คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : [Tracks2] จะเก็บเรื่องราวของเราเอาไว้
Our song
[Tracks2] จะเก็บเรื่องราวของเราเอาไว้
เครื่องบินที่อยู่บนฟ้า
ลักพาคนคนหนึ่ง
ไปจากผม
แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นี้แล้ว แต่ผมก็ไม่สามารถห้ามใจตัวเองให้พาตัวเองมาที่บ้านหลังนี้ได้ ไม่เห็นเจ้าของบ้านขอเพียงได้เห็นบ้านก็ยังดี บ้านทรงเกาหลีโบราณหลายร้อยปีเรือนนี้บ่งบอกฐานะครอบครัวผู้เป็นเจ้าของบ้านได้ไม่ยาก ว่าต้องเป็นคนร่ำรวยและมีหน้ามีตาในสังคมไม่น้อย ผมพาตัวเองมาหยุดที่หน้าบ้านหลังนี้ทุกวันหลังเลิกเรียน เพียงเพื่อหวังว่าสักวันผมต้องได้เจอเขาอีกครั้ง และมันยังคงเป็นแบบนี้มาตลอดสองปีที่ผ่าน
ในทุกค่ำคืนผมต่อสู้กับความคิดถึง…แต่ทุกครั้งก็จบลงที่ความพ่ายแพ้เสมอ ผมพยายามแล้ว ผมพยายามห้ามความรู้สึกนี้แต่ผมก็ทำไม่ได้ ผมไม่สามารถเลิกคิดถึงเขาได้เลย ผมเลยเปลี่ยนจากการต่อสู้กับความคิดถึง มาขอพรกับพระเจ้าให้อย่างน้อยเขาคิดถึงผมบ้างก็ยังดี
เข็มสั้นชี้เลขเจ็ดเข็มยาวชี้เลขสิบสองเสียงนาฬิกาเรือนเก่าที่ทำด้วยไม้สีน้ำตาลอ่อนส่งเสียงรบกวนในทุกเช้าเหมือนเคยๆ ผมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงสักพักไล่ความง่วงที่ยังคงฝังอยู่ในตัวของผม อย่างว่ากลางคืนมีให้นอนไม่นอนพอจะต้องตื่นไปเรียนกลับอยากนอน….ผมใช้เวลาไม่นานเพื่อทำธุระส่วนตัว ก่อนจะรีบวิ่งไปคว้าจักรยานคันโปรดเพื่อใช้มันไปส่งผมที่โรงเรียน
‘ห้ามลืมกินข้าวเช้าเด็ดขาดเลยนะเว้ย
คำสั่งจาก ผู้มีอิธิพล คิม จงฮยอน ;p’
แล้วผมก็ต้องชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นโน้ตแผ่นเล็กๆข้างตู้เย็น ลงชื่อแสดงความยิ่งใหญ่เอาไว้ ผมยิ้มให้โน้ตใบนั่นเบาๆก่อนจะพาตัวเองกลับไปในครัวและทานอาหารเช้า…จะว่าไปโน้ตแผนนั่นก็สองปีแล้วนะแต่ผมก็ไม่เคยแกะมันออกเลย ผมยังคงติดมันไว้ที่เดิม ผมแค่ไม่อยากให้อะไรๆเปลี่ยนไป ผมแค่อยากจะเก็บรักษาความทรงจำดีๆที่มีในบ้านหลังนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ผมทานข้าวเช้าแล้วนะ แล้วตัวเล็กละป่านนี้ทานข้าวเย็นหรือยัง” พูดสเหมือนว่าคนตัวเล็กยืนอยู่ตรงหน้าเขา ถ้าที่เกาหลีเป็นตอนเช้า ที่โน้นคงเป็นเวลาเย็นสินะ แค่เวลาเรายังไม่ตรงกันเลย
เย็นแล้วซึ่งเป็นปกติที่ผมจะจอดรถจักรยานและยืนดูบ้านหลังนี้เหมือนคนโจรที่มาดูลาดราวเพื่อขโมยของ แต่ต่างกันที่โจรจะแอบมาไม่ให้ใครเห็นแต่ผมมาทุกวันจนคนแถวนี้จำได้และคุ้นเคย
“ไงพ่อหนุ่มมาอีกแล้วหรอ” ชายสูงอายุผมเริ่มเปลี่ยนสีจากดำเป็นเทาเอ่ยขึ้น
“วันไหนผมไม่มาสิฮะแปลก” ผมตอบกวนประสาทกับไปด้วยความเคยชินและสนิทสนมกัน ถึงผมจะไม่ใช่คนแถวนี้แต่ช่วงหลายปีก่อนผมมาหาพี่จงฮยอนบ่อยมากจนคนแถวนี้เขาจำได้รวมถึงคุณลุงใจดีคนนี้ด้วย
“ถ้าฉันหนุ่มๆนะ แกไม่รอดแน่ ฉันจะเตะก้านคอแกให้…ไอเด็กเวนนี้” คุณลุงทำท่าทางเอาเรื่อง แต่มันก็เป็นแค่การหยอกล้อกันเท่านั้น
“แกคิดว่าจะรอเขาไปถึงเมื่อไร” จู่ๆลุงก็พูดขึ้นก่อนจะเดินมาจับบ่าผมเบาๆ ผมส่งยิ้มให้คุณลุงก่อนจะตอบ
“ตลอดชีวิตก็รอได้ลุง”
“เผื่อใจไว้มั่งนะ หวังไว้สูงตกลงมาแล้วจะเจ็บ”
“ผมรู้ครับลุง เพราะขนาดไม่หวังยังเจ็บขนาดนี้เลย” ลุงส่ายหน้าเบาๆ
“ถ้าเจอเขาจริงๆอยากพูดอะไรกับเขาละ”
“ผม..ผมยังไม่รู้เลยครับ” มีหลายอย่างที่ผมอยากเล่าอยากบอกเขาให้เขาได้รู้ ผมอยากถามเขาว่าคิดถึงผมบ้างมั้ย? สบายดีหรือเปล่า? อยู่โน้นมีความสุขดีมั้ย? ผมอยากบอกรักเขา อยากบอกว่าคิดถึง อยากกอด…
