปาก จะดีก็เพราะปาก จะร้ายก็เพราะปาก หากคิดยับยั้งชั่งใจไม่เป็นปากนั่นล่ะจะพาไปสู่หายนะ”

    “ส่วนใหญ่พวกคนดังก็มักจะเป็นแบบนั้น สงสัยจะคิดว่าตัวเองมีคนคุ้มกะลาหัว ไม่จำเป็นต้องระวังคำพูดคำจา แต่หารู้ไม่ว่า พวกเพื่อนพ้องนั้นล่ะตัวดี..ไปเถอะ เพื่อจะได้ข้อมูลอะไรดีๆ” วิกเตอร์พูดก็เดินนำลิ่วไปเลยทิ้งให้ฉันยืนเอ๋ออยู่คนเดียว

    “เฮ้ย รอกันบ้างสิวิกเตอร์”

    ทั้งสองวิ่งตามกันไปสำรวจพื้นที่โดยที่หารู้ไม่ว่าเบื้องหลังของพวกเขามีสายตาสองคู่ที่กำลังจับจ้องการกระทำของพวกเขาสองคนด้วยสายตาวาววับ

    “เอายังไงดีครับลูกพี่”

    “เก็บเรื่องนี้ให้เป็นความลับที่สุดอย่าให้ข่าวรั่วไปถึงเบื้องบน..พวกแกส่งลูกน้องไปจับตาดูพวกมันสักสองคน อย่าให้พวกมันรู้ตัวเด็ดขาด..เรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง”

    “ครับลูกพี่” คนที่ถูกเรียกว่าลูกพี่หันกลับไปมองวิกเตอร์กับรันเวย์ด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์เพทุบาย

    “มหาลัยเปิดเมื่อไหร่..สงสัยจะมีเรื่องสนุกให้ทำ..หึๆ” และแล้วเสียงหัวเราะนุ่มทุ้มก็ดังขึ้นก่อนที่ชายนิรนามทั้งสามคนจะพากันเดินออกไปจากบริเวณนั้น หลงเหลือแต่เพียงรอยเท้าและความสนุกที่กำลังจะมาเยือนในอีกไม่ช้า..


     

     

    “เป็นไงบ้าง..เห็นอะไรผิดสังเกตบ้างมั้ย” ฉันส่ายหน้าให้วิกเตอร์แทนคำตอบ พวกนั้นทำอะไรกันแนบเนียนเหลือเกิน ไม่มีหลักฐานหลงเหลือสักอย่าง ฉันพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงได้ส่งสปายอย่างพวกเรามา ถ้าตำรวจมาเองคงจะวุ่นวายไม่น้อย แถมยังทำให้พวกมันรู้ตัวอีก นับว่าจะทำอะไรต้องรอบคอบไว้ก่อน ไม่อย่างพวกเราจะไม่ได้อะไรเลย

    “แล้วฝั่งนายล่ะวิกเตอร์ ได้อะไรบ้างมั้ย”

    “ไม่มีเหมือนกัน ฉันว่าเราลองไปสำรวจที่อื่นกันดีกว่า อย่างน้อยๆ เราก็ได้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา”

    “รู้ว่าจะไปสำรวจพื้นที่แล้วเราจะไปทางไหนดีล่ะ..ไอ้มหาลัยนี่ก็ใหญ่ชะมัด เดินไปทางนู่นทีทางนี่ทีก็จะเป็นลมแล้ว”

    “ไปทางไหนเหรอ..อืม” ฉันมองหน้าวิกเตอร์ที่ทำหน้าครุ่นคิดอย่างหนักจนคิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้ากันแทบจะผูกเป็นโบได้

    “คิดออกยัง -_-

    “อืม...ยัง”

    -_-

    “อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ เราไม่มีข้อมูลเพียงพอสักหน่อย ถ้าเรามีข้อมูลเกี่ยวกับมหาลัยมากกว่านี้ก็น่าจะดี”

