ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : คำกล่าวของยอดคน
หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารทายาทตระกูลไป๋สิบปี ตระกูลไป๋ก็ได้ผู้นำตระกูลคนใหม่เมื่อสี่ปีก่อน หลังผ่านการต่อสู้ภายในตระกูลมายาวนาน วันนี้ตระกูลไป๋กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
ณ ยอดเขามารซ่อน
สถานที่ที่อันตรายที่สุดแห่งหนึ่งในยุธภพ ไม่มีใครอาจหาญพอที่จะขึ้นเขาแห่งนี้มานานนับสิบปีแล้ว หิมะสีขาวปกคลุมโดยทั่วบริเวณ ต้นไม้ที่เป็นน้ำแข็งไปถึงข้างใน ความหนาวเกินคำบรรยายที่พร้อมจะนำพาผู้บุกรุกเข้าสู่ห้วงนิทรานิรันด์
" อ่า หนาวๆๆ " ชายวัยสี่สิบต้นๆเดินไปพูดไปอยู่ลำพัง อากาศที่หนาวเน็บขนาดนี้แม้แต่ตัวเขาที่สำเร็จเทพวิชาพลังพิชิตสุริยันต์ก็ยังหนาว เขารู้สึกว่าตนเองช่างโชคร้ายเหลือเกินที่สำเร็จพลังนี้ เพราะว่ามันทำให้เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถเดินทางฝ่าอากาศหนาวไปเรียกนายน้อยของตนได้
ใช่ ความหนาวนี้ไม่ได้เป็นความหนาวจากธรรมาติ หากแต่เป็นความหนาวที่เกิดจากวิชาลมปราณอันล้ำลึกที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินได้ฟัง ลมปราณของเด็กรุ่นลูกที่สามารถแช่แข็งเขาได้ถ้าต้องการ ลมปราณที่แม้แต่ดัชนีประหารเทพ หลิง เฟย ยังไม่อาจแก้ได้
ลมปราณ ทิวาคล้อยปุบผาอาลัย อภิมหาวิชาลมปราณที่ไม่สามารถกล่าวได้ว่าล้ำลึกถึงขั้นไหน แต่เพียงแค่เห็นขั้นที่หนึ่งของวิชาเขาก็กลับไปฝึกวิชาตัวเบาเพิ่มแล้ว ถ้าให้ต่อสู้เพียงแค่หลงเฟยโคจรลมปราณเขาก็มีสิทธิ์ตายได้ แต่ได้ยินมาเมื่อไม่นานว่าวิชานี้เพิ่งเสร็จสมบรูณ์ และยังมีบทกลับของวิชาคือ บุปผาแย้มอรุณหวน
นั้นคือเคล็ดขั้นสุดท้ายที่เขาได้รู้ หากความเย็นเปรียบดั่งหยิน ขั้นสุดท้ายย่อมเป็นหยาง และความร้อนที่สร้างได้นั้นเทพวิชาที่สืบทอดจากอาจารย์ของเขาไม่มีทางเทียบได้เลย มันแผดเผาได้ทั้งปราณ และวัตถุ ความรุนแรงเป็นที่หนึ่ง แม้แต่ก้อนแร่สีดำที่เขาได้รับสืบทอดมาจากอาจารย์ยังถูกเด็กนั่นหลอมเอาไปทำสายพิณเสีย
เขาเดินไปไม่นานนักก็พบเก๋งหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่เชิงผา หิมะที่ตกลงมากรีดเสื้อของเขาขาดได้อย่าง่ายดาย เขาเร่งร้อนเดินเข้าไปหลบในชายคาก่อนจะกล่าวอย่างนอบน้อม
