ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : นาคราชอสุรา...นาคาอสูร
" การใช้เวทมนต์ ย่อมมิใช้การใช้อำนาจเข้าควบคุมสรรพสิ่ง แต่เป็นการควบคุมการใช้อำนาจของสรรพสิ่งผ่านตัวเรา "
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“ท่านแน่ใจหรือ”
“จักรพรรดิตรัสแล้วย่อมไม่คืนคำ”
“ดี!”
เสียงชายวัยกลางคนสองคนสนทนาตอบโต้กันในห้องลับห้องหนึ่ง มีเพียงเสียงแผ่วเบาๆเท่านั้นที่เล็ดลอดผ่านกำแพงหินที่หนาหนักเหล่านี้ออกไปได้
กึ๊งงงง กึ๊งงงงง กึ๊งงง....
เสียงนาฬิกาจากหอคอยเหตุดังขึ้น สอดแทรกการสนทนาของคนทั้งคู่ ชายคนหนึ่งสีหน้าแปรเปลี่ยนแสดงอาการตกใจออกมาเล็กน้อย
“เที่ยงคืนแล้วรึนี่!”
โดยไม่รีรอ ชายอีกคนหนึ่งลุกขึ้นพร้อมกับยื่นจอกทองคำในมือให้
“แด่วันใหม่ของพวกเรา” ชายผู้นั้นแสยะยิ้มอย่างน่ารังเกียจออกมาก่อนที่จอกจะถูกหยิบฉวยออกจากมือ
“แด่วันใหม่ของพวกเรา”
ชายอีกคนหยิบยกจอกขึ้นดื่ม แล้วห้องลับก็ถูกเปิดออกทิ้งไว้เพียงไอร้อนจากร่างกายคนและจอกสองใบที่เต็มไปด้วยคราบเลือดแห่งคำสาบาน
" ขัตติยพันธะ คำสัญญาแห่งกษัตริย์ "
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ในกระท่อมเล็กๆแห่งหนึ่งท่ามกลางผืนป่าที่แสนกว้างใหญ่ ชายชรากำลังใช้มือที่เหี่ยวย่นของเขาเขียนบันทึกเกี่ยวกับสมุนไพรในป่าแห่งนี้อยู่อย่างเงียบๆ กระท่อมที่ซอมซ่อแห่งนี้ถูกจัดสรรพื้นที่ไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบ
ร้อย และก็กว้างขวางมากพอที่จะให้คนแก่อายุกว่า 80 ปีอาศัยอยู่เพียงคนเดียว ชายชรากำลังคร่ำเคร่งกับงานอยู่ หนังสือนับสิบเล่มถูกวางกองไว้เป็นตั้งๆ บนชั้นหนังสือรอบๆห้องมีหนังสืออยู่มากกว่าพันเล่ม แทบไม่น่าเชื่อ
เลยว่า ชายชราผู้นี้จะสามารถบันทึกเรื่องราวและความรู้ทั้งหมดที่มีในชีวิตลงไปบนแผ่นกระดาษได้จำนวนมากขนาดนี้ เขาหลับตาพริ้มลงชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงเริ่มลงมือเขียนบันทึกต่ออีกครั้ง
แต่แล้วขณะที่ตะวันเริ่มคล้อยบ่ายเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมๆกันกับเสียงที่แหบห้าวของชายหนุ่มคนหนึ่ง
“ท่านกาเรนทร์ครับ ฝูงวิหคเพลิงเดินทางมาถึงแล้วครับ”
ชายชราละมือจากงานที่ทำอยู่ลุกขึ้นก้าวเท้าสวบๆเพื่อไปเปิดประตู และสิ่งที่เห็นเบื้องหน้าก็คือเหล่าวิหคเพลิงหลายร้อยตัวกำลังทยอยบินเข้ามา
พวกมันแต่ละตัวล้วนมีขนาดใหญ่กว่านกอินทรี และขนสีแดงเพลิงมันก็วับวาวราวกับไฟที่ลุกโชน
