ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อาจารย์ป่วน ก้วนจอมมาร

    ลำดับตอนที่ #7 : กำเนิดบุปผาคลั่งรัก

    • อัปเดตล่าสุด 26 มิ.ย. 55







                     ชั้นสองของโรงเตี้ยมหรูกลางเมืองใหญ่   เหล่าพ่อค้าวาณิชและจอมยุทธได้มาชุมนุมกันเนืองแน่น  ด้วยวันนี้เป็นวันดูตัวของว่าที่คู่มั่น  คุณชายหลี่   ลูกชายเจ้าของกิจการเครือธุรกิจใหญ่ระดับ  ล้านตำลึงทอง  เหล่าแขกเหลือมากมายนั่งฟรีกินฟรีกันให้ขวับ




                     " ฮ่าๆๆๆ   วันนี้เป็นวันดี ดื่มมม "


                     " คุณชายหลี่   คุณหนูเหม่ยกุ้ยมาถึงแล้ว  "



                     คุณชายหลี่นั้นเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ   แม้วันนี้จะไม่มีหญิงสาวเคียงกายคอยรินสุรา   แต่ก็ยังตั้งวงสุรากับเหล่าชาวยุทธที่นิยมของฟรี   ตัวคุณชายหลี่เองก็จัดว่าเชี่ยวชาญเพลงยุทธไม่น้อย แม้ไม่ได้ติดเป็นยอดฝีมือ แต่ก็ไม่เคยพ่ายแพ้แก่คนระดับเดียวกัน



                     ทันทีที่ประตูเปิดออกคนที่อยู่ในงานต่างหยุดชะงัก    แต่ละคนรอคอยและชะเง้อคอคอยมองว่าผู้มาใหม่นั้นใช่หรือไม่    เพียงแต่ร่างบางย่างก้าวเข้ามาในห้อง  อากาศก็เหมือนกับโดนสูบหายไปหมดสิ้น   ความงดงามของนางนั้นทำให้คนทั้งหลายต้องลืมหายใจ    แม้จะเป็นอิสตรีเพศก็ยังอดไม่ได้ที่จะหลงไหลไปกับความงาม



                    เหม่ยกุ้ยเดินเข้ามาในห้องอย่างไม่เร่งร้อน  ไม่มีความจำเป็นอะไรอีกแล้วที่จะร้อนใจ  มือของนางกำกระบี่เหล็กคุณภาพดี   เคียงข้างมาด้วยบิดาของนางที่ไม่เคยโผ่ลหน้ามาให้เห็นนานนับสิบปี


                    " ฮ่าๆๆ คารวะคุณชายหลี่   นี้คือ เหม่ยกุ้ยลูกสาวข้า  เอ้าเหม่ยกุ้ย "


                    บิดาของนางส่งสายตามาทางนางเป็นเชิงว่า  เอ้า  รีบคารวะคุณชายสิ  อะไรทำนองนั้น  แต่ว่านะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่แน่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว


                    พรึบบบ



                   " ทุกท่านๆ  ข้าจะไม่มั่นหมายกับใครก็ตามที่อ่อนแอกว่าตนเอง   ถ้าคิดจะแต่งกับข้าต้องเอาชนะข้าให้ได้ "



                 น้ำเสียงก้องกังวาลแฝงด้วยปราณอันล้ำลึก   ด้วยพลังลมปราณระดับสูงสุดยอดในที่แห่งนั้น  ชาวยุทธหลายคนฟังยังไม่ทนจบก็มีอันสลบไปแล้ว  ไม่ต้องกล่าวถึงบิดาของนางหรือ  ผู้ติดตาม   แม้แต่คุณชายลี่ที่ว่าตอนนี้ก็หน้าซีดเป็นไก่ต้มแล้ว



                 " ไหน  ใครจะมั่นกับข้า  ออกมา "


                  คุณชายหลี่เดินออกไปอย่างกล้าๆกลัว  ท่านลุงหยางไม่เคยบอกเลยว่าลูกสาวของตนจะเป็นยอดยุทธระดับนี้  แค่เฉพาะลมปราณมันก็ระดับเจ้าสำนักแล้ว  นี้ยังไม่ได้เห็นเพลงกระบี่เลย


                " ข้าน้อย  หลี่ ฉาว   ข้อประลองกับท่าน  โดยมีข้อแม้ว่าไม่ใช้กำลังภายใน "


