ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศตวีร์นเรศูร ภาค เตโชช่วงโชติ

    ลำดับตอนที่ #1 : นาคราชอสุรา...นาคาอสูร

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.พ. 49


    "  การใช้เวทมนต์ ย่อมมิใช้การใช้อำนาจเข้าควบคุมสรรพสิ่ง แต่เป็นการควบคุมการใช้อำนาจของสรรพสิ่งผ่านตัวเรา  "
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
    “ท่านแน่ใจหรือ”

    “จักรพรรดิตรัสแล้วย่อมไม่คืนคำ”

    “ดี!”   

    เสียงชายวัยกลางคนสองคนสนทนาตอบโต้กันในห้องลับห้องหนึ่ง มีเพียงเสียงแผ่วเบาๆเท่านั้นที่เล็ดลอดผ่านกำแพงหินที่หนาหนักเหล่านี้ออกไปได้

    กึ๊งงงง  กึ๊งงงงง  กึ๊งงง....  
    เสียงนาฬิกาจากหอคอยเหตุดังขึ้น สอดแทรกการสนทนาของคนทั้งคู่ ชายคนหนึ่งสีหน้าแปรเปลี่ยนแสดงอาการตกใจออกมาเล็กน้อย

    “เที่ยงคืนแล้วรึนี่!”
    โดยไม่รีรอ     ชายอีกคนหนึ่งลุกขึ้นพร้อมกับยื่นจอกทองคำในมือให้

    “แด่วันใหม่ของพวกเรา”     ชายผู้นั้นแสยะยิ้มอย่างน่ารังเกียจออกมาก่อนที่จอกจะถูกหยิบฉวยออกจากมือ

    “แด่วันใหม่ของพวกเรา”     
    ชายอีกคนหยิบยกจอกขึ้นดื่ม แล้วห้องลับก็ถูกเปิดออกทิ้งไว้เพียงไอร้อนจากร่างกายคนและจอกสองใบที่เต็มไปด้วยคราบเลือดแห่งคำสาบาน

    " ขัตติยพันธะ  คำสัญญาแห่งกษัตริย์  "
    -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ในกระท่อมเล็กๆแห่งหนึ่งท่ามกลางผืนป่าที่แสนกว้างใหญ่ ชายชรากำลังใช้มือที่เหี่ยวย่นของเขาเขียนบันทึกเกี่ยวกับสมุนไพรในป่าแห่งนี้อยู่อย่างเงียบๆ กระท่อมที่ซอมซ่อแห่งนี้ถูกจัดสรรพื้นที่ไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบ

    ร้อย และก็กว้างขวางมากพอที่จะให้คนแก่อายุกว่า 80 ปีอาศัยอยู่เพียงคนเดียว ชายชรากำลังคร่ำเคร่งกับงานอยู่ หนังสือนับสิบเล่มถูกวางกองไว้เป็นตั้งๆ บนชั้นหนังสือรอบๆห้องมีหนังสืออยู่มากกว่าพันเล่ม แทบไม่น่าเชื่อ

    เลยว่า ชายชราผู้นี้จะสามารถบันทึกเรื่องราวและความรู้ทั้งหมดที่มีในชีวิตลงไปบนแผ่นกระดาษได้จำนวนมากขนาดนี้ เขาหลับตาพริ้มลงชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงเริ่มลงมือเขียนบันทึกต่ออีกครั้ง
    แต่แล้วขณะที่ตะวันเริ่มคล้อยบ่ายเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมๆกันกับเสียงที่แหบห้าวของชายหนุ่มคนหนึ่ง

    “ท่านกาเรนทร์ครับ ฝูงวิหคเพลิงเดินทางมาถึงแล้วครับ”   

    ชายชราละมือจากงานที่ทำอยู่ลุกขึ้นก้าวเท้าสวบๆเพื่อไปเปิดประตู และสิ่งที่เห็นเบื้องหน้าก็คือเหล่าวิหคเพลิงหลายร้อยตัวกำลังทยอยบินเข้ามา  
    พวกมันแต่ละตัวล้วนมีขนาดใหญ่กว่านกอินทรี  และขนสีแดงเพลิงมันก็วับวาวราวกับไฟที่ลุกโชน  
    เมื่อชายชราเดินออกมา นกตัวจ่าฝูงก็พุ่งตรงเข้ามาหากาเรนทร์อย่างรวดเร็ว  ขณะที่สองมือของชายชรายกขึ้นสอดรับแล้วโอบกอดมันไว้ด้วยความรักใคร่เอ็นดู

    “บาดเจ็บมากหรือเปล่าเปรมา  ?  ไหน ข้าขอดูแผลเจ้าหน่อยสิ  ” กาเรนทร์กล่าวอย่างแช่มช้าเนิบนาบ พลางลูบบาดแผลใหญ่น้อยมากมายบริเวณข้อเท้าและคอของเปรมา แสงสีขาวจางๆแผ่กระจายออกมาพร้อมกับการ

