คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 4 เรื่องที่ต้องทำ
4
เรื่องที่ต้องทำ
“O_O นาย!!”
“Hi, baby ^^”
ฉะ..ฉันอยากหายไปจากตรงนี้ชะมัด ทำไมชีวิตของฉันจึงต้องเวียนมาบรรจบพบเจอกับอีตานั่นด้วยนะ ฮึกๆ คนสวยไม่เข้าใจ T^T
อ้าว! นี่พวกคุณสองคนรู้จักกันด้วยเหรอเนี่ย” ฉันมองหน้าท่านผู้การที่มองเราสองคนอย่างงงๆ ก่อนจะส่ายหน้าจนหัวแทบหลุด ปฏิเสธข้อกล่าวหา Y_Y
“ไม่รู้จักค่ะ/รู้จักครับ”
ฉันหันไปมองหน้าหมอนั่นทันที ทำไมเขาต้องพูดว่ารู้จักฉันด้วยล่ะ ทั้งๆ ที่เราสองคนแทบจะไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ หรือว่าหมอนั่นจะแอบไปสืบหาข้อมูลของฉันมาแล้วนะ ถึงได้พูดแบบนั้นออกมานะ
“ตกลงพวกคุณสองคนรู้จักกันรึเปล่าเนี่ย -_-;”
“ไม่รู้จักค่ะ/รู้จักครับ” แง้! ใครก็ได้ช่วยฆ่าหมอนั่นที ขัดหูขัดตาเหลือเกิน T_T
“-_-; เอาให้แน่สิ..ผมไม่รู้หรอกนะว่าพวกคุณสองคนรู้จักกันรึเปล่า แล้วมาพูดแบบนั้นกัน ผมจะรู้เรื่องมั้ย -_-^”
ฉันหันไปถลึงตาใส่หมอนั่นอย่างฉุนๆ นี่ถ้าเขาไม่พูดก็ไม่มีใครเขาหาว่าเขาเป็นใบ้หรอกนะ
“เราเคยเจอหน้ากันมาก่อนครับท่านผู้การแต่ก็ไม่ได้ทำความรู้จักกัน..สำหรับเธออาจจะบอกว่าไม่รู้จักผม แต่สำหรับผมแล้วเรารู้จักกัน” แล้วทำไมต้องยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ฉันด้วยล่ะ ไม่เข้าใจ U_U
“มีแบบนั้นด้วยเหรอเนี่ย -_-; แต่เอาเถอะ ไหนๆ ก็มากันพร้อมแล้ว เราอย่าพูดเรื่องอื่นกันให้เสียเวลาเลยดีกว่า” ฉันหันไปมองหมอนั่นด้วยสายตาว่างเปล่า แต่ไหงหมอนั่นกลับมองฉันด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ แบบนั้นล่ะ
“ที่ผมเรียกทุกคนมาวันนี้ก็เพราะจะอธิบายเรื่องทุกอย่างในการปฏิบัติภารกิจให้พวกคุณฟังหวังว่าพวกคุณสองคนคงจะเตรียมตัวพร้อมกับการภารกิจที่กำลังจะทำกันแล้วใช่มั้ย?”
“ค่ะ/ครับ” ให้ตาย -_-; ทำไมหมอนั่นต้องจ้องหน้าฉันตลอดเวลาด้วยนะหรือว่าบนหน้าฉันมีอะไรติดอยู่ เห็นจ้องกันตาไม่กระพริบ -_-a
“เอาล่ะ ผมว่าพวกคุณสองคนทำความรู้จักกันก่อนนะ เพราะภารกิจที่พวกคุณสองคนจะทำกันมันอีกนานทีเดียว” ฉันหันไปหาหมอนั่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เฮ้อ..หนีเสือปะจระเข้จริงๆ
“เวยุตา วัฒนาพานิช..รันเวย์ ยินดีที่ได้รู้จัก -_-;”
“ผมวิกเตอร์ อีธอส สเตเวสัน เรียกเล่นๆ ว่าวิกเตอร์ก็ได้ครับ ^^”
ลูกครึ่ง? หมอนั่นเป็นลูกครึ่งเหรอเนี่ย ถึงว่า -_-; ฉันยังไม่ได้บอกเลยใช่มั้ยว่าหมอนั่นหน้าตาเป็นยังไง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหมอนั่นหน้าตาดีกว่าฟอสอีก =_=; ฟอสว่าหล่อแล้ว เจอหมอนี่เข้าหน่อยชิดซ้ายเลยล่ะ ฉันชอบนัยน์ตาของเขาล่ะ มัน..ดูมีเสน่ห์ดี นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มเหมือนน้ำทะเลเข้ากับผมสีดำสนิทยาวระต้นคอ แล้วไหนจะจมูกโด่งเป็นสันนั้นอีก ดวงตาคมราวกับพญาเหยี่ยว ริมฝีปากสีชมพูอมแดงระเรื่อหรือแม้แต่โครงหน้าที่คมคายราวกับว่าพระเจ้าสรรค์สร้างทุกสิ่งทุกอย่างให้เขาโดยเฉพาะ เฮอะ..น่าอิจฉาแทนผู้ชายอีกหลายคนจริงๆ -_-
“รู้จักกันแล้วก็ดี..ผมว่าเราควรจะเข้าเรื่องของเราได้แล้วนะ..ภวิช แจกเอกสารทั้งหมด”
“ครับท่านผู้การ”
ฉันยื่นมือออกไปรับเอกสารมาจากพี่วิชอย่างเฉยๆ มีภารกิจก็ย่อมมีปัญหาให้ถกเถียงกัน ฉันได้ยินประโยคนี้จนบ่อยจากการที่คุณพ่อประชุมพวกลูกน้องในบริษัทแล้วล่ะ ตอนนี้ไอ้ประโยคเหล่านั้นมันก็ดูเฉยๆ สำหรับฉันไปโดยปริยาย
“นี่คือ..?”
“เอกสารที่พวกคุณจะต้องรู้และศึกษามันจนเข้าใจไปถึงจิตวิญญาณ..เป็นนายร้อยตำรวจอาจจะไม่ยากหนักหนาสาหัสอะไร แต่การเป็นตำรวจมันไม่ใช่..การเป็นตำรวจที่ดีคือการเข้าใจและรับรู้ถึงความรู้สึกเดือดร้อนของประชาชน ถ้าพวกคุณทำสิ่งที่ผมพูดออกมาไม่ได้ พวกคุณก็ไม่ควรจะมาเรียนตำรวจให้เสียเวลา กลับไปนอนดูดนมแม่อยู่ที่บ้านไม่ดีกว่ารึไง”
“...”