“ผมไปก่อนนะครับ” ผมตะโกนบอกลาคุณลุงก่อนจะออกแรงปั่นเจ้าลุงกริ่งๆนี้กลับบ้าน เจ้าลุงกริ่งๆชื่อนี้ผมกับพี่จงฮยอนช่วยกันตั้งสมัยที่พี่เขายังเรียนม.ปลาย พี่จงเป็นคนตั้งว่าเจ้าลุงเพราะมันเก่าและแก่มาก ส่วนผมตั้งว่ากริ่งๆเพราะผมเป็นคนเอากริ๊งมาติดให้เจ้าลุงนี้เอง ผมภูมิใจกับกริ๊งอันนี้มากเลยนะเพราะผมได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาจากวิชางานช่างที่ผมชอบแล้วมันก็ออกมาไม่เลวซะด้วย ผมเชื่อว่าถ้าผมเอาจักรยานคันนี้ไปว่างทิ้งไว้สักทีในหมู่บ้านต้องมีคนขายของเก่าแอบขโมยไปแน่นอนเพราะสภาพมันไม่ต่างจากเศษเหล็กเท่าไรนักหรอกแต่ผมไม่เคยคิดจะทิ้งมันหรอกนะเพราะจักรยานคันนี้ก็เปรียบเหมือนหนึ่งในความทรงจำของผมกับพี่จงฮยอน เพราะฉะนั้นผมไม่มีทางทิ้งมันเด็ดขาด ถ้ามันพังผมก็จะซ่อม ซ่อมไมได้ก็จะเก็บไว้จนกว่าเจ้าของอีกคนเดินมาสั่งให้ผมเอาไปทิ้งเอง
ผมชอบเวลากลางคืนนะ เพราะมันเป็นเวลาเดียวที่ผมโลกของความจริงหลับใหล และโลกของความฝันกำลังเริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบๆ
‘พี่ผมรักพี่นะ’ ดึงคนตัวเล็กเข้าไปในอ้อมกอด
‘รู้แล้วหน่าพูดไรบ่อยๆ’ คนฟังหน้าแดง
‘ก็อยากพูดอะรัก รัก รัก ชเวมินโฮรักคิมจงฮยอนมากกกก’
‘แกจะตะโกนทำไม อยากให้ป๊าฉันได้ยินหรอไงห๊ะ’
‘พี่บอกผมมั้งดิ’เด็กตัวสูงอ้อนคนตัวเล็ก
‘รักเหมือนกัน’ แล้วปากของเขาทั้งคู่ก็แตะกันเบาๆ แต่ก็ทำให้ใจสั่นได้ไม่น้อย
.
.
.
“โฮวันนี้อยู่ดึกหน่อยนะ นัดหน้าชิงแชมป์แล้วครูขอเต็มที่หน่อย” โค้ช ลี หัวหน้าโค้ชของการฝึกซ้อมฟุตบอลที่ผมเป็นกัปตันทีมอยู่ ตั้งแต่พ่อแม่จากผมไปโค้ชลีก็เปรียบเหมือนพ่อคนที่สองของผม โค้ชเป็นคนแนะนำให้ผมรู้จักกับกีฬาที่ชื่อว่าฟุตบอล ช่วงที่พ่อแม่ผมเสียชีวิตไปประมาณห้าปีที่แล้ว ผมเหมือนคนเสียสติ ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน โค้ชลีซึ่งเป็นเพื่อนพ่อผมได้บอกให้ผมไปเล่นกีฬาจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ผมเกือบจะไม่ได้เรียนมัธยมเพราผมสอบที่ไหนไม่ติดเลย แต่โชคยังดีที่โรงเรียนนี้ยังมีสิทธิ์สำหรับคนโง่แต่กำลังเยอะอย่างผม ทำให้ผมได้มาเข้ามาเรียนและเจอรุ่นพี่จงฮยอน
“ได้เลยครับโค้ช ผมไม่ทำให้โค้ชผิดหวังแน่นอน” ส่งยิ้มอย่างมั่นใจไปให้คนตรงหน้าก่อนจะออกตัววอมร์ร่างกายด้วยการวิ่งรอบสนามอย่างที่ทำทุกๆเย็น
วันนี้ถือว่าเหนื่อยพอตัวเพราะซ้อมตั้งแต่หลังเลิกเรียนจนถึงสองทุ่ม ผมค่อยลากเจ้าแก่ออกมาจากโรงจอดรถก่อนจะค่อยๆจูงมันเดินไปข้างๆผม ตอนนี้ผมไม่มีแรงแม้แต่จะขึ้นไม่คร่อมจักรยานและออกแรงปั่นด้วยซ้ำ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะหยุดแวะที่บ้านหลังเดิมหลังนี้ แต่วันนี้มันดูแปลกไปกว่าทุกวัน แสงสว่างที่ส่องมาทางระเบียงห้องนั้นทำให้ผมรับรู้ได้ทันทีว่า มีคนอยู่ในบ้านหลังนี้ ตอนนี้ผมแค่ภาวนาว่าขอให้สิ่งที่ผมคิดเป็นจริง พี่จงฮยอนกลับมาแล้ว
ใจผมสั่นมากๆผมทำตัวไม่ถูกแล้วตอนนี้แค่คิดว่าจะได้เจอหน้ากันอีกครั้งน้ำตาผมก็จะไหล เหมือนว่าผมมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแค่เห็นไฟในห้องนั้นเปิดสว่าง ใจผมก็พองโต
“ปิ๊ดๆ” ผมสะดุงตัวโยงเมือได้ยินเสียงบีบแตรของรถยนต์ ผมโค้งขอโทษรถคันนั้นที่ไปยืนขว้างทางถนนก่อนจะมองไปที่รถอย่างไปไม่ใส่ แต่แล้วตาผมกลับคุ้นกับใบหน้าของคนที่นั่งอยู่ในรถนั่นเหลือเกิน และเหมือนว่าเขาจะมองมาที่ผมด้วย รถเลยออกไปแล้วแต่ตาผมยังคงมองตามรถไปส่วนในใจมั่นใจว่าคนนั้นคือ พี่จงฮยอน แน่นอน