    คำพูดของวิกเตอร์ทำให้ฉันคิดอะไรออกมาได้

    “จริงสิ เราไปดูข้อมูลจากแผนผังของมหาลัยก็ได้นี่นา อย่างน้อยมันก็ใช้แทนแผนที่ได้ ถึงจะน้อยก็เถอะ” ฉันพูดออกมาอย่างเศร้าๆ ฉันไม่น่าลืมแผนที่มหาลัยที่พี่วิชให้ไว้ที่บ้านเลย ไม่อย่านั้นพวกเราคงได้อะไรไปเยอะแล้ว T_T

    “เอางั้นก็ได้”

    แล้ววิกเตอร์ก็ลากฉันเดินมาดูแผนผังของมหาลัย ก็อย่างที่รู้ๆ กันทิศเหนือของมหาลัยจะเป็นประตูหลังที่เชื่อมต่อกับถนนที่ใช้เดินทางไปยังโกดังผลิตยาของพวกมัน ทิศตะวันตกของมหาลัยจะเป็นตึกของคณะแพทยศาสตร์ ถัดจากตึกคณะแพทย์ฯ ไปหนึ่งกิโล ก็จะเป็นโรงพยาบาล ด้านขวามือของตึกคณะแพทย์ฯ ก็จะเป็นตึกที่ใช้สำหรับศึกษาร่างกายของมนุษย์หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นตึกผ่าศพอาจารย์ใหญ่นั้นล่ะ เรียกว่าเดินมาทางประตูหลังแล้วสยองชะมัด -_- หลังจากนั้นตึกที่อยู่เหนือตึกอาจารย์ใหญ่เยื้องไปทางขวาก็จะเป็นตึกของคณะมนุษยศาสตร์.. อืม เข้ากันได้จริงๆ ทั้งตึกคณะแพทย์ฯ และตึกคณะมนุษย์ฯ ถัดจากตึกคณะมนุษย์ฯ ไปหนึ่งกิโล ก็จะเป็นหอพักนักศึกษาหญิง นี่โชคดีนะที่ฉันอยู่คอนโดฯ ไม่อย่างนั้นฉันจะต้องบ้าตายกับตึกอาจารย์ใหญ่แน่ๆ T_T

    ตึกที่อยู่เหนือจากตึกคณะแพทย์จะเป็นตึกคณะทันตะฯ ตึกคณะแพทย์ฯ กับตึกคณะทันตะฯ จะต้องอยู่ใกล้โรงพยาบาลอยู่แล้ว นักศึกษาปีห้าปีหกจะได้สะดวกต่อการเข้ารับการฝึกงาน ส่วนเนื้อที่ระหว่างตึกคณะแพทย์ฯ กับตึกคณะทันตะฯ และตึกอาจารย์ใหญ่กับตึกคณะมนุษย์ฯ จะเป็นพื้นที่ที่ใช้สำหรับจอดรถของนักศึกษา ส่วนตึกที่อยู่ถัดมาจากประตูหน้าของมหาลัยประมาณหนึ่งกิโลกว่าๆ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของมหาลัยจะเป็นตึกของคณะวิศวะฯ ซึ่งเป็นตึกที่กินเนื้อที่เกือบสิบสองไร่ อย่าแปลกใจว่าทำไมตึกคณะวิศวะฯ มันใหญ่อย่างนี้ ก็เพราะมหาลัยที่นี่สมบูรณ์แบบทุกอย่างไงล่ะ ตึกคณะวิศวะฯ มันเลยใหญ่ผิดปกติ แต่รู้สึกว่ามันจะเล็กกว่าตึกคณะแพทย์ฯ กับตึกอาจารย์ใหญ่รวมกันนะ ก็แหงล่ะ ตึกของพวกคณะแพทย์ฯ มันต้องใหญ่อยู่แล้วนี่นา... ร้านอาหารของมหาลัยจะอยู่ถัดมาจากตึกคณะวิศวะฯ ต่อจากร้านอาหารก็จะเป็นตึกคณะสังคมฯ ฉันยังแอบแปลกใจอยู่เลยนะว่าทำไมสองตึกนี้มันอยู่ตรงข้ามกัน แถมสื่อกลางยังจะเป็นร้านอาหารอีกต่างหาก นับว่าเป็นการยั่วน้ำลายนักศึกษาสองคณะนี้จริงๆ ส่วนห้องทำงานของอธิบดีการและคณะอาจารย์ทั้งหลายแหล่ก็จะอยู่นู่นล่ะ แถวๆ หอพักนักศึกษาหญิงและหอพักนักศึกษาชาย แต่ละแห่งก็จะอยู่กันเป็นหย่อมๆ ให้นักศึกษาหาเอาเอง อ้อ..หอพักนักศึกษาชายก็จะอยู่แถวๆ ตึกคณะวิศวะฯ ส่วนพื้นที่ที่เหลือก็จะเป็นของคณะต่างๆ ที่ไม่ได้พูดถึงและก็จะเป็นพวกสวนพืชผักของคณะเกษตรฯ ฟหรือไม่ก็สวนหย่อมให้นักศึกษาไปพักผ่อนหย่อนใจ อ้อ..และก็จะเป็นพื้นที่ที่ตั้งโต๊ะ เก้าอี้ม้าหินอ่อนให้นักศึกษาได้ทำงานอะไรพวกนั้น -_-; กรุณาอย่างถามถึงเนื้อที่ทั้งหมดของมหาลัยนะค่ะ เพราะฉันเองก็นับไม่ถูกเหมือนกันว่ากี่ร้อยไร่ รู้แต่ว่ามันใหญ่และกี่ใหญ่มาก ถ้าจะเดินเข้ามหาลัยฉันว่าชาตินี้ก็ไม่ถึงหรอก มันต้องพารถมาซิ่งกันในมหาลัยเท่านั้นล่ะ -_-

