คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 6 Scintillation University
6
Scintillation University
“ฮ่าๆ ในที่สุดมหา’ลัยก็เปิดแล้ว..ฮ่าๆ ^^”
วันนี้มหา’ลัยเปิดเป็นวันแรก ฉันก็ไม่ได้ตื่นเต้นดีใจอะไร ผิดกับคนบางคนตั้งแต่ออกจากคอนโดฯ มาเนี่ย หมอนั่นหุบยิ้มไม่ลงเลยล่ะ ไม่รู้ว่าดีใจที่มหา’ลัยเปิดหรือว่าดีใจที่ได้หลีสาวกันแน่ -_-^ อ้อ..ฉันลืมบอกไป หมอนั่นเปลี่ยนจากรถจากัวร์มาเป็นรถญี่ปุ่นธรรมดาๆ แล้วล่ะ และก็อีกเช่นเคยฉันยังไม่เคยนั่งรถญี่ปุ่นเลยสักครั้ง นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ฉันนั่งรถญี่ปุ่น.. ฉันรู้สึกว่าตั้งแต่ที่ฉันรู้จักกับวิกเตอร์มาเนี่ย ชีวิตของฉันจะสมถะขึ้นเยอะเลยล่ะ -_-;
“หุบยิ้มหน่อยก็ดีนะวิกเตอร์ ฉันไม่อยากเป็นเป้าสายตาของทุกคน เพราะเขาคิดว่าฉันมากับคนบ้า -_-;”
ฉันเอ็ดวิกเตอร์ก่อนจะลงจากรถ ตอนนี้ฉันเปลี่ยนลุ๊คจากยัยรันเวย์เปรี้ยวจี๊ดมาเป็นนักศึกษามหา’ลัย แต่โปรดอย่าคิดว่าฉันจะบ้าจี้ใส่กระโปรงเหนือเข่าล่ะ ฉันไม่ได้ใส่อย่างนั้นเลยทั้งๆ ที่อยากใส่ก็เถอะ -.,- แต่วิกเตอร์สั่งห้ามทันทีทันใดที่เห็นกระโปรง เขาบอกว่ามันสั้นไปเห็นขาอ่อนแล้ว ไม่อยากให้ใครเห็นขาอ่อนฉัน เขาจะเก็บเอาไว้ดูคนเดียว (. .) //
“คนบ้าที่ไหนหล่ออย่างกับเทพบุตรแบบฉันล่ะ” ฉันส่ายหน้าพรืดทันทีที่ได้ยินเขาพูดออกมาแบบนั้น ให้ตาย..ฉันเพิ่งจะเคยเห็นคนหลงตัวเองขนาดหนักแบบเขาเป็นครั้งแรกนี่ล่ะ ไม่รู้ว่าจะหลงตัวเองไปถึงเมื่อไหร่..ฉันยอมรับว่าเขาหล่อจริงแล้วก็หล่อมากๆ เลยด้วย แต่ไม่เห็นจะต้องหลงตัวเองขนาดนั้นเลยนี่นา
“อย่ามัวแต่หลงตัวเองอยู่เลยหน่า รีบหาเป้าหมายเถอะจะได้เริ่มภารกิจกันสักที” ฉันหันไปกระซิบเบาๆ กับวิกเตอร์ให้พอได้ยินกันแค่สองคน เป้าหมายของเราเป็นผู้หญิงรู้สึกว่าจะชื่อบลูมนะ พวกนั้นไม่ไว้ใจถึงขนาดจ้างให้บอดี้การ์ดติดตามมาด้วย ฉันไม่รู้เลยว่าบอดี้การ์ดของยัยนั่นชื่ออะไร ทางตำรวจไม่มีข้อมูลบอดี้การ์ดคนนั้นเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าฉันบอกว่าเห็นแล้วเธอจะเชื่อมั้ย” ฉันเงยหน้าขึ้นมองวิกเตอร์ทันที หมอนั่นสูงชะมัด นี่ขนาดว่าฉันใส่รองเท้าส้นสูงแล้วนะยังเตี้ยกว่าหมอนั่นหลายเซ็นต์ -_-;
“อยู่ไหนล่ะวิกเตอร์ นายอย่ามาอำฉันเล่นนะ ฉันไม่ตลกด้วย -_-”
“ฉันไม่ได้อำ เธอลองมองไปที่ร้านอาหารสิ เห็นมั้ย ผู้หญิงที่นั่งอยู่กับผู้ชายแค่สองคนโดยไม่มีใครเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อย..นั้นล่ะ เป้าหมายของพวกเรา” ฉันมองตามไปที่วิกเตอร์พูด ทำให้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาสะสวยนั่งอยู่กับผู้ชายอีกคนหน้าตาคมเข้มหล่อเหลา (แต่น้อยกว่าวิกเตอร์) ในเมื่อเห็นเป้าหมายแล้ว จะเข้าไปตีสนิทยังไงล่ะเนี่ย คิดไม่ออกโว้ย!
“ฉันเห็นแล้วล่ะวิกเตอร์ แต่เราจะเข้าไปตีสนิทยังไงเล่า จะเดินเข้าไปถามกันโต้งๆ เลยรึไง”
“ค่อยๆ รุกสิ เธอไม่เคยจีบผู้ชายรึไง” ฉันหันไปส่งค้อนให้วิกเตอร์ชุดใหญ่ หมอนั่นคิดได้ยังไงว่าฉันเคยจีบผู้ชายนะ ฮึ! คนอย่างฉันมีแต่ผู้ชายเข้ามาจีบก่อนโว้ย! -_-^
“ฉันไม่ได้ช่ำชองเรื่องแบบนั้นเหมือนนายสักหน่อยนะ -_-”
“เออรู้ ตามฉันมาก็แล้วกัน” ว่าแล้ววิกเตอร์ก็เดินนำฉันเข้าไปในร้านอาหาร ก่อนจะนั่งลงใกล้ๆ กับสองคนนั้น เขาคิดจะทำอะไรของเขานะ ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ หรือว่า...
“เอ้า ก็นั่งลงสิ เก้าอี้มันไม่กินเธอหรอกหน่า” หมอนั่นพูดเสียงดังพอจะให้สองคนนั้นได้ยิน และฉันก็รู้สึกถึงสายตาสองคู่ที่มองมาด้วยล่ะ นับว่าหมอนั่นเรียกร้องความสนใจของคนรอบข้างได้ดีจริงๆ
“ฉันรู้หรอกหน่าว่าเก้าอี้มันไม่กินใคร ไม่เหมือนนายเที่ยวกินคนอื่นเขาไปทั่ว” ได้ที ฉันก็พูดจิกหมอนั่นทันที เหอๆ ได้เวลาเอาคืนหมอนั่นแล้วล่ะ
“อย่ามาหาเรื่องฉันแต่เช้านะยัยทางด่วน คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ -_-;”
“ทำไม จะรังแกผู้หญิงรึไง..ก็ดีเหมือนกันคนทั้งมหา’ลัยจะไดรู้ว่านายมีนิสัยยังไง” ฉันลิ่วตาไปให้วิกเตอร์ หมอนั่นมองหน้าฉันก่อนจะกัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ ฮ่าๆ คนอย่างหมอนั่นเจ็บใจเป็นด้วยเหรอเนี่ย
“ถ้าฉันหาเมียไม่ได้ เธอต้องรับผิดชอบนะเว้ย -_-^”
“อะไรๆ ใครรับผิดชอบอะไรพูดให้มันดีๆ นะวิกเตอร์ -_-;” ฉันยกมือขึ้นเท้าสะเอวก่อนจะชี้หน้าหมอนั่นอย่างเอาเรื่อง ฉันปรายตาไปมองเป้าหมายก็ทำให้เห็นว่าสองคนนั้นมองมาทางฉันกับวิกเตอร์ไม่วางตา ฝ่ายหญิงก็ยิ้มขำๆ ส่วนฝ่ายชายไม่แสดงสีหน้าไม่รู้ว่าขำหรือรำคาญ เฮ้อ..แผนชวนทะเลาะเพื่อตีสนิทนี่ได้ผลดีเกินคาดจริงๆ
“ก็เธอไง ถ้าเธอทำให้ฉันหาเมียไม่ได้ เธอก็ต้องมาเป็นเมียฉันแทนถึงแม้ว่าไม่อยากได้ก็เถอะ -_-^”
ฉันอ้าปากหวอกับคำพูดของหมอนั่น นี่หมอนั่นแอบด่าฉันว่าไม่มีใครเอารึเปล่าเนี่ย -_-^
“เฮอะ! แล้วนายคิดว่าฉันคงอยากจะได้นายจนตัวสั่นสินะ จะบอกอะไรให้..แม้แต่หน้าฉันก็ไม่อยากจะชายตาแลให้เสียสายตา” ฉันพูดจบก็เชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี หมอนั่นอยากมาด่าฉันก่อนนี่นา..ช่วยไม่ได้
“เธอ!” วิกเตอร์ลุกขึ้นเตรียมจะเข้ามาขย้ำคอฉัน แต่เสียงหัวเราะใสๆ ก็ดังขึ้นขัดจังหวะซะก่อน ฉันกับวิกเตอร์หันมามองหน้ากันอย่างงงงวย (ตามบท) ก่อนจะหันไปมองตามเสียงหัวเราะ..บลูมกำลังใช้มือปิดเสียงหัวเราะของตัวเอง สายตาของยัยนั่นจ้องมองฉันกับวิกเตอร์อย่างขบขัน ส่วนผู้ชายก็ยังไม่แสดงสีหน้าอาการใดๆ ยกเว้นดวงตาที่เต้นระริกด้วยความขบขัน
“คิกๆ พวกเธอสองคนนี่ตลกจังเลยนะ”
“หะ..หา..” ฉันอ้าปากเหวออีกครั้งมองหน้ายัยนั่นอย่างอึ้งๆ เมื่อกี้ยัยนั่นพูดกับฉันเหรอเนี่ย!