“ฟังนะวิกเตอร์ รันเวย์..ภารกิจที่พวกคุณจะต้องทำมันไม่ใช่เรื่องหมูๆ ที่ใครก็ได้สามารถทำมันได้ ขอให้พวกคุณจำเอาไว้ว่าที่พวกเราเลือกพวกคุณสองคน ก็เพราะเลือกมาจากความสามารถที่โดดเด่นของพวกคุณเอง ไม่ได้เลือกมาจากน้ำเงินของใคร พวกเราเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ไม่ใช่ผู้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ราษฎร์ ดังนั้น ไม่ว่าใครหน้าไหนให้พวกคุณมากแค่ไหนก็อย่าไปรับมัน เราเองก็มีเกียรติและศักดิ์ มีสองมือมีสองเท้าที่พร้อมจะสู้ดิ้นรนให้แก่ชีวิตของตัวเอง..สิ่งที่ผมบอกพวกคุณไป ผมหวังว่าสิ่งเหล่านั้นมันจะเข้าไปอยู่ในจิตใต้สำนึกของพวกคุณ”
“ค่ะ/ครับ ท่านผู้การ”
การเป็นตำรวจมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนกันนะ ต้องผ่านอะไรมากมาย ต้องเจอกับอุปสรรคที่คอยขัดขวาง แต่ถ้า..เราผ่านมันมาได้ ทุกคนก็จะมายืนบนจุดนี้เหมือนฉัน จุดที่พวกคุณกำลังจะโดดทดสอบเพื่อเข้าเป็นตำรวจที่แท้จริง ถ้าพวกคุณทำได้ พวกคุณก็จะเข้าใจว่ามันน่าภาคภูมิใจแค่ไหนกับการเลือกเรียนตำรวจ...
“ผมอยากจะบอกพวกคุณว่า ผมภูมิใจในตัวพวกคุณสองคนที่สามารถก้าวผ่านมายืนตรงจุดนี้ได้..และสิ่งที่ผมเสียใจมากที่สุดคือการบอกพวกคุณว่า..พวกคุณสองคนต้องกลับไปเรียนปีหนึ่งใหม่”
“อะไรนะค่ะ! กลับไปเรียนปีหนึ่งใหม่เหรอค่ะ! ทำไมต้องกลับไปเรียนใหม่ด้วยล่ะค่ะ O_O” นี่ท่านผู้การจะบ้าเหรอ ฉันเรียนจบนายตำรวจมาแล้วนะ ยังจะให้ไปเรียนปีหนึ่งใหม่อย่างนั้นเหรอ บ้าไปแล้ว -_-^
“ใจเย็นๆ สิ ที่ผมบอกพวกคุณไปเรียนปีหนึ่งใหม่ก็เพราะว่าเป้าหมายของพวกเรามีลูกสาวแล้วปีนี้เธอก็จะเข้าปีหนึ่ง นั่นคือเหตุผลที่ทางเราตัดสินใจให้พวกคุณกลับไปเรียนปีหนึ่งใหม่”
“แล้วที่เหลือล่ะครับ..สองคนนั้นจะเรียนที่เดียวกับเราหรือเปล่าครับ” ฉันหันกลับไปมองวิกเตอร์ที่จู่ๆ ก็ถามท่านผู้การออกมา เออแฮะ..ฉันลืมนึกถึงยัยฟ้าไปเลย สงสัยมัวแต่เคียดแค้นชิงชังหมอนั่นอยู่ -_-;
“ไม่หรอก ทางเราไม่โง่พอที่จะส่งสปายทีเดียวสี่คนไปเรียนในมหา’ลัยเดียวกัน..พวกเธอสองคนไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องข้อมูลหรอกนะ ทางกองปราบฯ จะกุข้อมูลขึ้นมาใหม่ ไม่มีใครสามารถมาตรวจเช็คข้อมูลได้ ทุกคนจะเชื่อว่าพวกเธอสองคนรุ่นเดียวกับพวกเขาจริง ไม่มีใครคิดหรอกว่าที่จริงพวกเธอแก่กว่านั้น” ฉันสะดุ้งกับคำว่าแก่ของท่านผู้การ อะไรวะ ปีนี้ฉันอายุยี่สิบสองเองนะ มาด่าว่าฉันแก่ได้ยังไงล่ะเนี่ย -0-;
“สรุปว่าเราต้องเรียนปีหนึ่งใหม่..แล้วมหา’ลัยที่จะไปเรียนล่ะค่ะ แล้วไหนจะค่าใช้จ่ายในมหา’ลัยอีก ทางกองปราบฯ จะออกให้รึเปล่าค่ะ?” ลองตอบว่าไม่สิ ฉันจะยกเลิกการเป็นสปายนั่นทันที ฉันไม่ยอมโง่เสียเงินไปเรียนปีหนึ่งใหม่หรอกนะ -_-^
“ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายในมหา’ลัยหรอก เพราะทางกองปราบฯ จะออกเงินให้ แต่เรื่องค่าใช้จ่ายนอกเหลือจากนั้นพวกคุณสองคนก็ต้องออกกันเอง”
ฉันเลิกสนใจคำพูดของท่านผู้การแต่หันมาสนใจไอ้เอกสารที่อยู่ในมือแทน พวกเขาจะส่งฉันกับวิกเตอร์ไปเรียนมหา’ลัยเอกชน (ค่าใช้จ่ายคงจะแพงน่าดู -0-) แถมพวกเขายังใจดี เช่าคอนโดฯ ให้ฉันกับวิกเตอร์อยู่กันอีก..ไม่ใช่สองห้องนะ แต่เป็นห้องเดียวต่างหาก -_-* เฮ้อ..ท่าทางว่างานนี้ชีวิตฉันคงจะต้องผูกติดอยู่กับชีวิตของเขาไปอีกนานทีเดียว อย่างนี้จะเรียกว่าโชคดีหรือเรียกว่ากรรมเก่าของฉันดีนะ สงสัยว่าชาติที่แล้วฉันกับหมอนั่นคงจะทำบุญร่วมชาติกันมาเยอะ ชาตินี้เลยต้องมาเจอะเจอกันให้เบื่อขี้หน้า -_-;
“เมื่อพวกเธอสองคนเข้าไปเรียนในมหา’ลัย อย่าลืมทำตัวตีสนิทกับลูกสาวของเป้าหมายล่ะ แล้วที่สำคัญพยายามหาข้อมูลเรื่องโกดังที่ใช้ผลิตยาด้วย..งานนี้มีแต่เสี่ยงอันตราย พวกเธอสองคนต้องระวังตัวกันให้ดีและระวังอย่าให้พวกมันรู้ว่าพวกเธอสองคนเป็นสปาย..เข้าใจใช่มั้ย?”
