ลำดับตอนที่ #12
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : บทที่สิบสอง
บทที่12
                    ‘แค่ก แค่ก’ เสียงไอจากปลายสายดังขึ้นเบา ๆจนหญิงสูงวัยที่ถือหูฟังอยู่อดทักไม่ได้
                    “ เป็นหวัดเหรอลูก  ไม่สบายแบบนี้พรุ่งนี้จะไปถ่ายงานต่างจัวหวัดไหวรื้อ ” คุณพรรณรายเริ่มอาการเป็นห่วงลูกสาวที่มักจะมากเป็นพิเศษอีกรอบ “ ขอเค้าลางานแล้วหนูค่อยตามไปก็ได้นี่นา ”
                    “ แม่คะ ปุยฝ้ายแค่ไอนิด ๆหน่อย ๆไม่ต้องถึงกับหยุดงานหรอกค่ะ  แล้วที่สำคัญนี่เป็นงานใหญ่สุดชิ้นนึงที่หนูได้ทำเลย ก็ต้องดูตั้งแต่ต้นจนจบแหละค่ะ  ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะคะ ยายกุลก็ไปด้วยทั้งคน พี่กันก็อาจจะอยู่  คนดูแลออกจะเยอะแยะแม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ” วริตฐา เอนหลังพิงเบาะผ้าขาวนุ่ม บนโซฟาชิดผนังบุผ้าฝ้ายที่ตั้งไว้ในส่วนที่จัดเป็นห้องนั่งเล่นเล็ก ๆของห้องชุด หญิงสาวทำงานล่วงเวลาติดกันมาสามวันแล้ว เพื่อจะเคลียร์ทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนจะออกเดินทางไปถ่ายทำโฆษณาที่ต่างจังหวัดตามกำหนด อาจจะเป็นเพราะอาการพักไม่พอจึงทำให้หญิงสาวรู้สึกร่างกายเริ่มต่อต้านขึ้นมาเล็กน้อย หากนั่นไม่ใช่ปัญหาที่จะทำให้ครีเอทีฟสาวหยุดงานได้
                    “ ยิ่งไปกับยัยกุลละตัวดี  คู่นี้ไปกันเมื่อไหร่ เรื่องเล่นแผลง ๆละถนัดนัก ” ผู้เป็นมารดาอดวิตกไม่ได้ เพราะเมื่อสมัยเรียน ก็คู่หูคู่นี้แหละที่ลากกันไปกระโดดบันจี้จั๊มป์ ปีนหน้าผาจำลอง และอะไรอีกหลาย ๆกิจกรรมที่คุณพรรณรายคิดยังไงก็ไม่เห็นจะเหมาะกับลูกสาวที่ดูบอบบางของเธอ
                    “ แม่ขา ปุยฝ้ายไปทำงานนะคะ  ไม่ได้ไปเที่ยวซักหน่อย ...แล้วนี่ทางโน้นเป็นยังไงมั่งคะ ” หญิงสาวพยายามเปลี่ยนบทสนทนา
                    “ ก็ดีนะลูก  แต่ช่วงนี้งานวุ่นพอดู ขนาดวันนี้เป็นวันอาทิตย์พ่อเค้าต้องออกไปคุยงานที่สถานทูตเลย... ”
เสียงสัญญาณกริ่งหน้าประตูห้องดังเบา ๆ เป็นสัญญาณว่าผู้ที่นัดหมายไว้มารอแล้ว วริตฐาจึงรีบตัดบทสนทนา
                    “ พอดีปุยฝ้ายนัดเพื่อนไว้  ถ้ายังไงขอตัวก่อนนะคะแม่ ...ค่ะ สวัสดีค่ะ ฝากสวัสดีคุณพ่อด้วยนะคะ ...ปุยฝ้ายคิดถึงแม่เหมือนกันค่ะ ” หญิงสาววางหูก่อนรีบหยิบของที่วางเตรียมไว้พร้อมเปิดประตู