“คิกๆ ^^”
“แมลงวันเข้าปากแล้วยัยบ้า” วิกเตอร์ใช้มือดับคางฉันขึ้นอย่างแรง ฉันหันไปมองหน้าเขาอย่างฉุนๆ ก่อนจะตั้งท่ากระโจนเข้าไปหาหมอนั่น และก็อีกเช่นเคย เสียงหัวเราะใสๆ นั่นดังขึ้นขัดจังหวะอีกครั้ง
“คิกๆ พวกเธอสองคนเป็นแฟนกันเหรอเนี่ย”
“หา!” ฉันกับวิกเตอร์ประสานเสียงออกมาพร้อมกันก่อนจะหันหน้าไปมองคนถาม ยัยนั่นหัวเราะคิกคักก่อนจะพยายามกลั้นเสียงหัวเราะแล้วพูดออกมาอีกครั้ง
“พวกเธอสองคนเป็นแฟนกันใช่มั้ย ^^”
“ฉัน..กับหมอนี่” ฉันชี้หน้าตัวเองกับวิกเตอร์ ก่อนจะทำหน้าแหยแกเมื่อบลูมพยักหน้าหงึกหงักยืนยันคำถาม ฉันยิ้มฝืดๆ ให้ยัยนั่นก่อนจะตะโกนออกมา
“ไม่มีทาง!! แม้แต่หน้าก็ยังไม่อยากจะมอง!!” พูดจบฉันก็หันไปมองวิกเตอร์ทันที ใครใช้ให้หมอนั่นพูดพร้อมกับฉันล่ะเนี่ย
“นั่นแน่ มีการพูดพร้อมกันด้วย ^^” ฉันสะบัดหน้าพรืดไปอีกด้านอย่างอารมณ์เสีย ยัยปัญญาอ่อนนั่นคิดได้ยังไงเนี่ยว่าฉันกับหมอนั่นเป็นแฟนกันหรือว่าเราจู๋จี๋สวีทหวานแหววกันออกนอกหน้านอกตาคู่รักคนอื่นเขาว่ะ -_-^
“ฉันกับยัยนั่นไม่มีทางเป็นแฟนกันได้หรอก เป็นเพื่อนกันมาจนรู้ว่าธาตุแท้ของแต่ละคนมันเป็นยังไง..จ้างให้สักสิบล้านก็คบกับยัยนั่นไม่ลงหรอก ไม่สิ ต้องพูดว่ากระเดือกไม่ลงต่างหาก” หยาบคายที่สุด! หมอนั่นกล้าด่าฉันแบบนั้นเลยเหรอ กรี๊ดดด! อย่างนี้ให้อภัยไม่ได้แล้ว!!
“กรี๊ดดดด!! นั่นปากนายเหรอวิกเตอร์!!”
ฉันมองหน้าวิกเตอร์อย่างโมโหจัดก่อนจะถอดรองเท้าส้นสูงออกมากะว่าจะตบหน้าหมอนั่นสักฉาด แต่ในขณะที่กำลังเงื้อมือตบก็มีมือมาจับมือของฉันเอาไว้ซะก่อน ฉันไปมองหน้าคนที่มาจับมือของฉันเอาไว้อย่างโมโห นายบอดี้การ์ดของบลูมมองหน้าฉันด้วยสายตาราบเรียบแต่แฝงไปด้วยแววขบขัน ก่อนที่หมอนั่นจะใช้มือข้างที่เหลืออีกข้างเอื้อมมาแกะมือของฉันออกจากรองเท้า ฉันมองเขาอย่างอึ้งๆ นึกไม่ถึงว่าเขาจะกล้าทำแบบนี้กับคนแปลกหน้า แล้วฉันก็ต้องอึ้งอีกครั้งเมื่อหมอนั่นคุกเข่าลงแล้ววางรองเท้าลงข้างๆ เท้าของฉัน
“ใส่ซะสิ”
“อะ..อืม” ฉันใช้มือจับไหล่ของเขาเอาไว้ก่อนจะค่อยๆ สอดเท้าลงในรองเท้าอย่างแผ่วเบา จะว่าเขินก็ยอมรับนะ ไม่เคยมีใครมาทำแบบนี้กับฉันเลยสักคน มีเขาเป็นคนแรกนี่ล่ะ ฉัน..ฉันควรจะดีใจมั้ยนะ
“ใส่รองเท้าส้นสูงแบบนี้มันไม่กัดเอารึไง” หมอนั่นเงยหน้าขึ้นมาถามฉันอย่างห่วงใย (รึเปล่า) ฉันเสหลบสายตาของเขาก่อนจะตอบอ้อมแอ้มไปว่า
“มะ..ไม่หรอก ฉันใส่มันจนชินแล้วล่ะ” การที่ฉันเสหลบสายตาของนายบอดี้การ์ดทำให้สายตาของฉันไปจ๊ะเอ๋เข้ากับสายตาของวิกเตอร์ มะ..หมอนั่นมองฉันด้วยสายตาดุดัน แล้วนี้ฉันไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจอีกล่ะเนี่ย U_U แต่ก่อนที่บรรยากาศระหว่างเราสามคนจะอึมครึ้มไปมากกว่านี้ เสียงดุจสวรรค์มาโปรดของบลูมก็ดังขึ้นขัดบรรยากาศชวนชนลุกนี่ซะก่อน ฟู่ววว์ นี่โชคดีนะที่บลูมขัดขึ้นมาซะก่อน ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าไม่ขัดมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“แหม พวกเธอสองคนนี่รู้จักกันเร็วดีจังเลยนะ ^^;” ฉันหันหน้าไปมองบลูม ยัยนั่นกำลังยิ้มฝืดๆ มาให้ฉัน ฉันแอบเห็นแววตาเศร้าสร้อยของยัยนั่นด้วยล่ะ นะ..นี่อย่าบอกนะว่ายัยนั่นแอบชอบนายบอดี้การ์ดนี่นะ ฮือๆ แล้วฉันจะโดนฆ่ามั้ยเนี่ย T_T มหา’ลัยเปิดวันแรกฉันก็พาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องฆ่าแกงแล้วเหรอเนี่ย กระซิกๆ ฉันยังไม่อยากตายตอนนี้น้า T^T
“รู้จัก?”
“อ้อ..ตัวฉันเองนะชื่อบลูม ส่วนผู้ชายคนนั้นชื่อพาสเตอร์ แล้วพวกเธอล่ะ?”