“ค่ะ/ครับ”
จะส่งฉันไปเรียนคณะสังคมฯ แล้วให้วิกเตอร์ไปเรียนคณะวิศวะฯ เหรอเนี่ย แล้วทำไมฉันต้องเรียนคณะนั้นด้วยฟะ
“ท่านผู้การค่ะ แล้วทำไมต้องให้เวย์ไปเรียนคณะสังคมฯ ด้วยล่ะค่ะ”
“ก็เพราะว่าลูกสาวของเป้าหมายเรียนคณะสังคมฯ ยังไงล่ะ เธอพยายามตีสนิทให้มาก รู้สึกว่าเด็กคนนั้นนะจะไม้ค่อยไว้ใจใครซะด้วย ถ้าเธอทำให้เด็กคนนั้นไว้ใจเธอล่ะก็..มันจะวิเศษมากทีเดียว”
ว่าแล้วท่านผู้การของกองปราบฯ ก็กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างชั่วร้าย หะ..ให้ตาย เห็นแล้วเสียวสันหลังชะมัด นี่อย่าบอกนะว่าภารกิจที่ฉันกับหมอนั่นจะต้องทำมันจะต้องเจออะไรที่เลวร้ายกว่ารอยยิ้มของท่านผู้การนะ อย่างนี้ไม่เอาด้วยนะ T_T
“แล้วผมจะต้องทำยังไงบ้างครับ?” นั่นสิๆ งานของฉันหนักขนาดนี้แล้ว งานของหมอนั่นจะเป็นยังไง ถ้างานของเขาเบากว่าฉันล่ะก็ ฉันจะวีนกลางกองปราบฯ ให้ดูเลย -.-
“เธอน่ะพยายามส่งข้อมูลมาให้เรามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นทางเข้าออกของมหา’ลัย ทางลับในหา’ลัยและรวมไปถึงโกดังผลิตยาเสพติดด้วย ส่งข้อมูลมาให้ทางเราอย่างละเอียดอย่าให้พลาดแม้แต่จุดเดียว เพราะถ้าพลาด มันอาจหมายถึงชีวิตของพวกเธอเอง..ภวิช ไปหยิบปืนกับกระสุนมาให้พวกเขาหน่อย บางครั้งพวกเขาก็จำเป็นต้องใช้มันในการป้องกันตัว”
“ครับ” ฉันมองปืนกับกระสุนที่วางอยู่ตรงหน้าด้วยหัวใจที่เต้นระทึก บ้าเอ๊ย.. นี่ฉันเคยจับมันและก็ใช้มันมาแล้วนะ ทำไมเมื่อเห็นตอนนี้หัวใจมันถึงเต้นเร็วแบบนี้นะ มันไม่เห็นน่าตื่นเต้นสักหน่อย ทำเป็นเต้นโครมครามไปได้ -_-*
“จะให้พวกเราเหรอครับ?” วิกเตอร์เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ก็แค่ปืนสองกระบอกกับกระสุนอัประมาณสิบแม็คมันน่าแปลกใจตรงไหนกันนะ หมอนั่นเป็นคนขี้สงสัยจริงๆ
“ใช่ พวกมันทั้งสองกระบอกเป็นของพวกเธอสองคนแล้ว ดูแลรักษามันดีๆ ล่ะ อ้อ..แล้วอย่าให้ใครรู้เป็นอันขาดว่าในห้องของพวกเธอมีไอ้สองกระบอกนี่อยู่ เข้าใจใช่มั้ย”
“ค่ะ/ครับ”
ทันทีที่พูดจบฉันก็หยิบปืนขึ้นมาสำรวจทันที ปืนของฉันจะเป็นปืนสั้นแบบลูกโม่ ของวิกเตอร์จะเป็นปืนสั้นแบบออโตเมติก หมอนั่นโชคดีชะมัด แต่เอาเถอะ ไม่ว่าจะเป็นลูกโม่หรือออโต้ฉันก็ใช้ได้ทั้งนั้นล่ะ ปืนสั้นที่อยู่ในมือของฉันตอนนี้เป็นที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน ฉันไม่รู้หรอกนะว่าทำไมทุกคนถึงชอบใช้มัน อาจจะพกพาสะดวกก็ได้หรือว่าหาได้ง่ายในปัจจุบัน (แต่ฉันชอบแบบออโต้มากกว่านะ) ของฉันจะเป็นรุ่นโค้ลท์ไพธอนขนาด .357 แม็กนั่ม ความจริงฉันอยากได้ .38 สเปเชี่ยวมากกว่า T_T แต่ในเมื่อได้โคลท์ไพธอนมาก็ต้องใช้โค้ลท์ไพธอน อะไรมันน่าเศร้าใจแบบนี้นะ กระซิกๆ
“ถูกใจเธอรึเปล่า” ฉันหันไปมองวิกเตอร์ที่หันมาถามฉันด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ อะไรของหมอนั่นกันนะ ทำสายตาแบบอื่นไม่เป็นรึไงนอกจากสายตาเจ้าเล่ห์นะ -_-^
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย..ไม่ทราบ -_-;”
“ฮะๆ ไม่เจอกันไม่กี่ชั่วโมงยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ” วิกเตอร์กระตุกยิ้มก่อนจะวางปืนลงแล้วมาคว้าปืนไปจากมือฉันแทน
“อ๊ะ..อะไรของนายเนี่ย!” ฉันโวยวายลูกใหญ่ ก่อนจะพยายามแย่งปืนมาจากหมอนั่น แย่งกันแย่งกันมาสุดท้ายก็ลงเอยที่ฉันโดนหมอนั่นกอดเอาไว้เต็มอ้อมแขน นี่ฉันแย่งปืนมาจากหมอนั่นนะแล้วทำไมถึงกลายเป็นฉันโดนหมอนั่นกอดล่ะ T_T
“ปล่อยฉันนะ! จะเอาปืนก็เอาไปสิ จะมากอดฉันไว้ทำไมเนี่ย -_-//”
“ฮะๆ นี่ฉันกอดเธอเอาไว้เหรอเนี่ย” วิกเตอร์กระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะก้มลงมากระซิบเบาๆ ข้างหูของฉัน นะ..นี่หมอนั่นมันบ้าไปแล้วรึไง ถึงได้มาทำแบบนี้กับฉันนะ -_-// แต่ก่อนที่อะไรจะเกินเลยไปมากกว่านี้ ท่านผู้การก็ขัดจังหวะขึ้นมาซะก่อน
“อะแฮ่ม! ทำความรู้จักกันเร็วดีนี่”
แปร๊ด
อายเขามั้ยล่ะนั่นนะ มีทั้งผู้การ มัทั้งพี่วิช..น่าอายเป็นบ้า /// ฉันรีบก้มหน้างุดลงทันทีเมื่อเห็นสายตาของพี่วิชที่มองมาอย่างล้อๆ ให้ตาย นี่ฉันกับเขาไม่ได้เป็นคนรักกันสักหน่อยนะ!