“ลุงๆๆๆ” ผมรีบวิ่งไปเคาะประตูที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งอยุ่ระแวกนั้น
“อ้าวว่าไงมาซะดึกเลย”
“กลับมาแล้ว เจอเขา ผมเจอแล้ว” พูดไม่เป็นภาษาก่อนที่น้ำใสๆจะไหล ไม่ใช่เพราะเสียใจแต่เพราะความดีใจมันเอ่อล้นออกมาจาพูดอะไรไม่ถูก แต่คาดว่าคุณลุงคนพอจะปะติดปะต่อเรื่องได้ เพราะคงมีแค่คนๆเดียวเท่านั้นที่ทำให้เด็กหนุ่มคนนี้พร่ำเพ้อและรอคอยได้ถึงขนาดนี้ ลุงเอื้อมมือมาตบบ่าเด็กตัวสูงเบาๆ
“ดีใจด้วยๆ แล้วแกจะทำไงต่อไป”
“ผมไม่รู้ ลุงว่าผมจะทำไงดี ” อดทนรอมาตั้งนานแต่พอวันนี้ได้เจอกันจริงๆกับทำอะไรไม่ถูกเลย
“เอ้าไอ้เด็กนี้ทีเรื่องอื่นละเก่งจัง มาเรื่องนี้ละคิดไม่ได้ ฮ่าๆ” ผมทำหน้าเซ็งให้ลุงไปหนึ่งทีก่อนจะบอกลาเพื่อกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกครั้ง
“พูดในสิ่งที่อยากพูด ทำในสิ่งที่อยากทำซะ”
“นี้พ่อหนุ่ม…อย่าคาดหวังว่าอะไรจะเหมือนเดิมตลอดไปหรอกนะ ขนาดรูปปั้นมันยังบิดเบี้ยวได้เลย” ผมยิ้มรับคำสอนของลุงเบาๆก่อนจะโค้งคำนับแล้วเดินจากไป
ตลอดทางเดินกลับมายังบ้านหลังเดิมผมรู้สึกว่ามันไกลกว่าปกติทั้งๆที่มันห่างจากบ้านคุณลุงแค่สามหลังเท่านั้นเอง ผมคงไม่ใจร้อนเกินไปนะ
ผมมายืนที่หน้าบ้านหลังเดิมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ต่างจากครั้งที่แล้วผมยืนจ้องไปที่หน้าต่างบานนั้นที่เปิดไฟสว่างทิ้งไว้ แม้เจ้าตัวจะออกไปข้างนอก ผมได้แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่าพี่จงฮยอนต้องเปิดทิ้งไว้เพื่อให้ผมรู้แน่ๆเลยว่าเขากลับมาแล้ว
“นั้นใครหน่ะ” เสียงดุดันดังขึ้นทำให้ผมละความสนใจจากหน้าต่างบานนั้นเป็นรถคันหรูตรงหน้าผมแทน หน้าต่างที่ลดลงมาเพียงครึ่งเพียงพอให้เสียงขอคนขับเล็ดลอดออกมาให้ผมได้ยินได้ไม่ยาก ผมรีบสะดุ้งตัวยืนยืดเต็มความสูงก่อนจะโค้งคำนับทันทีเพราะคนตรงหน้าคือพ่อของพี่จงฮยอน
“สะ…สวัสดีครับ คุณคิม” เสียงผมสั่นไปใช่มั้ย แย่จริงๆ
“อ๋อ..นึกว่าใครที่ไหน” คุณคิมก้าวลงมาจากรถก่อนจะมายืนตรงหน้าผม และเพียงไม่นานผมก็ได้ยินเสียงประตูรถอีกด้านหนึ่งปิดลงเช่นกัน พี่จงฮยอนค่อยๆก้าวลงมาจากรถก่อนจะหยุดยืนข้างๆผู้เป็นพ่อ ผมไม่อาจจะละสายตาจากคนตรงหน้าได้ พี่จงฮยอนดูสบายดี หน้าขาวๆปากอิ่มอมชมพูนั้น ไม่ว่าจะกี่ปีก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน พี่จงฮยอนดูตกใจไม่น้อยที่เห็นผมยืนอยู่ตรงนี้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร พี่ครับผมอยากเห็นรอยยิ้มพี่จัง ผมคิดถึงรอยยิ้มนั้น แค่ยิ้มทักทายผมสักหน่อยไม่ได้เลยหรอครับ แววตานั้นทำไมดูเฉยชากับผมนัก
“ว่าไงมีธุระอะไร” เสียงคุณคิมทำให้ผมต้องชะงักและหันกลับมาทันที
“ปะ..เปล่าครับผมแค่...” แค่มานั่งรอลูกคุณที่หน้าบ้านหลังนี้ทุกวันแล้ววันนี้ก็แค่บังเอิญว่าคุณกลับมาแค่นั้น ผมอยากจะพูดออกไปอย่างที่ใจคิด แต่สายตาที่มองอย่างเหยียดๆแบบนั้นมันทำให้ผมต้องชะงักอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าผมกลัวกับสายตาที่คุณคิมส่งมาให้ผมหรอกนะครับ ผมออกจะชินด้วยซ้ำใครมันจะสนใจลูกไม่มีพ่อแม่อย่างผม จนก็จน เรียนก็ไม่เก่ง เขาไม่ไล่ตะเพิดผมในวันนี้ก็ดีแค่ไหนแล้วครับ
“ถ้าไม่มีอะไรงั้นฉันขอตัวก่อนนะ…จงฮยอนเข้าบ้านลูก” พี่จงฮยอนเดินหันหลังกลับไปแล้วกำลังจะหายไปอีกแล้ว ผมต้องทำอะไรสักอย่าง ผมรอมาขนาดนี้แล้วผมจะไม่ให้พี่จงฮยอนหายไปอีกโดยที่ผมไมได้ทำอะไรเลย