“ฉันชื่อรันเวย์ ส่วนหมอนั่น..” พูดจบฉันก็ชี้นิ้วไปทางวิกเตอร์อย่างอาฆาต เชอะ! คราวนี้เอาคืนไม่ได้ค่อยเอาคืนคราวหน้าก็ได้ว่ะ =0=^
“ฉันชื่อวิกเตอร์ -_-;” ปากก็พูดชื่อแต่สายตาของเขากลับข้องเขม็งมาที่ฉันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ความจริงควรเป็นฉันไม่ใช่เหรอที่จะมองเขาด้วนสายตาแบบนั้นนะ -_-;
“วิกเตอร์กับพาสเตอร์..คล้ายกันดีนะ”
ฉันยิ้มฝืดๆ ให้บลูม ก่อนจะชะงักเมื่อรู้สึกถึงร่างกายของนายบอดี้การ์ดที่กำลังยืนตัวขึ้น ฉันได้ทีรีบปล่อยมือจากไหล่ของหมอนั่นอย่างเขินๆ นายบอดี้การ์ด เอ่อ ไม่สิ พาสเตอร์ก้มลงมามองฉันก่อนจะยิ้มน้อยๆ ฉันเลยส่งยิ้มฝืดเฝือเต็มทีไปให้เขา ฮือๆ ฉันรู้สึกถึงสายตาทิ่มแทงของวิกเตอร์ด้วยล่ะ หมอนั่นกำลังจะฆ่าฉันทางสายตาใช่มั้ย T_T อุ๊ย! ฉันลืมสังเกตไปเลยเหรอเนี่ย วิกเตอร์กับพาสเตอร์สูงเกือบเท่ากันล่ะ แต่พาสเตอร์จะเตี้ยกว่าวิกเตอร์หน่อยนึง..ไม่รู่ว่าหมอนั่นจะหล่อ เท่ แล้วก็เพอร์เฟ็กต์ไปถึงไหน -_-^ ฉันเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าพาสเตอร์นะมีใบหน้าหล่อเหลา ใช่แล้ว! เขาเป็นผู้ชายที่หล่อมากคนหนึ่งล่ะ >0< แต่พาสเตอร์จะหล่อแบบนิ่งๆ ขรึมๆ เขาไม่ใช่ผู้ชายผิวขาวเว่อร์แบบวิกเตอร์แต่ผิวของเขาจะเป็นผิวคล้ำแดด ดูแล้วหล่อไปอีกแบบ..ผมของเขาจะเป็นสีดำเหมือนวิกเตอร์แต่นัยน์ตาของเขาจะเป็นสีฟ้าเหมือนท้องฟ้า ให้ตาย..หมอนั่นจะมีสีผมกับสีตาคล้ายวิกเตอร์ไปทำไมเนี่ย!
“เลิกเอาชื่อฉันไปเปรียบเทียบกับคนอื่นได้แล้วยัยบ้า -_-”
“อ่า..พาส อย่าโกรธบลูมสิ คราวหน้าบลูมจะไม่ทำแล้วนะ T_T” บลูมพูดเสียงเศร้าก่อนจะเดินเข้ามาเขย่าแขนพาสเตอร์อย่างออดอ้อน จะว่าไป ยัยนั่นทำตัวแบบนี้ก็น่ารักดีนะ แต่ก่อนที่ฉันจะได้ชื่นชมความน่ารักของยัยนั่นไปมากกว่านี้ วิกเตอร์ก็เดินมากระชากร่างของฉันเขาไปกอดเอาไว้ซะก่อน ฉันเลยหน้าจะต่อว่าเขาแต่ก็ต้องกลืนคำพูดเหล่านั้นลงสู่ลำคออย่างรวดเร็วเมื่อเห็นสายตาน่ากลัวที่มองมายังฉัน นี่ฉันจะโดนหมอนั่นฆ่ารึเปล่าเนี่ย T^T
“วะ..วิกเตอร์” ฉันเอ่ยถามหมอนั่นเสียงสั่น ความจริงฉันไม่อยากจะเรียกเสียงเขาด้วยซ้ำ แต่คนอย่างฉันไม่ใช่คนที่จะรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ
“รู้สึกว่า..ตอนเย็นเรามีเรื่องจะต้องคุยกันยาวนะรันเวย์” วิกเตอร์ยิ้มออกมาให้ฉัน แต่ฉันไม่อยากได้รอยยิ้มน่ากลัวแบบนั้นสักนิด ฉันอยากได้รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขาอยู่นะ TT_TT
“จะ..ใจเย็นๆ สิวิกเตอร์ เรา..ค่อยๆ พูดกันก็ได้ เนอะ ^^;”
“งั้นไปเดี๋ยวนี้”
“ตอนเย็นก็ตอนเย็นจ๊ะ ^^;” ถ้าเป็นตอนเย็นฉันจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ แต่ถ้าเป็นตอนนี้ฉันคงเตรียมตัวไม่ทัน T^T นี่ฉันไปทำอะไรให้หมอนั่นไม่พอใจนะ ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ
“เอ่อ ว่าแต่วิกเตอร์กับรันเวย์เรียนคณะอะไรกันเหรอจ๊ะ” ฉันหันไปมองบลูมทันทีทันใด ขืนจ้องหน้าวิกเตอร์ต่อไปฉันอาจจะกลายเป็นเถ้าธุลีตรงนี้ก็ได้
“ฉันเรียนคณะสังคมฯ นะ ส่วนวิกเตอร์หมอนั่นเรียนคณะวิศวะฯ ถามทำไมเหรอ?”
“แหม บังเอิญจังเลยนะค่ะ บลูมกับพาสก็เรียนคณะสังคมฯ กับวิศวะฯ เหมือนกัน ^^” มันก็แน่อยู่หรอก เพราะว่าทางเราสืบข้อมูลกันมาแล้วนี่นา
“นั้นสิหรือว่าเราทั้งสี่จะมีดวงสมพงศ์กัน” เฮือก! ฉันสะดุ้งจนตัวโยนเมื่อวิกเตอร์จิกนิ้วลงบนเอวของฉันอย่างแรง ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาก็ทำให้เห็นว่าเขากำลังจ้องเขม็งไปทางพาสเตอร์ ฉันหันมามองพาสเตอร์ หมอนั่นเองก็กำลังจ้องวิกเตอร์อยู่เช่นกัน เอ่อ..สองคนนี้เขาไปโกรธแค้นกันตั้งแต่เมื่อไหร่นะ =_=
“นั่นสิๆ ว่ามั้ยพาส คราวนี้บลูมก็จะได้มีเพื่อนแล้ว..แถมเพื่อนทั้งสองก็ยังสวยแล้วก็หล่ออีกต่างหาก ^^” ฉันยิ้มฝืดๆ ออกมาอีกครั้ง จะให้ยิ้มยิงฟันมันก็กระไรอยู่ U_U
“จริงด้วย”
เฮือก! ฉันสะดุ้งอีกครั้ง คราวนี้วิกเตอร์เพิ่มแรงกดที่เอวของฉันขึ้นอีกเป็นเท่าตัว อ๊ากกก! หมอนั่นจะไปโกรธแค้นอะไรพาสเตอร์เขานักหนาเนี่ย! แต่ถึงจะโกรธแค้นยังไงก็ไม่ควรมาลงที่ฉันนี่นา ฉันเองก็เจ็บตัวเป็นเหมือนกันนะ T^T
“อะ..เอ่อ ถ้าอย่างนั้น..ระ..เรา แยกย้ายกันไปที่คณะกันดีกว่า ^^;”
“จริงด้วย! ป่านนี้พวกรุ่นพี่ที่คณะคงกำลังเรียกพวกเราอยู่แล้วแน่ๆ ไปกันเถอะรันเวย์เดี๋ยวจะโดนทำโทษเอา”
บลูมถลาเข้ามาดึงแขนฉันก่อนจะลากออกไปจากร้านอาหาร
“ไปก่อนนะพาส ตอนเที่ยงเจอกันที่ร้านอาหารนะ (^^)” บลูมโบกมือบ๊ายบ่ายพาสเตอร์ก่อนจะลากฉันไป เฮ้อ..ท่าทางว่ายัยนั่นคงจะชอบพาสเตอร์เข้าจริงๆ และท่าทางว่าพาสเตอร์คงจะเป็นเพื่อนคนเดียวที่ยัยนั่นสนิทที่สุดเป็นแน่แท้ มันก็ไม่แปลกหรอกนะที่จะคิดแบบนั้นกับคนที่โตมาด้วยกัน แต่ดูเหมือนว่าพาสเตอร์จะไม่คิดแบบนั้นเหมือนกับบลูมนะหมอนั่นไม่ได้ชอบบลูม (อ่านจากแววตาตอนนี้อ่ะนะ) เหมือนที่บลูมชอบเขา ดูไปดูมา ยัยนั่นก็น่าสงสารเหมือนกันนะ
“ค่อยๆ เดินก็ได้บลูมยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่มา”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ..รุ่นพี่เขาเรียกเราแล้วนี่นา” ฉันมองตามนิ้วของบลูมไปก็ทำให้เห็นว่ามีรุ่นพี่กำลังโบกไม้โบกมือเรียกพวกเราอยู่หน้าคณะสังคมฯ การเรียกตัวไปครั้งนี้คงหนีไม่พ้นเรียกเฟรชชี่แน่ๆ
