Devil Prince’s Story (Short ver.) - Devil Prince’s Story (Short ver.) นิยาย Devil Prince’s Story (Short ver.) : Dek-D.com - Writer

    Devil Prince’s Story (Short ver.)

    เมื่อความหมายของการเป็นเจ้าชายปีศาจคือการสร้างวีรกรรมชั่วร้าย แต่เจ้าชายปีศาจองค์นี้กลับไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อน การสร้างวีรกรรมหลอกๆจึงเริ่มต้นขึ้น และมันก็ทำให้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย...

    ผู้เข้าชมรวม

    772

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    772

    ความคิดเห็น


    8

    คนติดตาม


    7
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  9 พ.ค. 57 / 14:53 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    เรื่องนี้แต่งขึ้นตามหัวข้อ "แฟนตาซีคอมเมดี้" หรือ (K)F'C ของกรุ๊ปแฟนตาซี
    ความจริงแล้วหัวข้อนี้สำหรับเราถือว่ายากพอสมควร
    เพราะเป็นคนที่แต่งนิยายแนวตลกๆไม่ค่อยเป็น
    พล็อตเรื่องนี้ความจริงคิดไว้เป็นเรื่องยาว
    และเราก็มักมีปัญหาทุกครั้งเวลาแต่งเรื่องสั้น คือ
    "เริ่มได้ แต่จบไม่ค่อยสวย"
    ยังไงก็ถือว่าแต่งเพื่อหาประสบการณ์ก็แล้วกันเนอะ^^




    ปล. ขอคนใจดีช่วยคอมเมนท์+โหวตให้หน่อยนะ
    ขอบคุณค่ะ... :) 

     
    JJ♕
     

     
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


                      ยังมีดินแดนแห่งหนึ่งเป็นที่อาศัยของมนุษย์และปีศาจ ปีศาจอาศัยอยู่ทางเหนือในเขตหนาวเย็น ส่วนมนุษย์อยู่ทางทิศตะวันออกจรดทิศใต้ในเขตอบอุ่น ทิศตะวันตกปกคลุมไปด้วยป่าดิบชื้นและภูเขาที่น้อยคนนักจะกล้าเข้าไปเยือนเพราะในป่ามีอันตรายมากมาย ว่ากันว่าในป่าเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่ดุร้าย พืชมีพิษ หรือแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตในจินตนาการที่บางคนเคยรู้จักแค่ในนิทาน พวกมนุษย์ที่กล้าเข้าไปที่นั่นมักเป็นพวกชอบเสี่ยงชีวิตและไม่มีอะไรต้องเสีย พวกเขาถูกเรียกว่า ‘นักผจญภัย

                      ทั้งสองเผ่าพันธุ์มีลักษณะทางกายภาพไม่แตกต่างกันมากนัก ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือความสูงก็ไม่อาจใช้แยกแยะพวกเขาได้ แต่ที่เห็นได้ชัดเจนคือ ปีศาจทุกตนจะมีเส้นผมสีดำสนิท ดวงตาสีแดง ใบหูแหลมเรียว และผิวขาวซีด ในขณะที่มนุษย์จะมีสีผมและสีตาเป็นสีที่สดใส ดูมีชีวิตชีวามากกว่า

                      โดยธรรมชาติแล้วเผ่าพันธุ์ปีศาจมีความทะนงตัวสูงจึงมักดูถูกและไม่คิดยุ่งเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์อื่น มนุษย์เองก็เกลียดความมืดมน ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหนก็ยังหวาดกลัวอำนาจลึกลับของปีศาจ ด้วยเหตุนี้ทั้งสองเผ่าพันธุ์จึงไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกัน ไม่มีการลุกล้ำดินแดน และหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า