" ท่านหลงเฟย อาหารเตรียมเสร็จแล้วขอรับ "
หากใครในยุทธภพมาได้ยินเขา มารอัคคี ตี้สง กล่าวต้องตาเหลือกเป็นแน่ เพราะท่าทีนอบน้อมแบบนี้ไม่เคยมีใครเห็นหรือคิดว่าเขาจะทำแบบนี้ได้
" อื่ม"
ตะเล้งงงงง
เสียงลากสายพิณดังก้องเป็นอันจบการบรรเลง ตี้สงแอบได้ยินเสียงหิมะถล่มเพราะรับพลังที่แฝงไปกับเสียง หิมะหยุดตกก้อนเมฆแยกออกจากกันเป็นวงกว้าง แสงแดดสาดส่องลงบนพื้นหิมะ เขาไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เขาเห็นจะเป็นจริงไปได้ พลังลมปราณระดับที่สามารถเปลี่ยนสภาพอากาศได้ดั่งใจนึก
หลงเฟยเก็บพิณลงห่อผ้าก่อนจะยืนให้ตี้สงถือ เขาเดินอย่างเชื่องช้าแต่ตี้สงกลับต้องเร่งเท้าให้ทัน แม้ทั้งสองจะไม่ใช้วิชาตัวเบา แต่เพียงเท่านี้ก็สามารถบ่งบอกได้ถึงความล้ำลึกของท่าเท้าของทั้งสองได้ ตี้สงย่อมขึ้นชื่อเรื่องพลังฝีมือ ทั้งลมปราณพิชิตสุริยันต์ ฝ่ามืออรหันต์ ท่าเท้ามังกรเคลื่อน เพลงกระบี่พิชิตสุริยันต์ ทักษะยุทธอันร้ายกาจ
เพียงแต่บุคคลเบื้องหน้าดันร้ายกาจเกินไป ความอัจฉริยะที่เขาไม่เคยอิจฉาเพราะมันทำให้นายน้อยของเขาออกปากว่าเบื่อมากกว่าคำอื่นๆ ทั้งกลหมาก ทั้งกลศึก ทั้งวิชายุทธ การดนตรี แม้อย่างหลังจะเล่นเพียงพิณก็ตาม แต่บอกได้เลยว่ายากจะหาคนในแผ่นดินต่อกรได้ ยิ่งวิชายุทธไม่ต้องกล่าว ทั้งกระบวนท่า ทั้งลมปราณ แม้พวกเขาทั้งสี่ที่เลี้ยงดูเด็กคนนี้มาก็ไม่สามารถต่อกรได้แม้สักครึ่งท่า
ความเปล่าเปลี่ยวและโดดเดี่ยวนั้นพวกเขาทั้งสี่รู้ดี เพียงแต่พวกเขาทั้งสี่ยังมีพลังยุทธไม่ห่างกันมาก ปัญญาและประสบการณ์ก็ขาดๆแต่พอทดแทนกัน ทำให้เขาทั้งสี่ยังมีกันและกัน แต่เด็กหนุ่มเบื้องหน้าดันไม่มีผู้ใดทัดเทียม ไม่มีผู้ใดต่อกร แม้แต่พวกเขาทั้งสี่ที่ร่วมมือกันยังไม่อาจต่อกร
สองปีก่อนพวกเขาเคยรวมกันต่อสู้กับเด็กน้อยอย่างจริงจัง โดยพวกเขาทั้งสี่ใช่ลมปราณขั้นสูงสุด แต่เด็กน้อยที่ใช้ลมปราณพอทดแทนกำลังภายนอกของเด็กกลับเอาชนะได้ โดยอาศัยเพียงกระบวนท่าที่ไร้ลมปราณ
เมื่อเด็กหนุ่มมาถึงห้องโถงอาหารนับสิบๆชนิดก็เรียงรายกันอยู่บนโต๊ะ นอกจากหลิง เฟยแล้ว คนที่เหลือต่างยืนดูห่างๆไม่กล้าเข้าไปร่วมรับประทานอาหารด้วย ความเรียบง่ายแต่แฝงสภาวะกดดันของคนทั้งสองอันตรายเกินไปสำหรับคนที่เหลือ พวกเขาไม่สามารถจะกินอาหารได้โดยรู้ว่าคนทั้งสองกำหัวใจตนเองไปมาเล่นๆ