“เอ้าๆ เด็กคณะสังคมฯ~ รีบวิ่งรีบเดินเข้าคณะด่วนค้า~” =_= ฉันล่ะอยากจะรู้จริงๆ ว่าใครเป็นคนให้เอาเจ๊แกมาเป็นคนประกาศทางโทรโข่ง แสบแก้วหูน้อยๆ ของฉันเป็นบ้า -_-; ฉันโดนบลูมพาวิ่งอีกครั้ง จนไปถึงหน้าหอประชุมที่มีรุ่นพี่ปีสอง ปีสามและพวกนิสิตนักศึกษากำลังนั่งและยืนเออออกันเนิงแน่นไปหมด ฮ้า..จะว่าไปพวกปีหนึ่งที่เข้าก็เยอะชะมัด
“เอ้าๆ น้องผู้หญิงสองคนที่เพิ่งมาหยุดก่อนจ๊ะ” ฉันกับบลูมชะงักทันทีเมื่อถูกรุ่นพี่เรียก ฉันหันไปมองรุ่นพี่อย่างงงงวยไม่รู้ว่าเขาจะเรียกฉันกับบลูมเอาไว้ทำไม แต่เมื่อเห็นรุ่นพี่เดินถือป้ายชื่อมาฉันกับบลูมก็ร้องอ๋อออกมาทันที..ไอ้ฉันก็นึกว่าจะโดนทำโทษที่มาช้าซะอีก
“น้องสองคนชื่อรันเวย์กับบลูมใช่มั้ยจ๊ะ ^^”
“ค่ะ”
“พี่ชื่อหนิงนะจ๊ะ อะนี่ป้ายชื่อ รักษาเอาไว้ให้ดีนะจ๊ะ เพราะนี่คือป้ายรูปพระมาลาเบี่ยง (หมวกของกษัตริย์) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของคณะสังคมฯ แล้ววันเข้าค่ายเฟรชชี่พวกน้องๆ ก็ต้องติดกันมาด้วยนะ เพราะว่าวันนั้นเป็นวันรวมนิสิตทุกคณะเข้าด้วยกัน ซึ่งไม่รู้ว่าพวกน้องๆ จะจ๊ะเอ๋เจอกับคณะไหน ถ้าติดป้ายนี่มาทุกคนจะได้รู้ว่าเราเป็นเด็กคณะสังคมฯ”
“ค่ะ” ฉันกับบลูมยื่นมือออกไปรับป้ายชื่อมาจากพี่หนิงอย่างเก้ๆ กังๆ แต่มันก็อดภูมิใจไม่ได้ ถึงแม้ว่าการมาเป็นนิสิตครั้งนี้มันจะเป็นเรื่องงานก็เถอะ การที่ได้ร่วมกิจกรรมทางคณะมันเกือบทำให้ฉันคิดว่าตัวเองเป็นนิสิตนักศึกษาจริงๆ
“เอาล่ะจ๊ะไปนั่งที่กันได้แล้วล่ะ ^^” ฉันกับบลูมยิ้มให้พี่หนิงก่อนจะเดินเลี่ยงไปหาที่นั่ง ไม่นานก็ได้ยินรุ่นพี่ประกาศทางโทรโข่ง
“เอาล่ะ พวกน้องๆ นิสิตคณะสังคมฯ ตอนนี้พี่ว่าพวกเราคงจะมากับครบแล้ว งั้นพี่ก็ขอพูดจุดประสงค์ของการมาประชุมครั้งนี้ก็แล้วกัน”
“...” ฉันแอบถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ... Scintillation ไม่เหมือนมหา’ลัยที่อื่นจริงๆ
“พรุ่งนี้จะเป็นวันรับน้องใหม่ที่ทางคณะทุกคณะจัดขึ้น รวมทั้งเป็นการเข้าค่ายไปในตัว..ระยะเวลาในการเข้าค่ายครั้งนี้คือสามคืนสี่วัน..” ทันทีที่รุ่นพี่พูดจบ เสียงโห่ของนิสิตก็ดังขึ้นทันที ฉันว่าทุกคนคงจะไม่พอใจเท่าไหร่ แค่สามวันสองคืนก็หรูแล้ว แต่นี่..ดันปาเข้าไปสามคืนสี่วัน ไปทำกิจกรรมอะไรกันนักกันหนาว่ะ -_-^
“เฮ้ยๆ อย่าเพิ่งโห่กันสิวะ -_-;”
“...” เมื่อพี่แกพูดจบ เสียงทุกเสียงก็เงียบในบัดดล สงสัยกลัวพี่แกจะแผลงฤทธานุภาพ แต่จะว่าไป พี่ผู้ชายที่พูดก็น่าตาดีเหมือนกันนะเนี่ย -.,- นี่ถ้าหากว่าฉันจะไปจับเด็กคณะแพทย์ฯ มันยังทันมั้ยเนี่ย >_<
“พวกน้องๆ ไม่ต้องตกใจกันไป พี่รับรองว่าการเข้าค่ายเฟรชชี่ครั้งนี้จะสนุกแน่นอน” ฉันแอบเห็นทุกคนแอบกลืนน้ำลายดังเอื้อกเมื่อเห็นพี่แกยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา เหอๆ ฉันว่ามันน่าจะเสียวสันหลังมากกว่าจะสนุกนะ =_=
“เอาล่ะๆ พี่จะบอกกำหนดการคร่าวๆ ก่อนก็แล้วกันนะ..อ้อ กลับไปบ้านเย็นนี้ รีบกลับไปเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าด้วยล่ะ เพราะพรุ่งนี้เราจะเริ่มออกเดินทางกัน จุดหมายปลายทางของการเข้าค่ายรับน้องครั้งนี้อยู่ที่กาญจนบุรีนะครับ ใครที่รู้ตัวว่าชอบอะไรที่มันน่าตื่นเต้น ลุ้นระทึก ฮ่าๆ เตรียมตัวกันเอาไว้ให้ดีนะครับเพราะมันจะได้เจอแน่
“พรุ่งนี้แปดโมงตรงเจอกันที่หน้าคณะ พี่ขอให้ทุกคนทำเวลาด้วยถ้ายังไม่อยากให้คณะของเราเป็นตัวถ่วงของคณะอื่นๆ..เราจะเดินทางไปกาญจนบุรีโดยรถทัวร์สองชั้น จะไปถึงกาญจนบุรีก็ราวๆ สามถึงสี่ทุ่ม หลังจากนั้นเราก็จะทำการหยิบฉลากจับกลุ่มสี่คนทุกคณะ พี่ไม่รู้หรอกนะว่าใครจะอยู่กลุ่มไหนอยู่กับคณะไหน เพราะทางคณะอาจารย์ทำฉลากขึ้นมาเอง เท่าที่พี่รู้คือทางคณะอาจารย์จะส่งเลขฉลากไปแต่ละคณะแบบส่งๆ ไม่ได้เจาะจงว่าหมายเลขอยู่ในคณะอะไรและอยู่เท่าไหร่..แต่ไม่ว่าใครจะได้หมายเลขไหนและอยู่กับคณะไหน พี่ก็ขอให้ทุกคนทำตัวให้มันดีๆ อย่าให้มันเสื่อมเสียมาถึงคณะสังคมฯ ของเราได้ล่ะ
“วันที่สองของการเข้าค่ายก็จะเป็นกิจกรรมรุ่นพี่รับรุ่นน้อง รุ่นน้องรับรุ่นพี่และกิจกรรมทำความรู้จักกันระหว่างกลุ่ม โดยให้แต่ล่ะกลุ่มเนี่ยไปขอเบอร์ติดต่อกับกลุ่มอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเบอร์ของตัวเองหรือเบอร์หอ แต่ขอบอกเอาไว้ก่อนนะ ไม่ใช่ให้ขอเบอร์มาจีบกันหนอกนะ -_- พอคืนที่สองเราจะร่วมกิจกรรมการเล่นเกมร่วมกัน มันจะกินเวลาไปถึงวันที่สามของการเข้าค่ายเลยทีเดียว ในฐานะรุ่นพี่ พี่อยากจะขอเตือนเรื่องการเล่นเกม..บางเกมเราอาจจำเป็นต้องออกนอกเส้นทาง พี่ก็ขอให้ทุกคนระวังตัวกันเอาไว้ให้ดีและต้องกลับมาที่พักก่อนมืดด้วย เพราะไม่อย่างนั้นทางมหา’ลัยจะไม่รับผิดชอบ เพราะถือว่าผู้ที่ออกนอกเส้นทางไปไกลเกินกว่าที่กำหนดนั้นได้ทำผิดระเบียบข้อตกลงจึงถือว่าไม่มีระเบียบวินัยในตนเอง และถ้าหากถึงขั้นร้ายแรงอาจจะถึงขั้นไล่ออกจากมหา’ลัยกันเลยทีเดียว พี่ก็ขอเตือนให้พวกน้องๆ ทุกคนอย่าได้ทำผิดข้อตกลงในครั้งนี้เพราะพี่เองก็ไม่อยากจะต้องเสียรุ่นน้องไปจากคณะ..”