                    รติพัทธ์ในชุดลำลองสบาย ๆ ยืนรออย่างสุภาพหน้าห้องของหญิงสาว ชายหนุ่มมีมารยาทมากพอจะไม่มองเข้าไปในห้องเมื่อประตูเปิด เพียงแต่เถิบตัวห่างออกมาเล็กน้อยพลางยิ้มรับเจ้าของห้องที่ทักทายด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
                    “ ผมมาเร็วไปรึเปล่าครับ ” ชายหนุ่มเอ่ยแม้ว่าจริงๆเขาจะมาถึงก่อนราว15นาทีและวนเวียนอยู่แถวล็อบบี้ให้ตรงเวลาค่อยขึ้นมาก็ตาม
                    “ ไม่หรอกค่ะ  ...แล้ววันนี้นทีไม่ติดงานเหรอ ” หญิงสาวเริ่มเรียกชายตรงหน้าด้วยสรรพนามที่คุ้นเคย หลังจากวันที่ได้ฟังความจริงในสมัยก่อนนั้น วริตฐาเองก็รู้สึกผิดไม่น้อยที่โกรธและทำท่าเมินใส่ศิลปินหนุ่ม โดยไม่ได้ดูที่มาที่ไป และเรื่องราวจริงๆที่เกิดขึ้นจนไม่ค่อยกล้าจะคุยด้วยมาก  หากรติพัทธ์กลับเป็นฝ่ายชวนคุยโทรติดต่อและพยายามนัดเจอกับเธอบ่อยขึ้น  จนล่าสุดชายหนุ่มเสนอตัวชวนหญิงสาวไปหาอะไรทานเล่นตอนกลางวันของวันอาทิตย์เธอก็ตอบตกลงโดยง่าย
                    “ บอกพี่ปรารถนาแล้วครับว่าขอพักวันนึง ไหน ๆพรุ่งนี้ต้องตะลอนทัวร์ยาวแล้วนี่ แว่บซักวันคงไม่เป็นไร  ” ชายหนุ่มยิ้มอย่างเป็นกันเอง รอยยิ้มทะเล้นๆของเด็กชายนทีผุดขึ้นซ้อนบนหน้าของร่างสูง “ แล้วนี่ปุยฝ้ายมีโปรแกรมต้องทำอะไรวันนี้รึเปล่า  ”
                    “ ไม่หรอกค่ะ ส่วนมากก็ไปนั่งดื่มกาแฟที่ร้านประจำ แล้วพักผ่อนไปตามเรื่องมากกว่า  แล้ววันนี้นทีจะเลี้ยงอะไรล่ะ ” หญิงสาวพูดกับชายหนุ่มที่เดินเคียงข้าง
                    “ กะจะพาไปทานที่ร้านของเพื่อนผมน่ะ  เป็นเพื่อนที่ไปเรียนตรีที่โน่นแล้วได้รู้จักกันที่ U พอดี  เห็นกลับมาก็เที่ยว ๆอยู่เกือบปี  ตอนนี้เลยลงหุ้นกับเพื่อนเปิดร้านอาหารแก้เบื่ออยู่น่ะครับ ” รติพัทธ์พูดพลางพาคนสำคัญของเขาไปยังร้านอาหารดังกล่าว
   
                  บนรถของชายหนุ่มนั้น ตลอดทางคนทั้งสองได้พูดคุยมากมาย ดั่งเริ่มระบายสิ่งที่อัดอั้นในใจเป็นเวลานานออกมา วันคืนที่มีความสุขเริ่มเวียนกลับมาอีกรอบ
                  “ ปุยฝ้ายไม่สบายเหรอ ” ศิลปินหนุ่มถามเมื่อเห็นหญิงสาวที่นั่งคู่คนขับไอเบา ๆเป็นครั้งที่สองของวัน
                  “ นอนน้อยเลยเป็นหวัดน่ะค่ะ  เลยไอนิดหน่อย ”