“นิดหน่อยครับท่านผู้การ..ของแบบนี้มันก็ต้องมีกันบ้างไม่ใช่รึไงครับ” พอวิกเตอร์พูดจบผู้ชายทั้งสามคนก็รวมหัวกันหัวเราะฮ่าๆ กันลั่นห้อง แล้วทำไมในห้องนี้จะต้องฉันเป็นผู้หญิงคนเดียวด้วยล่ะ คนสวยไม่เข้าใจ T_T//
ปึ้ก!
“เลิกเล่นได้แล้วมั้ง” ฉันใช้ศอกกระทุ้งเข้าที่ท้องของหมอนั่นอย่างแรง ทำเอาวิกเตอร์หน้าแหยแกด้วยความเจ็บปวด ฮึ..สมน้ำหน้า ผู้ชายแบบนั้นโดนแต่ศอกอย่างเดียวมันไม่พอหรอก จริงมั้ย?
“ยัยบ้า ใครใช้ให้เธอศอกฉันเนี่ย -_-; คราวก่อนฉันยังไม่คิดบัญชีกับเธอเลย ดีล่ะ! คราวนี้ฉันจะได้คิดบัญชีทบต้นทบดอก” ฉันมองวิกเตอร์ที่พูดออกมาอย่างมาดหมาย อยากจะหัวเราะออกมาดังๆ จริงๆ หมอนั่นนึกรึไงว่าฉันจะยอมให้ขาคิดบัญชีทบต้นทบดอกนะ..ไม่มีทางซะหรอก
“รอให้เสร็จงานก่อนเถอะแล้วค่อยมาคิดบัญชีกับฉัน ไม่สิ..ต้องพูดว่า ถ้ารอดตายเมื่อไหร่ก็ค่อยมาคิดบัญชีกับฉัน” ฉันส่งยิ้มเหนือผู้ชนะไปให้วิกเตอร์อย่างสะใจแต่แทนที่เขาจะโกรธที่ถูกหักหน้า กลับกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาก่อนจะมองหน้าฉันด้วยสายตากรุ่มกริ่ม
“ไม่ต้องห่วงชีวิตของฉันขนาดนั้นหรอก..ฉันไม่ยอมปล่อยให้เธอต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อย่างโดดเดี่ยวหรอกนะ ฉัน..จะคอยก่อกวนประสาท ก่อกวนชีวิตของเธอไปอีกนาน ไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก”
ตึกตักๆๆ
บะ..บ้าหน่ารันเวย์ ก็แค่คำพูดกวนประสาทของเขาเท่านั่นเอง ไม่เห็นจะต้องใจเต้นประหนึ่งว่านั่นคือคำสัญญาของเขาขนาดนี้นี่นา แกจะต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ยัยรันเวย์ แกต้องบ้าไปแล้ว...
“นั่นมันเรื่องของนาย ไม่ใช่เรื่องของฉัน -_-//”
“ฮะๆ เรื่องของฉันมันก็เรื่องของเธอนั่นละ” ฉันส่งค้อนวงโตไปให้เขาทันทีที่เขาพูดจบ หมอนั่นเอาอะไรมาพูดว่าเรื่องของฉันก็เป็นเรื่องเดียวกับเขา ขี้ตู่ชัดๆ
“นายพูดให้มันดีๆ นะ ฉันกับนายไปเกี่ยวกันตรงไหนไม่ทราบ”
“เอ้า! ถามแปลกๆ ก็ต้องเกี่ยวกันตรงนั้นสิ” ฉันถึงกับหน้าแดง แก้มร้อนซู่ขึ้นมาทันทีเมื่อตีความหมายประโยคที่วิกเตอร์พูดออกมา ฉันพูดเรื่องอื่นแต่ทำไมหมอนั่นถึงได้ตีความไปเรื่องอย่างว่าล่ะ ฉันไม่ได้พูดสองแง่สองง่ามขนาดนั้นสักหน่อยน้า
“พะ..พูดให้มันดีๆ นะวิกเตอร์ อย่ามาพูดกำกวมแบบนั้น!”
“ฉันพูดเรื่องอะไร เธอคิดไปเองมากว่าหรือว่าต้องการแบบนั้นจริงๆ”
“ไอ้..”
ฉันอ้าปากจะด่าหมอนนั่นแต่ก็ต้องกลืนคำพูดของตัวเองลงคอทันที ขืนฉันพูดอะไรออกไปอีก หมอนั่นก็จะเอาคำพูดเหล่านั้นไปพลิกกลับไปเป็นเรื่องอย่างว่าให้คนอื่นเขาเข้าใจผิดว่าฉันหมกมุ่นแต่เรื่องแบบนั้น แต่ความจริงแล้วเขานั้นล่ะที่หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องแบบนั้น ทางที่ดีฉันควรเก็บคำพูดเอาไว้ดีกว่าจะได้ไม่ต้องเสียรู้หมอนั่นและไม่ต้องมาเสียหายต่อหน้าคนอื่นแบบนี้
“อะไร ไอ้อะไร ด่ามาให้จบสิ หรือว่าไม่กล้า” ฉันได้แต่ส่งสายตาอาฆาตไปให้เขาแทนคำพูด ทำไมชีวิตของฉันถึงต้องมาพบเจอคนอย่างอีตานั่นด้วยนะ ทำไมคนดีๆ ถึงไม่เจอ แถมแค่นั้นยังไม่พอ นับจากนี้ชีวิตของฉันก็ต้องมาผูกติดอยู่กับเขาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงอีก ทำอะไรด้วยกัน อยู่กินด้วยกัน (ไม่ใช่คู่สามีภรรยานะ) โอ๊ย! ชีวิตฉันชั่งหาความสุขไม่ได้จริงๆ
“หึๆ” กรี๊ดดด! ฉันอยากจะกระชากหน้าหมอนั่นเข้ามาตบชะมัด ยิ่งทำหน้ากวนประสาทแบบนั้นด้วยแล้วก็ยิ่งอยากจะตบให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้ถ้ายังไม่อยากประจานวงศ์ตระกูลของตัวเอง
“เอาล่ะๆ วิกเตอร์ รันเวย์หยุดทะเลาะกันได้แล้ว” ท่านผู้การมองฉันกับวิกเตอร์ด้วยสายตากรุ่มกริ่มก่อนจะพูดออกมาอย่างยิ้มๆ แง้..ดูเซ่! ขนาดท่านผู้การยังเข้าใจผิดเลย หมอนั่นมันตัวก่อกวนความเสียหายของฉันจริงๆ T_T
