ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อาจารย์ป่วน ก้วนจอมมาร

    ลำดับตอนที่ #2 : คำกล่าวของยอดคน

    • อัปเดตล่าสุด 24 มิ.ย. 55


     





                       หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารทายาทตระกูลไป๋สิบปี   ตระกูลไป๋ก็ได้ผู้นำตระกูลคนใหม่เมื่อสี่ปีก่อน  หลังผ่านการต่อสู้ภายในตระกูลมายาวนาน  วันนี้ตระกูลไป๋กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง   









                      ณ  ยอดเขามารซ่อน



                         สถานที่ที่อันตรายที่สุดแห่งหนึ่งในยุธภพ  ไม่มีใครอาจหาญพอที่จะขึ้นเขาแห่งนี้มานานนับสิบปีแล้ว   หิมะสีขาวปกคลุมโดยทั่วบริเวณ  ต้นไม้ที่เป็นน้ำแข็งไปถึงข้างใน   ความหนาวเกินคำบรรยายที่พร้อมจะนำพาผู้บุกรุกเข้าสู่ห้วงนิทรานิรันด์



                         " อ่า  หนาวๆๆ "   ชายวัยสี่สิบต้นๆเดินไปพูดไปอยู่ลำพัง  อากาศที่หนาวเน็บขนาดนี้แม้แต่ตัวเขาที่สำเร็จเทพวิชาพลังพิชิตสุริยันต์ก็ยังหนาว   เขารู้สึกว่าตนเองช่างโชคร้ายเหลือเกินที่สำเร็จพลังนี้  เพราะว่ามันทำให้เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถเดินทางฝ่าอากาศหนาวไปเรียกนายน้อยของตนได้


                       ใช่   ความหนาวนี้ไม่ได้เป็นความหนาวจากธรรมาติ  หากแต่เป็นความหนาวที่เกิดจากวิชาลมปราณอันล้ำลึกที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินได้ฟัง  ลมปราณของเด็กรุ่นลูกที่สามารถแช่แข็งเขาได้ถ้าต้องการ   ลมปราณที่แม้แต่ดัชนีประหารเทพ หลิง เฟย ยังไม่อาจแก้ได้






                        ลมปราณ  ทิวาคล้อยปุบผาอาลัย    อภิมหาวิชาลมปราณที่ไม่สามารถกล่าวได้ว่าล้ำลึกถึงขั้นไหน   แต่เพียงแค่เห็นขั้นที่หนึ่งของวิชาเขาก็กลับไปฝึกวิชาตัวเบาเพิ่มแล้ว   ถ้าให้ต่อสู้เพียงแค่หลงเฟยโคจรลมปราณเขาก็มีสิทธิ์ตายได้  แต่ได้ยินมาเมื่อไม่นานว่าวิชานี้เพิ่งเสร็จสมบรูณ์ และยังมีบทกลับของวิชาคือ  บุปผาแย้มอรุณหวน



                       นั้นคือเคล็ดขั้นสุดท้ายที่เขาได้รู้   หากความเย็นเปรียบดั่งหยิน   ขั้นสุดท้ายย่อมเป็นหยาง  และความร้อนที่สร้างได้นั้นเทพวิชาที่สืบทอดจากอาจารย์ของเขาไม่มีทางเทียบได้เลย  มันแผดเผาได้ทั้งปราณ และวัตถุ  ความรุนแรงเป็นที่หนึ่ง    แม้แต่ก้อนแร่สีดำที่เขาได้รับสืบทอดมาจากอาจารย์ยังถูกเด็กนั่นหลอมเอาไปทำสายพิณเสีย



                      เขาเดินไปไม่นานนักก็พบเก๋งหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่เชิงผา   หิมะที่ตกลงมากรีดเสื้อของเขาขาดได้อย่าง่ายดาย เขาเร่งร้อนเดินเข้าไปหลบในชายคาก่อนจะกล่าวอย่างนอบน้อม


                     " ท่านหลงเฟย  อาหารเตรียมเสร็จแล้วขอรับ "  


                     หากใครในยุทธภพมาได้ยินเขา  มารอัคคี   ตี้สง กล่าวต้องตาเหลือกเป็นแน่   เพราะท่าทีนอบน้อมแบบนี้ไม่เคยมีใครเห็นหรือคิดว่าเขาจะทำแบบนี้ได้    