                  “ งั้นผมหรี่แอร์ให้นะ ” รติพัทธ์พูดพลางเอื้อมมือหรี่เครื่องปรับอากาศในรถให้เบาความแรงลง “ ระวังสุขภาพหน่อยสิครับ นี่ผมรบกวนเวลาปุยฝ้ายรึเปล่าเนี่ย พรุ่งนี้เดินทางแล้ว แทนที่จะได้พักสบาย ๆ ”
                  “ ไม่หรอกเพราะต่อให้นที ไม่ชวนปุยฝ้ายก็คงออกมาข้างนอกอยู่แล้ว  ตื่นยังไงก็ไม่เคยสายกว่า9โมง คงไม่ได้นอนมากกว่านี้นักหรอก  ...ร้านนี้เหรอของเพื่อนนที ” หญิงสาวเอ่ยถามเมื่อรถเลี้ยวเข้าไปยังที่จอดของร้านอาหารอิตาเลี่ยน ที่ดูร่มรื่นทั้งที่อยู่ใจกลางเมือง คนที่ลงทุนทำร้านในทำเลนี้ได้คงมีฐานะพอประมาณทีเดียว
                  “ ครับ เดี๋ยวผมพาไปแนะนำ  ไอ้หมอนี่มันนิสัยดี  เข้ากับคนง่าย  จริงๆบ้านมันก็มีกิจการของตัวเองนะครับ ใหญ่ด้วยแต่มันไม่อยากทำ ”
                  ทั้งสองก้าวผ่านประตูกระจกกรอบไม้เข้าไปในร้าน เสียงเพลงคลาสสิคเบาบรรเลงอยู่เสริมบรรยากาศ เสียงประตูทำให้ร่างสูงหลังเคาท์เตอร์หันมาเห็นก่อนยิ้มร่าเดินเข้ามาหาคนทั้งคู่
                  “ ไงวะ นี่เหรอปุยฝ้ายที่นายชอบเล่าให้ฟังบ่อย ๆ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผมเอก เพื่อนไอ้หมอนี่สมัยไปเรียนอยู่บอสตัน  ...เห็นมันพูดบ่อยมาก เพิ่งได้พบตัวจริงวันนี้เอง  ผมเตรียมโต๊ะไว้ให้แล้ว ” ชายหนุ่มผิวขาวทักทายอย่างเป็นกันเอง พลางเดินไปคุยกับเพื่อนไปยังโต๊ะริมหน้าต่างด้านในของร้านและเรียกบริกรให้นำเมนูมาพลางกล่าวแนะนำเมนูไปด้วย
                  “ ร้านเป็นไงมั่งวะเอก ท่าทางจะขายได้ดีนิหว่า คนเต็มเลย ” รติพัทธ์เอ่ยถามเมื่อเห็นว่ามีลูกค้านั่งกันทบจะครบทุกโต๊ะ
                  “ อือ ก็ประมาณนั้นแหละ โชคดีได้ทำเลตรงนี้ แล้วพวกเพื่อน ๆช่วยแนะนำด้วย แป้บนะ ” ชายหนุ่มขอตัวรับโทรศัพท์มือถือบางเฉียบนำสมัยก่อนกรอกเสียงลงไปอย่างอารมณ์ดี “ เฮ้ยไงวะวุฒิ เป็นไงมั่ง...  อื้อ รสาชวนเองเลยเหรอ  ได้ๆแบบนี้ไงก็ไม่พลาดหรอก เดี๋ยวจะแวบโฉบตัวไอ้เรไปให้ด้วย ... ” เอก ลุกขึ้นพลางกมหัวขอตัวนิด ๆ ก่อนเดินแยกตัวออกจากคนทั้งสองไปคุยโทรศัพท์ทางอื่น
                  “ ดูเพื่อนนทีเป็นคนอารมณ์ดีจัง ” ปุยฝ้ายเปรยขึ้นพลางยิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้า
