ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อาจารย์ป่วน ก้วนจอมมาร

    ลำดับตอนที่ #21 : เรื่องราวที่เล่าขาน

    • อัปเดตล่าสุด 12 มิ.ย. 56







                   ในเทือกเขาโบราณแห่งหนึ่ง ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยผาหินสูงล้ำ  เศษหินแตกหักที่ล่วงหล่นลงมาล้วนแต่คมกริบราวกะมีด  เบื้องล่างเป็นทะเลสาปเบื้องบนเป็นผาสูงเสียดฟ้า  ทว่าเมื่อไม่นานมานี้ได้มีกลุ่มคนมาตั้งรกรากที่นี้อย่างเงียบๆ



                  บนยอดเขาที่สูงที่สุดเบื้องล่างเป็นผืนน้ำใสจนมองเห็นหินข้างใต้   สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ถูกสร้างยื่นออกมาท้าสายลม  หากจะกล่าวว่าเป็นพระราชวังทองคำก็ไม่เกินเลย  ไม้สีดำเข้มถูกน้ำมาใช้มากมาย แต่ละแผ่นแต่ละต้นต่างลงลวดลายสีทองหรูหรา



                  การจะเดินทางไปยังพระราชวังทองคำแห่งนั้นได้จำเป็นต้องเดินทางผ่านสะพานแขวนนับร้อยๆ  ผ่านผาหินเล็กๆนับพัน  ตลอดหันทางมีบ้านเรือนและป้อมปราการเป็นระยะ  หากจะปีนขึ้นไปโดยตรงเกรงจะยากดั่งปีนเขาสวรรค์






                  บนห้องโถงที่มองเห็นทิวทัศน์ในพระราชวังทองคำเงียบสงบอย่างประหราด  จะมีก็แต่เสียงพิณขับขานเคียงคู่จากคนสองคน คนหนึ่งผมยาวสีแดงดังเลือดนัก อีกนัยตาวาววับดุจทับทิม  เล็บสีแดงกรีดกลายสร้างท่วงทำนองไพเราะ


                   อีกคนหนึ่งเป็นหญิงสาวผมเงิน หากจะกล่าวบรรยายย่อมกล่าวได้ว่านางคือรูปสลักของหยกสวรรค์ ความงามเฉิดฉายยิ่งกว่าหลายๆปีที่ล่วงมา  เพียงนางทั้งสองบรรเลงเพลงเคียงคู่ก็อาจทำให้คนที่ดูอยู่หลงลืมว่าตนได้อยู่บนสวรรค์แล้ว



                  " ไพเราะยิ่งพี่หญิงไซซี "

                  " มิกล้าๆ  ท่านเถิดน้องหญิงไฉนฝีมือพิณล้ำลึกอย่างนี้ "


                   ชมกันไปชมกันมาทั้งสองก็เหลือบไปเห็น หนุ่มน้อยวัยยี่สิบต้นๆ คนทั้งสองมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะยิ้มขำออกมา หากไซซีกล่าวว่านางมิได้หลงรักมันผู้นี้คงต้องถูกหยางกุ้ยเฟยดุเป็นแน่แท้ แต่หากนางกล่าวว่ารักแล้วนางจะทำอย่างไรล่ะ  



                    น้องหญิงนางนี้ยิ่งอยู่ด้วยนางยิ่งรัก รักมากมากเสียจนไม่อาจเห็นนางทุกข์ตรมได้ เพียงแต่ชายหญิงใดเล่าจะทนเห็นคนได้ปันใจไปได้  มันจึงเกิดเป็นรักสามเศร้าของเราสมคนขึ้นมาจริงๆ


                    " เฮ้อ เพราะอย่างนี้แหละน้า ช่วงหลังพวกเราถึงได้แต่งแต่เพลงเศร้า "



                     หญิงสาวเกษาหิมะกล่าวเบาๆกับตนเอง ส่วนอีกคนที่ได้ยินด้วยจึงได้แต่ยิ้มขำอย่างเศร้าๆ  ก็นะชะตากรรมของนางทั้งสองย่อมต้องเหมือนกันเป็นธรรมดา



