ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 : กรงนก
"ผมได้รับจดหมายเรียกตัวอย่างกระทันหัน
ไม่รู้ว่ามีเรื่องเร่งด่วนอะไร แต่ที่แน่ๆคือผมต้องรีบไปแล้ว
ผมจำได้ว่าตัวเองเพิ่งกลับไปที่นั่นเมื่อไม่กี่ปีก่อนนี้เอง
หวังว่ามันคงจะไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นนะ"
ขณะที่เสียงคลื่นทะเลซัดเข้าชายฝั่งดังสนั่น ชายหนุ่มที่กำลังนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ ก็สังเกตเห็นเหยี่ยวตัวหนึ่งบินอยู่บนท้องฟ้า เขาเหยียดตัวลุกขึ้น พร้อมกับยื่นหลังมือออกไปให้มันร่อนลงมาเกาะแขนเสื้อ แล้วถึงได้เห็นว่าบริเวณขาของเจ้าเหยี่ยวมีจดหมายพับติดอยู่ จึงได้แกะมาเปิดอ่าน
หลังไล่สายตาอ่านทุกตัวอักษรบนจดหมาย เขาก็ขมวดคิ้วเป็นปมก่อนจะพับจดหมายเก็บ แล้วค่อยหันมาพยักหน้าให้กับเจ้าเหยี่ยวหนึ่งครั้ง เป็นการบอกนัยๆว่าเขารับทราบข้อความทั้งหมด มันถึงจะกระพือปีกบินกลับไปอีกทาง
ชายหนุ่มเสยผมสั้นสีดำขึ้น ดวงตาสีฟ้าจับจ้องมองไปยังท้องทะเล กลิ่นของเกลือลอยตามสายลมจนรู้สึกได้ถึงความเค็ม ริมฝีปากบางๆเม้มเข้าหากันเมื่อนึกได้ถึงหน้าที่สำคัญของตน
เขาเดินกลับไปยังบ้านพักหลังเล็ก ภายในนั้นเต็มไปด้วยเครื่องหนังมากมาย ตามพนังห้องก็หัวของสัตว์ที่ถูกล่ามาได้หลายชนิด ชายหนุ่มเริ่มค้นอุปกรณ์หลายอย่างนำมาวางเรียงไว้กับโต๊ะ เพื่อที่จะได้ตรวจสอบความพร้อมของเครื่องมือ ซึ่งก็มีตั้งแต่บัตรประจำตัว สมุดบันทึก เครื่องรางของขลัง และอาวุธป้องกันตัว
เขาค่อยๆจัดเรียงของแต่ละชิ้นลงไปในกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยม ชุดแต่งกายถูกเปลี่ยนมาใส่เสื้อแขนยาวสีดำ ชายเสื้อปล่อยยาวจนเกือบถึงหัวเข่า บริเวณตะเข็บกระดุมกับคอเสื้อเป็นแถบผ้าสีขาวสะอาด กางเกงทรงขากระบอกสีน้ำตาลถูกปัดฝุ่นเบาๆและจับกระชับให้เข้ารูป พร้อมๆกับการมัดปมเชือกรองเท้าหนังสีดำเงาวับ นี่เป็นเครื่องแบบของชุดนักศึกษาที่ชายหนุ่มเคยใส่มาก่อน
ระหว่างนั้นเองเสียงบานประตูไม้ถูกเปิดก็ดังเอี๊ยดอ๊าด ใครสักคนที่แต่งตัวปิดหน้าปิดตาเดินเข้ามา โดยรายนั้นเห็นชายหนุ่มอยู่ในเครื่องแบบนักศึกษาก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ เพราะไม่ได้เห็นอีกฝ่ายแต่งคัวแบบนี้มานานแล้ว
"แต่งตัวจะไปไหนน่ะ การ์แมน?"