“...” พวกนิสิตต่างนั่งฟังรุ่นพี่พูดด้วยความเงียบ ฉัน..ไม่อยากจะบอกเลยว่าตัวฉันเองได้รับความรู้สึกห่วงใยจากรุ่นพี่ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พูดออกมาเต็มปากก็ตาม แต่คำเตือนที่พูดออกมานั้นก็บ่งชี้ชัดให้แล้วว่า รุ่นพี่ทุกคนห่วงใยรุ่นน้องมากแค่ไหน มันเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ที่ฉันเพิ่งจะได้รับจากคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกัน ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน แต่แล้วจู่ๆ ก็ได้มาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันของคณะ มัน..รู้สึกดีชะมัด
“เอาล่ะ..คืนสุดท้ายที่เราจะอยู่ร่วมกันจะเป็นกิจกรรมตอบกองไฟ อำลารุ่นพี่และเพื่อนร่วมกลุ่ม พอรุ่งเช้าของวันที่สี่ทุกคนก็จะต้องเก็บของเตรียมตัวกลับในเวลาแปดโมงเช้าและก็เหมือนเดิมคงจะมาถึงที่มหา’ลัยราวๆ สามทุ่มถึงสี่ทุ่ม..กลับไปบ้านเย็นนี้ก็อย่าลืมบอกคุณพ่อคุณแม่ท่านซะด้วยล่ะ การแต่งกายก็ตามถนัดของแต่ละคนแต่พี่ว่าทางที่ดีใส่ชุดที่ทะมัดทะแมงไปดีกว่า เวลาร่วมกิจกรรมจะได้ไม่ต้องลำบากยุ่งยากให้เสียเวลา..อ้อ ที่สำคัญและลืมไปไม่ได้เลยทีเดียว ในวันเข้าค่ายทุกๆ กลุ่มจะมีรุ่นพี่สตาฟฟ์คอยดูแลกลุ่มละสองคนที่มาจากคณะต่างๆ ยังไงซะพี่ก็ขอให้ทุกคนเคารพรุ่นพี่ต่างคณะด้วยก็แล้วกันนะ เอาล่ะ ใครมีอะไรข้องใจอยากจะถามบ้าง พี่จะได้อธิบายรวดเดียวไปเลยจะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองน้ำลาย” พี่แกพูดออกมาอย่างขำๆ แต่ไม่มีใครขำออกมาสักคน..มันคงจะขำอยู่หรอกนะ -_-
“...”
“โอเค ไม่มีใครสงสัยอะไร พี่ก็จะถือว่าทุกคนเข้าใจในสิ่งที่พี่พูดไปก็แล้วกันนะ ตอนนี้เวลาก็เหลือเฟือเรามาทำความรู้จักรุ่นพี่ปีสอง ปีสามและปีสี่บางส่วนก็แล้วกัน..อ่า ตัวพี่เองชื่อว่าบอยนะครับ ตอนนี้อยู่ปีสองแล้วนะครับ”
พี่บอยพูดก่อนจะก้มหัวลงเล็กน้อยเป็นเชิงเคารพและฝากตัวไว้กับรุ่นน้อง ไม่นานพวกพี่ๆ ปีสองปีสามและปีสี่บางส่วนก็พลัดกันแนะนำตัวกับรุ่นน้องอย่างพวกเรา รุ่นพี่ผู้ชายบางคนที่กล้าหน่อยก็บอกเบอร์โทรพร้อมสรรพ ทำเอาพวกนิสิตผู้หญิงจดกันแทบไม่ทันทีเดียว -_-;
จึ้กๆ
“หืม?” ฉันขมวดคิ้วอย่างงงๆ ก่อนจะหันไปด้านหลังตามแรงสะกิด ใครมันมาสะกิดไหล่ฉันวะ
“ขอโทษนะ เธอชื่ออะไรเหรอ ^^” ฉันตีหน้าเรียบเฉยทันทีเมื่อรู้ว่าใครสะกิด นี่ถ้าให้ฉันเดา ไอ้พวกผู้ชายหน้าหม้อทั้งหลายแหล่มันต้องการจะจีบฉันแน่ๆ -_-
“-_-”
“ผมชื่อเกียร์นะ แล้วเธอชื่ออะไรล่ะ เราจะได้รู้จักกัน ^^;”
“-_-^”
“เอ่อ..ไม่ต้องรู้จักกันตอนนี้ก็ได้เนอะ..ฮ่าๆ ^^;;” ไอ้หมอนั่นทั้งยิ้มและหัวเราะออกมาอย่างฝืดๆ ก่อนจะหันไปสนใจอย่างอื่นในที่สุด..ผู้ชาย หน้าด้านหน้าทนกันจริงๆ -_-;
“มีอะไรเหรอเวย์” ฉันปรายตาไปมองพวกผู้ชายพวกนั้นอย่างเย็นชาก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้บลูม
“เปล่าหรอก ก็แค่พวกผู้ชายหน้าหม้อมาจีบก็เท่านั้นล่ะ อย่าไปสนใจเลย”
“แหม อิจฉาคนสวยจัง” บลูมทำหน้างอนๆ ก่อนจะยิ้มออกมาเป็นจังหวะเดียวกับที่รุ่นพี่คนสุดท้ายแนะนำตัวเสร็จพอดี ฉันสะกิดบลูมให้หันไปหาพี่บอยที่เตรียมจะพูดอีกครั้ง..ใจคอพี่เขาจะพูดคนเดียวเลยรึไงเนี่ย -_-
“เอาล่ะทุกๆ คน คงจะรู้จักพวกพี่ๆ กันไปหมดแล้ว..ตอนนี้ก็ได้เวลาพอดี พี่จะปล่อยให้พวกน้องๆ แยกย้ายกันกลับ เอาล่ะ พรุ่งนี้ก็ขอให้น้องๆ ทุกคนมากันตรงเวลาด้วยนะครับ แปดโมงเช้าเจอกันหน้าคณะนะครับ”
“เฮ!” ทันทีที่พี่บอยพูดจบและปล่อยพวกเราก็มีเสียงโห่ยินดีขึ้นมา ฉันเห็นรุ่นพี่บางคนรวมทั้งพี่บอยอมยิ้มไปกับเสียงโห่ร้องของนิสิตปีหนึ่งอย่างพวกเรา ฉันว่า ตอนที่พวกรุ่นพี่เป็นนิสิตก็คงจะเป็นแบบนี้เหมือนกัน
“อมยิ้มอะไรนะเวย์” บลูมชะโงกหน้าเข้ามาถามฉัน ก่อนจะหันไปมองรอบๆ หน้าห้องประชุมแต่สุดท้ายก็หันกลับมาหาฉันแล้วถามฉันว่า..