เมื่อชายชราเดินออกมา นกตัวจ่าฝูงก็พุ่งตรงเข้ามาหากาเรนทร์อย่างรวดเร็ว ขณะที่สองมือของชายชรายกขึ้นสอดรับแล้วโอบกอดมันไว้ด้วยความรักใคร่เอ็นดู
“บาดเจ็บมากหรือเปล่าเปรมา ? ไหน ข้าขอดูแผลเจ้าหน่อยสิ ” กาเรนทร์กล่าวอย่างแช่มช้าเนิบนาบ พลางลูบบาดแผลใหญ่น้อยมากมายบริเวณข้อเท้าและคอของเปรมา แสงสีขาวจางๆแผ่กระจายออกมาพร้อมกับการ
จางหายไปของบาดแผล
“พักสักวันก็คงหายดี.....ข้าไม่น่าทำให้เจ้าต้องลำบากเลย” ชายชรากล่าวอย่างอ่อนโยน วิหคเพลิงเองก็เคล้าคลอนายของมันอย่างแสนรู้ราวกับจะบอกว่า
“เรื่องเท่านี้เองท่านอย่าได้เป็นกังวลเลย ”
เพียงชั่วครู่หลังจากการมาถึงของฝูงวิหคเพลิงกลุ่มชาวบ้านนับพันคนก็เดินทางมาถึง เมื่อสังเกตอากัปกิริยาแล้วเห็นได้ชัดว่าแต่ละคนล้วนเคารพยำเกรงกาเรนทร์เป็นอย่างยิ่ง
“พวกเจ้าหยุดพักกันสักหน่อยก็ได้.... เรายังพอมีเวลาเหลือ”
ชายชรายิ้มพลางหัวเราะก่อนจะวางวิหคเพลิงลง ชาวบ้านพากันนั่งลงบนพื้นอย่างเงียบเชียบ
คนเหล่านี้ล้วนเป็นพรานป่าฝีมือดี เป็นนักล่าแห่งพงไพร แต่ละคนล้วนกำยำล่ำสัน รูปร่างสมส่วนและมีเลือดแห่งนักสู้อยู่เต็มร้อย ผืนป่าแห่งบุพกาลได้หล่อหลอมให้พวกเขามีบุคลิกที่โอ่อ่า กล้าหาญสมเป็นชายชาตรี
สักครู่หนึ่ง ภคิน หัวหน้าของเหล่านายพรานก็เดินเข้ามาหากาเรนทร์ ท่านผู้เฒ่าชิงกล่าวว่า
“เราควรจะเริ่มกันได้แล้ว”
ภคิน เหลือบไปมองฝูงวิหคเพลิงด้านหลังด้วยสายตาเป็นกังวล (แม้หน้าตาของเขาจะจัดว่าอยู่ในขั้นผ่านเกณฑ์ "พอดูได้" แต่ท่าทางของเขาตอนนี้กลับดู "ตลกแบบน่าสมเพช" ด้วยท่าทางที่ตลกขบขันประกอบกับแววตาที่ไม่
เชื่อมั่น ได้เน้นถึงความรู้สึกหยามหยันออกมาอย่างชัดแจ้ง) กล่าวว่า
“เราจะขี่พวกมันได้หรือ....มันไม่น่าจะทานรับน้ำหนักของพวกเราได้เลย....แม้ว่าตัวของมันจะใหญ่มากก็ตามที”
“หึๆ...” กาเรนทร์หัวเราะขึ้นเบาๆก่อนจะยิ้มน้อยๆพร้อมกับกล่าวว่า
“ภคิน เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก วิหคเพลิงพวกนี้เพียงแปลงกายให้เล็กลงเพื่อถนอมพลังงานระหว่างเดินทางเท่านั้นเอง
เจ้าลองดูยามที่มันคืนร่างเดิมสิ ”
แล้วกาเรนทร์ก็ร่ายเวทมนต์ขึ้นจนมีเปลวไฟลุกโชนขึ้นจากอุ้งมือ ...เปรมา เข้ามาจิกกินเปลวไฟเป็นอาหารด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยพร้อมกับขยายร่างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
.....หนึ่งเท่า.......สองเท่า.......สามเท่า.......สี่เท่า......