“เดี๋ยวครับ..” ผู้เป็นพ่อหันหลังกลับมา คนตัวเล็กเพียงแค่หยุดชะงักเท่านั้น
“ผมขอคุยกับพี่…เอิ่มคุณจงฮยอนหน่อยได้มั้ยครับ” ผมพูดอย่างสุภาพ
“ไมได้หรอก กลับไปเถอะ” คุณคิมพูดอย่างแผ่วเบา
“ขอร้องแหละครับ ได้โปรด” ผมคุกเข่าลงอย่างหมดแรง
“บอกว่าไม่ก็ไม่ไง แกนี้พูดไม่รู้เรื่องหรือไง ลูกฉันไม่มีอะไรจะคุยกับขยะอย่างนายอีกแล้ว แล้วอย่ามาวนเวียนแถวหน้าบ้านฉันอีกนะ สกปรก!” เสียงเล็กแหลมของคุณนายคิมที่เพิ่งเห็นเหตุการณ์ดังแทรกขึ้นมา
ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะโมโหมากอยากจะต่อยคนตรงหน้าจริงๆถ้าไม่ติดว่าเป็นพ่อแม่ของพี่จงฮยอนนะ แต่วันนี้ผมชินแล้วแหละโดนเรียกแบบนี้จนผมทำใจยอมรับได้แล้ว ก็ผมมันขยะจริงๆ แต่ผมไม่มีวันยอมหมดหวังหรอกเพราะในเมื่อพี่จงฮยอนไม่เคยพูดว่าหมดรักผม ผมก็จะไม่ไปจากชีวิตพี่ ผมมั่นใจว่าพี่จงฮยอนยังรักผมอยู่
“ได้โปรดเถอะครับขอแค่ให้ผมได้ถามอะไรบางอย่างกับคุณจงฮยอน เมื่อได้คำตอบผมจะไป” ผมนั่งลงคุกเข่าอยู่อย่างนั้น
“พูดมาสิ” เสียงหวานๆแบบนี้ผมจำได้ดี พี่จงฮยอนพูดก่อนจะหันหน้ามามองผม แววตาแบบนั้นทำไมใจผมสั่นแปลกๆ เหมือนแววตานั่นมันไม่เหมือนเดิม
“นี้พ่อหนุ่มอย่าคาดหวังว่าอะไรจะเหมือนเดิมตลอดไปหรอกนะ ขนาดรูปปั้นมันยังบิดเบี้ยวได้เลย” คำพูดของคุณลุงก้องอยู่ในหัวผมอีกครั้ง
“สบายดีมั้ยครับครับตัวเล็ก” ผมใช้คำสรรพนามที่คุ้นเคยกับคนตรงหน้า คนถูกถามดูอึ้งไม่น้อยพอๆกับคุณพ่อคุณแม่ของเขา
“ป๊าม๊าเข้าบ้านก่อนเถอะครับเดี๋ยวผมจะตามเข้าไป”
“แต่ลูก..” เสียงกังวลของผู้เป็นแม่
“นะครับม๊า”
“ระวังตัวด้วยนะลูก รีบคุยแล้วรีบเข้าบ้านนะ มันสกปรก” ยังไม่หวายจิกกัดหัวใจบอบช้ำของร่างสูงให้มันเละจนไม่เหลือชิ้นดีนี้เข้าไปอีก รู้แล้วจะย้ำกันอีกทำไม
เมื่อต่างคนต่างไม่พูดอะไร อีกคนพยายามจ้องตา แต่อีกคนกลับหลบตา ทุกอย่างจึงตกอยู่ในความเงียบ
“สบายดีมั้ยครับพี่จงฮยอน” ผมย้ำคำถามนั้นซ้ำอีกครั้ง คนตรงหน้าพยักหน้าแทนคำตอบ
“ที่โน้นหนาวกว่าที่เกาหลีปะครับ ผมว่าต้องหนาวมากแน่ๆเลย” ผมพูดไม่เรื่อยเพียงเพื่อไม่อยากให้ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ กลัว กลัวเหลือกินว่าความเงียบจะเอาความคุ้นเคยที่เคยมีให้กันหายไป
“พี่ผมคิดถึงพี่ทุกวันเลยนะครับ นี้ๆดูเจ้าลุงกริ่งๆของเราดิพี่มันยังใช้การได้ดี ไว้ว่างๆผมจะพาพี่ขี่ไปดูรอบเมืองเลยนะ”
“มินโฮกลับไปซะเถอะ” ทุกอย่างชะงัก ผมอึ้งไม่น้อยกับคำที่คนตรงหน้าพูดขึ้น ผมไม่รู้ว่าผมจะยังคิดเข้าข้างตัวเองได้มั้ยว่ามันเป็นแค่การบอกว่าดึกแล้วให้กลับบ้านได้แล้ว
“เอ่อ ได้ครับพี่คงเหนื่อยไว้เดี๋ยวผมมาหาใหม่นะ”
“ไม่ใช่..พี่หมายถึงอย่ามาเจอกันอีกเลยนะ” …ผมหลอกตัวเองไมได้อีกแล้ว มันคิดความจริงที่ผมต้องยอมรับ
“หึ..หมามันพลัดหลงกับเจ้าของโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าจริงๆแล้วมันกำลังโดนทิ้ง”
“…ถ้าพี่บอกมันสักหน่อยว่ากำลังจะเอาไปทิ้ง มันจะได้เตรียมใจ ไม่ใช่นั่งรอความหวังแบบลมๆแล้งๆแบบนี้ หึหึ ” ผมพูดเสียงเรียบก่อนจะหัวเราะเยาะในความโง่ของตัวเอง พี่จงฮยอนยังคงไม่พูดอะไรออกหลังจากประโยคนั้น
“พี่บอกผมได้มั้ยว่าผมต้องแก้ตรงไหน ผมต้องรวยกว่านี้ใช่มั้ย? ผมจะขยันทำงานมากขึ้น ผมต้องเรียนเก่งกว่านี้มั้ย ผมควรทำยังไงเราถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ได้โปรดบอกผม” ตาผมพร่ามัวผมกำลังพยายามกลั้นของเหลวที่คลั่งอยู่ในตาไม่ให้มันไหลออกมา
“พี่ขอโทษ..”