    “ว่าไง จะไปที่ไหนต่อ”

    “อืม..หอหญิงหอชายจะสำรวจยังไงเพราะพวกเราอยู่คอนโดฯ กัน” วิกเตอร์พูดออกมาอย่างครุ่นคิดแต่คำพูดของเขาทำให้ฉันชะงักกึกทันที

    “นายกำลังจะบอกว่าให้พวกเราไปสำรวจหอพักตอนกลางคืนอย่างนั้นเหรอ?”

    “คิดว่านะ..ช่วงนี้หอพักจะปิดจะเปิดก็ต่อช่วงมหาลัยเปิด ช่วงกลางวันพวกเราก็เรียน ดังนั้นจะมีก็แต่ช่วงกลางคืนเท่านั่นล่ะที่พอจะสำรวจได้” คำพูดเหมือนไร้เดียงสาของเขาทำเอาฉันแทบลมจับ นะ..นี่เขาจะให้ฉันไปสำรวจหอพักหญิงตอนกลางคืนอย่างนั้นเหรอ..บ้าไปแล้ว!

    “เชิญนายไปสำรวจคนเดียวเถอะ ฉันขอบาย”

    “จะบ้าเหรอ..จะให้ฉันไปสำรวจคนเดียวได้ยังไง หอพักชายนะไม่ว่าแต่หอพักหญิงล่ะ เธอจะให้ฉันเข้าไปสำรวจรึไงเล่า ไม่เอานะโว้ย ฉันเป็นผู้ชาย ไม่ใช่สาวประเภทสอง -_-;” วิกเตอร์โวยวายก่อนจะตั้งท่าเข้ามาขย้ำคอฉันให้รู้แล้วรู้รอด แต่มีเหรอที่ฉันจะยอมให้เขาขย้ำคอได้นะ ก่อนที่เขาจะกระโดดเข้ามานะ ฉันก็เด้งตัวออกไปจากเขาแล้วประมาณสองก้าว ขืนอยู่ใกล้เขาฉันมีหวังตายนะสิ

    “แล้วนายจะให้ฉันไปสำรวจหอหญิงตอนกลางคืนเนี่ยนะ..ไม่เอาด้วยหรอก ยิ่งหอพักอยู่ใกล้ๆ กับตึกอาจารย์ใหญ่ด้วยแล้ว ฉันไม่อยากแม้แต่จะย่างกรายเข้าไป”