"พอดีทางเวลลิงค์แชปเพิร์ตเรียกให้ฉันไปช่วยงาน ดูเหมือนเรื่องล่าสัตว์คงต้องฝากนายแล้วล่ะ"
"เวลลิงค์แชปเพิร์ต? โรงเรียนเก่าของนายน่ะเหรอ"
"ถ้าจะพูดให้ถูก ก็คือมหาลัยเก่าล่ะนะ"
การ์แมนดึงกระเป๋าสัมภาระมาวางไว้ข้างๆโต๊ะ ก่อนจะเอื้อมมือเปิดลิ้นชักหนังสือ เพื่อนำกล่องทรงสี่เหลี่ยมขนาดเล็กออกมา ซึ่งภายในนั้นมีปืนลูกโม่ทรงโบราณบรรจุไว้ พร้อมด้วยกระบอกดินปืน ลูกตะกั่ว และอุปกรณ์ทำความสะอาด
"เรื่องล่าสัตว์ก็ได้แหละ ไม่ว่ากัน"
รูมเมทของการ์แมนบอก ก่อนจะไปหยิบปืนยาวที่วางไว้บนหน้าเตาผิงมาเช็กสภาพ ตอนนั้นการ์แมนก็เริ่มทำความสะอาดปืนของตัวเองให้เรียบร้อย เพื่อความมั่นใจว่าจะไม่มีอุบัติเหตุจากการใช้งานเกิดขึ้น
หลังจากนั้นการ์แมนก็ตั้งลำกล้องปืนขึ้น แล้วหยิบกรวยขนาดเล็กมาสอดไว้ที่ช่องใส่กระสุน ก่อนจะเอากระบอกบรรจุดินปืนมาเขย่าๆแล้วค่อยเทผงสีดำลงไปทีละช่อง เมื่อทำเสร็จเขาก็ใช้ชิ้นส่วนกลมๆที่เรียกว่าหมวก ยัดลงไปในช่องกระสุนทั้งหมดหกช่อง สุดท้ายจึงค่อยใส่ลูกปืนลงไปในช่องกระสุน โดยในขั้นตอนนี้การ์แมนต้องดึงคันโยกที่ติดอยู่ใต้ลำกล้องลง เพื่อให้แท่งเหล็กบีบอัดลูกปืนลงช่องกระสุนให้แน่นๆ
ทุกขั้นตอนนั้น ต้องใช้ความละเอียดอ่อนอย่างมาก และการ์แมนเองก็ทำแบบนี้มาตลอด จนเกิดเป็นความชำนาญ
"นายไม่เบื่อเหรอ ที่ต้องกลับไปช่วยงานอยู่เรื่อยๆเนี่ย"
รูมเมทประจำบ้านพักถามแบบลอยๆ ส่วนการ์แมนก็นั่งนิ่งไปสักพัก ก่อนจะหันหน้ากลับมาแล้วส่ายหัวช้าๆ
"ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่"
การ์แมนตอบเสียงเรียบ เขาลองใช้นิ้วปัดช่องกระสุนให้หมุนเบาๆ เสียงการทำงานของกลไกในตัวปืนดังเป็นจังหวะกริ๊กๆ ชายหนุ่มลองตั้งท่ายิงเพื่อตรวจสอบศูนย์เล็งว่าตรงจุดหรือไม่ พอเช็กสภาพว่าทุกอย่างเตรียมพร้อมหมดแล้ว การ์แมนจึงจะเอาปืนเก็บไว้ข้างใต้ปกเสื้อ
ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสัมภาระแล้วเดินออกจากบ้านพัก มุ่งหน้าตรงไปยังท่าเรือที่แออัดด้วยผู้คนมากมาย เรือสำราญหลายต่อหลายลำจอดอยู่เทียบท่า ผู้โดยสารที่เตรียมจะเข้าออกนอกดินแดนก็สวนทางกันแทบจะทุกวินาที เมื่อชายหนุ่มมาถึงเขาก็ต้องเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ เพราะป้ายแสดงเที่ยวเรือสายเอแลนไม่มีปรากฏอยู่เลยสักที่ ราวกับว่ามันถูกยกเลิกอย่างถาวรยังไงยังงั้น
การ์แมนหันไปมองเสานาฬิกาที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ แล้วจึงหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาไขลานพร้อมตั้งเวลาใหม่ ก่อนจะเดินไปถามกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งตอนนี้กำลังยืนเรียกคนบนเรือสำราญให้ลงมาอย่างระมัดระวัง
"ไม่ทราบว่าผมจะซื้อตั๋วเที่ยวเรือสายเอแลนได้ที่ไหนครับ"
เจ้าหน้าที่ในชุดสีฟ้ากับหมวกทรงกัปตันสีดำได้ยินก็หันหน้ามา เขาคนนั้นหันไปมองป้ายแสดงเที่ยวเรือที่ตั้งเรียงรายเป็นแถว พนักงานที่ทำหน้าที่จำหน่ายตั๋ว ก็นั่งอยู่ข้างในห้องของแต่ละป้ายนั้นๆ
"ที่นี่ยกเลิกเที่ยวเรือสายเอแลนไปได้ประมาณ 3-4 เดือนแล้วไม่ใช่เหรอ?"