                  “ เห็นแบบนั้นมันเคยเกือบตายมาหลายรอบแล้วนะ ... ” ชายหนุ่มเริ่มชวนหญิงสาวพูดคุยอย่างสบาย ๆจนเวลาล่วงเลยไปถึงบ่ายกว่ามื้ออาหารเที่ยงที่อบอุ่นจึงเสร็จสิ้น ก่อนกลับเพื่อนของรติพัทธ์แวะมาคุยเล่นอีกเล็กน้อยก่อนจะลดราคาอาหารซะจนแทบจะไม่มีกำไรก่อนจะส่งบิลให้รติพัทธ์ซึ่งขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงหญิงสาวในมื้อนี้
                  จากนั้นคนทั้งคู่พากันไปเดินซื้อของเตรียมสำหรับเดินทางที่ยังขาดอยู่ ออกจะขลุกขลักบ้างเล็กน้อยเวลาที่มีคนเริ่มจำชายหนุ่มได้แล้วเข้ามาขอลายเซ็นอยู่เป็นระยะ หาก วริตฐาที่เห็นรติพัทธ์ทำท่าเหมือนจะขอโทษกลาย ๆเวลาเธอยืนรอก็ยิ้มให้ด้วยความเข้าใจ
ก่อนกลับทั้งสองแวะไปเดินเล่นกันที่สวนสาธารณะใกล้ ๆ  ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่เป็นครอบครัวที่มาเดินเล่นออกกำลังจึงไม่มีใครสนใจคนทั้งคู่มากนัก ชายหนุ่มถอดแว่นกันแดดวางทิ้งไว้ในรถพลางออกเดินไปตามถนนเล็ก ๆลัดเลาะในสวนไปพร้อมกับหญิงสาวก่อนที่ทั้งคู่จะมาหยุดยืนอยู่ริมทะเลสาบเล็ก ๆของสวน
                  “ ค่อยรู้สึกเป็นอิสระหน่อย ได้มาเดินเล่นในสวนแบบนี้ค่อยยังชั่วนะครับ ” ชายหนุ่มทำท่าบิดขี้เกียจคลายความเหนื่อยพลางหันมาหาคนข้างตัว
                  “ ค่ะ กรุงเทพน่าจะมีสวนอย่างนี้เยอะ ๆ  เวลาปุยฝ้ายมาตรงนี้ทีไรนึกถึงสมัยก่อนทุกที ”
                  “ ที่มีต้นไม้ใหญ่ริมน้ำ แล้วมีเด็กบางคนนั่งดึงดอกหญ้ามาถักเล่นน่ะเหรอครับ ” ชายหนุ่มกล่าวขำ ๆหากสายตาจริงใจมองทอดมายังหญิงสาว
                  “ แล้วก็มีเด็กบางคนชอบปีนต้นไม้ไปนอนเล่นจนเกือบตกลงมาหลายรอบด้วย ” หญิงสาวมองตอบพลางยักคิ้วล้อ
                  “ แต่ก็ไม่เคยตกนี่นา ...คิดถึงเวลาช่วงนั้นจัง ” ประโยคหลังชายหนุ่มเปรยเบา ๆ จนเมื่อหญิงสาวข้างตัวไปอีกรอบเขาจึงชวนกลับ “ อากาศคงเริ่มเย็นแล้ว ปุยฝ้ายกลับบ้านดีกว่า เดี๋ยวอาการหนักขึ้นมาจะไปพรุ่งนี้ไม่ไหวเอา ”
                  หญิงสาวยิ้มให้ก่อนหันมองประกายระยับของแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านตึกสูงมากระทบผิวหน้าตรงหน้าอีกครั้งก่อนเดินคู่กับชายหนุ่มกลับ ภาพวันวานที่เด็กชาย-หญิงเดินคู่กันไปจนคุ้นตาผู้คนแถวนั้นบัดนี้ได้เจริญวัยเป็นคู่หนุ่มสาวที่ยังคงความสนิทสนมไว้ดั่งวันวาน.