    จางหายไปของบาดแผล

    “พักสักวันก็คงหายดี.....ข้าไม่น่าทำให้เจ้าต้องลำบากเลย”  ชายชรากล่าวอย่างอ่อนโยน วิหคเพลิงเองก็เคล้าคลอนายของมันอย่างแสนรู้ราวกับจะบอกว่า
    “เรื่องเท่านี้เองท่านอย่าได้เป็นกังวลเลย ”

    เพียงชั่วครู่หลังจากการมาถึงของฝูงวิหคเพลิงกลุ่มชาวบ้านนับพันคนก็เดินทางมาถึง  เมื่อสังเกตอากัปกิริยาแล้วเห็นได้ชัดว่าแต่ละคนล้วนเคารพยำเกรงกาเรนทร์เป็นอย่างยิ่ง

    “พวกเจ้าหยุดพักกันสักหน่อยก็ได้.... เรายังพอมีเวลาเหลือ”   
    ชายชรายิ้มพลางหัวเราะก่อนจะวางวิหคเพลิงลง ชาวบ้านพากันนั่งลงบนพื้นอย่างเงียบเชียบ  
    คนเหล่านี้ล้วนเป็นพรานป่าฝีมือดี   เป็นนักล่าแห่งพงไพร แต่ละคนล้วนกำยำล่ำสัน รูปร่างสมส่วนและมีเลือดแห่งนักสู้อยู่เต็มร้อย ผืนป่าแห่งบุพกาลได้หล่อหลอมให้พวกเขามีบุคลิกที่โอ่อ่า กล้าหาญสมเป็นชายชาตรี
    สักครู่หนึ่ง   ภคิน หัวหน้าของเหล่านายพรานก็เดินเข้ามาหากาเรนทร์  ท่านผู้เฒ่าชิงกล่าวว่า

    “เราควรจะเริ่มกันได้แล้ว”
    ภคิน เหลือบไปมองฝูงวิหคเพลิงด้านหลังด้วยสายตาเป็นกังวล (แม้หน้าตาของเขาจะจัดว่าอยู่ในขั้นผ่านเกณฑ์ "พอดูได้" แต่ท่าทางของเขาตอนนี้กลับดู "ตลกแบบน่าสมเพช" ด้วยท่าทางที่ตลกขบขันประกอบกับแววตาที่ไม่

    เชื่อมั่น ได้เน้นถึงความรู้สึกหยามหยันออกมาอย่างชัดแจ้ง) กล่าวว่า
    “เราจะขี่พวกมันได้หรือ....มันไม่น่าจะทานรับน้ำหนักของพวกเราได้เลย....แม้ว่าตัวของมันจะใหญ่มากก็ตามที”
    “หึๆ...”  กาเรนทร์หัวเราะขึ้นเบาๆก่อนจะยิ้มน้อยๆพร้อมกับกล่าวว่า
    “ภคิน   เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก วิหคเพลิงพวกนี้เพียงแปลงกายให้เล็กลงเพื่อถนอมพลังงานระหว่างเดินทางเท่านั้นเอง    
    เจ้าลองดูยามที่มันคืนร่างเดิมสิ  ”   

    แล้วกาเรนทร์ก็ร่ายเวทมนต์ขึ้นจนมีเปลวไฟลุกโชนขึ้นจากอุ้งมือ ...เปรมา เข้ามาจิกกินเปลวไฟเป็นอาหารด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยพร้อมกับขยายร่างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ  
    .....หนึ่งเท่า.......สองเท่า.......สามเท่า.......สี่เท่า......
    แล้วอยู่ดีๆมันก็ร้อง  “  กี้!!! ”  ออกมาจนทำให้ผู้คนต่างตกใจไปตามๆกัน    เสียงร้องแหลมเล็กของมันดังลั่นป่า   แล้วทันใดนั้นเองก็มีเปลวไฟพวยพุ่งออกมาจากตัวของมัน

    “ข้าว่าบางทีมันอาจจะรับน้ำหนักคนสามคนได้สบายๆเลยล่ะภคิน ” กาเรนทร์พูดขึ้นอย่างมีอารมณ์ขัน ส่วนภคินเองก็เผยอยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบย้อนไปว่า

    “ข้าไม่ควรสงสัยในอำนาจท่านเลย ท่านกาเรนทร์ นกพวกนี้หนึ่งตัวเพียงพอให้เรากินได้ทั้งอาทิตย์เลยทีเดียว” แล้วเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นทำลายบรรยากาศที่เงียบงันให้สูญสลายไป

    -------------------------------------------------------------------------------------------------------

    “ อ๊ากกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!”   

    เสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดของชายคนหนึ่งดังขึ้น   เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดออกจากลำคอ  ชายร่างกำยำล่ำสันล้มทรุดลงกับพื้นหอบหายใจถี่รัว    สายตาจ้องเขม็งไปยังสตรีที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความอาฆาตแค้น มือทั้งสอง

    ข้างยังคงกำด้ามขวานไว้แน่น
    สตรีนางหนึ่งเดินย่างเข้ามาอย่างแช่มช้า ที่แขนข้างขวาของนางมีบาดแผลเหวะหวะแต่กลับมีเลือดไหลซึมเพียงเล็กน้อย    บริเวณใบหน้าของนางชุ่มโชกไปด้วยเลือด นางค่อยๆเดินเข้ามาแล้วกระซิบข้างที่หูของชายคนนั้น

    อย่างแผ่วเบา

    “จ้องข้าไว้สิ......ชีวิตของเจ้าเหลืออยู่อีกนานแค่ไหนนะ? .....
    หึ! พวกมนุษย์มันก็เป็นกันซะอย่างนี้แหละเอาแต่จ้อง แต่ไม่เคยเห็นหน้าไหนมีฝีมือสักตัว!!”  

    พอสิ้นคำใบหน้าของนางก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว  จากใบหน้าหญิงสาวที่งดงามเป็นหัวงูที่น่าเกลียด  มันอ้าปากออกงับที่หัว  สะบัดเพียงครั้งเดียวศีรษะของชายผู้เคราะห์ร้ายก็หลุดออกจากตัวทันที
    เสียง    กร๊อบ!    ดังลั่นเมื่อมันขบกะโหลกศีรษะจนแตกละเอียด ก่อนที่มันจะอ้าปากออกจนกว้างเขมือบร่างที่ไร้ศีรษะนั้นลงไป

    ฟึ่บบบบบบ!!!ๆๆๆ  เสียงวัตถุขนาดเล็กแล่นฝ่าอากาศมาด้วยความเร็วสูง
    “.......เสียงอะไรกัน........”    งูยักษ์คิดในใจพลันหันขวับไปมอง แล้วมันก็ต้องพบกับห่าธนูหลายร้อยดอกกำลังพุ่งเข้าหาร่างที่ใหญ่เทอะทะของมัน มันรีบขย้อนร่างเหยื่อออกทิ้งแล้วขดตัวเป็นวงกลมซ่อนศีรษะไว้ข้างใน

    อย่างรวดเร็ว
    ผั๊วะ!ๆๆๆๆๆ     ธนูเจาะเกราะพุ่งเข้าสู่เป้าหมายอย่างแม่นยำ แต่กลับสร้างเพียงรอยขีดข่วนทิ้งไว้ที่ผิวเพียงเล็กน้อย งูยักษ์คลายตัวออกมาพร้อมกับแผ่คลื่นความร้อนอันร้อนระอุออกมาโดยรอบ

    “......เพลิงโลหิต......”
    เปลวไฟสีแดงฉานพุ่งออกจากลำตัวต้นไม้ใบหญ้าโดยรอบพลันเหี่ยวเฉาแห้งกรอบในทันที    งูยักษ์มองขึ้นไปข้างบนด้วยความพยาบาท

    บนท้องฟ้านั่น.....เหล่าวิหคเพลิงและนายพรานจำนวนมากที่บินขวักไขว่อยู่บนท้องฟ้าภายใต้การนำของชายชราผู้หนึ่ง
    เหล่านายพานขึ้นสายธนูอีกครั้ง  
    “....อาโป....”  แต่ละคนท่องคาถาขึ้นในใจตามมาด้วยประกายสีทองจากอักขระเวทย์ของชายชราที่แผ่ออกไปเป็นวงกว้างลูกธนูเจาะเกราะพลันมีเกลียวน้ำหมุนวนโดยรอบแล้ววิ่งแหวกฝ่าอากาศออกไปอย่างรวดเร็ว  

    ในวินาทีเดียวกันนั้นเองงูยักษ์ได้โถมตัวพุ่งขึ้นมาแล้วพ่นละอองพิษที่ร้ายเเรงโปรยปรายขึ้นสู่ท้องฟ้า เหล่าวิหคเพลิงที่ระวังภัยอยู่ก่อนรีบบินโฉบขึ้นไปย่างรวดเร็วจนทำให้นายพรานสองสามคนที่ไม่ทันระวังถึงกับร่วงหล่น

    ลงมา และเมื่อสัมผัสกับละอองพิษ ผิวหนังก็เกิดอาการพุพองจนแหลกเหลวเสียชีวิตก่อนจะตกลงถึงพื้นด้วยซ้ำ

    เมื่องูยักษ์เห็นว่าไม่อาจทำอะไรได้อีกมันจึงถลึงตามองอย่างดุร้าย  และเมื่อศัตรูบินจากไปมันจึงจำแลงกายกลับเป็นคนเหมือนเดิมแล้วหันไปหาเหยื่ออย่างหมดอารมณ์     แต่แล้วมันก็ล้มลงแน่นิ่ง   รู้สึกได้ว่าทั่วทั้งตัวของ

    มันมีแต่รูพรุนด้วยร่องรอยทะลุผ่านของลูกธนู    เมื่ออาการเจ็บปวดกำเริบขึ้นมันก็กรีดร้องอย่างโหยหวนลั่นป่า

    “....อา........มันยิงข้าเข้าได้ยังไงกัน..........”   นั่นคือความคิดสุดท้ายของมันก่อนที่เทียนชีวิตจะดับมอดลง......

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×