                      โดยเฉพาะอาณาจักรเล็กๆอย่าง ‘ฟิลาเดเฟียซึ่งเป็นอาณาจักรเดียวที่มีชายแดนติดกับดินแดนปีศาจ เส้นเขตแดนระหว่างฟิลาเดฟียกับแดนปีศาจคือป่าเล็กๆที่ถูกพวกมนุษย์เรียกว่า ป่าปีศาจ ผู้คนในอาณาจักรนี้ใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงมากกว่าที่อื่น ถึงแม้จะไม่มีปีศาจมาปรากฏตัวให้เห็นหลายสิบปีแล้วแต่ความกลัวก็ยังคงฝังรากลึกลงในจิตใจของผู้คน เรื่องราวของปีศาจร้ายกลายเป็นเพียงแค่นิทานที่ใช้หลอกให้เด็กกลัว ซึ่งบางครั้งคำบอกเล่าก็เลวร้ายเกินความเป็นจริง

                     

                      ไม่มีมนุษย์สติดีคนไหนคิดเหยียบย่างเข้าไปในป่าปีศาจ แต่ถ้าได้เห็นเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้คงต้องไปยกเลิกคำพูดข้างต้นแน่ เพราะเด็กผู้หญิงท่าทางซุกซนผู้มีแววตาอย่างพวกกล้าได้กล้าเสียกำลังมุ่งหน้าไปยังป่าปีศาจ ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่ไม่มีใครอยู่แถวนั้นเพื่อห้ามเธอ ทำให้การเหตุการณ์ครั้งนั้นกลายเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเธอไปตลอดกาล

                      “ปีศาจ! ” นัยน์ตาสีฟ้าของเด็กหญิงเบิกกว้าง ความจริงที่เธอแอบเข้ามาที่นี่ก็คิดไว้แค่ว่าจะมาแอบดูเท่านั้น เรื่องที่จะได้เห็นเต็มๆตาแบบนี้ไม่เคยมีในสมองเลยซักนิดเดียว

                      โชคดีที่อีกฝ่ายยังไม่สังเกตเห็นเธอ เขากำลังใจจดใจจ่อกับหนังสือในมือจึงเป็นโอกาสให้เธอลอบสังเกตเขาอย่างเงียบๆ จากรูปร่างเขาดูเป็นปีศาจอายุน้อย ผมดำ ตาสีแดง และผิวขาวซีด ทำให้รู้ได้ในทันทีว่าเขาเป็นปีศาจ แต่ที่น่าแปลกใจคือเขาดูไม่น่ากลัว ไม่เหมือนปีศาจที่เธอจินตนาการไว้

                      “ดูพอหรือยัง” น้ำเสียงราบเรียบดังมาคนที่คิดว่ากำลังอ่านหนังสืออยู่ทำให้เธอสะดุ้งสุดตัว รู้ตัวแล้วเหรอ? หรือหมายถึงคนอื่น...

                      “คนที่ซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้นั่นแหละออกมา!

                      ไม่ต้องรอให้พูดซ้ำร่างเล็กๆก็โผล่หน้าออกมาจากพุ่มไม้ จากคนที่เคยกล้าตอนนี้เริ่มกลัวจนน้ำตาคลอ ยิ่งเห็นใบหน้าดุดันของปีศาจตรงหน้ายิ่งกลัวมากกว่าเดิม นึกไม่ถึงว่าพอเห็นสีหน้าของเธอแล้วปีศาจตนนั้นจะถึงมีท่าทางตื่นเต้นลนลาน มือขาวซีดยื่นมาลูบหัวเด็กหญิงด้วยท่าทางเงอะงะ

                      “อ...อย่าร้องนะ ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”

                      “จริงนะ” ตาสีฟ้าเหลือบมองอย่างหวาดๆ

                      “สัญญาด้วยเกียรติของเจ้าชายปีศาจเลยก็ได้!