                    ‘แค่ก แค่ก’ เสียงไอจากปลายสายดังขึ้นเบา ๆจนหญิงสูงวัยที่ถือหูฟังอยู่อดทักไม่ได้
                    “ เป็นหวัดเหรอลูก  ไม่สบายแบบนี้พรุ่งนี้จะไปถ่ายงานต่างจัวหวัดไหวรื้อ ” คุณพรรณรายเริ่มอาการเป็นห่วงลูกสาวที่มักจะมากเป็นพิเศษอีกรอบ “ ขอเค้าลางานแล้วหนูค่อยตามไปก็ได้นี่นา ”
                    “ แม่คะ ปุยฝ้ายแค่ไอนิด ๆหน่อย ๆไม่ต้องถึงกับหยุดงานหรอกค่ะ  แล้วที่สำคัญนี่เป็นงานใหญ่สุดชิ้นนึงที่หนูได้ทำเลย ก็ต้องดูตั้งแต่ต้นจนจบแหละค่ะ  ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะคะ ยายกุลก็ไปด้วยทั้งคน พี่กันก็อาจจะอยู่  คนดูแลออกจะเยอะแยะแม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ” วริตฐา เอนหลังพิงเบาะผ้าขาวนุ่ม บนโซฟาชิดผนังบุผ้าฝ้ายที่ตั้งไว้ในส่วนที่จัดเป็นห้องนั่งเล่นเล็ก ๆของห้องชุด หญิงสาวทำงานล่วงเวลาติดกันมาสามวันแล้ว เพื่อจะเคลียร์ทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนจะออกเดินทางไปถ่ายทำโฆษณาที่ต่างจังหวัดตามกำหนด อาจจะเป็นเพราะอาการพักไม่พอจึงทำให้หญิงสาวรู้สึกร่างกายเริ่มต่อต้านขึ้นมาเล็กน้อย หากนั่นไม่ใช่ปัญหาที่จะทำให้ครีเอทีฟสาวหยุดงานได้
                    “ ยิ่งไปกับยัยกุลละตัวดี  คู่นี้ไปกันเมื่อไหร่ เรื่องเล่นแผลง ๆละถนัดนัก ” ผู้เป็นมารดาอดวิตกไม่ได้ เพราะเมื่อสมัยเรียน ก็คู่หูคู่นี้แหละที่ลากกันไปกระโดดบันจี้จั๊มป์ ปีนหน้าผาจำลอง และอะไรอีกหลาย ๆกิจกรรมที่คุณพรรณรายคิดยังไงก็ไม่เห็นจะเหมาะกับลูกสาวที่ดูบอบบางของเธอ
                    “ แม่ขา ปุยฝ้ายไปทำงานนะคะ  ไม่ได้ไปเที่ยวซักหน่อย ...แล้วนี่ทางโน้นเป็นยังไงมั่งคะ ” หญิงสาวพยายามเปลี่ยนบทสนทนา
                    “ ก็ดีนะลูก  แต่ช่วงนี้งานวุ่นพอดู ขนาดวันนี้เป็นวันอาทิตย์พ่อเค้าต้องออกไปคุยงานที่สถานทูตเลย... ”
เสียงสัญญาณกริ่งหน้าประตูห้องดังเบา ๆ เป็นสัญญาณว่าผู้ที่นัดหมายไว้มารอแล้ว วริตฐาจึงรีบตัดบทสนทนา
                    “ พอดีปุยฝ้ายนัดเพื่อนไว้  ถ้ายังไงขอตัวก่อนนะคะแม่ ...ค่ะ สวัสดีค่ะ ฝากสวัสดีคุณพ่อด้วยนะคะ ...ปุยฝ้ายคิดถึงแม่เหมือนกันค่ะ ” หญิงสาววางหูก่อนรีบหยิบของที่วางเตรียมไว้พร้อมเปิดประตู