“พี่บอกผมมาพี่ ผมจะไปปรับปรุง ผมจะทำทุกอย่าง แค่พี่อย่าให้ผมไปเลยนะ ผมทำไมได้พี่ ผมรักพี่ ”
“มินโฮพอเถอะ กลับไปได้แล้ว”
“ไม่จริงพี่ยังรักผม…”
“ไม่งั้น…พี่ยังจะเก็บแหวนวงนั้นทำไมละถ้าพี่ไม่รักผมแล้ว” ใช่ผมเหลือบไปเห็นนิ้วกลางข้างซ้ายของพี่จงฮยอนที่มีแหวนของผมสวมอยู่ มันยังอยู่ที่เดิม
‘ผมหมั้นพี่แล้วนะ ห้ามพี่ไปเป็นของคนอื่นเด็ดขาด’ ร่างสูงพูดก่อนสวมแหวนอลูมิเนียมที่ไม่หรูหราอะไรมากมายลงบนนิ้วเรียวยาวของร่างเล็ก
‘อีกสองปีพี่ค่อยเอาแหวนนี้มาแลกแหวนเพชรนะครับ’
‘ให้เวลาสิบปีเลยวะ ฮ่าๆ’
‘โหยดูถูกผมมากไปแล้ว เดี๋ยวผมจะเอาแหวานเพชรมาหมั้นพี่ให้ได้เลยคอยดูๆ’
‘ฮ่าๆขอบใจนะมินโฮ’
‘ตัวสูงรักตัวเล็กนะครับ’
‘ตัวเล็กก็รักตัวสูง’
บทสนทนาของพวกเราจบลงแค่นั้นก่อนที่พี่จงฮยอนจะรีบเดินเข้าบ้านไป ส่วนผมได้แต่มองตามไปจนเห็นว่าไฟบนห้องของพี่จงฮยอนดับลงแล้วผมจึงเดินออกห่างจากบ้านนั้นมาเรื่อยๆ สติผมอยู่ครบดีเพียงแต่จิตใจล่องลอยไปไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมคิดทบทวนมาตลอดทางกลับบ้านว่าสรุปเรื่องที่เราคุยกันวันนี้ ‘เรายังไม่เลิกกันใช่มั้ย’ มันอาจจะเป็นวิธีหนึ่งของการปลอบใจตัวเองแต่มันก็ไม่ทั้งหมดหลอกนะ ลองคิดดูว่าถ้าพี่เขาอยากเลิกกับผมจริงๆทำไมยังเก็บแหวนวงนั้นอยู่
.
.
.
“มินโฮทำไมวันนี้ดูไม่มีสมาธิเลย” โค้ชถามผมอย่างหัวเสีย เมื่อการซ้อมจบลง จริงอย่างที่โค้ชบอกผมพลาดไปหลายลูก คุมเกมส์ไม่อยู่ แล้วยังเหม่อลอยบ่อยๆ
“ผมขอโทษครับโค้ช” โค้ชแตะไล่ผมเบาๆ
“มีอะไรอยากเล่าให้ฟังมั้ย?” โค้ชถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ผมก็ไม่ปฏิเสธที่จะเล่าให้ฟัง โค้ชพอจะรู้เรื่องผมกับพี่จงฮยอนมาก่อนบ้างตอนช่วงที่พี่จงฮยอนยังอยู่ที่นี้
“มินโฮฉันรู้นายไม่เคยแพ้ใคร นั่นมันนิสัยนาย… แต่บางครั้งยอมแพ้บางก็ได้ ถ้าทนสู้ต่อไปแล้วมีแต่บอบช้ำ” มันคงจะไม่มีอะไรให้บอบช้ำไปมากกว่านี้แล้วแหละครับโค้ช
“..แต่เขายังเก็บแหวนผมไว้นะโค้ช ” ผมพูดอย่างมีความหวัง เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมมั่นใจว่าเขายังไม่ลืมผม
ผมยังคงวนเวียนมาที่บ้านหลังเดิมนี้เหมือนปกติ แต่ครั้งนี้ดูแตกต่างจากครั้งก่อนๆที่ผมเคยทำมาคือทุกทีผมจะมานั่งรอและระลึกความทรงจำดีๆที่ผมเคยมีกับเจ้าของบ้านหลังนี้ แต่วันนี้ผมทำได้เพียงแกล้งขับผ่านไปและผ่านมาอยู่หน้าบ้านเท่านั้น เป้าหมายผมเปลี่ยนไป ผมไม่ได้มารอใครอีกต่อไป แต่ผมมาเพื่อคุยกับใครบ้างคนที่ผมเฝ้าคิดถึงเขาตลอดสองปีที่ผ่านมาผมยังคงวนไปวนมาอยู่สักพัก ก่อนจะเหลือบไปเห็นผู้ชายตัวเล็กๆกำลังเดินมาทางบ้านหลังนี้
“พี่จงฮยอน” ผมเรียกชื่อเจ้าตัว ท่าทางตกใจไม่น้อยแต่ก็ยังหันมาหาผม
“มินโฮกลับไปซะ!” คนตัวเล็กตะโกนใส่ผม
“เรารักกันไม่ใช่หรอ!” ผมก็เริ่มโมโหบ้างแล้ว ผมไม่ใช่หรอที่ต้องโกรธที่จู่พี่ก็หายตัวไปแล้วก็ไม่ติดต่อผมเลย ปล่อยให้ผมรออยู่อย่างนี้พี่มันใจร้าย
“ไม่มินโฮมันจบแล้ว” พูดพลางแกะมือผมให้หลุดพ้น
“ผมไม่เชื่อพี่รักผม ผมรักพี่ เรารักกันไงครับพี่ พี่มีอะไรทำไมไม่บอกผม พี่กลัวอะไร” เสียงผมอ่อนลง
“มินโฮพี่บอกให้ปล่อยไง ถ้าป๊าพี่มาเห็นนายตายแน่ๆ” คนร่างเล็กมองเข้าไปในบ้านอย่างเลิ่กลั่ก