    “ผีมันไม่มีในโลกหรอกหน่า..หรือถ้ามี มันแค่เห็นหน้าเธอก็วิ่งหนีหางจุกตูดไปแล้ว -_-;

    “กรี๊ดดด~ นี่นานหลอกด่าฉันอย่างนั้นเหรอ!” ฉันพูดจบก็กระโจนเข้าไปทุบไหล่ของวิกเตอร์ทันที หมอนั่นยกมือขึ้นมากันไม่นานเข้าก็รวบมือทั้งสองข้างของฉันเอาไว้ เท่านั้นยังไม่พอยังดึงฉันเข้าไปกอดเอาไว้อย่างน่าตาเฉย

    “มือของเธอนี่อยู่ไม่เคยนิ่งเลยนะ..เดี๋ยวเถอะ สักวันฉันจะหมดความอดทนจะจัดการมือคู่นี้ของเธอให้สาสม”

    วิกเตอร์ก้มลงมาพูดใกล้ หน้าฉัน นัยน์ตาของเขาแพรวพราวไปด้วยความเจ้าเล่ห์อย่างเหลือล้น ฉันสะบัดหน้าหนีเขาอย่างฉุนๆ แต่หมอนั่นก็ยังไม่วายก้มลงมากระซิบเบาๆ ข้างหูของฉันอีก

    “แล้วก็ไม่แน่..ฉันอาจจะจัดการเธอไปด้วยก็ได้”

    ฉันชะงักก่อนจะหันหน้ากลับมามองวิกเตอร์ แต่ก็คิดผิดไปถนัด เมื่อริมฝีปากของฉันเกือบจะชนกับริมฝีปากของเขา ฉันตกหลุมพรางของเขาอย่างดิ้นไม่หลุดเลย วิกเตอร์คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาก่อนจะประทับจูบลงมาบนริมฝีปากของฉันอย่างแผ่วเบา พร้อมๆ กับกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ฉันมองวิกเตอร์อย่างตกตะลึง ริมฝีปากที่เผยอขึ้นเล็กน้อยเพื่อประท้วงเขากลับเป็นช่องทางที่เขาใช้รุกรานเข้ามาในโพลงปากของฉัน วิกเตอร์บุกรุกเข้ามาในปากของฉันอย่างอาจหาญ ฉันรู้สึกถึงปลายลิ้นของเขาที่กำลังควานหาอะไรบางอย่างในปากของฉัน จากจูบที่แผ่วเบาแปรเปลี่ยนเป็นเร่าร้อนและหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ว่าเร่าร้อนหรือหนักแน่นแค่ไหน จูบของเขาก็ยังแฝงไปด้วยความอ่อนหวานและรบเร้าให้ฉันตอบสนอง ฉันไม่รู้ว่าตัวเองได้ยกมือขึ้นโอบรอบต้นคอของเขาและจูบตอบเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ รสจูบของเขาทำให้ฉันมึนงงไปหมด สติสัมปชัญญะหยุดชะงัก ภายในหัวของฉันมีแต่สีขาวโพลนไปหมด มันเหมือนกับว่าฉันกำลังโบยบินอยู่ในห้วงอากาศที่ไม่มีที่สิ้นสุดโดยมีวิกเตอร์โบยบินไปพร้อมๆ กัน มารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่าแผ่นหลังสัมผัสกับผิวขรุขระของต้นไม้ ฉันลืมตาโพลงขึ้นมองวิกเตอร์ทันที สายตาของฉันจึงปะทะเข้ากับสายตาของเขา หมอนั่นมองฉันด้วยสายตาเร่าร้อน ก่อนจะค่อยๆ เพิ่มแรงจูบฉันขึ้นอีกเป็นเท่าตัว มือที่เคยโอบรอบต้นคอของเขาเปลี่ยนเป็นขยุ้มเสื้อของเขาแทน ฉันพยายามสูดเอาอากาศเข้าปอดแต่ดูเหมือนว่าวิกเตอร์จะสูดเอาอากาศหายใจของฉันไปหมด ฉันหอบหายใจอย่างหนักเพราะไม่มีอากาศหายใจ วิกเตอร์มองฉันด้วยสายตาแสนเสียดายก่อนจะค่อยๆ ถอนจูบออกมาอย่างอ้อยอิ่ง หลังจากที่เขาปล่อยให้ฉันเป็นอิสระฉันก็พยายามสูดอากาศเข้าปอดให้มากที่สุด ฉันหอบหายใจตัวโยนจนเกือบจะล้มเพราะแข้งขาอ่อนเปลี้ยไม่มีแรงแม้แต่นิด ได้แต่อาศัยมือเกะวิกเตอร์เอาไว้ไม่ให้ตัวเองลงไปทรุดอยู่แทบเท้าของเขา