แล้วอยู่ดีๆมันก็ร้อง “ กี้!!! ” ออกมาจนทำให้ผู้คนต่างตกใจไปตามๆกัน เสียงร้องแหลมเล็กของมันดังลั่นป่า แล้วทันใดนั้นเองก็มีเปลวไฟพวยพุ่งออกมาจากตัวของมัน
“ข้าว่าบางทีมันอาจจะรับน้ำหนักคนสามคนได้สบายๆเลยล่ะภคิน ” กาเรนทร์พูดขึ้นอย่างมีอารมณ์ขัน ส่วนภคินเองก็เผยอยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบย้อนไปว่า
“ข้าไม่ควรสงสัยในอำนาจท่านเลย ท่านกาเรนทร์ นกพวกนี้หนึ่งตัวเพียงพอให้เรากินได้ทั้งอาทิตย์เลยทีเดียว” แล้วเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นทำลายบรรยากาศที่เงียบงันให้สูญสลายไป
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
“ อ๊ากกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!”
เสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดของชายคนหนึ่งดังขึ้น เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดออกจากลำคอ ชายร่างกำยำล่ำสันล้มทรุดลงกับพื้นหอบหายใจถี่รัว สายตาจ้องเขม็งไปยังสตรีที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความอาฆาตแค้น มือทั้งสอง
ข้างยังคงกำด้ามขวานไว้แน่น
สตรีนางหนึ่งเดินย่างเข้ามาอย่างแช่มช้า ที่แขนข้างขวาของนางมีบาดแผลเหวะหวะแต่กลับมีเลือดไหลซึมเพียงเล็กน้อย บริเวณใบหน้าของนางชุ่มโชกไปด้วยเลือด นางค่อยๆเดินเข้ามาแล้วกระซิบข้างที่หูของชายคนนั้น
อย่างแผ่วเบา
“จ้องข้าไว้สิ......ชีวิตของเจ้าเหลืออยู่อีกนานแค่ไหนนะ? .....
หึ! พวกมนุษย์มันก็เป็นกันซะอย่างนี้แหละเอาแต่จ้อง แต่ไม่เคยเห็นหน้าไหนมีฝีมือสักตัว!!”
พอสิ้นคำใบหน้าของนางก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากใบหน้าหญิงสาวที่งดงามเป็นหัวงูที่น่าเกลียด มันอ้าปากออกงับที่หัว สะบัดเพียงครั้งเดียวศีรษะของชายผู้เคราะห์ร้ายก็หลุดออกจากตัวทันที
เสียง กร๊อบ! ดังลั่นเมื่อมันขบกะโหลกศีรษะจนแตกละเอียด ก่อนที่มันจะอ้าปากออกจนกว้างเขมือบร่างที่ไร้ศีรษะนั้นลงไป
ฟึ่บบบบบบ!!!ๆๆๆ เสียงวัตถุขนาดเล็กแล่นฝ่าอากาศมาด้วยความเร็วสูง
“.......เสียงอะไรกัน........” งูยักษ์คิดในใจพลันหันขวับไปมอง แล้วมันก็ต้องพบกับห่าธนูหลายร้อยดอกกำลังพุ่งเข้าหาร่างที่ใหญ่เทอะทะของมัน มันรีบขย้อนร่างเหยื่อออกทิ้งแล้วขดตัวเป็นวงกลมซ่อนศีรษะไว้ข้างใน
อย่างรวดเร็ว
ผั๊วะ!ๆๆๆๆๆ ธนูเจาะเกราะพุ่งเข้าสู่เป้าหมายอย่างแม่นยำ แต่กลับสร้างเพียงรอยขีดข่วนทิ้งไว้ที่ผิวเพียงเล็กน้อย งูยักษ์คลายตัวออกมาพร้อมกับแผ่คลื่นความร้อนอันร้อนระอุออกมาโดยรอบ
“......เพลิงโลหิต......”