ผมไม่ให้เสียเวลาอุ้มคนตัวเล็กพาดบ่า แม้จะดิ้นยังไงแต่ด้วยแรงที่ผมมีมากกว่าแล้วผมเอาอยู่ ใช้เวลาไม่นานผมก็มาถึงบ้านของผมโดยที่คนบนบ่าผมเริ่มสงบแล้วเล็กน้อย
“นายทำบ้าอะไรเนี่ย!” เมื่อผมปล่อยเขาลง ก็ตะหวาดขึ้นมาทันที
“พี่นั่นแหละเป็นบ้าอะไรทำไมมีอะไรไม่คุยกับผมดีๆ จะหายก็หายไป รู้มั้ยผมรอพี่นานแค่ไหน ผมคิดถึงพี่” ผมระบายความรู้สึกที่อึดอัดทั้งหมดให้คนตรงหน้ารับฟังก่อนจะถือโอกาสดึงคนตัวเล็กเข้ามากใกล้ๆ กลิ่นหอมติดตัวของคนในอ้อมกอดที่น่าหลงใหลทำให้ผมเผลอไผลไปได้ไม่ยาก การกระทำเร็วกว่าความคิดผมก้มตัวลงไปสูดดมความหอมของซอกคอขาวที่ผมโหยหามาตลอดสองปีให้ชื่นใจ
“มะ…มินโฮปล่อย อื้ออ” เอ่ยห้ามผมแต่ก็ยังแอบครางพอให้ผมได้ใจสั่นเล่น
“ไม่เอาอะมาให้ผมชื่นใจดีๆเลยผมคิดถึงพี่นะ” ผมอ้อนก่อนจะกดริมฝีปากลงบนซอกคอขาวอีกครั้งแต่ครั้งนี้แอบทำรอยแดงๆจางๆเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของลงไป
“มะ..มินโฮ..อย่าทำรอยสิ” พูดเองก็หน้าแดงเอง เมื่อรู้ว่าตัวเองเริ่มควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จึงจิกปลายเล็บลงบนกลุ่มผมของร่างสูง
“ต้องทำสิครับ ก็ผมหวง” เปลี่ยนเป้าหมายจากซอกคอขาวเป็นริมฝีปากแดงแทน
“อื้อออ” ลิ้นของผมคงทำงานได้ดีเป็นที่น่าพอใจ พี่จงฮยอนจึงร้องครางในลำคอออกมา ผมค่อยๆผละริมฝีปากออกเพื่อให้พี่เขาได้สูดอากาศหายใจบ้าง
แล้วเพลงรักของเราก็บรรเลงไปเองในแบบที่มันควรจะเป็น ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ทุกสัมผัสบ่งบอกได้ดีว่าต่างคนต่างโหยหากันมากแค่ไหน ต่างคนต่างลืมเรื่องที่คุยกันเมื่อครู่ ตอนนี้มีแต่ความใคร่ที่ส่งให้กันผ่านทางร่างกาย
“อ๊าาามะ..มินโฮ”
“จงยอนอ่าผมไม่ไหวแล้ว”
“ซี๊ดดดอ่า”
“ผมระ..รักพี่นะครับ อ๊าส์ๆ”
เมื่อกิจกรรมรักเมื่อครู่จบลงทั้งคู่ตกอยู่ในห้วงนิทราด้วยความเหนื่อยอ่อน ไม่มีใครคิดว่าจะให้ทุกอย่างเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นตามอารมณ์และความพึงพอใจกันของทั้งสองฝ่าย
ถ้าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันคือความฝัน พระเจ้าผมไม่อยากตื่นเลยจริงๆ
.
.
.
“อื้อ” ผมขยับตัวนิดหน่อยเมื่อรู้สึกไม่สบายตัว ผมก้มลงมองสภาพตัวเองที่เปื่อยเปล่า ข้างๆเป็นคนที่ผมคุ้นเคยดี ชเว มินโฮ ผมพูดได้ไม่เต็มปากหรอกว่าเข้าคืออดีตคนรักผม เพราะตอนนี้ผมก็ยังรักเขาอยู่เพียงแต่ผมกับเขารักกันไมได้แค่นั้นเองถ้าพระเจ้าไม่ได้สร้างให้ผมกับเขาได้รักกัน ทำไมต้องทำให้ผมกับเขาได้มาเจอกันก็ไม่รู้
“ตื่นแล้วหรอครับที่รัก” มินโฮสวมกอดจากด้านหลังก่อนจะซุกไซ้หยอกล้อกับหลังคอของผม
“อื้อ พอแล้ว” ผมร้องห้ามเพราะไม่อยากจะให้เรื่องเมื่อคืนนั้นเกิดขึ้นอีก ผมรู้ดีว่าผมเองก็ต้องการเขาไม่น้อยไปกว่าที่เขาต้องการผม แต่ผมแค่รู้สึกผิดถ้ายังฝืนดื้อดึงทำแบบนี้ต่อไป
“ที่รักเมื่อคืนผมมีความสุขมากเลยนะครับ ผมรู้แล้วว่าพี่รักผม เรามาเริ่มกันใหม่นะครับ อย่าหนีผมไปไหนอีกนะที่รัก” มินโฮกดจมูกลงบนไหล่มน
“มินโฮพี่ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ” ผมแค่ไม่รู้จะพูดกับมินโฮยังไงจึงได้แต่เลี่ยงแบบนี้
“ผมอาบให้มั้ย”
“ทะลึ่ง!”