                    รติพัทธ์ในชุดลำลองสบาย ๆ ยืนรออย่างสุภาพหน้าห้องของหญิงสาว ชายหนุ่มมีมารยาทมากพอจะไม่มองเข้าไปในห้องเมื่อประตูเปิด เพียงแต่เถิบตัวห่างออกมาเล็กน้อยพลางยิ้มรับเจ้าของห้องที่ทักทายด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
                    “ ผมมาเร็วไปรึเปล่าครับ ” ชายหนุ่มเอ่ยแม้ว่าจริงๆเขาจะมาถึงก่อนราว15นาทีและวนเวียนอยู่แถวล็อบบี้ให้ตรงเวลาค่อยขึ้นมาก็ตาม
                    “ ไม่หรอกค่ะ  ...แล้ววันนี้นทีไม่ติดงานเหรอ ” หญิงสาวเริ่มเรียกชายตรงหน้าด้วยสรรพนามที่คุ้นเคย หลังจากวันที่ได้ฟังความจริงในสมัยก่อนนั้น วริตฐาเองก็รู้สึกผิดไม่น้อยที่โกรธและทำท่าเมินใส่ศิลปินหนุ่ม โดยไม่ได้ดูที่มาที่ไป และเรื่องราวจริงๆที่เกิดขึ้นจนไม่ค่อยกล้าจะคุยด้วยมาก  หากรติพัทธ์กลับเป็นฝ่ายชวนคุยโทรติดต่อและพยายามนัดเจอกับเธอบ่อยขึ้น  จนล่าสุดชายหนุ่มเสนอตัวชวนหญิงสาวไปหาอะไรทานเล่นตอนกลางวันของวันอาทิตย์เธอก็ตอบตกลงโดยง่าย
                    “ บอกพี่ปรารถนาแล้วครับว่าขอพักวันนึง ไหน ๆพรุ่งนี้ต้องตะลอนทัวร์ยาวแล้วนี่ แว่บซักวันคงไม่เป็นไร  ” ชายหนุ่มยิ้มอย่างเป็นกันเอง รอยยิ้มทะเล้นๆของเด็กชายนทีผุดขึ้นซ้อนบนหน้าของร่างสูง “ แล้วนี่ปุยฝ้ายมีโปรแกรมต้องทำอะไรวันนี้รึเปล่า  ”
                    “ ไม่หรอกค่ะ ส่วนมากก็ไปนั่งดื่มกาแฟที่ร้านประจำ แล้วพักผ่อนไปตามเรื่องมากกว่า  แล้ววันนี้นทีจะเลี้ยงอะไรล่ะ ” หญิงสาวพูดกับชายหนุ่มที่เดินเคียงข้าง
                    “ กะจะพาไปทานที่ร้านของเพื่อนผมน่ะ  เป็นเพื่อนที่ไปเรียนตรีที่โน่นแล้วได้รู้จักกันที่ U พอดี  เห็นกลับมาก็เที่ยว ๆอยู่เกือบปี  ตอนนี้เลยลงหุ้นกับเพื่อนเปิดร้านอาหารแก้เบื่ออยู่น่ะครับ ” รติพัทธ์พูดพลางพาคนสำคัญของเขาไปยังร้านอาหารดังกล่าว
   
                  บนรถของชายหนุ่มนั้น ตลอดทางคนทั้งสองได้พูดคุยมากมาย ดั่งเริ่มระบายสิ่งที่อัดอั้นในใจเป็นเวลานานออกมา วันคืนที่มีความสุขเริ่มเวียนกลับมาอีกรอบ
                  “ ปุยฝ้ายไม่สบายเหรอ ” ศิลปินหนุ่มถามเมื่อเห็นหญิงสาวที่นั่งคู่คนขับไอเบา ๆเป็นครั้งที่สองของวัน
                  “ นอนน้อยเลยเป็นหวัดน่ะค่ะ  เลยไอนิดหน่อย ”