                     " อื่ม"


                  ตะเล้งงงงง



                   เสียงลากสายพิณดังก้องเป็นอันจบการบรรเลง   ตี้สงแอบได้ยินเสียงหิมะถล่มเพราะรับพลังที่แฝงไปกับเสียง    หิมะหยุดตกก้อนเมฆแยกออกจากกันเป็นวงกว้าง   แสงแดดสาดส่องลงบนพื้นหิมะ เขาไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เขาเห็นจะเป็นจริงไปได้   พลังลมปราณระดับที่สามารถเปลี่ยนสภาพอากาศได้ดั่งใจนึก





                    หลงเฟยเก็บพิณลงห่อผ้าก่อนจะยืนให้ตี้สงถือ    เขาเดินอย่างเชื่องช้าแต่ตี้สงกลับต้องเร่งเท้าให้ทัน  แม้ทั้งสองจะไม่ใช้วิชาตัวเบา   แต่เพียงเท่านี้ก็สามารถบ่งบอกได้ถึงความล้ำลึกของท่าเท้าของทั้งสองได้   ตี้สงย่อมขึ้นชื่อเรื่องพลังฝีมือ  ทั้งลมปราณพิชิตสุริยันต์  ฝ่ามืออรหันต์  ท่าเท้ามังกรเคลื่อน  เพลงกระบี่พิชิตสุริยันต์  ทักษะยุทธอันร้ายกาจ




                   เพียงแต่บุคคลเบื้องหน้าดันร้ายกาจเกินไป   ความอัจฉริยะที่เขาไม่เคยอิจฉาเพราะมันทำให้นายน้อยของเขาออกปากว่าเบื่อมากกว่าคำอื่นๆ    ทั้งกลหมาก   ทั้งกลศึก  ทั้งวิชายุทธ   การดนตรี  แม้อย่างหลังจะเล่นเพียงพิณก็ตาม  แต่บอกได้เลยว่ายากจะหาคนในแผ่นดินต่อกรได้   ยิ่งวิชายุทธไม่ต้องกล่าว  ทั้งกระบวนท่า  ทั้งลมปราณ   แม้พวกเขาทั้งสี่ที่เลี้ยงดูเด็กคนนี้มาก็ไม่สามารถต่อกรได้แม้สักครึ่งท่า








                    ความเปล่าเปลี่ยวและโดดเดี่ยวนั้นพวกเขาทั้งสี่รู้ดี  เพียงแต่พวกเขาทั้งสี่ยังมีพลังยุทธไม่ห่างกันมาก  ปัญญาและประสบการณ์ก็ขาดๆแต่พอทดแทนกัน   ทำให้เขาทั้งสี่ยังมีกันและกัน  แต่เด็กหนุ่มเบื้องหน้าดันไม่มีผู้ใดทัดเทียม  ไม่มีผู้ใดต่อกร  แม้แต่พวกเขาทั้งสี่ที่ร่วมมือกันยังไม่อาจต่อกร  


                   สองปีก่อนพวกเขาเคยรวมกันต่อสู้กับเด็กน้อยอย่างจริงจัง  โดยพวกเขาทั้งสี่ใช่ลมปราณขั้นสูงสุด  แต่เด็กน้อยที่ใช้ลมปราณพอทดแทนกำลังภายนอกของเด็กกลับเอาชนะได้  โดยอาศัยเพียงกระบวนท่าที่ไร้ลมปราณ








                   เมื่อเด็กหนุ่มมาถึงห้องโถงอาหารนับสิบๆชนิดก็เรียงรายกันอยู่บนโต๊ะ นอกจากหลิง เฟยแล้ว  คนที่เหลือต่างยืนดูห่างๆไม่กล้าเข้าไปร่วมรับประทานอาหารด้วย   ความเรียบง่ายแต่แฝงสภาวะกดดันของคนทั้งสองอันตรายเกินไปสำหรับคนที่เหลือ  พวกเขาไม่สามารถจะกินอาหารได้โดยรู้ว่าคนทั้งสองกำหัวใจตนเองไปมาเล่นๆ



                   " ฟงเหลย  ลูกดูซึมๆนะ "  ดัชนีสังหารเทพกล่าวถามอย่างห่วงใย   ผู้ถูกถามยิ้มน้อยๆก่อนจะกลืนข้าวแล้วตอบเบาๆ