ผมยิ้มเล็กๆให้กับความทะเล้นของมินโฮ ไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ ไม่ว่าจะกี่ปีมินโฮก็ไม่เคยเปลี่ยน ยังคงมั่นคงและรักผมอยู่อย่างนี้ จนบ้างครั้งผมยังคิดเลยว่าถ้าผมเป็นมินโฮผมคงจะเกลียดตัวเองมากแน่ๆ เล่นหายไปไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้ ไหนยังจำทำเฉยชาใส่อีก แต่จะทำไงได้ในเมื่อผมต้องทำให้ได้ผมต้องฝืนมันให้ได้
“พี่ผมทำอาหารเช้าเสร็จแล้วนะรีบๆลงมากินละ” เสียงทุ้มคุ้นหูตะโกนเรียกผม
ผมใช้เวลาจัดการธุระส่วนตัวอยู่สักพักก่อนจะค่อยๆเดินลงมายังห้องครัว
“พี่เจ็บตรงไหนหรือเปล่าฮะ ผมเตรียมยาไว้ให้นะ กินข้าวแล้วค่อยกินยานะครับ” ยิ่งทำดีกับผม ผมยิ่งรู้สึกผิด
“ไม่หรอก พี่ว่าพี่จะกลับบ้านแล้ว ป๊าพี่ต้องเอาเรื่องแน่ๆถ้ารู้ว่าอยู่ที่นี้” ใช่มินโฮต้องตายๆแน่ๆเพราะป๊าผมไม่ชอบมินโฮเอาซะเลย ป๊าผมเป็นพวกกัวโบราณ ถือยศถือศักดิ์ แต่มินโฮเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลยที่ปาผมชอบไม่ว่าจะฐานะ ครอบครัว แต่ป๊าไม่เคยรู้เลยว่าจิตใจของมินโฮดีขนาดไหน จะมีใครที่ดีกับลูกเขาได้ขนาดนี้ ป๊าไม่เคยได้รับรู้เลย
“กินหน่อยนะครับนะๆ ผมอุตส่าห์ตื่นมาทำเลยน๊า” ผมแพ้ลูกอ้อนเด็กนี้อีกแล้วสินะ
“พี่ดูนี้สิผมยังเก็บโน้ตของพี่ไว้อยู่เลยนะ ผมทำตามที่พี่บอกด้วย ผมกินข้าวเช้าทุกวันเลยนะ” มินโฮพูดเจื้อแจ้วเหมือนเด็กอวดของเล่น
“มินโฮ…พี่ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันนะ..พี่ขอร้อง” ผมตัดสินใจพูดออกไปในที่สุดก่อนที่ผมจะหมดความกล้าที่จะพูดคำนั้นออกไป ผมเห็นมินโฮอึ้งไปสักพักก่อนจะฝืนยิ้มอีกครั้ง และชวนเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น
“พี่รู้มั้ยว่าอาทิตย์หน้าผมมีแข่งบอลนัดชิงแชมป์ด้วย ผมจะชนะให้…”
“พี่กำลังจะแต่งงานอาทิตย์หน้า…นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพี่ถึงกลับมาเกาหลี…หวังว่านายคงเข้าใจว่าทำไม..เราถึง..”
“ครับผม..ผมเข้าใจแล้ว..เข้าใจทุกอย่างเลย” มินโฮยิ้มจางๆ
“พี่ขอโทษมินโฮ มันจำเป็น”
“ผมเข้าใจครับ พี่อย่าห่วงเลย..ผมโอเค” ผมรู้ว่าเขาไม่โอเค ผมเห็นน้ำใสๆไหลอาบแก้มเขา แต่ผมขลาดเกินกว่าจะปลอบใคร ผมอยู่ในสถานะที่อ่อนแอเกินไป
“ขอบคุณมากนะครับ เมื่อคืนผมมีความสุขจริงๆ อย่างน้อยผมก็ดีใจที่รู้ว่าพี่ยังรักผมเหมือนเดิม” เรากอดกันนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากจะกอดกันตลอดไป เราไม่อยากที่จะผละออกจากกันเลย…แต่ในเมื่อนี้มันคือความจริงที่ต้องเผชิญ
‘ไม่ว่าเราจะดึงดัน
จะดื้อรั้นสักเพียงไหน
เราก็คงจะต้องยอมให้มันต้องเป็นไป’
และแล้วสิ่งที่ผมกลัวมาตลอดก็เกิดขึ้นจริง ผมไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไปแล้วว่าเราจะกลับมาเป็นอย่างเดิมได้ ในเมื่อพี่จงฮยอนต้องไปมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ผมควรดีใจสินะที่พี่เขาเจอคนที่ดีและสามารถดูแลเขาได้ดีกว่าผม
.
.
.