                  “ งั้นผมหรี่แอร์ให้นะ ” รติพัทธ์พูดพลางเอื้อมมือหรี่เครื่องปรับอากาศในรถให้เบาความแรงลง “ ระวังสุขภาพหน่อยสิครับ นี่ผมรบกวนเวลาปุยฝ้ายรึเปล่าเนี่ย พรุ่งนี้เดินทางแล้ว แทนที่จะได้พักสบาย ๆ ”
                  “ ไม่หรอกเพราะต่อให้นที ไม่ชวนปุยฝ้ายก็คงออกมาข้างนอกอยู่แล้ว  ตื่นยังไงก็ไม่เคยสายกว่า9โมง คงไม่ได้นอนมากกว่านี้นักหรอก  ...ร้านนี้เหรอของเพื่อนนที ” หญิงสาวเอ่ยถามเมื่อรถเลี้ยวเข้าไปยังที่จอดของร้านอาหารอิตาเลี่ยน ที่ดูร่มรื่นทั้งที่อยู่ใจกลางเมือง คนที่ลงทุนทำร้านในทำเลนี้ได้คงมีฐานะพอประมาณทีเดียว
                  “ ครับ เดี๋ยวผมพาไปแนะนำ  ไอ้หมอนี่มันนิสัยดี  เข้ากับคนง่าย  จริงๆบ้านมันก็มีกิจการของตัวเองนะครับ ใหญ่ด้วยแต่มันไม่อยากทำ ”
                  ทั้งสองก้าวผ่านประตูกระจกกรอบไม้เข้าไปในร้าน เสียงเพลงคลาสสิคเบาบรรเลงอยู่เสริมบรรยากาศ เสียงประตูทำให้ร่างสูงหลังเคาท์เตอร์หันมาเห็นก่อนยิ้มร่าเดินเข้ามาหาคนทั้งคู่
                  “ ไงวะ นี่เหรอปุยฝ้ายที่นายชอบเล่าให้ฟังบ่อย ๆ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผมเอก เพื่อนไอ้หมอนี่สมัยไปเรียนอยู่บอสตัน  ...เห็นมันพูดบ่อยมาก เพิ่งได้พบตัวจริงวันนี้เอง  ผมเตรียมโต๊ะไว้ให้แล้ว ” ชายหนุ่มผิวขาวทักทายอย่างเป็นกันเอง พลางเดินไปคุยกับเพื่อนไปยังโต๊ะริมหน้าต่างด้านในของร้านและเรียกบริกรให้นำเมนูมาพลางกล่าวแนะนำเมนูไปด้วย
                  “ ร้านเป็นไงมั่งวะเอก ท่าทางจะขายได้ดีนิหว่า คนเต็มเลย ” รติพัทธ์เอ่ยถามเมื่อเห็นว่ามีลูกค้านั่งกันทบจะครบทุกโต๊ะ
                  “ อือ ก็ประมาณนั้นแหละ โชคดีได้ทำเลตรงนี้ แล้วพวกเพื่อน ๆช่วยแนะนำด้วย แป้บนะ ” ชายหนุ่มขอตัวรับโทรศัพท์มือถือบางเฉียบนำสมัยก่อนกรอกเสียงลงไปอย่างอารมณ์ดี “ เฮ้ยไงวะวุฒิ เป็นไงมั่ง...  อื้อ รสาชวนเองเลยเหรอ  ได้ๆแบบนี้ไงก็ไม่พลาดหรอก เดี๋ยวจะแวบโฉบตัวไอ้เรไปให้ด้วย ... ” เอก ลุกขึ้นพลางกมหัวขอตัวนิด ๆ ก่อนเดินแยกตัวออกจากคนทั้งสองไปคุยโทรศัพท์ทางอื่น
                  “ ดูเพื่อนนทีเป็นคนอารมณ์ดีจัง ” ปุยฝ้ายเปรยขึ้นพลางยิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้า