                   " ข้าเบื่อ "   เด็กหนุ่มกล่าวออกมาก่อนจะหยุดทานอาหาร   สายตาของเขาเหม่อมองไปสุดฟ้าไกล  


                   " เรียนนายน้อย  ข้าว่าท่านน่าจะลงเขาไปดูเมืองนะ "    บัณฑิตชรากล่าวเสนอ

                   " ข้าไม่เห็นด้วย  นายน้อยไม่ชอบคนพลุ้งพล่าน "   ตี้สงตอบกลับ

                   " แต่ข้าเห็นด้วย  นายควรไปดูโลกกว้าง  แม้จะมีวิชายุทธไร้ผู้ต้าน แต่หากขาดประสบการณ์อาจเป็นภัยต่อตนเองได้   และจะเป็นได้เพียงแค่หมากที่คนอื่นคอยบงการ "   เฒ่าใบสนกล่าวเสียงเรียบ  เขาไม่อยากให้เด็กหนุ่มคนนี้ต้องอยู่แต่บนเขาเช่นเขา   เด็กหนุ่มควรได้ท่องโลกกว้างอย่างอิสระ   ได้รับรู้สุขทุกข์ตามประสาเด็ก



                   " ลูกสนใจไหม  ลุงและอาทั้งสามคงพร้อมที่จะไปกับเจ้า และตัวแม่เองก็เช่นกัน"


                   " ไม่   ข้าไม่อยากลงเขา...  พร้อมกับทุกคน "  เด็กหนุ่มลุกขึ้นพร้อมกับหมุนตัวเดินออกไปจากห้องโถง   เขาเดินไปสู่เรือนไม้ที่สร้างยื่นออกไปในหน้าผา     เหล่ายอดยุทธต่างเดินตามไปอย่างช่วยไม่ได้



                   " ข้าอยากเดินทางด้วยตัวคนเดียว   ได้ไหม... ทุกคน "









                  " ของท่านเอาไปเท่านี้หรือ "ตี้สงกล่าวถามอย่างห่วงใย    ในห่อผ้าของเด็กหนุ่มมีเพียงชุดผ้าที่ภายนอกดูธรรมดาแต่ด้านในบุด้วยไหม  ตัดเย็บอย่างปราณีต  เงินทองอีกเพียงเล็กน้อย


                  " เอาน่าท่านอา   อยากได้อะไรก็ปล้นเอาท่านบอกเองมิใช่รึ "


                  "โถ  ท่านก็เห็นสุดท้ายก็ต้องมาแงกอยู่ที่นี้  อยู่ข้างลางนะ  ท่านต้องระมัดระวัง  ห้ามบอกว่ามาจากไหน  ห้ามแสดงพลังฝีมือ  ห้ามใช้เงินทีละมากๆ  ห้ามเชื่อใจใครง่ายๆ  ห้ามไว้ใจอิสตรี  ห้าม.. "


                  " หึหึ  พอก่อนท่านอา  ไว้ข้าจะมีฟังต่อ  "   เด็กหนุ่มกล่าวจบก็เดินเข้าไปกอดมารดาและเอ่ยลากับทุกคน  จากนั้นก็หายลัลไปจากสัมผัสรู้ของยอดยุทธทั้งสี่



                  " ฮ่าๆ  ถึงเวลาปั่นปวนของยุทธภพแล้ว " ตี้สงเอ่ยอย่างอารมณ์ดี

                  " ฮึๆ  จริงของเจ้า  เฮ้อ  หวังว่าฟงเหลยจะโชคดี "  บัณฑิตชรากล่าว  แม้แต่ผู้เฒ่าใบสนยังพยักหน้าเห็นด้วย


                  " เจ้าว่าใครจะเอาชัยฟงเหลยได้ล่ะ  แม้แต่พวกเราทั้งสี่   สี่มารประหารเทพก็ตาม "  หลิง  ลำพึงเบาๆ คนทั้งสามยิ้มออกมาเล็กน้อย   ใช่   พวกเขาได้สร้างสุดยอดมารสะท้านภพ  ผู้รวบเอาความรู้ของพวกเขาทั้งสี่ไว้ด้วยกันจากนั้นก็พัฒนาจะกลายเป็น


                  " เทพมาร  ฟงเหลย  "
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×