    “ไหวรึเปล่า” วิกเตอร์ก้มลงมากระซิบถามก่อนจะช่วยพยุงฉันเอาไว้ ฉันเงยหน้าขึ้นมาสบตาแต่เมื่อเห็นสายตากรุ่มกริ่มของเขา แก้มก็ร้อนซู่ขึ้นมาทันที อ๊ายยยย~ ยัยเวย์ แกจะมาจนมุมเพราะโดนเขาจูบไม่ได้นะ >_<

    “อะ..อืม”

    “โอเค งั้นวันนี้เรากลับก่อนดีมั้ย? ไว้มหาลัยเปิดเมื่อไหร่ค่อยมาสำรวจกันอีกครั้ง”

    “อืม” ฉันตอบเขาอย่างอ่อมแอ้ม พยายามหลบสายตาที่จ้องมองมาของเขาอย่างถึงที่สุด..ให้ตาย ฉันไม่อยากพูดเลยว่า ฉันไม่กล้าแต่จะเงยหน้าขึ้นมองเขา -_-;

    “ถ้าอย่างนั้นก็กลับกันเถอะ”

    หมับ

    แก้มของฉันร้อนซู่ขึ้นมาอีกครั้งเมื่อวิกเตอร์เอื้อมมือมาจับมือของฉันเอาไว้อย่างถือสิทธิ์ ฉันได้แต่เดินตามหลังเขาไปอย่างช่วยไม่ได้ สายตาก็ได้แต้จ้องมองแผ่นหลังของเขาไม่วางตา ใจหนึ่งก็คิดว่าการที่เขาจูบฉันมันทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก แต่อีกใจหนึ่ง..อี๊ นี่ฉันคิดอะไรอยู่เนี่ย อกุศลชะมัด!

    “นายจะพาฉันไปไหนเหรอวิกเตอร์” ฉันเอ่ยถามเขาทันทีที่ก้าวขึ้นมานั่งบนรถคันหรู แต่ถึงปากจะถามเขายังไงสายตาของฉันก็ไม่ได้มองเขา เอาแต่จ้องไปด้านหน้าอย่างเดียว ก็ใครจะไปกล้าสบตาเขากันล่ะ..มันเขินนี่นา (. .)

    “ไปบ้านของเธอไง..หรือว่าจะไปบ้านของฉันดี” ฉันหันพรืดไปมองเขาทันทีที่วิกเตอร์พูดจบแต่ก็ต้องชะงักเพราะว่าตัวเองได้ตกหลุมพรางของเขาอย่างจัง วิกเตอร์ยิ้มออกมาราวกับผู้ชนะแล้วค่อยๆ โน้มใบหน้าลงมากระซิบเบาๆ

    “ตกลงว่าไปบ้านของฉันนะ”

    “มะ..ไม่ เชิญนายกลับบ้านของนายไปคนเดียวเถอะ ฉันจะกลับบ้านของฉัน -_-//” วิกเตอร์ยังคงยิ้มให้ฉันก่อนจะทำในสิ่งที่ไม่คาดไม่ถึง!