เจ้าหน้าที่คล้ายอยากจะสื่อ ว่าการ์แมนไม่รู้ข่าวเรื่องนี้เลยหรือไง ซึ่งมันก็ถูก เพราะครั้งล่าสุดที่การ์แมนได้เดินเรือกลับไปเอแลนก็เกือบปีกว่าๆ แถมหลังจากนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้ตามข่าวเรื่องเส้นทางการเดินเรือต่อเลย
"งั้นก็แย่เลยสิแบบนี้ แล้วมีท่าเรือที่ไหนยังพอไปได้มั้ยครับ"
"ไม่มีท่าเรือที่ไหนเขาไปแล้วล่ะ ทะเลแถวเอแลนตอนนี้มันแปรปรวน เดี๋ยวคลื่นยักษ์บ้าง เดี๋ยวน้ำวนบ้าง มีเรือตั้งหลายลำต้องจมเพราะผ่านเส้นทางนี้กันทั้งนั้น"
การ์แมนได้ยินก็ยกมือกอดอกแล้วใช้ความคิด เมื่อก่อนทะเลแถวเอแลนมันสงบเสียจนผิวน้ำแทบไม่กระเพื่อม แต่ตอนนี้มันกลับมีอะไรที่แปลกๆออกไป หวังว่าทางเวลลิงค์แชปเพิร์ตคงไม่ได้เรียกเขามาเพราะเรื่องนี้หรอกนะ?
"ถ้าไปไม่ได้ งั้นผมขอเที่ยวเรือที่แล่นใกล้เอแลนมากที่สุด แล้วผมจะพายเรือเข้าไปเอง"
"…เอาจริงเหรอ พายเรือเข้าไปเองเนี่ยนะ"
เจ้าหน้าที่เอามือดันหมวกขึ้น ก่อนจะแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา การ์แมนก็ทำเพียงแค่พยักพเยิดพอให้อีกฝ่ายได้รับรู้
"คุณไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นที่เอแลน บางทีพายุลูกใหญ่อาจก่อตัวอยู่ตามริมชายฝั่งก็ได้"
"ถ้ายังพอมีเรือแล่นผ่าน ผมก็สนใจแค่นั้นแหละ" การ์แมนตอบสั้นๆ
เมื่อผู้โดยสารยืนยันความประสงค์มาแบบนี้ เจ้าหน้าที่ก็ไม่ขอขัดความต้องการ อีกทั้งชุดเครื่องแบบที่การ์แมนสวมใส่ก็บ่งบอกสถานะเป็นอย่างดี จะด้วยงานคืนสู่เหย้าหรือภารกิจพิเศษอะไรก็ตาม นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับท่าเรือแห่งนี้เลยสักนิด
เจ้าหน้าที่เดินไปหยิบสมุดเที่ยวเรือที่กำลังจะออกมาดู พอเจอเที่ยวเรือซึ่งเดินทางเกือบจะเฉียดเอแลนมากที่สุด เขาก็สอบถามชื่อของการ์แมนแล้วจัดการใส่รายชื่อลงไป จากนั้นจึงเขียนวงเล็บให้เพิ่มเรือเล็กกับอุปกรณ์ยังชีพ
"คุณต้องจ่ายค่าเรือเล็กกับอุปกรณ์ยังชีพต่างหากด้วยนะ"
การ์แมนขยับรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปตบบ่าเจ้าหน้าที่คนนั้นแล้วค่อยบอกว่า
"ช่วยส่งบิลไปหักจากแพทย์สภา ลงชื่อการ์แมน เจริสันด้วยนะครับ"
การ์แมนได้มาอยู่ในห้องขนาดกลางๆ พื้นและผนังเป็นไม้หนาๆมันวาว ชายหนุ่มมองดูโคมไฟบนเพดานที่แกว่งไปตามแรงโยกของตัวเรือ หน้าต่างทรงสี่เหลี่ยมที่เปิดออกให้เห็นวิวด้านนอกก็มีลมเย็นพัดผ่านเข้ามาเป็นระยะๆ
ชายหนุ่มสูดอากาศเข้าไปในปอดลึกๆ สัมผัสกลิ่นอายของทะเลที่ไม่เจอมาเนิ่นนาน ทั้งเสียงน้ำกับเสียงนกนางนวลตามชายฝั่ง สองอย่างช่วยขับกล่อมให้รู้สึกผ่อนคลายได้อย่างลงตัว
การ์แมนวางกระเป๋าสัมภาระลงบนเตียงนอน แล้วค่อยหยิบหนังสือที่วางอยู่กับโต๊ะขึ้นมาอ่าน
"กษัตริย์เหนือราชา? ผู้โดยสารคนก่อนมีรสนิยมใช้ได้เลย"