“หนูไม่ได้ชวนเขาทะเลาะสักหน่อย ท่านผู้การพูดให้มันดีๆ นะพูดออกมาแบบนั้นหนูเสียหายเต็มๆ T^T”
แต่พอท่านผู้การจะอ้าปากพูด เสียงมารๆ ของใครบางคนก็ดังขึ้นขัดซะก่อน
“คนอย่างเธอรันเวย์ เอลเวลด้า โครเวซ่า กลัวเสียชื่อเสียงด้วยเหรอ” ฉันตวัดสายตาไปมองวิกเตอร์ด้วยสายตาทึ้งจัด หมอนั่นรู้ได้ยังไงว่าอีกชื่อหนึ่งของฉันชื่ออะไร..นี่แสดงว่าเขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับฉันแล้วงั้นสิ
“ฮึ! มันก็ไม่แน่หรอกนะ ชื่อเสียงไม่ได้สร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ ใครจะยอมให้มันเสียลงอย่างง่ายๆ ล่ะ..นายเองก็น่าจะรู้ดีนะ คนที่ยืนบนจุดนั้นคงไม่ยอมที่จะเสียมันง่ายๆ หรอก”
“รู้ดีจัง~ ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันคงจะต้องเร่งทำความรู้จักเธอซะแล้วล่ะ เพื่อสักวันอาจจะได้ฝากฝังเป็นลูกเขยบ้านวัฒนาพานิชหรือบ้านเอลเวลด้า โครเวซ่า~”
ฉันหน้าตึงขึ้นมาทันทีที่หมอนั่นพูดคำว่าลูกเขย หมอนั่นเป็นใครทำไมถึงได้กล้าพูดแบบนั้นกับฉันทั้งๆ ที่เป็นคนนอก เฮอะ..หรือว่าเขาจะมั่นใจความหล่อหรือเสน่ห์ลูกผู้ชายของเขาจะชนะใจฉันได้ แต่มันก็ได้แต่คิดเท่านั้นล่ะ คนอย่างรันเวย์ เอลเวลด้า โครเวซ่า คนนี้ไม่ใช่คน..ที่จะรักใครง่ายๆ เหมือนปอกกล้วยเข้ามาปากหรอกนะ
“อะแฮ่มๆ บรรยากาศชักจะไม่ดีแล้วว่ามั้ย..ภวิช?”
“ครับ..บรรยากาศภายในห้องนี้อย่างกับอยู่ในสนามรบแน่ะครับ”
ฉันสะบัดหน้าหนีวิกเตอร์อย่างฉุนๆ ให้ตาย..คนอย่างหมอนั่นต่อกรยากชะมัด มันยากพอๆ กับการอยู่บนโลกใบนี้โดยไม่มีเกียรติและศักดิ์ศรี แล้วคราวนี้ฉันจะต่อกรกับหมอนั่นยังไงล่ะเนี่ย..เครียดหนักจริงโว้ย
“ก่อนที่จะเป็นลูกเขยบ้านใครต่อใคร ลองพิจารณาตัวเองดูก่อนดีกว่านะว่าเหมาะสมจะไปเป็นลูกเขยบ้านใครรึเปล่า” ฉันแอบเห็นคิ้วหมอนั่นกระตุกด้วยล่ะ ฮะๆ ฉันเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองล่ะว่าคนอย่างหมอนั่นไม่ชอบให้ใครมาดูถูกหรือมองเขาต่ำเกินเกณฑ์ที่ตัวเองวางไว้ ดีล่ะ! ฉันจะเอาจุดนี้นี่ล่ะที่จะต่อกรกับเขา เชื่อเถอะ..ว่าฉันจะต้องชนะเขาแน่ๆ วะฮะฮ่า ^0^
“ฉันคิดว่าตัวเองเหมาะสมที่จะเป็นลูกเขยบ้านใคร..เดิมทีคิดว่าไม่มีความมั่นใจสักเท่าไหร่ แต่พอได้ฟังเธอพูด ความมั่นใจในตัวเองก็กลับมาเต็มร้อย..อย่างนี้จะพูดว่าเราสองคนเหมาะสมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยกหรือเปล่าน้า~ ท่านผู้การว่าไงครับ ^_^” ให้ตายสิ หมอนั่นเป็นผู้ชายประเภทไหนกันแน่วะ แต่ที่แน่ๆ ฉันคิดว่าเขาตกภาษาไทยแน่ๆ กิ่งทองใบหยงใบหยกอะไรกัน ใช้สำนวนมั่วซั้วชัดๆ!
“อืม..ผมว่าพวกคุณสองคนเหมาะสมกันดีออก ไม่แน่ว่าภารกิจเสร็จสิ้น ผมอาจจะได้ยินข่าวดีจากพวกคุณสองคนก็ได้ เอาเป็นว่าถ้าถึงเวลานั้นอย่าลืมเชิญผมด้วยล่ะ กะว่าจะลดอายุไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวสักหน่อย ฮะฮ่าๆ ^^+”
“=_=;;” <- ฉันเอง
“-0-;” <- วิกเตอร์
“^^;;;” <- พี่วิช
“ฮะฮ่าๆ...อ้าว พวกคุณไม่ขำกันหรอกเหรอ” ค่ะ..ไม่ขำสักนิด ไม่ขำเลย =_=^
“ขำครับ ฮ่าๆ ขำ ขำจริงๆ ^^;;;” ฉันมองหน้าพี่วิชที่ขำออกมาอย่างฝืดๆ รู้ว่าไม่ขำก็ยังจะขำอีก ชั่งเป็นลูกน้องผู้ซื่อสัตย์จริงๆ
“ผมว่ามันไม่เห็นจะขำตรงไหนเลยนี่ครับ -0-^”
ฟิ้ว~
เงียบ ทุกสรรพสิ่งในห้องเงียบเสียงลงทันทีที่วิกเตอร์พูดจบ มันเงียบจนได้ยินเสียงลมพัดดังเข้ามาในโสตประสาทอย่างชัดเจน เอาละเหวย..คราวนี้มีเฮแล้วก็มีฮา ไม่รู้จะเฮหรือว่าฮาในเรื่องน่ายินดีหรือเรื่องน่าสลดใจ คราวนี้หมอนั่นไม่รอดแน่แล้ว =_=
“ทำไม ผมพูดอะไรผิดเหรอครับ ทุกคนถึงได้เงียบกันขนาดนี้ -0-”
“...”