                      “หา! จ...เจ้าชายปีศาจ” เด็กหญิงมองปีศาจข้างตัวที่พยักหน้ารับยืนยันคำพูดของตน

                      จากความกลัวกลายเป็นความประหลาดใจ ทั้งคู่นั่งพิจารณาอีกฝ่ายอย่างเงียบๆด้วยต่างฝ่ายต่างก็เพิ่งเคยเห็นคนต่างเผ่าพันธุ์เป็นครั้งแรก หากพวกเขาโตกว่านี้อีกนิดคงไม่ปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นและรู้ดีว่าถ้าหากมันเกิดขึ้นแล้วก็ควรวิ่งหนีไปให้เร็วที่สุด แต่ความไร้เดียงสาและความขี้สงสัยก็เป็นธรรมชาติของเด็กทุกเผ่าพันธุ์ ต่างฝ่ายต่างถูกบางสิ่งดึงดูดเข้าหากัน สิ่งนั้นถูกเรียกว่า ความสนใจใคร่รู้

                      “หนีเที่ยวครั้งแรก...เจ้านี่ซุกซนกว่าที่เห็นภายนอกอีกนะ” เด็กหญิงยิ้มกับคำพูดนั้นหลังจากเล่าสาเหตุที่เธอมาอยู่ที่นี่ให้เขาฟัง

                      “แล้วเจ้าล่ะ ทำไมต้องมาอ่านหนังสือคนเดียวที่นี่”

                      “ในปราสาทเอะอะวุ่นวาย เวลาอ่านหนังสือข้าไม่ชอบให้มีใครมากวนใจและป่านี้ก็สงบที่สุด”

                      “จะว่าไปข้ายังไม่รู้จักชื่อเจ้าเลย เจ้าชื่ออะไรเจ้าชายปีศาจ”

                      “ชื่อของข้าคือ เมอร์ฟีเน่ เดวาดิลัส แล้วเจ้าล่ะ เด็กชาวมนุษย์”

                      “ข้าชื่อ ว...วีวี่ และถ้าข้าไม่ใช่เด็ก ปีนี้ข้าอายุสิบสามแล้ว!

                      “งั้นเหรอ สำหรับมนุษย์อายุสิบสามถือว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วสินะ” เมอร์ฟีเน่พยักหน้ากับความรู้ใหม่

                      “เมอร์ฟีเน่ๆ ข้าออกเสียงชื่อเจ้าถูกหรือเปล่า”

                      “เจ้าเรียกข้าว่า มัฟฟิน ก็ได้ แบบนั้นคงเรียกง่ายกว่า”

                      “ฮ่าๆ เจ้าชายมัฟฟิน อาณาจักรเจ้าเป็นอาณาจักรขนมหรือไง”

                      “อาณาจักรข้าเป็นดินแดนปีศาจไม่ใช่อาณาจักรขนม เจ้าเข้าใจผิดแล้ว...”

                      “เจ้าไม่เข้าใจนี่นา คำว่า ‘มัฟฟินในดินแดนมนุษย์ก็คือ...”

                      หลังจากนั้นก็มีคำถามตามมาอย่างไม่รู้จบ ฝ่ายหนึ่งถาม ฝ่ายหนึ่งตอบ บางครั้งฝ่ายที่ตอบก็ตั้งคำถามบ้าง ทั้งคู่เข้ากันได้เป็นอย่างดี อาจเป็นเพราะอายุที่ใกล้เคียง โชคชะตา หรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็กลายเป็นเพื่อนรักกัน ความผูกพันเริ่มถักทอไปทีละนิด จากด้ายเส้นเล็กๆกลายเป็นเชือกเส้นใหญ่แข็งแรง

                      “คราวหน้าข้าจะมาที่นี่อีก จะเอาขนมมัฟฟินมาให้เจ้ากินด้วย”

                      “ตราบใดที่เจ้าไม่รบกวนการอ่านหนังสือของข้า เจ้าก็มาได้ตามที่เจ้าต้องการ”