เปลวไฟสีแดงฉานพุ่งออกจากลำตัวต้นไม้ใบหญ้าโดยรอบพลันเหี่ยวเฉาแห้งกรอบในทันที งูยักษ์มองขึ้นไปข้างบนด้วยความพยาบาท
บนท้องฟ้านั่น.....เหล่าวิหคเพลิงและนายพรานจำนวนมากที่บินขวักไขว่อยู่บนท้องฟ้าภายใต้การนำของชายชราผู้หนึ่ง
เหล่านายพานขึ้นสายธนูอีกครั้ง
“....อาโป....” แต่ละคนท่องคาถาขึ้นในใจตามมาด้วยประกายสีทองจากอักขระเวทย์ของชายชราที่แผ่ออกไปเป็นวงกว้างลูกธนูเจาะเกราะพลันมีเกลียวน้ำหมุนวนโดยรอบแล้ววิ่งแหวกฝ่าอากาศออกไปอย่างรวดเร็ว
ในวินาทีเดียวกันนั้นเองงูยักษ์ได้โถมตัวพุ่งขึ้นมาแล้วพ่นละอองพิษที่ร้ายเเรงโปรยปรายขึ้นสู่ท้องฟ้า เหล่าวิหคเพลิงที่ระวังภัยอยู่ก่อนรีบบินโฉบขึ้นไปย่างรวดเร็วจนทำให้นายพรานสองสามคนที่ไม่ทันระวังถึงกับร่วงหล่น
ลงมา และเมื่อสัมผัสกับละอองพิษ ผิวหนังก็เกิดอาการพุพองจนแหลกเหลวเสียชีวิตก่อนจะตกลงถึงพื้นด้วยซ้ำ
เมื่องูยักษ์เห็นว่าไม่อาจทำอะไรได้อีกมันจึงถลึงตามองอย่างดุร้าย และเมื่อศัตรูบินจากไปมันจึงจำแลงกายกลับเป็นคนเหมือนเดิมแล้วหันไปหาเหยื่ออย่างหมดอารมณ์ แต่แล้วมันก็ล้มลงแน่นิ่ง รู้สึกได้ว่าทั่วทั้งตัวของ
มันมีแต่รูพรุนด้วยร่องรอยทะลุผ่านของลูกธนู เมื่ออาการเจ็บปวดกำเริบขึ้นมันก็กรีดร้องอย่างโหยหวนลั่นป่า
“....อา........มันยิงข้าเข้าได้ยังไงกัน..........” นั่นคือความคิดสุดท้ายของมันก่อนที่เทียนชีวิตจะดับมอดลง......
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“ท่านแน่ใจหรือ”
“จักรพรรดิตรัสแล้วย่อมไม่คืนคำ”
“ดี!”
เสียงชายวัยกลางคนสองคนสนทนาตอบโต้กันในห้องลับห้องหนึ่ง มีเพียงเสียงแผ่วเบาๆเท่านั้นที่เล็ดลอดผ่านกำแพงหินที่หนาหนักเหล่านี้ออกไปได้
กึ๊งงงง กึ๊งงงงง กึ๊งงง....
เสียงนาฬิกาจากหอคอยเหตุดังขึ้น สอดแทรกการสนทนาของคนทั้งคู่ ชายคนหนึ่งสีหน้าแปรเปลี่ยนแสดงอาการตกใจออกมาเล็กน้อย
“เที่ยงคืนแล้วรึนี่!”