ชายหนุ่มถือวิสาสะขอยืมหนังสือเล่มนี้อ่านชั่วคราว เขาดึงเก้าอี้ที่วางสอดใต้โต๊ะออกมานั่ง แล้วจึงค่อยเปิดอ่านหนังสือเพื่อเป็นการฆ่าเวลาในระหว่างการเดินทาง
เวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้ หนังสือที่การ์แมนอ่านก็ผ่านมาแล้วครึ่งทาง และตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ เมื่อกลุ่มเมฆสีดำเคลื่อนที่มาบดบังแสงอาทิตย์ ทั้งน่านน้ำมีแต่ความอึมครึมเหมือนพายุฝนจะเข้า
ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆแล้วค่อยเอื้อมมือไปเตรียมจะปิดหน้าต่าง แต่จู่ๆลมจากด้านนอกก็พัดโถมเข้ามา พร้อมๆกับกระชากหนังสือที่การ์แมนยังอ่านไม่จบให้ลอยออกไป ตอนนั้นเขาพยายามกระโจนตัวเพื่อที่จะคว้าเอาไว้ แต่มันก็ไม่ทัน เพราะสิ่งหนึ่งที่ชายหนุ่มได้เห็นจากภายนอกได้หยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขา
มันมีความบิดเบี้ยวผิดปกติ อะไรสักอย่างที่เป็นเส้นรยางค์สีดำไหลวนลงมาจากท้องฟ้า ขนาดของแต่ละเส้นก็ใหญ่เสียยิ่งกว่าหนวดคราเคนหลายสิบเท่า การเคลื่อนที่อันเชื่องช้าของมันแทบจะเห็นได้แบบทุกเสี้ยววินาที ทว่าความช้านั้นก็เต็มไปด้วยความทรงพลัง
การ์แมนเหม่อมองมันอยู่สักพัก ก่อนจะรู้สึกตัวเมื่อเรือลำนี้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ร่างชายหนุ่มโซเซไปมาจนเกือบจะล้มฟาดพื้น เขาพยายามประคองตัวด้วยการเกาะกับขอบเตียง ในระหว่างนั้นสมดุลระหว่างผืนน้ำก็เปลี่ยนเป็นแนวดิ่ง เสียงข้าวของตกแตกดังสลับกับเสียงหวีดร้องของผู้โดยสาร โคมไฟบนเพดานกวัดแกว่งไปมาอย่างบ้าคลั่ง ชายหนุ่มรู้ได้ด้วยตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เขาเอามือแตะที่กลไกบนหัวเข็มขัด แล้วเหล็กแหลมขนาดเล็กสองเล่มก็เด้งออกมา การ์แมนกำด้ามจับเแล้วใช้มันในการปักทิ่มตามผนังห้องเพื่อยึดเกาะตัวเอง
ชายหนุ่มกระโจนไปเกาะบริเวณประตูที่อยู่สูงกว่าศีรษะ การ์แมนรีบเปิดประตูแล้วกระโดดออกไปตามผนังทางเดิน ตรงนี้เขามองเห็นสิ่งของรอบตัวกำลังตกไปด้านล่าง ผู้โดยสารบางรายก็กลิ้งหล่นลงมา น้ำทะเลจากภายนอกก็ค่อยๆไหลเข้าท่วมภายในนี้อย่างช้าๆ
การ์แมนพยายามหาทางออกไปจากบริเวณทางเดิน ซึ่งในระหว่างที่กำลังกระโดดใช้เหล็กแหลมปักตามจุดต่างๆ ชายหนุ่มก็เผลอทำให้เหล็กแหลมเล่มหนึ่งกระเด็นหลุดจากมือ เพราะบังเอิญว่าเขาใช้มันทิ่มไปโดนบานพับประตู
ในจังหวะนั้นการ์แมนเกือบจะหล่นลงไปท้ายเรือ แต่ยังดีที่ชายหนุ่มคว้าโคมไฟบนเพดานทางเดินไว้ได้ทัน เขาหยุดพักหายใจก่อนจะกระโดดไปเกาะขอบบันได ซึ่งในตอนนั้นโคมไฟที่เขาคว้ามาได้ก็ตกจมลงไปในน้ำ
การ์แมนสูดลมหายใจเพื่อเรียกพลังฮึด ก่อนจะไต่ขึ้นบันไดออกไปด้านนอก เหล็กแหลมที่ช่วยเกาะยึดตามจุดต่างๆถูกเก็บลงในหัวเข็มขัด