                   " งั้นเราหนีตามกันไหม "



                    คำกล่าวของหยางกุ้ยเฟยส่งให้ไซซีหันขวับมาทันที  ทั้งสองจ้องตากันสักพักก่อนจะหัวเราะร่วนเบาๆ


                    " แล้วฟงเหลยจะไม่โกรธเราหร๊อ แบบนี้ไม่เท่ากับว่าเราแอบเป็นชู้กันเองนิ "


                    " คิคิ ฮ่าๆๆ ไม่ไหวแล้วขำมาก "



                     เสียงสรวลคิกคักของทั้งสองปลุกให้ชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นตื่นขึ้นมา  สายตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเจอกับแสงจ้า  ก่อนจะต้องลอบยิ้มออกมาเมื่อเห็นนางทั้งสองยิ้มอย่างมีความสุข  ซึ่งหากจะนับเวลาที่ทั้งสามได้ใช้ชีวิตร่วมกันคงนับได้ประมาณสามปีกว่าๆ



                     ตลอดสามปีมานี้ยุทธภพเหมือนลมสงบก่อนพายุเข้ามิผิด  ทั้งทางฝ่ายที่อ้างว่าเป็นธรรมะ หรือ ฝ่ายที่เป็นอธรรม  เพียงแต่พรรคมารที่หนึ่งนั้นไม่ได้จัดเป็นอะไรทั้งนั้น เพราะพรรคนี้เป็นตัวของตัวเอง


                     ฝังมารมิยอมรับ ฝังธรรมะประกาศว่าเป็นมาร



                     พรรคมารที่หนึ่งจึงเป็นศัตรูร้ายกาจที่สุดของยุทธภพ



                     " พวกเจ้าหัวเราะอะไรกัน "


                      ฟงเหลยกล่าวเนิบๆในน้ำเสียงชัดเจนว่าเพิ่งตื่นนอน   สองสาวเมื่อได้ฟังก็หยุดหัวเราะไปชั่วขณะก่อนจะกับมาขำต่อ  นางทั้งสองละจากที่ันั้งก่อนจะเดินเข้ามาใกล้คนสำคัญ



                      " ฟงเหลยค่ะ "

                      " ฟงเหลยขา "


                       คนทั้งสองกล่าวคอมโบกันอย่างมีจริต  เขาชักสงสัยจริงๆว่าเมื่อผู้หญิงสองคนได้มาอยู่ร่วมกันนานๆจะให้นิสัยเปลี่ยนไปรึไม่


                      " พวกเจ้าจะหาอะไรมาล้อข้าอีก "


                      " พวกเราเปล่านะ "


                      คนทั้งสองกล่าวพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมายก่อนจะมองหน้ากันและสรวลเฮฮาเบาตามประสาจริตหญิงงาม  มันเป็นภาพแห่งความสุขที่เขาชื่นชอบทว่า




                        เสียงหัวเราะของคนทั้งสองเงียบหาไป  ก่อนจะเป็นมารอันทพาลที่ทะยานร่างเข้ามาอย่างเร่งร้อน เพียงแต่สีหน้าของมันบ่งบอกว่ามีเรื่องดีๆกำลังจะเกิดขึ้น



                        " คารวะอาจารย์ "

                        " อืม มีเรื่องอะไร "


                        ฟงเหลยกล่าวเปิดหัวข้ออย่างไม่อะไรมาก สำหรับเขาแล้วเรื่องราวในพรรคต่างยกให้มันผู้นี้จัดการ  ทั้งการแทรกซึมไปยังการค้าขาย  ทั้งการสืบข้อมูลวิชาลับของสำนักต่างๆ  หรือจะเป็นเรื่องการเตรียมกำลังพลเพื่อถล่มยุทธภพให้ราบเป็นหน้ากลอง