“ฮ่าๆ ทุกคนอย่าเงียบกันแบบนี้สิ ผมเสียวสันหลังนะ =0=;” ฉันหันไปมองปฏิกิริยาของท่านผู้การกับพี่วิช ปรากฏว่าทั้งสองคนกำลังอมยิ้มกันอยู่ และไม่นานก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังสนั่นห้อง =_= ฉันว่าสองคนนั้นแปลกๆ ไปนะ มันแปลกไปตั้งแต่ที่วิกเตอร์พูดคำว่าลูกเขยออกมา สองคนนั้นกำลังจะมีความลับกับพวกเราแถมฉันยังรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดีซะด้วยหรือว่าฉันคิดไปเองมากกว่านะ..ชั่งเถอะจะเรื่องดีหรือไม่ดี ไม่นานก็รู้เองล่ะ
“เอาล่ะๆ พวกเรานอกเรื่องกันไปมากแล้ว เราวกกลับเข้ามาเรื่องภารกิจของเราดีกว่า..มีใครสงสัยอะไรตรงไหนอีกรึเปล่า ผมจะได้อธิบายให้พวกคุณฟัง” และแล้วบรรยากาศภายในห้องก็กลับมาอึดอัดอีกครั้งหลังจากที่มีเสียงหัวเราะครื้นเครงกันไปแล้ว
“ระยะเวลาที่พวกเราต้องทำภารกิจล่ะครับ..นานแค่ไหน”
“ระยะเวลาของภารกิจจะนานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับพวกคุณสองคนว่าจะได้ข้อมูลมากแค่ไหน..แต่ผมหวังว่ามันอาจจะไม่เกินหกเดือนเพราะถ้าหากมากกว่านี้ ผมกลัวว่าพวกมันจะสงสัยแล้วก็หวาดระแวงคนรอบข้าง แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ พวกเราจะทำงานกันลำบาก..ผมคิดว่าพวกคุณคงจะเข้าใจความจำเป็นในข้อนี้”
“...”
“จะทำอะไรก็ตามพวกคุณจะต้องวางแผนกันให้ดีให้รัดกุมจนถึงที่สุด อย่าทิ้งร่องรอยหรือหลักฐานอะไรเอาไว้ให้พวกมันตามกลิ่นจนเจอ ทางที่ดีพวกคุณจะทำอะไรก็ควรติดต่อมาทางพวกเราก่อนลงมือ พวกเราจะได้ส่งคนไปเคลี ยร์ร่องรอยของพวกคุณ”
ค่ะ/ครับ”
“ผมขอย้ำกับพวกคุณอีกครั้งนะว่าอย่าประมาทพวกมัน พวกมันมีหูตากว้างขวางจะคิดจะทำอะไรก็ต้องระวังให้ดีอย่าให้พวกมันรู้เด็ดขาด..แล้วที่สำคัญที่สุดพวกคุณไม่ควรจะทำคือการทำตัวขวางหูขวางตาพวกมัน ไม่ว่ามันจะทำอะไรพยายามเออออกันอย่างเต็มที่ ถึงแม้สิ่งเหล่านั้นที่พวกมันจะทำจะผิดต่อกฎหมายบ้านเมือง แต่พวกคุณก็ต้องทำเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองไว้..เพื่อทำภารกิจที่ใหญ่กว่านี้”
“ค่ะ/ครับ”
“เอาล่ะ พวกคุณสองคนมีอะไรจะถามผมอีกมั้ยก่อนที่ผมจะปล่อยตัวพวกคุณกลับบ้านไปพักผ่อน” ฉันจมดิ่งอยู่ในความคิดของตัวเองทันทีที่ท่านผู้การพูดจบ ฉัน..มีคำถามมากมายนะที่จะถามท่านผู้การให้รู้แล้วรู้รอด แต่คิดว่ามันคงเป็นคำถามที่ไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ เรื่องบางอย่างถ้าไม่จะเป็นก็ไม่ต้องพูดมันให้เสียความรู้สึก
“ผมอยากจะถามเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเริ่มภารกิจ”
“ว่ามา ผมพร้อมที่จะตอบคำถามนั้น”
“ทำไม..ท่านจึงเลือกเด็กอมมืออย่างพวกเรามาทำภารกิจที่ใหญ่ขนาดนี้..ผมไม่เข้าใจ”
ฉันสะดุ้งตื่นจากความคิดของตัวเองเมื่อได้ยินคำถามของวิกเตอร์..ที่มันเหมือนคำถามในหัวสมองของฉัน ฉันแอบสังเกตปฏิกิริยาของท่านผู้การและพี่วิชอย่างเงียบๆ พวกเขาสองคนหันมามองหน้ากันเงียบๆ ก่อนที่ท่านผู้การจะถอนหายใจออกมาแล้วหันมามองหน้าพวกเราสองคนอย่างจริงจังกว่าทุกครั้ง
“พวกคุณไม่จำเป็นจะต้องรู้ว่าทำไมทางกองปราบฯ ถึงได้เลือกพวกคุณมาทำภารกิจนี้ พวกคุณรู้แต่เพียงว่า..ทางเราเลือกพวกคุณมาจากความสามารถที่ผมได้บอกพวกคุณไป ผมหวังว่าครั้งต่อไปคงจะไม่มีคำถามนี้อีกแล้ว เพราะไม่ว่าพวกคุณจะถามอีกกี่ครั้ง คำตอบ..มันก็ยังเหมือนเดิม..ไม่เปลี่ยน”
“ครับ ผมจะพยายามจะไม่ถามคำถามไร้สาระนั่นอีก..คำถามสุดท้ายที่ผมอยากจะถาม..เราตะเริ่มภารกิจกันเมื่อไหร่”
“ผมจะตอบคำถามพวกคุณยังไงดีล่ะเนี่ย..ปกติเด็กทุกคนจะต้องเอ็นทรานซ์เข้ามหา’ลัย..เอาเป็นว่าพวกคุณสองคนเป็นกรณีพิเศษ อีกสองวันไปยื่นใบสมัครเข้าคณะที่มหา’ลัย พวกคุณอาจจะต้องเหนื่อยกับการตอบคำถามของพวกอาจารย์ในมหา’ลัย แต่ไม่ต้องห่วง อธิบดีการของมหา’ลัยจะช่วยพวกคุณเอง เพราะเขาคือคนของเรา..ขอให้พวกคุณวางใจเขาได้”
“ค่ะ/ครับ” ฉันแอบเงยหน้าขึ้นมองวิกเตอร์ปรากฏว่าเขาเองก็กำลังมองฉันอยู่เหมือนกัน นี่เขาคงจะคิดเหมือนฉันสินะ..งานที่กำลังรอพวกเราอยู่ตรงหน้าไม่ใช่งานเล็กเลยแม้แต่น้อย มันเป็นงานใหญ่..มันใหญ่จนฉันรู้สึกหนักใจ ถ้าเกิดว่าฉันทำมันพลาดขึ้นมา ไม่รู้ว่าฉันจะต้องเจอกับอะไรบ้าง แค่คิดถึงอนาคตก็หนักแล้ว ไม่รู้ว่าของจริงจะหนักแค่ไหน..