โดยไม่รีรอ ชายอีกคนหนึ่งลุกขึ้นพร้อมกับยื่นจอกทองคำในมือให้
“แด่วันใหม่ของพวกเรา” ชายผู้นั้นแสยะยิ้มอย่างน่ารังเกียจออกมาก่อนที่จอกจะถูกหยิบฉวยออกจากมือ
“แด่วันใหม่ของพวกเรา”
ชายอีกคนหยิบยกจอกขึ้นดื่ม แล้วห้องลับก็ถูกเปิดออกทิ้งไว้เพียงไอร้อนจากร่างกายคนและจอกสองใบที่เต็มไปด้วยคราบเลือดแห่งคำสาบาน
" ขัตติยพันธะ คำสัญญาแห่งกษัตริย์ "
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ในกระท่อมเล็กๆแห่งหนึ่งท่ามกลางผืนป่าที่แสนกว้างใหญ่ ชายชรากำลังใช้มือที่เหี่ยวย่นของเขาเขียนบันทึกเกี่ยวกับสมุนไพรในป่าแห่งนี้อยู่อย่างเงียบๆ กระท่อมที่ซอมซ่อแห่งนี้ถูกจัดสรรพื้นที่ไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบ
ร้อย และก็กว้างขวางมากพอที่จะให้คนแก่อายุกว่า 80 ปีอาศัยอยู่เพียงคนเดียว ชายชรากำลังคร่ำเคร่งกับงานอยู่ หนังสือนับสิบเล่มถูกวางกองไว้เป็นตั้งๆ บนชั้นหนังสือรอบๆห้องมีหนังสืออยู่มากกว่าพันเล่ม แทบไม่น่าเชื่อ
เลยว่า ชายชราผู้นี้จะสามารถบันทึกเรื่องราวและความรู้ทั้งหมดที่มีในชีวิตลงไปบนแผ่นกระดาษได้จำนวนมากขนาดนี้ เขาหลับตาพริ้มลงชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงเริ่มลงมือเขียนบันทึกต่ออีกครั้ง
แต่แล้วขณะที่ตะวันเริ่มคล้อยบ่ายเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมๆกันกับเสียงที่แหบห้าวของชายหนุ่มคนหนึ่ง
“ท่านกาเรนทร์ครับ ฝูงวิหคเพลิงเดินทางมาถึงแล้วครับ”
ชายชราละมือจากงานที่ทำอยู่ลุกขึ้นก้าวเท้าสวบๆเพื่อไปเปิดประตู และสิ่งที่เห็นเบื้องหน้าก็คือเหล่าวิหคเพลิงหลายร้อยตัวกำลังทยอยบินเข้ามา
พวกมันแต่ละตัวล้วนมีขนาดใหญ่กว่านกอินทรี และขนสีแดงเพลิงมันก็วับวาวราวกับไฟที่ลุกโชน
เมื่อชายชราเดินออกมา นกตัวจ่าฝูงก็พุ่งตรงเข้ามาหากาเรนทร์อย่างรวดเร็ว ขณะที่สองมือของชายชรายกขึ้นสอดรับแล้วโอบกอดมันไว้ด้วยความรักใคร่เอ็นดู
“บาดเจ็บมากหรือเปล่าเปรมา ? ไหน ข้าขอดูแผลเจ้าหน่อยสิ ” กาเรนทร์กล่าวอย่างแช่มช้าเนิบนาบ พลางลูบบาดแผลใหญ่น้อยมากมายบริเวณข้อเท้าและคอของเปรมา แสงสีขาวจางๆแผ่กระจายออกมาพร้อมกับการ
จางหายไปของบาดแผล
“พักสักวันก็คงหายดี.....ข้าไม่น่าทำให้เจ้าต้องลำบากเลย” ชายชรากล่าวอย่างอ่อนโยน วิหคเพลิงเองก็เคล้าคลอนายของมันอย่างแสนรู้ราวกับจะบอกว่า
“เรื่องเท่านี้เองท่านอย่าได้เป็นกังวลเลย ”
เพียงชั่วครู่หลังจากการมาถึงของฝูงวิหคเพลิงกลุ่มชาวบ้านนับพันคนก็เดินทางมาถึง เมื่อสังเกตอากัปกิริยาแล้วเห็นได้ชัดว่าแต่ละคนล้วนเคารพยำเกรงกาเรนทร์เป็นอย่างยิ่ง
“พวกเจ้าหยุดพักกันสักหน่อยก็ได้.... เรายังพอมีเวลาเหลือ”
ชายชรายิ้มพลางหัวเราะก่อนจะวางวิหคเพลิงลง ชาวบ้านพากันนั่งลงบนพื้นอย่างเงียบเชียบ
คนเหล่านี้ล้วนเป็นพรานป่าฝีมือดี เป็นนักล่าแห่งพงไพร แต่ละคนล้วนกำยำล่ำสัน รูปร่างสมส่วนและมีเลือดแห่งนักสู้อยู่เต็มร้อย ผืนป่าแห่งบุพกาลได้หล่อหลอมให้พวกเขามีบุคลิกที่โอ่อ่า กล้าหาญสมเป็นชายชาตรี