    บรื้นนนน~

    “ว้ายยย!!

    โป๊ก!

    ฉันยกมือขึ้นมากุมหน้าผากของตัวเองอย่างเจ็บปวดก่อนจะส่งสายตาอาฆาตแค้นไปให้วิกเตอร์ หมอนั่นทำฉันเจ็บแสบมาก! คราวหน้าอย่าให้มีโอกาสนะ ฉันจะเอาคืนฉันสองเท่าเลยคอยดู! ฮึ่ย -_-^

    “ฉันรู้นะว่าเธอคิดอะไรอยู่ ไว้ถึงเวลาเดี๋ยวฉันจะยอมให้เธอเอาคืนก็ได้..หึๆ”

    กร๊าซซซซ~!!!! ฉันอยากจะฆ่ามัน อยากจะฆ่าม้านนนน~!!

     

    บ้านวัฒนาพานิช

    -_-

    “เตียงนอนเธอนี่นุ่มจัง..คืนนี้ฉันมาค้างที่นี่ได้ป่ะ -0-;

    -_- ไม่ บ้านนายก็มี จะมานอนค้างบ้านคนอื่นทำไม”

    ฉันมองวิกเตอร์อย่างเอือมๆ ตอนนี้หมอนั่นกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงหมอนข้างแล้วก็ตุ๊กตาหมีอยู่บนเตียงนอนของฉันอย่างเมามันส์ -_-^ เตียงนอนจากที่เคยเรียบร้อยเหมือนผ้าพับกลับยุ่งกระเจิงไปหมด ผ้าห่มก็ถูกหมอนั่นถีบตกลงมาบนพื้น ผ้าปูที่นอนก็ยับย่นไปหมด หมอนั่นทำตัวมากกว่าเด็กจริงๆ -_-^^

    “ไม่เอา~ เตียงห้องฉันมันแข็งจะตายสู้เตียงบ้านเธอก็ไม่ได้ นุ่มอย่างกับปุยเมฆ..ไม่รู้ละ ยังไงซะคืนนี้ฉันจะนอนที่นี่ -0-” วิกเตอร์พูดอย่างเอาแต่ใจก่อนจะก้มหน้าลงซุกหมอนเหมือนเด็กๆ จะว่าไป หมอนั่นทำตัวแบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบนะ ฉันชักอยากจะให้เขาเป็นแบบนี้ซะแล้วสิ

    “อย่าทำตัวเป็นเด็กจะได้มั้ยวิกเตอร์ ฉันกับนายโตพอจะมีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้วนะ -_-

    “ก็นี่ไง ฉันกำลังจะสร้างครอบครัวเป็นของตัวเองอยู่”

    วิกเตอร์พูดเสียงอู้อี้อยู่กับหมอนจนฉันฟังไม่ถนัดว่าเขากำลังพูดอะไร ฉันส่ายหน้าอย่างระอาก่อนจะเดินไปดึงวิกเตอร์ที่เตียง ตั้งแต่ฉันโตเป็นสาวขึ้นมาเนี่ยไม่เคยมีผู้ชายคนไหนมายุ่มย่ามกับเตียงของฉันเท่าเขาเลย ขนาดคุณพ่อก็ยังไม่เคยย่างกรายเข้ามาในห้องของฉันเลยแม้แต่น้อย แล้วหมอนั่นเป็นใครถึงได้เข้ามาทำอนาจารห้องนอนฉันแบบนี้ -_- พี่ชายก็ไม่ใช่ เพื่อนก็ไม่เชิง จะว่าเป็นแฟนก็ยิ่งไม่ใช่เข้าไปใหญ่ แล้วตกลงหมอนั่นเป็นใครกันนะฉันถึงได้ยอมให้เขาเข้ามาในห้องนอนฉันแบบนี้ -*-