“เอาล่ะ สิ่งที่ผมจะถามพวกคุณต่อไปนี้มันเป็นสิ่งที่ตำรวจทุกคนจำมันขึ้นใจจนไปถึงจิตวิญญาณ..ผมหวังว่าพวกคุณคงจะจำอุดมคติของตำรวจได้...ไหนลองพูดให้ผมชื่นใจหน่อยซิ” ฉันหันมามองหน้าวิกเตอร์ก่อนที่เขาจะพยักหน้าให้ฉันบอกให้เริ่มพูดได้..ฉันไม่มีทางลืมมันหรอก ไม่มีทางลืมอุดมคติของตำรวจ..ที่ฉันอยากจะเป็น
“อุดมคติของตำรวจ
เคารพเอื้อเฟื้อต่อหน้าที่ กรุณาปราณีต่อประชาชน
อดทนต่อความเจ็บใจ ไม่หวั่นไหวต่อความยากลำบาก
ไม่มักมากในลาภผล มุ่งบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
ดำรงตนในยุติธรรม กระทำการด้วยปัญญาและรักษาความไม่ประมาทเสมอชีวิต*”
เมื่อฉันกับวิกเตอร์พูดจบท่านผู้การกับพี่วิชก็คลี่ยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจ ซึ่งฉันเชื่อว่ามันเป็นความภาคภูมิใจในการเป็นตำรวจ
“ดี..ดีมาก ผมขอให้พวกคุณจำสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ เพราะมันคือหัวใจของการเป็นตำรวจที่ทุกคนภูมิใจ”
“ค่ะ/ครับ”
“เอาล่ะ ผมขออวยพรให้พวกคุณทำภารกิจให้ลุล่วงไปด้วยดีและขอให้คุณพระศรีรัตนตรัยจงปกป้องคุ้งครองพวกคุณของคนให้แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง..ขอให้พวกคุณโชคดี”
“ค่ะ/ครับ” ฉันกับวิกเตอร์ลุกขึ้นโค้งตัวให้ท่านผู้การก่อนจะเดินออกมาจากห้องอย่างหนักอึ้งในใจ ภารกิจที่ยิ่งใหญ่ มันทำให้ฉันรู้สึกกดดันชะมัด
“หนักใจล่ะสิท่า ฉันเห็นเธอถอนหายใจออกมาหลายเฮือกแล้วตั้งแต่ออกมาจากห้องท่านผู้การ มีอะไรก็ระบายออกมาได้นะ เราสองคนยังต้องทำงานร่วมกันไปอีกนาน” ฉันหยุดเดินก่อนจะหันไปมองวิกเตอร์อย่างชั่งใจ ที่เขาพูดออกมามันก็ถูกนะ ฉันกับเขาต้องร่วมงานกันไปอีกนาน มีอะไรก็ต้องปรึกษากัน ไม่อย่างนั้น..ก็คงจะร่วมงานกันไม่ได้เท่าที่คาดหวัง สรุปแล้วเนี่ย ฉันต้องระบายกับหมอนั่นสินะ
“ฉัน..ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันรู้สึกยังไงกันแน่ ตอนนี้รู้แต่ว่ามันหนักใจแล้วก็กดดันฉันมากมายเหลือเกิน ทั้งเวลาทั้งสิ่งที่ต้องทำ ฉันกลัวว่าถ้าหากทำมันลงไปแล้วผลที่ได้มาจะไม่เป็นไปอย่างที่ทุกคนคาดหวังเอาไว้ ฉันกลัวว่าทุกคนจะเสียใจ ถ้าเลือกฉันเป็นคนภารกิจนี้”
อะไรกัน..ทำไมเมื่อฉันพูดออกไปแล้วมันถึงหยุดคำพูดเอาไว้ไม่อยู่ราวกับว่าเขาเป็นคนเดียวที่ฉันจะระบายความในใจออกมาได้
“ฉันเองก็ไม่ต่างไปจากเธอหรอกนะ ความรู้สึกมันเหมือนๆ กัน ใจหนึ่งก็ดีใจที่ได้ทำภารกิจใหญ่โตมโหฬารที่น้อยคนนักจะไกทำถ้าเทียบกับตำรวจชั้นสัญญาบัตรแล้ว แต่อีกใจหนึ่งก็กังวลอยู่ลึกๆ ว่าถ้าเราทำพลาดขึ้นมาอะไรมันจะเกิดขึ้นบ้าง ใครบ้างที่ต้องมาตายกับการทำงานพลาดของพวกเรา สิ่งที่ฉันกังวลมันก็ไม่ต่างไปจากเธอหรอก” ฉันก้มหน้าหลบสายตาของวิกเตอร์ที่จ้องมองมาก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินต่อไป เฮ้อ..ทำเรื่องใหญ่ๆ ก็มักจะมีข้อกังวลรบกวนจิตใจจริงๆ
หมับ
ฉันหันไปมองวิกเตอร์อย่างงงๆ จู่ๆ เขาก็มาจับมือฉันเอาไว้ ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรอีก
“อะไรของนาย..มาจับข้อมือฉันเอาไว้ทำไมเนี่ย -_-;”
“กลับกับฉันก็ได้ ไม่ต้องโทรให้คนขับรถมารับหรอก เสียเวลาเปล่าๆ” ฉันเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ หมอนั่นรู้ได้ไงว่าฉันไม่พารถมา?