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ผมกับพี่จงฮยอนไม่ได้ติดต่อกันอีกหลังจากวันนั้น และผมก็ไมได้ไปบ้านหลังนั้นอีกเช่นกัน มันยากนะกับการฝืนใจทำอะไรสักอย่างแต่ในเมื่อมันเป็นความต้องการของพี่จงฮยอนผมก็พร้อมที่จะทำ
‘เรียน คุณ ชเว มินโฮ
ขอเชิญร่วมเป็นสักขีพยานให้บ่าวสาว
คิม จงฮยอน และ ลี มินอา’
ผมอ่านการ์ดในมือเบาๆก่อนจะวางมันลงทีเดิม ไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากปากผมมีเพียงแต่ความทรงจำที่ค่อยจะกลั่นแกล้งผมให้เจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา ผมตัดสินใจเก็บการ์ดใส่ในกระเป๋าก่อนจะรีบพุ่งตัวไปสู่สนามฟุตบอลเพื่อทำการแข่งขันทันที
“ปี๊ด” กรรมการเป่านกหวีดบอกว่าการแข่งขันได้เริ่มต้นแล้ว แม้ใจผมจะไม่พร้อมสักเท่าไรแต่เท้าผมก็เริ่มเร่งฝีเท้าวิ่งตามลูกกลมๆนั้นไปเองตามอัตโนมัติ ผมรู้แค่ว่าผมต้องชนะการแข่งขันนี้ให้ได้
‘ชนะให้ได้นะเว้ย พี่เป็นกำลังใจให้ พี่คงไปเชียร์เราไมได้…’
‘ไม่เป็นไรหรอกครับ..พี่ก็เหมือนกันมีความสุขกับชีวิตคู่มากๆนะครับ ผมอาจจะไปแสดงความยินดีกับพี่ไมได้ แต่ยังไงก็ดีใจด้วยนะครับ’
เสียงนกหวีดดังขึ้นอีกครั้งเพื่อจบการแข่งขัน ทีมผมชนะไปอย่างยากลำบากด้วยคะแนน 1-0 ผมวิ่งกระโดดกอดโค้ชด้วยความดีใจ
“โค้ชผมทำได้แล้วครับๆ”
“เก่งมากเว้ยๆ” โค้ชขยี้หัวผมอย่างเป็นกันเอง “ได้กำลังใจดีหรือไง” โค้ชเอ่ยแซว
“ก็ไม่เชิงหรอกฮะ” ผมยักไหล่เบาๆก่อนจะส่งยิ้มให้ทุกคนในทีม ยิ้มเพื่อซ่อนความเศร้าที่มันฝังอยู่ในจิตใจ ผมก้มลงดูเวลา เกือบจะสามทุ่มแล้ว พิธีการคงจะเริ่มแล้ว แต่ผมไม่รู้จะเริ่มยังไงดี ผมควรจะไปแสดงความยินดีกับเขามั้ย มันจะยิ่งทำร้ายตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า แต่วันนี้ผมชนะแล้วผมได้ที่หนึ่งแล้ว ผมแค่ต้องการจะอวดรางวัลนี้กับใครสักคน คนที่เคยบอกว่าให้ผมทำให้ได้ วันนี้ผมทำได้แล้วผมอยากโชว์เหรียญนี้ให้เขาดูจัง ผมอยากได้ยินคำว่า ‘นายเก่งมาก’ จากเขา
“มินโฮวันนี้ไปฉลองกันเปล่า” เพื่อนในทีมคนนึงเอ่ยชวนผม ผมได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ เวลานี้ผมควรจะกลับบ้านไปพักผ่อน เพราะกลางคืนเป็นเวลาเดียวที่ผมจะอยู่ในความฝันและมีความสุขกับมัน
ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมหันรถจักรยานคันเก่งมาวนเวียนแถวบ้านหลังนี้อีกครั้ง ทั้งบ้านมืดสนิทไม่มีใครอยู่ เวลานี้ทุกคนคงอยู่ในงานกันหมดสินะ ผมมองไปในบ้านนั้นอย่างไร้จุดหมาย ความทรงจำเก่ากลับมาเล่นงานผมอีกแล้ว
‘ผมหมั้นพี่แล้วนะ ห้ามเป็นของใครละ ผมหวง’
‘เออ ไอ้เผด็จการ’
‘รักพี่นะ’
‘อื้อเหมือนกันแหละน่า บูว์’
ไหนว่าจะไม่ไปเป็นของใครไง .. .
ไหนว่าเราจะรักกัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราจะยังรักกัน..
‘ฉันของสั่งให้แกเลิกยุ่งกับลูกฉันได้แล้ว’
‘ม๊า..’
‘เราด้วยจงฮยอนเลิกยุ่งกับพวกขยะได้แล้ว ไปไว้ใจพวกนี้ได้ไงก็ไม่รู้’
‘คุณนายครับได้โปรดครับผมรักลูกคุณนายจริงๆเรารักกันนะครับ’
‘หึ นายกำลังขอร้องให้ฉันยอมให้ลูกชายคนเดียวของฉันคบกับพวกคนต่ำๆไร้สกุลอย่างเธอเนี่ยนะ ฝันไปหน่อยรึเปล่า’
‘ม๊า ขอร้องละครับ’
‘เงียบไปเลยนะจงฮยอน ถ้ายังไม่เลิกติดต่อกันลูกต้องไปอยู่กับแม่ที่อเมริกา’
‘ส่วนเธอออกไปจากชีวิตลูกฉันซะ ถ้าไม่อยากเดือดร้อน…’
มันคงเป็นความผิดผมเองที่ไม่เชื่อฟังคำของคุณนายคิม ผมยังคงดื้อดึงจะรัก สุดท้ายเขาถึงได้จากผมไปโดยไม่บอกลาสักคำ ผมไม่เคยโทษ ไม่เคยโกรธพี่จงฮยอนเลยที่เขาจากผมไป เพราะผมรู้ดีว่าเขาไมได้เต็มใจที่จะไป เขาแค่โดนบีบบังคับ เพราะงั้นผมเลยตั้งหน้าตั้งตารอเขามาตลอดสองปี…
‘
อยู่ในจิตนาการ
อยู่ในฝันฉันเรื่อยไป
จะเก็บเรื่องราวของเราเอาไว้...
ในจินตนาการ
เพราะมันเป็นเรื่องของเหตุผล
ที่ต่างคนต้องเข้าใจ’
สิ่งที่คนรักกันควรสะสมไว้คือความทรงจำดีดี
เพราะมันคือสิ่งเดียวที่เราเก็บรักษาเอาไว้ได้
เมื่อร่างกายของเขา
ไม่ได้อยู่ข้างข้างเราอีกต่อไป – นิ้วกลม
แด่ ทุกคนที่มีรัก
-----------------------------------------------------------------
TALK : ขอบคุณคำคมดีดีจากพี่เอ๋นิ้วกลม เราชอบพี่เค้ามากจนต้องขอยกคำของพี่เค้ามาใช้ในฟิคของเรา ^^
ขอบคุณเพลงเพราะๆจากพี่ๆวงโซฟา ขอบคุณคนอ่านและคนคอมเม้นท์มากเลยคะ
ขอโทษที่มันดราม่า TT'
ความคิดเห็น