                  หลี่ฉาว  แม้จะตื่นตระหนกแต่ก็ยังมีสติดี  เขาย่อมรู้ว่าพลังต่างกันดังนั้นต้องวัดกันในเชิงกระบี่  ซึ่งเขามั่นใจว่าตนเองคงไม่แพ้โดยง่าย  นอกเสียจากอีกฝ่ายจะเป็นคนระดับยอดยุทธเร้นกาย



                  " ได้  เข้ามา "



                  หลี่ฉาวลอบตื่นตระหนกกว่าเก่า    เพราะนางรับคำท้าแบบไม่ลังเลเลย   ทีแรกเขากะว่าเมื่อไม่มีพลังปราณแล้ว  นางจะวิตก และ เขาจะอาศัยจังหวะนั้นเข้าไกล่เกลี่ย   แต่ว่าทุกอย่างต้องพังทลาย    เขาสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะชักกระบี่ลูกกิเลน    ซึ่งเป็นกระบี่จากแดนใต้  สร้างมาจากเหล็กแดงใต้แม่น้ำ


                 " รับมือ "


                  หลี่ฉาวพุ่งตัวออกไป  ตวัดกระบี่ด้วยเพลงกระบี่สำราญใจ  ซึ่งเป็นเพลงที่กระบี่ที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจ เพราะไม่กดดัน  และเมื่อพลั้งเผลอเขาย่อมเอาชัยโดยง่าย


                  เคล้ง ฉุดดดด



                   เป็นเขาเองที่สำราญใจไปหน่อย  เพียงกระบวนท่าแรกแขนขวาก็มีเลือดกระฉูด   กระบี่ในมือปักลงพื้นไม่ห่างจากกายมากนัก   เมื่อมองไปยังอดีตคู่มั่นก็ต้องพบกับแววตาเย็นยะเยือก   มันรู้สึกว่าร่างกายไม่อาจขยับดังใจนึก
     


                    แต่มันก็ต้องลอบตื่นตระหนกไปอีก  เพราะชายชุดดำโผ่ลจากไหนมาก็ไม่ทราบสี่คน  คนหนึ่งตอนนี้กำลังรับกระบี่จากมือนางไปเช็ดทำความสะอาด  ส่วนอีกคนก็ลากเก้าอี่ออกมาเพื่อให้นางนั่ง   ส่วนอีกสองยืนเป็นเชิงคุ้มกัน  ไม่ต้องบอกเขาก็ทราบได้ทันทีว่า ทั้งสี่เป็นยอดฝีมือ หากแต่หญิงสาวเบื้องหน้านี้สิ  แม้แต่ยอดฝีมือยังต้องนอบน้อม   แม้เขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังจากนาง  แต่เป็นที่แน่ชัดแล้วว่านางผู้นี้ เป็นยอดยุทธงำประกาย


                    " ไม่ทราบว่าท่านเป็นศิษย์ของใคร "


                 หลี่ฉาวกล่าวถามอย่างใคร่รู้  ตอนนี้ความเจ้าสำราญเลือนหายไปหมดสิ้น  เขาไม่รู้ตัวเลยว่าบัดนี้คนในงานเริ่มตื่นกันหมดแล้ว   แม้จะงุนงงกันบ้าง  แต่ก็เงียบปากเพื่อที่จะไม่โดนดี   แม้พวกมันจะเป็นเพียงตัวประกอบไร้ชื่อแต่มันก็ยังมีจรรยาบรรณไม่รบกวนตัวเอกพูดคุย


                    " จำเป็นรึ  ที่ข้าต้องตอบท่าน "


                  เหม่ยกุ้ยถามย้อนก่อนจะมองหาคำตอบจากชายชุดดำ  ซึ่งคำตอบที่ได้จากชายชุดดำคือคุกเข่าคารวะ  เห้อ  วันนั้นไม่น่าระบายอารมณ์กับบ้านเลย  แต่ก็ดีที่ได้รู้ว่ายังมีคนรู้จักอยู่อีก





                    ย้อนกลับไปวันนั้น




                   มารอันธพาลทะยานร่างมาถึงก็พบกับซากปะรักหักพังของบ้านหลังโต    บนกองเศษซากมีหญิงสาวยืนสงบนิ่งอยู่อย่างเดียวดาย   มันเงียบและอดทนรอ  รอจนกว่าอีกผ่ายจะถามออกมา


                   " เจ้าเป็นใคร  "

                   " ข้ามีชื่อตามที่นายท่านเรียกว่า  มารอันธพาล เป็นศิษย์ของนายท่าน ทรราชสีหยก "

                   " ทรราชสีหยกรึ ?   หนาตาเป็นอย่างไร "