“นายรู้ได้ไงว่าฉันไม่พารถมา -_-^”
“มีเรื่องอะไรบ้างล่ะที่ฉันอยากรู้แล้วไม่รู้”
ฉันทำเสียงเฮอะในลำคอก่อนจะเดินนำเขาลิ่วๆ มาที่ลานจอดรถแล้วหันซ้ายหันขวาหารถของเขา เมื่อเจอเป้าหมายก็เดินมาหยุดที่รถจากัวร์สีดำคันหรูป้ายแดงแจ๋ทันที.. ถ้าจะหารถของหมอนี่ง่ายชะมัด แค่ดูว่ารถคันไหนในลานจอดรถหรูที่สุด ก็แสดงว่าคันนั้นละจะต้องเป็นของเขาอย่างแน่นอน
“รู้ได้ยังไงว่ารถคันนี้เป็นของฉัน” วิกเตอร์เลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจก่อนจะกดรีโมทรถ
“นายคงไม่จนขนาดนั้นหรอก -_-;” แทนคำตอบฉันก็แอบเหน็มหมอนั่นไปทีนึงก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งบนรถคันหรู ฉันไม่อยากจะพูดเลย..ว่านี้เป็นครั้งแรก (ไม่รวมกับที่เป็นลมหน้าผับ) ที่ฉันนั่งรถจากัวร์ =_= ปกติฉันจะนั่งแค่รถพอร์ช บีเอ็มแล้วก็เฟอร์รารี่ เรื่องที่จะได้นั่งจากัวร์ตัดทิ้งไปได้เลย
“ฮะๆ เพิ่งจะมีคนแอบประชดฉันว่าจนเป็นครั้งแรกนะเนี่ย” วิกเตอร์หัวเราะเสียงใสก่อนจะสตาร์ทรถจากัวร์ออกไปจากเขตพื้นที่กองปราบฯ
“ทำไม ตลอดชีวิตนายมีแต่คนชมว่ารวยรึไง” ถึงยังไง ฉันก็อดแขวะเขาไม่ได้อยู่ดี ก็หมอนั่นอยากจะพูดให้หมั่นไส้เองนี่นา
“ก็ไม่เชิง แต่ที่แน่ๆ ไม่มีใครประชดฉันว่าจนแบบเธอก็แล้วกัน” วิกเตอร์พูดอย่างอารมณ์ดีแค่นั้นยังไม่พอ ยังจะผิวปากตามไปด้วย อะไรจะสุขใจขนาดนี้นะ -_-
“ถ้าอย่างนั้น นานก็ต้องฟังเสียงประชดฉันไปอีกนาน..แล้วนี่จะไปไหน นายรู้จักทางบ้านฉันนี่นา มันต้องเลี้ยวซ้ายสิไม่ใช่ตรงไป” ฉันโวยวายออกมาเมื่อเห็นวิกเตอร์ขับรถตรงไปไม่เลี้ยวซ้ายเข้าซอยบ้านฉัน หมอนั่นจะพาฉันไปไหนอีกล่ะ -_-^
“จะรีบกลับไปไหนล่ะ บ้านไม่หนีเธอไปไหนหรอก”
“แล้วนี่จะพาฉันไปไหน ไม่ถูกใจฉันขึ้นมาฉันจะกระโดดลงจากรถจริงๆ ด้วย”
“เฮ้ยๆ อย่างเพิ่งรีบตายสิ ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีกับเธอเลยจะมาตายตอนนี้ไม่ได้นะ
แทนที่เขาจะทำหน้าเคร่งเครียดกับคำพูดของฉัน หมอนั่นกลับทำหน้าระรื่นอย่างอารมณ์ดี ให้ตาย..หมอนั่นชั่งเป็นเพื่อนร่วมงานที่ห่วงฉันมาก -_-^^
“เฮอะ!” แล้วหมอนั่นก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง ทำเอาฉันแทบถลาเข้าไปบีบคอให้รู้แล้วรู้รอด ผู้ชายอะไรกวนประสาทชะมัด -_-;
ฉันทำเสียงเฮอะในลำคอก่อนจะเดินนำเขาลิ่วๆ มาที่ลานจอดรถแล้วหันซ้ายหันขวาหารถของเขา เมื่อเจอเป้าหมายก็เดินมาหยุดที่รถจากัวร์สีดำคันหรูป้ายแดงแจ๋ทันที.. ถ้าจะหารถของหมอนี่ง่ายชะมัด แค่ดูว่ารถคันไหนในลานจอดรถหรูที่สุด ก็แสดงว่าคันนั้นละจะต้องเป็นของเขาอย่างแน่นอน
“รู้ได้ยังไงว่ารถคันนี้เป็นของฉัน” วิกเตอร์เลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจก่อนจะกดรีโมทรถ
“นายคงไม่จนขนาดนั้นหรอก -_-;” แทนคำตอบฉันก็แอบเหน็มหมอนั่นไปทีนึงก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งบนรถคันหรู ฉันไม่อยากจะพูดเลย..ว่านี้เป็นครั้งแรก (ไม่รวมกับที่เป็นลมหน้าผับ) ที่ฉันนั่งรถจากัวร์ =_= ปกติฉันจะนั่งแค่รถพอร์ช บีเอ็มแล้วก็เฟอร์รารี่ เรื่องที่จะได้นั่งจากัวร์ตัดทิ้งไปได้เลย
“ฮะๆ เพิ่งจะมีคนแอบประชดฉันว่าจนเป็นครั้งแรกนะเนี่ย” วิกเตอร์หัวเราะเสียงใสก่อนจะสตาร์ทรถจากัวร์ออกไปจากเขตพื้นที่กองปราบฯ
“ทำไม ตลอดชีวิตนายมีแต่คนชมว่ารวยรึไง” ถึงยังไง ฉันก็อดแขวะเขาไม่ได้อยู่ดี ก็หมอนั่นอยากจะพูดให้หมั่นไส้เองนี่นา
“ก็ไม่เชิง แต่ที่แน่ๆ ไม่มีใครประชดฉันว่าจนแบบเธอก็แล้วกัน” วิกเตอร์พูดอย่างอารมณ์ดีแค่นั้นยังไม่พอ ยังจะผิวปากตามไปด้วย อะไรจะสุขใจขนาดนี้นะ -_-
“ถ้าอย่างนั้น นานก็ต้องฟังเสียงประชดฉันไปอีกนาน..แล้วนี่จะไปไหน นายรู้จักทางบ้านฉันนี่นา มันต้องเลี้ยวซ้ายสิไม่ใช่ตรงไป” ฉันโวยวายออกมาเมื่อเห็นวิกเตอร์ขับรถตรงไปไม่เลี้ยวซ้ายเข้าซอยบ้านฉัน หมอนั่นจะพาฉันไปไหนอีกล่ะ -_-^
“จะรีบกลับไปไหนล่ะ บ้านไม่หนีเธอไปไหนหรอก”
“แล้วนี่จะพาฉันไปไหน ไม่ถูกใจฉันขึ้นมาฉันจะกระโดดลงจากรถจริงๆ ด้วย”
“เฮ้ยๆ อย่างเพิ่งรีบตายสิ ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีกับเธอเลยจะมาตายตอนนี้ไม่ได้นะ
แทนที่เขาจะทำหน้าเคร่งเครียดกับคำพูดของฉัน หมอนั่นกลับทำหน้าระรื่นอย่างอารมณ์ดี ให้ตาย..หมอนั่นชั่งเป็นเพื่อนร่วมงานที่ห่วงฉันมาก -_-^^
“เฮอะ!” แล้วหมอนั่นก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง ทำเอาฉันแทบถลาเข้าไปบีบคอให้รู้แล้วรู้รอด ผู้ชายอะไรกวนประสาทชะมัด -_-;
* คัดลอกมาจากส่วนหนึ่งของเว็บไซต์นายร้อยตำรวจ
ความคิดเห็น