                  “ เห็นแบบนั้นมันเคยเกือบตายมาหลายรอบแล้วนะ ... ” ชายหนุ่มเริ่มชวนหญิงสาวพูดคุยอย่างสบาย ๆจนเวลาล่วงเลยไปถึงบ่ายกว่ามื้ออาหารเที่ยงที่อบอุ่นจึงเสร็จสิ้น ก่อนกลับเพื่อนของรติพัทธ์แวะมาคุยเล่นอีกเล็กน้อยก่อนจะลดราคาอาหารซะจนแทบจะไม่มีกำไรก่อนจะส่งบิลให้รติพัทธ์ซึ่งขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงหญิงสาวในมื้อนี้
                  จากนั้นคนทั้งคู่พากันไปเดินซื้อของเตรียมสำหรับเดินทางที่ยังขาดอยู่ ออกจะขลุกขลักบ้างเล็กน้อยเวลาที่มีคนเริ่มจำชายหนุ่มได้แล้วเข้ามาขอลายเซ็นอยู่เป็นระยะ หาก วริตฐาที่เห็นรติพัทธ์ทำท่าเหมือนจะขอโทษกลาย ๆเวลาเธอยืนรอก็ยิ้มให้ด้วยความเข้าใจ
ก่อนกลับทั้งสองแวะไปเดินเล่นกันที่สวนสาธารณะใกล้ ๆ  ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่เป็นครอบครัวที่มาเดินเล่นออกกำลังจึงไม่มีใครสนใจคนทั้งคู่มากนัก ชายหนุ่มถอดแว่นกันแดดวางทิ้งไว้ในรถพลางออกเดินไปตามถนนเล็ก ๆลัดเลาะในสวนไปพร้อมกับหญิงสาวก่อนที่ทั้งคู่จะมาหยุดยืนอยู่ริมทะเลสาบเล็ก ๆของสวน
                  “ ค่อยรู้สึกเป็นอิสระหน่อย ได้มาเดินเล่นในสวนแบบนี้ค่อยยังชั่วนะครับ ” ชายหนุ่มทำท่าบิดขี้เกียจคลายความเหนื่อยพลางหันมาหาคนข้างตัว
                  “ ค่ะ กรุงเทพน่าจะมีสวนอย่างนี้เยอะ ๆ  เวลาปุยฝ้ายมาตรงนี้ทีไรนึกถึงสมัยก่อนทุกที ”
                  “ ที่มีต้นไม้ใหญ่ริมน้ำ แล้วมีเด็กบางคนนั่งดึงดอกหญ้ามาถักเล่นน่ะเหรอครับ ” ชายหนุ่มกล่าวขำ ๆหากสายตาจริงใจมองทอดมายังหญิงสาว
                  “ แล้วก็มีเด็กบางคนชอบปีนต้นไม้ไปนอนเล่นจนเกือบตกลงมาหลายรอบด้วย ” หญิงสาวมองตอบพลางยักคิ้วล้อ
                  “ แต่ก็ไม่เคยตกนี่นา ...คิดถึงเวลาช่วงนั้นจัง ” ประโยคหลังชายหนุ่มเปรยเบา ๆ จนเมื่อหญิงสาวข้างตัวไปอีกรอบเขาจึงชวนกลับ “ อากาศคงเริ่มเย็นแล้ว ปุยฝ้ายกลับบ้านดีกว่า เดี๋ยวอาการหนักขึ้นมาจะไปพรุ่งนี้ไม่ไหวเอา ”
                  หญิงสาวยิ้มให้ก่อนหันมองประกายระยับของแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านตึกสูงมากระทบผิวหน้าตรงหน้าอีกครั้งก่อนเดินคู่กับชายหนุ่มกลับ ภาพวันวานที่เด็กชาย-หญิงเดินคู่กันไปจนคุ้นตาผู้คนแถวนั้นบัดนี้ได้เจริญวัยเป็นคู่หนุ่มสาวที่ยังคงความสนิทสนมไว้ดั่งวันวาน.
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น