    “วิกเตอร์..ที่ฉันยอมให้คนนอกอย่างนายเข้ามาในห้องนอนของฉันก็เพื่อให้นายรายงานความคืบหน้าแก่ท่านผู้การ ไม่ใช่ให้นายมาทำลายข้าวของในห้องนอนฉันแบบนี้ -_-” ฉันบ่นไปพลางมือก็ดึงแขนของเขาให้ลุกจากเตียงไปพลาง แต่ดูเหมือนว่าหมอนั่นกินช้างเข้าไปนะตัวถึงได้หนักขนาดนี้

    “ฉันไม่ใช่คนนอกสักหน่อย เธอพูดให้มันดีๆ นะ -0-

    “นานนะเป็นคนนอก ไม่ใช่คนในบ้านหลังนี้ เพราะฉะนั้นนายไม่ต้องมาเถียงฉัน รีบไปรายงานความคืบหน้าของงานเลยไป๊” พอฉันพูดจบวิกเตอร์ก็หันมามองหน้าฉันทันที ก่อนจะดึงตัวฉันเข้าไปกอดเอาไว้อย่างน่าตาเฉย

    “ปล่อยนะวิกเตอร์ นายอย่ามาทำแบบนี้กับฉันนะ -_-;

    “ก็ฉันบอกเธอแล้วไงว่าฉันไม่ใช่คนนอก พอมหาลัยเปิดฉันก็จะเป็นคนของเธอแล้วนะ -0-

    วิกเตอร์พูดออกมาอย่างงอนๆ ก่อนจะซุกหน้าลงที่ซอกคอของฉัน อ๊ากกก~ หมอนั่นมีสิทธ์อะไรมาทำกับฉันแบบนี้เนี่ย!

    “ก็บอกแล้วไงว่าอย่าเรื่องงานมาปนเรื่องส่วนตัวนะ! ต่อให้ฉันกับนายร่วมงานกันอีกนานแค่ไหน นายก็ยังเป็นคนนอกสำหรับฉันอยู่ดีนั้นละ -_-^

    “ถ้าอย่างนั้นฉันจะจัดการเธอให้เป็นของฉันซะเลยดีกว่า ฉันจะได้ไม่เป็นคนนอกสำหรับเธออีกต่อไป” พูดจบวิกเตอร์ก็จัดการพลิกตัวฉันลงด้านล่างแทนก่อนจะก้มหน้าลงมาซุกไซ้ซอกคอของฉัน เท่านั้นล่ะฉันก็ถึงกับกรีดร้องเสียงหลงทันที

    “กรี๊ดดด! อย่านะวิกเตอร์ นายอย่าทำหยุ่มหย่ามกับฉันนะ!”  วิกเตอร์เงยหน้าขึ้นมามองฉันด้วยสายตากรุ่มกริ่มก่อนจะหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า

    “ฮะๆ ฉันยังไม่กินเธอตอนนี้หรอกสาวน้อย ไว้เธอมีน้ำนวลกว่านี้สักหน่อยฉันค่อยจัดการกินเธอซะ” วิกเตอร์ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยฉันให้เป็นอิสระจากอ้อมแขนของเขา

    “งั้นก็ปล่อยฉันได้แล้ว..หนัก -_-;

    “ไม่ปล่อย” หมอนั่นยิ้มยียวนให้ฉันอีกครั้งก่อนจะคว้าโทรศัพท์ (ของฉัน) ขึ้นมาโทรหาพี่วิชเพื่อรายงานความคืบหน้าของงาน พวกเขาคุยกันได้สักประมาณห้านาทีโดยที่วิกเตอร์ยังคร่อมฉันอยู่ ไม่นานเขาก็วางสายแล้วก็ล้มตัวลงมานอนทับฉันเฉยๆ

    “วิกเตอร์ ลุกเดี๋ยวนี้นะ!!

    “อืม..เงียบๆ หน่า คืนนี้ฉันขอนอนที่นี่ละกัน”

    ฉันกรีดร้องออกมาแต่ก็ไม่ได้ทำให้คนตัวใหญ่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย ฉันจึงปล่อยเลยตามเลย นอนกันทั้งแบบนี้ละ ถึงแม้ว่าอีกนานกว่าจะมืดก็ตาม โฮๆ T_T

     

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×