สักครู่หนึ่ง ภคิน หัวหน้าของเหล่านายพรานก็เดินเข้ามาหากาเรนทร์ ท่านผู้เฒ่าชิงกล่าวว่า
“เราควรจะเริ่มกันได้แล้ว”
ภคิน เหลือบไปมองฝูงวิหคเพลิงด้านหลังด้วยสายตาเป็นกังวล (แม้หน้าตาของเขาจะจัดว่าอยู่ในขั้นผ่านเกณฑ์ "พอดูได้" แต่ท่าทางของเขาตอนนี้กลับดู "ตลกแบบน่าสมเพช" ด้วยท่าทางที่ตลกขบขันประกอบกับแววตาที่ไม่
เชื่อมั่น ได้เน้นถึงความรู้สึกหยามหยันออกมาอย่างชัดแจ้ง) กล่าวว่า
“เราจะขี่พวกมันได้หรือ....มันไม่น่าจะทานรับน้ำหนักของพวกเราได้เลย....แม้ว่าตัวของมันจะใหญ่มากก็ตามที”
“หึๆ...” กาเรนทร์หัวเราะขึ้นเบาๆก่อนจะยิ้มน้อยๆพร้อมกับกล่าวว่า
“ภคิน เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก วิหคเพลิงพวกนี้เพียงแปลงกายให้เล็กลงเพื่อถนอมพลังงานระหว่างเดินทางเท่านั้นเอง
เจ้าลองดูยามที่มันคืนร่างเดิมสิ ”
แล้วกาเรนทร์ก็ร่ายเวทมนต์ขึ้นจนมีเปลวไฟลุกโชนขึ้นจากอุ้งมือ ...เปรมา เข้ามาจิกกินเปลวไฟเป็นอาหารด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยพร้อมกับขยายร่างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
.....หนึ่งเท่า.......สองเท่า.......สามเท่า.......สี่เท่า......
แล้วอยู่ดีๆมันก็ร้อง “ กี้!!! ” ออกมาจนทำให้ผู้คนต่างตกใจไปตามๆกัน เสียงร้องแหลมเล็กของมันดังลั่นป่า แล้วทันใดนั้นเองก็มีเปลวไฟพวยพุ่งออกมาจากตัวของมัน
“ข้าว่าบางทีมันอาจจะรับน้ำหนักคนสามคนได้สบายๆเลยล่ะภคิน ” กาเรนทร์พูดขึ้นอย่างมีอารมณ์ขัน ส่วนภคินเองก็เผยอยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบย้อนไปว่า
“ข้าไม่ควรสงสัยในอำนาจท่านเลย ท่านกาเรนทร์ นกพวกนี้หนึ่งตัวเพียงพอให้เรากินได้ทั้งอาทิตย์เลยทีเดียว” แล้วเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นทำลายบรรยากาศที่เงียบงันให้สูญสลายไป
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
“ อ๊ากกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!”
เสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดของชายคนหนึ่งดังขึ้น เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดออกจากลำคอ ชายร่างกำยำล่ำสันล้มทรุดลงกับพื้นหอบหายใจถี่รัว สายตาจ้องเขม็งไปยังสตรีที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความอาฆาตแค้น มือทั้งสอง
ข้างยังคงกำด้ามขวานไว้แน่น
สตรีนางหนึ่งเดินย่างเข้ามาอย่างแช่มช้า ที่แขนข้างขวาของนางมีบาดแผลเหวะหวะแต่กลับมีเลือดไหลซึมเพียงเล็กน้อย บริเวณใบหน้าของนางชุ่มโชกไปด้วยเลือด นางค่อยๆเดินเข้ามาแล้วกระซิบข้างที่หูของชายคนนั้น
อย่างแผ่วเบา
“จ้องข้าไว้สิ......ชีวิตของเจ้าเหลืออยู่อีกนานแค่ไหนนะ? .....
หึ! พวกมนุษย์มันก็เป็นกันซะอย่างนี้แหละเอาแต่จ้อง แต่ไม่เคยเห็นหน้าไหนมีฝีมือสักตัว!!”