ตอนนี้เรือจมลงไปเกือบจะครึ่งลำแล้ว การ์แมนเริ่มหันมองซ้ายขวาเพื่อหาตัวช่วยดีๆ และสิ่งเดียวที่เขาเล็งเอาไว้คือห่วงยางที่ถูกมัดตรงกราบเรือ ชายหนุ่มแหงนคอมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดครึ้ม รยางค์ของสิ่งมีชีวิตอันแปลกประหลาดยังไหลวนลงมาไม่รู้จักหยุด คลื่นทะเลก็ซัดกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ส่งน้ำเค็มๆมาราดรดลงบนร่างการ์แมน ทำให้ชุดเครื่องแบบของเขาเริ่มเปียกโชก
ชายหนุ่มไม่รอให้ทุกอย่างสายเกินไป การ์แมนรีบกระโดดชิ่งไปเกาะตำแหน่งกราบเรือ ก่อนจะเอื้อมมือดึงห่วงยางขึ้นมา แล้วรีบจัดการแกะปมเชือกออกด้วยความเร่งรีบ มือของเขาเริ่มรวนเพราะสถานการณ์ที่กำลังคับขัน และในชั่วพริบตาที่เงื่อนสลับซับซ้อนคลายออก การ์แมนก็รีบโดดออกไปยังอากาศอันว่างเปล่าพร้อมๆกับห่วงยางในมือ
ร่างชายหนุ่มลอยคว้างกลางอากาศ ก่อนจะจมลงไปในมหาสมุทรทมิฬ ในช่วงเวลาที่ห่วงยางกำลังดึงการ์แมนขึ้นสู่ผิวน้ำ เขาก็เห็นสิ่งของรอบกายกำลังดำดิ่งไปสู่ก้นทะเลลึก เศษซากปรักหักพังของไม้ตามตัวเรือที่ปริออกมา มีข้าวของเครื่องใช้พร้อมเครื่องประดับกับเงินตราอันแวววับ ซึ่งตอนนี้ไม่มีผู้ใดจะได้ครอบครองมันอีก
ไม่เว้นแม้แต่มวลชนที่โดยสารมากับเที่ยวเรือสำราญ บางคนยื่นไม้ยื่นมือออกมานอกหน้าต่างแต่กลับหมดลมหายใจเสียก่อน บางคนก็ถูกกระแสน้ำพัดไปชนสิ่งของมากมายจนเสียชีวิต หรือบางคนก็ถูกรยางค์ดำกลืนกินจนถึงแก่ความตาย
การ์แมนหันมองมาอีกทาง เขาก็พบร่างของตัวเองกำลังจ้องมองกลับมา ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองมีถูกสลักไว้บนรูปร่างที่คล้ายอย่างกับแกะ หากแต่มองดีๆนั้นไม่ใช่อะไรที่ไหน เพราะว่ามันคือเงาที่สะท้อนออกมาจากนัยน์ตาขนาดใหญ่
นั่นมันอะไรกัน? คำถามนี้ประดังเข้ามาอย่างไม่รู้จบ แม้การ์แมนจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำแล้วก็ยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้เห็น หายนะที่บังเกิดอยู่ต่อหน้าก็ยังไม่อยากคาดคิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง ชายหนุ่มไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อไป เพราะหันไปทางไหนก็เจอแต่รยางค์สีดำกับเสียงคลื่นทะเลที่ดังอย่างกึกก้อง
ในที่สุดเจ้าสัตว์ประหลาดก็รู้ว่ายังมีผู้รอดชีวิตเหลืออีกหนึ่ง มันจัดการใช้รยางค์รวบมัดร่างการ์แมน ก่อนจะฉุดกระชากลงสู่ก้นมหาสมุทร ยิ่งถูกดึงลึกไปมากเท่าไหร่ลมหายใจก็ค่อยๆหมดลงมากเท่านั้น
น้ำทะเลเริ่มไหลทะลักผ่านเข้ามาในลำคอ ผสมกับแรงดันน้ำที่บีบใส่จากทุกทิศทาง ชายหนุ่มคิดในใจแล้วล่ะว่าเขาคงจะไม่รอด เพราะความทุกข์ทรมานจากการจมน้ำเริ่มกลายเป็นความเบาบางราวสัมผัสกับธาตุอากาศ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น