                   " เป็นเด็กหนุ่ม  ไม่สิ ตอนนี้เป็นชายหนุ่มรูปงาม  ทรงไปด้วยปัญญาและฝีมือ  "

                   " เจ้าก็ฝึก  ทิวาคล้อยรึ "

                   " ขอรับ "



                   หลังจากคุยกันอยู่ไม่นาน  เหม่ยกุ้ยก็กลายเป็นอาจารย์หญิงของมัน   นางเล่าเรื่องราวของตนเองกับอาจารย์ให้ฟัง  มันทั้งคับแค้นใจแทนอาจารย์และนางเป็นอย่างมาก     อยู่ดีๆพ่อก็ดันมาอ้างสิทธิ์จากนั้นก็จับแต่งงาน


                  " ข้าจะช่วยท่านตามหาอาจารย์เอง  "

                  " ขอบใจเจ้ามาก "










                  " หืม  ว่าไงคุณชายหลี่ "

                  " ม ไม่จำเป็น "  



                  คนในงานตอนนี้ตื่นกันหมดแล้ว   ทุกสายตาจับจ้องไปยังร่างบางที่นั่งสบายอารมณ์ โดยมีชายชุดดำสี่คนยืนประกบ  แม้แต่บิดาบังเกิดเกล้าของนางก็ยังไม่กล้าเอื้อนเอ่ยอะไรออกมา ด้วยทราบดีว่านางไม่อยากแต่งแต่ต้น  ซึ่งตนก็ยังคงผืนบังคับด้วยมั่นใจว่านางคงไม่ขัดขืน  แต่ผิดคาด ตอนนี้นางไม่ใช่เพียงหญิงสาวธรรมดา  แต่นางเป็นยอดยุทธที่แม้อต่คุณชายหลี่ยังไม่อาจเอาชัย   หนำซ้ำยังมีเจ้าชุดดำอีกสี่ที่ดูแล้วไม่น่าจะธรรมดา


                " เหม่ยกุ้ย ลูกพ่อ  จ เจ้าทำอย่างนี้ทำไม "


                 พรึบบบ   บลึมมมมม


                เก้าอี้โต๊ะ คนปลิวออกจากชั้นสองของโรงเตี้ยม   เศษซากมากมายเหลือคณา  แต่ยังไม่เท่ารอยปูดของเส้นเลือดตรงหน้าผากนาง   ทุกคนในห้องรู้ทันทีว่านี้แหละปากพาจน



                 " ชู่ลลล์  ท่านเงียบเถอะ ถึงท่านจะเป็นพ่อแต่ข้าไม่ได้เป็นพ่อนางด้วยนิสิ "

                 " ช ใช่  ถ้าเกิดว่านางโกรธแล้วฆ่าเราจะทำยังไง "

                 " ข้ารู้สึกเหมือนมีกระบี่จี้อยู่ตรงคอ  "






                 " ท่านเถอะ  ทำอย่างนี้ทำไม   ข้าเป็นเพียงสินค้าหรือ  หรือว่าข้าเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงของท่าน  หลายสิบปีไม่เคยโผลหัวมาให้เห็น  พอมาก็ยังบอกอีกว่าข้าต้องแต่งงาน  ข้าไม่ตัดหัวเสียบประจานก็บุญแล้ว     ข้ามีคนรัก คนรักของข้าตีจากเพราะข้าต้องแต่งงาน   ท่านเข้าใจไหมมมม  "



                   เช้งงงงงง     วาบบบ



                 กระบี่ถูกชักออกมา  ลมปราณอัดแน่นจนเห็นด้วยตาเปล่า ชั้นสามและหลังคาของโรงเตี้ยมแหวกออกเป็นสองส่วน  ลากยาวจากตัวนางไปจนสุดเขตโรงเตี้ยม   ไม่ต้องกล่าวต่ออีกแล้ว  เพราะนางแทบคลั่งจนเป็นบ้า  เพียงแค่เสียเวลามางานแบบนี้ แทนที่จะได้ออกตามหาฟงเหลย  



                 "  อาจารย์หญิงโปรดระงับอารมณ์ "


                 มารอันธพาลเร่งรุดมาจนทัน  เพียงแค่เห็นปราณกระบี่ทะยานขึ้นฟ้าเขาก็ทราบถึงเหตุความเป็นไป   มือขวาประคองชาโสม  มือซ้ายมีจานขนมเปี๊ยะ   เขาหวังว่านางจะใจเย็ยลงเมื่อเห็นของสองสิ่ง


                 " มารอันธพาล  ไปกันเถอะ "