“บลูมไม่เห็นวิกเตอร์เลยนี่นาแล้วเวย์ยิ้มให้ใครล่ะนั้นนะ” รอยยิ้มที่กำลังเบ่งบายเต็มที่ชะงักลงทันทีที่ได้ยินชื่อวิกเตอร์ เออแฮะ..จะว่าไปฉันก็มีเรื่องจะเคลียร์กับหมอนั่นนี่นา สงสัยคราวนี้ฉันถูกเล่นงานอย่างหนักแน่ๆ ไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้หมอนั่นไม่พอใจขึ้นมาอีก T_T
“เอ่อ..” ในขณะที่กำลังคิดหาคำตอบจะตอบบลูมกลับไปนั้น พี่หนิงก็เข้ามาทักพวกเราซะก่อน ฟู่ววว์ รอดล่ะ!
“น้องบลูมน้องเวย์จ๊ะ ^^”
“ค่ะ พี่หนิง”
“น้องสองคนช่วยตามพี่มาหน่อยนะจ๊ะ พอดีว่าพี่กับเพื่อนๆ มีเรื่องจะคุยกับพวกน้องสองคน” ฉันกับบลูมหันมามองหน้ากันทันทีราวกับนัดหมายเอาไว้ นี่มันจะเกิดอะไรขึ้นอีกล่ะเนี่ย
“ไปกันเถอะ” ฉันถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินตามบลูมกับพี่หนิงไป พี่หนิงพาฉันกับบลูมมาหาพวกรุ่นพี่ทั้งหมด ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“บอยเป็นยังไงบ้าง น้องสองคนนี้พอใช้ได้มั้ย?” ทันทีที่พี่หนิงพูดจบ รุ่นพี่ทุกคน เน้น! รุ่นพี่ทุกคนต่างหันมามองฉันกับบลูมทันที พี่บอยมองฉันทั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะยิ้มออกมาอย่างพอใจ แต่ฉันไม่..ฉันไม่ชอบให้ใครมามองฉันแบบนั้นเพราะมันเหมือนกับว่าดูถูกฉันอย่างแรง..รุ่นพี่ผู้ชายบางคนมองฉันกับบลูมด้วยสายตาโลมเลียจนถึงที่สุด คอของฉันแข็งขึ้นทันทีเมื่อเห็นสายตาพวกนั้น นี่พวกเขาจะดูถูกฉันมากเกินไปแล้วนะ!
“เยี่ยมเลยหนิง แล้วนี่ใครชื่ออะไรบ้างล่ะ”
“อ้อ น้องคนที่มีผมสีน้ำตาลทองนะมีชื่อว่ารันเวย์ ส่วนอีกคนชื่อว่าบลูม” พี่บอยพยักหน้าก่อนจะยิ้มออกมาจนปากแทบจะฉีก พวกเขายิ้มอะไรกันเนี่ย?
“ชื่อก็เพราะหน้าตาก็สวย เหมาะจริงๆ”
“มีอะไรกันรึเปล่าค่ะ?” บลูมหันไปถามพี่หนิงอย่างงงๆ พี่หนิงหันมามองเราสองคนก่อนจะยิ้มออกมาตามแบบฉบับของพี่ท่าน
“ก็ไม่มีอะไรมาหรอกจ๊ะ พวกพี่ก็แค่ถูกใจพวกน้องๆ พี่กะว่าจะให้น้องรันเวย์ลงประกวดดาวมหา’ลัยเท่านั้นองจ๊ะ”
ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างอดทน นี่พวกเขาเห็นฉันเป็นตัวอะไรที่จะได้ชี้นิ้วสั่งก็ทำตาม จะบอกอะไรให้สิ่งไหนที่ฉันไม่อยากทำฉันก็จะไม่ทำและไม่มีใครมาบังคับฉันได้บอกจากตัวของฉันเอง.เท่านั้น
“ดาวมหา’ลัยเหรอค่ะ ว้าว! สุดยอดไปเลยนะเวย์ รุ่นพี่เขาเลือกเธอแนะ ยินดีด้วยนะ ^^” บลูมโชว์ยิ้มกว้างก่อนจะเขย่าแขนฉันอย่างดีใจ ยัยนั่นจะดีใจอะไรนักหนาวะ ในเมื่อคนที่ถูกเลือกมันฉันนี่หว่าไม่ใช่ยัยนั่นสักหน่อย -_-;
“ว่าไงค่ะน้องเวย์ ลงประกวดเถอะค่ะ” พี่หนิงพูดขอร้องฉันอีกคนก่อนที่เสียงรุ่นพี่คนอื่นๆ จะดังตามมาไม่ขาดสาย ให้ตาย..นี่พวกเขาไม่คิดจะถามความสมัครใจของฉันเลยรึไงเนี่ย -_-^
“จริงด้วยเวย์ ลงประกวดเถอะ บลูมว่าเวย์จะต้องได้เป็นดาวมหา’ลัยแน่ๆ เลยล่ะ..นะๆ ลงประกวดเถอะ *0*”
ยัยบลูมเองก็อีกคนเหรอเนี่ย ฉันถอนหายใจออกมาอีกรอบอย่างระอา นี่พวกเขาจะให้ฉันลงประกวดให้ได้เลยใช่มั้ยเนี่ย ฉันมองทุกคนอย่างชั่งใจแต่ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดออกมา
“ไม่!” อ๊ะ..นั่นไม่ใช่เสียงของฉันนะ! ฉันยังไม่ทันอ้าปากพูดเลยด้วยซ้ำ =_=
“อะ..เอ่อ..”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ ยัยนั่นไม่มีทางลงประกวดแน่นอน -_-;” ฉันว่าเสียงมันฟังดูคุ้นๆ นะมันเหมือนกับเคยได้ยินที่ไหน..อ๊ะ..หรือว่า!
“อ๊ะ..นาย” ฉันหันกลับไปมองก็ทำให้เห็นวิกเตอร์ยืนทำหน้าทะมึงทึงและพาสเตอร์ยืนอมยิ้มอยู่ หมอนั่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย
“พาส! พาสมาตั้งแต่เมื่อไหร่นะ” บลูมยิ้มออกมาหน้าบานก่อนจะถลาเข้าไปกอดแขนพาสเตอร์อย่างออดอ้อน..ส่วนฉันก็ได้แต่เสหลบสายตาของวิกเตอร์ ให้ตาย..เจอหน้าหมอนั่นตรงๆ แบบนี้ ทำหน้าไม่ถูกแฮะ
“ก็นายพอจะได้ยินว่ารุ่นพี่คณะสังคมฯ ต้องการส่งตัวเวย์ลงประกวดดาวมหา’ลัยนั่นละ”
“นายเองก็คิดเหมือนกันใช่มั้ยพาส..เวย์นะเหมาะสมที่จะลงประกวดดาวมหา’ลัย บลูมว่าเวย์จะต้องชนะใจคณะกรรมการแน่นอน ^^”
“ฮะๆ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสินะ เพราะไอ้วิกเตอร์ก็โดนรุ่นพี่คณะวิศวะฯ บังคับให้ลงประกวดเดือนมหา’ลัยเหมือนกัน” พาสเตอร์พูดกลั้นหัวเราะ ก่อนที่เสียงหัวเราะคิกคักของบลูมก็ดังขึ้นมา ฉันเองก็เงยหน้าขึ้นมองวิกเตอร์อย่างตกใจ นี่หมอนั่นถูกรุ่นพี่บังคับให้ลงประกวดเดือนมหา’ลัยด้วยเหรอเนี่ย
“เอ่อ..ว่าไงครับน้องเวย์ สนใจจะลงประกวดรึเปล่าครับ ^^;” ฉันหันไปมองพี่บอยที่กำลังส่งยิ้มฝืดๆ มาให้ฉัน..ใจหนึ่งก็ไม่อยากขัดใจคนหล่ออย่างพี่บอย แต่อีกใจกลับไม่อยากขัดใจคนหล่อ (กว่า) อย่างวิกเตอร์ ตอนนี้ภายในหัวสมองของฉันกำลังตีกันอย่างหนัก ฝ่ายน้ำเงินเชียร์พี่บอย ฝ่ายแดงเชียร์วิกเตอร์..ในที่สุดฝ่ายแดงก็ชนะฝ่ายน้ำเงินราบคาบ ฉันต้องเลือกเชื่อวิกเตอร์สิแค่เห็นสายตาดุดันของหมอนั่น ฉันก็กลัวจนหัวหดแล้ว แล้วถ้าหากฉันขัดใจหมอนั่นอีก ฉันจะมีชีวิตรอดกลับไปเป็นตำรวจหญิงมั้ยเนี่ย ฮือๆ V_V