" ฟงเหลย ลูกดูซึมๆนะ " ดัชนีสังหารเทพกล่าวถามอย่างห่วงใย ผู้ถูกถามยิ้มน้อยๆก่อนจะกลืนข้าวแล้วตอบเบาๆ
" ข้าเบื่อ " เด็กหนุ่มกล่าวออกมาก่อนจะหยุดทานอาหาร สายตาของเขาเหม่อมองไปสุดฟ้าไกล
" เรียนนายน้อย ข้าว่าท่านน่าจะลงเขาไปดูเมืองนะ " บัณฑิตชรากล่าวเสนอ
" ข้าไม่เห็นด้วย นายน้อยไม่ชอบคนพลุ้งพล่าน " ตี้สงตอบกลับ
" แต่ข้าเห็นด้วย นายควรไปดูโลกกว้าง แม้จะมีวิชายุทธไร้ผู้ต้าน แต่หากขาดประสบการณ์อาจเป็นภัยต่อตนเองได้ และจะเป็นได้เพียงแค่หมากที่คนอื่นคอยบงการ " เฒ่าใบสนกล่าวเสียงเรียบ เขาไม่อยากให้เด็กหนุ่มคนนี้ต้องอยู่แต่บนเขาเช่นเขา เด็กหนุ่มควรได้ท่องโลกกว้างอย่างอิสระ ได้รับรู้สุขทุกข์ตามประสาเด็ก
" ลูกสนใจไหม ลุงและอาทั้งสามคงพร้อมที่จะไปกับเจ้า และตัวแม่เองก็เช่นกัน"
" ไม่ ข้าไม่อยากลงเขา... พร้อมกับทุกคน " เด็กหนุ่มลุกขึ้นพร้อมกับหมุนตัวเดินออกไปจากห้องโถง เขาเดินไปสู่เรือนไม้ที่สร้างยื่นออกไปในหน้าผา เหล่ายอดยุทธต่างเดินตามไปอย่างช่วยไม่ได้
" ข้าอยากเดินทางด้วยตัวคนเดียว ได้ไหม... ทุกคน "
" ของท่านเอาไปเท่านี้หรือ "ตี้สงกล่าวถามอย่างห่วงใย ในห่อผ้าของเด็กหนุ่มมีเพียงชุดผ้าที่ภายนอกดูธรรมดาแต่ด้านในบุด้วยไหม ตัดเย็บอย่างปราณีต เงินทองอีกเพียงเล็กน้อย
" เอาน่าท่านอา อยากได้อะไรก็ปล้นเอาท่านบอกเองมิใช่รึ "
"โถ ท่านก็เห็นสุดท้ายก็ต้องมาแงกอยู่ที่นี้ อยู่ข้างลางนะ ท่านต้องระมัดระวัง ห้ามบอกว่ามาจากไหน ห้ามแสดงพลังฝีมือ ห้ามใช้เงินทีละมากๆ ห้ามเชื่อใจใครง่ายๆ ห้ามไว้ใจอิสตรี ห้าม.. "
" หึหึ พอก่อนท่านอา ไว้ข้าจะมีฟังต่อ " เด็กหนุ่มกล่าวจบก็เดินเข้าไปกอดมารดาและเอ่ยลากับทุกคน จากนั้นก็หายลัลไปจากสัมผัสรู้ของยอดยุทธทั้งสี่
" ฮ่าๆ ถึงเวลาปั่นปวนของยุทธภพแล้ว " ตี้สงเอ่ยอย่างอารมณ์ดี
" ฮึๆ จริงของเจ้า เฮ้อ หวังว่าฟงเหลยจะโชคดี " บัณฑิตชรากล่าว แม้แต่ผู้เฒ่าใบสนยังพยักหน้าเห็นด้วย
" เจ้าว่าใครจะเอาชัยฟงเหลยได้ล่ะ แม้แต่พวกเราทั้งสี่ สี่มารประหารเทพก็ตาม " หลิง ลำพึงเบาๆ คนทั้งสามยิ้มออกมาเล็กน้อย ใช่ พวกเขาได้สร้างสุดยอดมารสะท้านภพ ผู้รวบเอาความรู้ของพวกเขาทั้งสี่ไว้ด้วยกันจากนั้นก็พัฒนาจะกลายเป็น
" เทพมาร ฟงเหลย "
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น