                 " เรียนอาจาย์หญิง  ศิษย์ได้ดำเนินการแล้ว เพราะฉนั้นโปรดใจเย็น   นี้ชาโสมกับขนมเปี๊ยะร้านเฮงขอรับ "



                 หลังจากซดชาได้อึกหนึ่งกัดขนมไปอีกคำ  ตอนนี้หัวของนางเริ่มเย็นลงแล้ว   เพียงแต่ชาวยุทธต่างเหงือตกแทนเพราะชายเบื้องหน้า  มารอันธพาล ยอดคนเจ้าของพลังพิดาร   ทรงอำนาจไปด้วยสำนักมาร   เจ้าของบ่อนบนเรือหรู  และอีกสารพัดกิจการด้านมืด  ที่แม้แต่ราชสำนักยังต้องหลบหลีกเว้นให้


                 " มารอันธพาลตัวจริง "

                 " บ้าน่า  ว่าที่จอมมารงั้นรึ "

                 " มันอยู่ที่นี้ได้ยังไง "

                 " ข้ายังมีลูกเมียนะ "



                หลี่ฉาว และ หยางกุนบิดาของหยางเหม่ยกุ้ยมองหน้ากัน   คนหนึ่งไม่คิดว่าหญิงสาวจะทรงอำนาจขนาดนี้  อีกคนได้แต่ตื่นตระหนกที่ธิดาของตนกลายเป็นอาจารย์ของเจ้าพ่อโลกมืดที่มาแรงที่สุดในรอบสิบปี   ซึ่งความร่ำรวยนั้นอาจมากกว่าตระกลูหยางและหลี่รวมกันเสียอีก





                 " เพื่อไม่ใช้เสียเวลา "

                      แปะ แปะ


                  มารอันธพาลปรบมือสองครั้งจากนั้นก็มีชายชุดดำสิบคนเดินเข้ามา   หีบเหล็กใบใหญ่กว่าห้าใบวางเรียงกันเป็นระเบียบ   ทันทีที่มารอันธพาลพยักหน้าชายชุดดำก็เปิดหีบออกมา




                  " นี้คือทองคำหีบละ  แสนตำลึงทอง  ข้าคิดว่าน่าจะพอไถ่ตัวอาจารย์หญิงออกจากบิดาอย่างท่าน "




                 หลี่ฉาวตาโตเมื่อเห็นทองคำมากมายแบบนี้  เป็นครั้งแรกที่มันเห็นทองคำมากถึงห้าแสนตำลึงทอง  แม้จะมีคนกล่าวว่ากิจการบ้านของมันมีมูลค่ามากถึงล้านตำลึงทอง  แต่นั้นเป็นเพราะนับทั้งเงินทอง บ้านเรือน ที่ดิน  ห้างร้าน เรือ ม้า และสินค้า  ไม่ได้มาจากทองคำเพียงอย่างเดียวเช่นนี้




                   " เช่นนั้นข้าขอรับตัวอาจารย์หญิงไปก่อน "



                  พอมันกล่าวจบอาจารย์หญิงก็แทบจะพุ่งร่างออกไปทันที  ดีที่มันแอบกระซิบบอกให้นางใจเย็นๆเป็นระยะ  โดยอ้างเหตุผลต่างๆนาๆ  ถ้ามันหาอาจารย์พบก็คงดีกว่านี้  เพราะมันชักเริ่มเหนื่อยกับการต้องดุแลกิจการต่างๆมากมายแล้ว  ดีที่ช่วงนี้อาจารย์หญิงมาช่วยดูแล  นอกจากนี้วรยุทธของมันยังก้าวหน้าขึ้นอีกด้วย









                  หยางกุนนิ่งค้างอยู่นาน   เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าบุตรีของตนจะสามารถเพียงนี้  นอกจากเก่งกาจแล้ว  นางยังร่ำรวยชนิดที่เรียกได้ว่าเขาไม่มีวันเทียบติด   ทีแรกก็กะจะให้นางแต่งงานกับหลี่ฉาวเพื่อให้นางมีชีวิตที่ดี  แต่นางกลับเข้าใจว่าตนเองขายนาง   ถ้าเขารู้แต่แรกว่านางเก่งกาจเยี่ยงนี้งานมั่นคงไม่มีทางเกิด




                " ลาขาดล่ะทุกท่าน "


                หญิงสาวกล่าวเสียงเย็น  ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่านางไม่ใช้บุปผาธรรมดาแต่นางคือ  บุปผาคลั่งรัก  หยางเหม่ยกุ้ย 
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×