“ก็บอกว่าไม่ ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง -_-^”
“พี่ถามน้องเวย์ไม่ได้ถามน้อง” เอาละเหวย ดูท่าพี่บอยคงจะไม่ใช่รุ่นพี่เจี๊ยมเจี๋ยมสักเท่าไหร่ ถ้าขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้มีหวังพี่บอยกับวิกเตอร์ได้ต่อยกันนัวเนียแน่คราวนี้ =_=
“มันก็เหมือนกันนั้นล่ะ ไม่ว่าจะเป็นฉันที่ตอบหรือยัยนั่นที่ตอบ มันมีค่าเท่ากัน”
“เอ๊ะ ก็พี่บอกแล้วไงว่าถามน้องเวย์ น้องถอยไปเลยดีกว่าพี่ไม่อยากมีเรื่องกับพวกคณะวิศวะฯ” ฉันมองวิกเตอร์สลับกับพี่บอยสลับกันไปมาก่อนจะยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ อย่างจนปัญญา เฮ้อ! หมอนั่นชอบหาเรื่องชาวบ้านจริง
“ฉันเองก็ไม่อยากมีเรื่องกับคณะสังคมฯ เหมือนกัน..แต่ถ้าหากว่าพวกพี่ยังอยากจะให้ยัยนั่นลงประกวดดาวมหา’ลัยอีกละก็..ฉันไม่รับประกัน” วิกเตอร์จ้องพี่บอยด้วยสายตาแข็งกร้าวชนิดที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน สายตาของเขามันเหมือนกับจะทะลุทิ่มแทงให้ตายกันไปข้าง พี่บอยเองก็ไม่น้อยหน้าจ้องวิกเตอร์ด้วยสายตาแข็งกร้าวเช่นกัน
“คณะสังคมฯ จะทำอะไรมันเกี่ยวอะไรกับคณะวิศวะฯ เหรอวะ” โปรดอย่าเข้าใจผิด นั่นไม่ใช่เสียงของพี่บอยแต่เป็นเสียงของผู้ชายอีกคน ท่าทางเอาเรื่องเหมือนกัน สงสัยจะเป็นพวกเพื่อนพี่บอยแหงๆ
“ไม่เกี่ยว แต่ถ้าหากดึงยัยนั่นเข้าไปร่วมด้วยมันก็ไม่แน่ บางทีมันอาจจะเกี่ยวกับฉันไม่ใช่คณะวิศวะฯ”
“อย่าทำตัวอวดเก่งไปหน่อยเลย ไอ้ลูกหมาอย่างแกจะสู้อะไรฉันได้”
แทนคำตอบวิกเตอร์ก็ปล่อยหมัดเสยคางรุ่นพี่คนนั้นไปทันที ท่ามกลางความตะลึงของฉันและรุ่นพี่บางคนและนอกเหนือจากนี้ยังมีเสียงกรี๊ดของรุ่นพี่ที่หวาดผวากับการมีเรื่องกันในครั้งนี้
“อย่างนี้พอจะเรียกน้ำย่อยแกได้รึเปล่า ฉันว่าแกถอยไปดีกว่าตอนนี้ฉันกำลังอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากจะฆ่าใครตาย”
“ถุย! แกอยากมีเรื่องกับฉันมากใช่มั้ย ได้ ฉันจะจัดให้แกเอง” พูดจบรุ่นพี่คนนั้นก็ปล่อยหมัดใส่วิกเตอร์ทันที ดูเหมือนว่าเขาจะเตรียมพร้อมเอาไว้แล้วจึงหลบหมัดของรุ่นพี่อย่างสบายๆ พร้อมๆ กับเตะเข้าชายโครงรุ่นพี่อย่างแรง
“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่อยากมีเรื่องกับแก”
“แก..” วิกเตอร์มองรุ่นพี่ที่ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นด้วยสายตาสมเพชแต่ก่อนที่หมอนั่นจะเตะซ้ำสอง พี่บอยก็ถลาเข้ามาซะก่อน
ผัวะ!
ใบหน้าของวิกเตอร์หันไปตามแรงปะทะ ฉันเห็นเลือดที่มุมปากของเขาด้วยล่ะ..แบบนี้มันหมาหมู่กันนี่นา สองรุมหนึ่ง เฮอะ..
“แกกล้ามากที่ทำฉันเลือดออก” วิกเตอร์พูดออกมาก่อนจะใช้นิ้วหัวแม่มือปาดเลือดที่มุมอย่างอาฆาต
“ก็เออสิวะ ทำไมหรือแค่เห็นเลือดก็กลัวจนหัวหด..ไม่แน่นี่หว่า” ฉันบีบมือตัวเองแน่น หวังว่าหมอนั่นคงจะไม่พา ‘มัน’ มาหรอกนะ
“ฮึ” วิกเตอร์ทำเสียงฮึในลำคอก่อนจะวิ่งเข้าหาพี่บอยอย่างรวดเร็วแล้วปล่อยหมัดออกไปปะทะใบหน้าของพี่บอยอย่างแม่นยำก่อนจะส่งทั้งลูกเตะและหมัดตามไปอีกติดๆ รุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนพี่บอยเมื่อยันตัวลุกขึ้นได้ก็ตรงเข้าถีบวิกเตอร์จากด้านหลังทันที หมอนั่นล้มลงไปตามแรงถีบ พี่บอยกับเพื่อนจึงหันมากระทืบวิกเตอร์ แต่เมื่อเขาตั้งตัวได้ก็หันไปเล่นงานพวกรุ่นพี่ต่อ
ผัวะ พลั่ก ครืน โครม~
ทั้งเก้าอี้พลาสติก สิ่งของต่างๆ ที่อยู่ใกล้มือต่างก็ถูกใช้เป็นอาวะจำเป็น ทั้งสามหันมาตะลุมบอนกันอย่างดุเดือดเลือดผล่าน ไม่นานรอบๆ วงตีกันก็มีทั้งรุ่นพี่คณะต่างๆ รวมทั้งนิสิตเข้ามามุงดูเหตุการณ์แต่ไม่มีใครยื่นมาเข้ามาช่วยหรือห้ามปรามปรามแม้แต่น้อย
ครืนน โครมม ผัวะ เปรี๊ยะ~
ฉันหันไปมองพาสเตอร์อย่างขอความช่วยเหลือ แต่ก็ได้แค่รอยยิ้มบางๆ จากหมอนั่นเท่านั้น บ้าเอ๊ย!! นี่ไม่มีใครคิดจะช่วยหมอนั่นเลยรึไงเนี่ย! ฉันหันกลับไปมองดูเหตุการณ์อย่างเครียดๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้วิกเตอร์จะได้เปรียบอยู่ก็เถอะ หมอนั่นทั้งถีบ เตะ อัด ต่อยรุ่นพี่ทั้งสองอย่างโกระจัด หมอนั่นน่ากลัวชะมัดแฮะ -0-;
“ฉันบอกแกแล้วไงว่าไม่อยากมีเรื่อง แต่พวกแกก็สะเออะอยากมีเรื่องกันฉันเอง” วิกเตอร์พูดออกมาอย่างดุดันไม่แพ้หน้าตาที่ดุดันจนน่ากลัว
“แก..”
“อ๊ะ!” ฉันอุทานออกมาก่อนจะยกมือขึ้นป้องตาเมื่อเห็นแสงสีเงินสะท้อนแวววาวกับแสงอาทิตย์จนแสบตา ฉันเห็นมันเมื่อรุ่นพี่คนที่เป็นเพื่อนพี่บอยชักมันออกมาแล้วถลาเข้าหาวิกเตอร์ ไม่ได้การล่ะเมื่อไม่มีใครช่วยเขา ฉันช่วยเองก็ได้ฟะ!
“เฮ้ย!”
ผัวะ!