                        " เรียนอาจารย์บัดนี้ทั้งฝ่านธรรมและอธรรมต่างพร้อมแล้วที่จะบุกมายังที่นี้ "



                       มันกล่าวออกมาเป็นน้ำเสียงยินดีมิมีผิด  หลังจากฟงเหลยกลับมามันก็สามารถฝึกสำเร็จวิชาของอาจารย์ได้ถึงขั้นที่ห้า  ซึ่งนับตั้งแต่ฝึกสำเร็จก็ยังมิได้ออกแรงเลยสักครั้ง 


                       " หืม  สงสัยได้เวลาท่านเปิดตัวแล้วกระมังพี่หญิง "

                       " อื่ม เป็นเช่นนั้นรึ "


                       เสียงกล่าวสบายๆของคนทั้งสองเรียกรอยยิ้มจะมารอันทพาลได้เป็นอย่างดี เพียงแต่เมื่อมันคำนึงถึงพลังฝีมือของไซซีแล้วก็ต้องลอบคำนวนดีๆอีกครั้ง



                       " ข้าว่านะไซซี ท่านอย่าได้เปิดตัวช่วงแรกเลย เดี๋ยวพวกมันจะกลัวเปล่าๆ "


                      หากแต่ทั้งสองหาได้สนใจไม่ เพียงแต่การปรึกษากันอย่างหนักเรื่องตอนเปิดตัว


                       " นี้พี่หญิงรู้ไหมทำไมคนถึงเรียกข้าว่าบุปผาคลั่งรัก บ้างก็บุปผาแดง "

                       " อืม ไม่รู้สิ น้องหญิงช่วยลอกแจ้งแถลงไขหน่อย "


                       " ตัวข้านี้ถูกเรียกว่าบุปผาคลั่งรักเพราะเหตุงานแต่งที่ข้าเล่าให้ท่านฟังไง  แต่หลังจากนั้นข้าก็เดินทางสะสางบัญชีแค้นไปทั่ว เลยเพิ่มมาอีกเป็บบุปผาแดง ซึ่งเกิดจากเลือดของคนที่ตกตายภายใต้คมกระบี่ของข้า ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าการเปิดตัวครั้งแรกสำคัญที่สุด "


                       " อืมๆ เป็นเช่นนี้เอง งั้นข้าต้องเปิดตัวอย่างอลังการสักหน่อย  "

                       " นี้ท่านไม่เอาอย่างนี้รึ  ใช้ปราณควบคุมเส้นใยโลหะ จากนั้นก็ทะลวงร่างแล้วขึงเอาไว้จนตายอย่างช้าๆ "






                          " ว้าว ความคิดล้ำลึก "

                          มารอันทพาลลอบกล่าวชื่นชมในความคิดของหยางกุ้ยเฟย จะมีก็แต่ฟงเหลยเท่านั้นที่ไม่อยากให้คนทั้งสองเข่นข้าใครๆอีก เพราะยิ่งฆ่าไปมากเท่าไหร่คุณความแค้นก็ยิ่งพอกพูนมิรู้จบ  เขามิอยากให้ทั้งสองต้องมาพัวพันไปมากว่านี้ 


                           " มารอันทพาล "

                           " ขอรับอาจารย์ ? "

                           " มีคนรู้จักใบหน้าของพวกเจ้ามากไหม "


                           " เรียนอาจารย์คนที่รู้จักใบหน้าของข้าย่อมมีมากมาย แต่ใบหน้าของท่านทั้งสามย่อมมิมีใครจำได้ ด้วยอาจารย์หญิงสังหารมันทุกผู้ที่เคยเห็นหน้าจนหมดสิ้นแล้ว "


                            คำกล่าวของมารอันทพาลสร้างความสบายใจให้แก่ฟงเหลยไม่น้อย


                           " ป่ะ ไปหาชายามบ่ายดื่มกัน "


                            ว่าแล้วคนทั้งสี่ก็ทะยานร่างออกไปอย่างไร้เสียง




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×