พอสิ้นคำใบหน้าของนางก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากใบหน้าหญิงสาวที่งดงามเป็นหัวงูที่น่าเกลียด มันอ้าปากออกงับที่หัว สะบัดเพียงครั้งเดียวศีรษะของชายผู้เคราะห์ร้ายก็หลุดออกจากตัวทันที
เสียง กร๊อบ! ดังลั่นเมื่อมันขบกะโหลกศีรษะจนแตกละเอียด ก่อนที่มันจะอ้าปากออกจนกว้างเขมือบร่างที่ไร้ศีรษะนั้นลงไป
ฟึ่บบบบบบ!!!ๆๆๆ เสียงวัตถุขนาดเล็กแล่นฝ่าอากาศมาด้วยความเร็วสูง
“.......เสียงอะไรกัน........” งูยักษ์คิดในใจพลันหันขวับไปมอง แล้วมันก็ต้องพบกับห่าธนูหลายร้อยดอกกำลังพุ่งเข้าหาร่างที่ใหญ่เทอะทะของมัน มันรีบขย้อนร่างเหยื่อออกทิ้งแล้วขดตัวเป็นวงกลมซ่อนศีรษะไว้ข้างใน
อย่างรวดเร็ว
ผั๊วะ!ๆๆๆๆๆ ธนูเจาะเกราะพุ่งเข้าสู่เป้าหมายอย่างแม่นยำ แต่กลับสร้างเพียงรอยขีดข่วนทิ้งไว้ที่ผิวเพียงเล็กน้อย งูยักษ์คลายตัวออกมาพร้อมกับแผ่คลื่นความร้อนอันร้อนระอุออกมาโดยรอบ
“......เพลิงโลหิต......”
เปลวไฟสีแดงฉานพุ่งออกจากลำตัวต้นไม้ใบหญ้าโดยรอบพลันเหี่ยวเฉาแห้งกรอบในทันที งูยักษ์มองขึ้นไปข้างบนด้วยความพยาบาท
บนท้องฟ้านั่น.....เหล่าวิหคเพลิงและนายพรานจำนวนมากที่บินขวักไขว่อยู่บนท้องฟ้าภายใต้การนำของชายชราผู้หนึ่ง
เหล่านายพานขึ้นสายธนูอีกครั้ง
“....อาโป....” แต่ละคนท่องคาถาขึ้นในใจตามมาด้วยประกายสีทองจากอักขระเวทย์ของชายชราที่แผ่ออกไปเป็นวงกว้างลูกธนูเจาะเกราะพลันมีเกลียวน้ำหมุนวนโดยรอบแล้ววิ่งแหวกฝ่าอากาศออกไปอย่างรวดเร็ว
ในวินาทีเดียวกันนั้นเองงูยักษ์ได้โถมตัวพุ่งขึ้นมาแล้วพ่นละอองพิษที่ร้ายเเรงโปรยปรายขึ้นสู่ท้องฟ้า เหล่าวิหคเพลิงที่ระวังภัยอยู่ก่อนรีบบินโฉบขึ้นไปย่างรวดเร็วจนทำให้นายพรานสองสามคนที่ไม่ทันระวังถึงกับร่วงหล่น
ลงมา และเมื่อสัมผัสกับละอองพิษ ผิวหนังก็เกิดอาการพุพองจนแหลกเหลวเสียชีวิตก่อนจะตกลงถึงพื้นด้วยซ้ำ
เมื่องูยักษ์เห็นว่าไม่อาจทำอะไรได้อีกมันจึงถลึงตามองอย่างดุร้าย และเมื่อศัตรูบินจากไปมันจึงจำแลงกายกลับเป็นคนเหมือนเดิมแล้วหันไปหาเหยื่ออย่างหมดอารมณ์ แต่แล้วมันก็ล้มลงแน่นิ่ง รู้สึกได้ว่าทั่วทั้งตัวของ
มันมีแต่รูพรุนด้วยร่องรอยทะลุผ่านของลูกธนู เมื่ออาการเจ็บปวดกำเริบขึ้นมันก็กรีดร้องอย่างโหยหวนลั่นป่า
“....อา........มันยิงข้าเข้าได้ยังไงกัน..........” นั่นคือความคิดสุดท้ายของมันก่อนที่เทียนชีวิตจะดับมอดลง......
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น