ฉันถลาเข้าไปเตะเข้าที่ข้อมือของรุ่นพี่คนนั้น อาวุธที่อยู่ในมือจึงกระเด็นตกลงไปบนพื้น รุ่นพี่คนนั้นทำท่าจะเข้าไปหยิบมันขึ้นมาอีกครั้งแต่ฉันไวกว่า ใช้เท้าเตะเสยคางรุ่นพี่ทันที เขาเช็ดเลือดที่มุมปากก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองฉันอย่างอาฆาต ดี! วันนี้ล่ะที่ฉันจะโชว์ฝีมือให้คนอื่นเขาเห็นสักทีว่าฉัน..ไม่ได้อ่อนแอ จนยอมให้ใครมารังแก
“ฉันไม่อยากทำร้ายผู้หญิง ถอยไป!”
“งั้นรุ่นพี่ก็ต้องทำร้ายฉันแล้วละ เพราะว่าฉันไม่ถอย”
“ฮึ่ย!” รุ่นพี่ขบฟันอย่างโมโหสุดขีดก่อนจะถลาเข้ามากะจะต่อยฉัน ฉันเสตัวหลบไปอีกด้านก่อนจะเตะเข้าที่ชายโครงอย่างจัง
พลั่ก! ผัวะ!
ก่อนจะใช้เข่ากระแทกเข้าที่ใบหน้า เฮ้อ..เจ็บเข่าชะมัด T_T ฉันหันสายตาไปมองรอบๆ ปรากฏว่าทุกคนมองฉันอย่างอึ้งๆ แต่มีรุ่นพี่บางคนมองขาอ่อนของฉันอย่างโลมเลีย ถึงแม้ว่าฉันจะใส่กระโปรงมาแต่ฉันก็ใส่กางเกงมาอีกชั้น มันเป็นแค่กางเกงยีนขาสั้นที่ฉันใส่มาเผื่อเจอเหตุการณ์ชุกละหุก ฉันมัวแต่มองสายตาของทุกคนจนเพลินจนลืมสังเกตรุ่นพี่คนนั้นไปซะสนิทจนเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของบลูมนั้นละ ฉันถึงได้สติ
“กรี๊ดดดด! เวย์ระวัง!!”
ฉันหันไปมองตามเสียงกรีดร้องของบลูม ก่อนจะเบิกตากว้างมองมีดในมือรุ่นพี่อย่างตกตะลึง ฉันไม่ได้คิดอะไรมากให้เสียเวลาเมื่อมันกำลังพุ่งเข้ามาหาฉัน ฉันก็เสหลบทันทีแต่มันก็ยังได้ดื่มเลือดที่สีข้างของฉันไปเหมือนกัน ฉันเงยหน้าขึ้นมองรุ่นพี่ด้วยสายตาแข็งกร้าว ไม่เคยมีใครทำให้ฉันต้องบาดเจ็บมาก่อน เฮอะ! นี่ถ้าหากว่าฉันไม่ได้เรียนตำรวจแล้วละก็ ไอ้คนที่กล้าทำร้ายฉันมันไม่ตายดีแน่! ฉันกำหมัดตัวเองแน่นพยายามระงับอารมณ์อยากจะฆ่าคนเอาไว้อย่างเต็มที่ แต่แล้วเสียงหัวเราะเย้ยหยันของรุ่นพี่คนนั้นก็ดังขึ้น
“ฮะๆ ฉันบอกแกแล้วว่าฉันไม่อยากทำร้ายผู้หญิง แต่แกดันสะเออะเข้ามาขวางเอง” รุ่นพี่คนนั้นหัวเราะออกมาอีกครั้งแล้วพุ่งตัวมาที่ฉัน ฉันมองผู้ชายคนนั้นด้วยสายตาไร้ความรู้สึก ถ้าหมอนั่นคิดวาจะฆ่าฉันได้ก็เข้ามา ฉันเอี้ยวตัวหลบคมมีดอีกครั้งก่อนจะจับแขนเขาเอาไว้แล้วบิดไพล่หลังอย่างแรง
กร๊อบ!
“อ๊ากกก!!!” รุ่นพี่ร้องออกมาอย่างโหยหวน ฉันแสยะยิ้มออกมาก่อนจะใช้ขาขวาเตะเข้าที่ขาของรุ่นพี่สุดแรงจนเข่ากระแทกพื้นซีเมนต์อย่างแรง ฉันไม่หยุดแค่นั้นกระชาดคอเสื้อของรุ่นพี่คนนั้นขึ้นมาแล้วหมุนตัวเกี่ยวขาเข้าที่ข้อพับเข่าของรุ่นพี่พร้อมกับออกแรงเหวี่ยงโดยใช้ตัวหมุนให้รุ่นพี่ลอยตัวขึ้นมาจากพื้น ก่อนที่ร่างของเขาจะหล่นลงกระแทกพื้นซีเมนต์อีกครั้ง ฉันปรายตาไปมองก่อนจะใช้เท้าเขี่ยมีดขึ้นมาแล้วใช้มือรับไว้อย่างสวยงาม สองเท้าของฉันเดินไปหยุดห่างจากรุ่นพี่คนนั้นสองเก้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงดุดันออกมา
“คราวกหน้าถ้าแกยังทำร้ายฉันอีกล่ะก็..แกไม่ตายดีแน่”
ฉึก!
เมื่อฉันพูดจบก็ปามีดที่อยู่ในมือของตัวเองไปปักลงบนพื้นซีเมนต์ข้างต้นคอของรุ่นพี่ ครั้งนี้ฉันไม่ฆ่ามันหรอกแต่ถ้าครั้งหน้าก็ไม่แน่ ฉันไม่ยอมให้คนที่กล้าทำร้ายฉันเป็นครั้งที่สองเดินลอยหน้าลอยตาอยู่บนโลกใบนี้ด้วยความสุขหรอกนะ
“พวกพี่เองก็เหมือนกัน ฉันไม่ลงอะไรมันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นดาวคณะหรือดาวมหา’ลัย ฉันไม่ต้องการและไม่ต้องมาบังคับฉัน เพราะฉันไม่อยากได้ ผู้หญิงคนอื่นก็มีตั้งเยอะแยะทำไมไม่ไปหา ทำไมต้องมาบังคับให้ฉันลง” ฉันตวัดสายตาไปมองรุ่นพี่ทุกคนก่อนจะเดินไปลากวิกเตอร์ออกไปจากที่นี่ ทุกคนที่ยืนเออออดูเหตุการณ์อยู่ด้านนอกต่างก็หลีกทางให้ฉันกับวิกเตอร์ราวกับว่าเราสองคนเป็นตัวประหลาด ไม่น่าเข้าใกล้ -_-; แต่มันก็ดีแล้วล่ะ ฉันขี้เกียจแหกปากตะโกนให้พวกเขาหลีกทางให้ แค่นี้ก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว
“เวย์! วิกเตอร์! ไหวรึเปล่า ไปโรงพยาบาลก่อนมั้ย เลือดของเธอไหลไม่หยุดเลยนะ ให้หมอดูก่อนจะดีกว่านะ” บลูมกับพาสเตอร์วิ่งเข้ามาถามฉันอย่างร้อนรน
“ฉันไม่เป็นไรหรอก แผลแค่นี้ไกลหัวใจหน่าแล้วที่สำคัญขืนไปโรงพยาบาลอธิบดีการได้รู้กันพอดีนะสิว่าพวกเรามีเรื่องกัน ฉันยังไม่อยากโดนไล่ออกทั้งที่ยังไม่เป็นนิสิตเต็มตัวนะ -_-;” แล้วที่สำคัญคือแผนการของพวกเรายังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ -_-^
“ถ้างั้นไปคลินิกกันนะ บลูมมีคลินิกที่รู้จักอยู่ด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันกลับไปทำแผลที่คอนโดฯ ดีกว่า มันน่าจะสะดวกกว่าเยอะ”
“แต่..”
“ไม่ต้องห่วง ฉันดูแลยัยนี่ได้” บลูมหันไปมองหน้าวิกเตอร์ก่อนจะทำหน้าเหมือนร้องไห้ ยัยนั่นเป็นอะไรไปอีกล่ะเนี่ย
“อื้ม ยังไงบลูมก็ฝากดูแลเวย์ด้วยก็แล้วกันนะวิกเตอร์”
แทนคำตอบหมอนั่นก็กระชากฉันขึ้นไปบนรถญี่ปุ่นทันที เฮ้อ..ท่าทางฉันคงไม่รอดจากเงื้อมือของวิกเตอร์ก็คราวนี้ละ
ความคิดเห็น