                      คืนนั้นเด็กหญิงเข้าไปหาแม่ของเธอ พูดเรื่องประหลาดทำนองว่าปีศาจตัวจริงไม่เห็นเหมือนในนิทานเลย เธอเล่าถึงปีศาจผู้อ่อนโยนที่ไม่รู้จักแม้แต่ขนมมัฟฟิน แม่ของเธอส่ายหัวก่อนจะบอกให้ลูกสาวเข้านอน ‘จินตนาการของเด็กมักลึกล้ำเกินกว่าที่ผู้ใหญ่จะเข้าใจเสมอ ผู้เป็นแม่คิดกับตัวเอง

       

      5 ปีต่อมา...           

      กล่าวถึงเรื่องราวในดินแดนปีศาจ พระราชวังหลังใหญ่ตั้งตระหง่านโดดเด่นสะดุดตา ภายในตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่คงไว้ซึ่งความหรูหรา ปีศาจหลายตนในท้องพระโรงก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตนเองอย่างขยันขันแข็ง ร่างของชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สงบนิ่ง ดวงตาสีแดงก่ำราวกับทับทิมทอดมองไปไกล เส้นผมดำยาว มงกุฎสีทองบนศีรษะ เขาคือราชาปีศาจคนปัจจุบัน ‘เมฟีนัลโด้ เดวาดิลัส

      “อรุณสวัสดิ์ท่านพ่อ ท่านเรียกหาข้าหรือครับ”

      ดวงตาสีทับทิมของราชาปีศาจมองไปยังผู้ที่กำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ลูกชายเพียงคนเดียวของเขาและยังเป็นเจ้าชายปีศาจ เมอร์ฟีเน่ เดวาดิลัส

      “เจ้าอายุสิบแปดแล้วเมอร์ฟีเน่ เจ้ารู้ไหมว่าพ่อจะคุยกับเจ้าเรื่องอะไร”

      “เรื่องพิธีรับตำแหน่งใช่ไหมครับ? ”

      “ใช่ ตามธรรมเนียมของราชวงศ์ปีศาจ เจ้าชายปีศาจที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งรัชทายาทจะต้องมีการพิสูจน์ตัวเองก่อนเข้ารับตำแหน่ง พ่อมีเจ้าเป็นลูกเพียงคนเดียวแน่นอนว่าเจ้าต้องได้เป็นเจ้าชายรัชทายาทอยู่แล้ว”

      “ลูกทราบดีครับท่านพ่อ”

      “ที่เจ้าต้องทำก็แค่การพิสูจน์ตัวเองว่าเจ้าเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าชายรัชทายาท ก่อนพิธีรับตำแหน่งอีกสามเดือนเจ้าจะต้องออกไปสร้างวีรกรรมชั่วร้ายอะไรก็ได้ที่จะทำให้ผู้คนจดจำเจ้าได้ เข้าใจไหม!

      “แต่ท่านพ่อ... ข้าไม่รู้จะทำยังไง ข้าไม่อยากทำให้คนอื่นเดือดร้อน! ” เป็นครั้งแรกที่เจ้าชายปีศาจแสดงท่าทางไม่สมกับเป็นปีศาจออกมา ปีศาจหลายตนในท้องพระโรงพากันชะงักและมองไปที่เจ้าชายปีศาจ

      “เจ้าว่าไงนะ... รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา” ที่ขมับของราชาปีศาจเริ่มมีเส้นเลือดผุดขึ้นมา

      “ข้าบอกว่า... ไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อนครับ! ” เจ้าชายปีศาจตอบชัดถ้อยชัดคำทำเอาราชาปีศาจกัดฟันกรอด

      “จะลักพาตัวเจ้าหญิง ระเบิดพระราชวัง ขโมยสมบัติหายาก ทำลายเมือง หรืออะไรก็ได้... ถ้าเจ้าไม่ทำก็อย่ามาให้ข้าเห็นหน้า! ” พูดจบราชาปีศาจก็สะบัดหน้าเดินออกจากท้องพระโรงโดยไม่สนใจใครอีก

      เมอร์ฟีเน่เดินก้มหน้าออกมาอย่างกลุ้มใจ เขาใช้ชีวิตอย่างปีศาจรักสงบที่หมกมุ่นกับการอ่านหนังสือมาตลอด ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดจะคุยกับท่านพ่อเรื่องการพิสูจน์ตัวเองก่อนรับตำแหน่งแต่ไม่นึกว่าเรื่องจะลงเอยแบบนี้ ที่ท่านพ่อพูดไม่ผิด ราชาปีศาจรุ่นก่อนๆที่คิดกฎนี้ก็ไม่ผิด ธรรมชาติของปีศาจรักความสันโดษแต่ก็ชื่นชอบการก่อความวุ่นวาย บางทีคงผิดที่เขาเองที่ไม่คิดเหมือนปีศาจตนอื่นๆ

      ถ้าเป็นวีวี่จะทำยังไงกับสถานการณ์แบบนี้ เธอมักให้คำตอบข้าได้ทุกเรื่องเสมอ...คิดได้ดังนั้นเจ้าชายปีศาจก็ตรงไปยังสถานที่นัดพบทันที ที่ๆพวกเขาแอบเจอกันโดยไม่มีใครรู้มาตลอดห้าปี

      หญิงสาวผมสีน้ำตาลนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ตามลำพัง ดวงตาสีฟ้าเหลือบมองแนวป่าเป็นระยะเหมือนกำลังรอใครบางคนอยู่ เมื่อได้ยินเสียงผิวปากลอยมาตามลมริมฝีปากบางก็แย้มออกเป็นรอยยิ้ม เสียงผิวปากสัญญาณระหว่างเธอกับเขาที่ใช้สื่อสารกัน เมื่อได้ยินเสียงนี้นั่นหมายถึงอีกฝ่ายได้มาถึงแล้ว

      “วันนี้เจ้ามาสายนะมัฟฟิน” หญิงสาวพูดเหมือนไม่พอใจแต่ใบหน้ากลับยิ้มแย้ม

      “โทษทีวีวี่ วันนี้ท่านพ่อเรียกข้าเข้าเฝ้าน่ะ” มัฟฟินตอบยิ้มๆ

      “ข้าเอาหนังสือที่ยืมไปคราวที่แล้วมาคืน” วีวี่ยื่นหนังสือเล่มหนาคืนให้มัฟฟินและดึงอีกฝ่ายลงนั่งข้างเธอ

      “ข้ามีเรื่องจะปรึกษาเจ้าหน่อยวีวี่ คราวนี้ข้าไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ” มัฟฟินพูดขึ้น สีหน้าเขากลัดกลุ้มจนวีวี่นิ่งฟังอย่างสนใจ เรื่องอะไรกันนะที่ทำให้เขากลุ้มใจขนาดนี้

      “ตอนนี้ท่านพ่ออยากให้ข้าสร้างวีรกรรมความชั่วร้ายก่อนรับตำแหน่งเจ้าชายรัชทายาท ข้าจะทำยังไงดี!

      “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีปีศาจที่กังวลกับการทำเรื่องชั่วร้ายด้วย”

      “โธ่! เรื่องนี้ข้ากลุ้มจริงๆนะ”

      “ข้าจะช่วยเจ้าก็ได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้ข้ายังแทบเอาตัวไม่รอดก็ตาม”

      “เจ้าเองก็มีเรื่องกลุ้มใจเหมือนกันเหรอ? ”

      “อืม แต่อย่าพูดถึงมันเลย ตอนนี้ข้าอยากช่วยจ้าคิดว่าจะออกไปทำเรื่องชั่วร้ายยังไงมากกว่า”

      “อันที่จริงข้าเองก็คิดมาบ้างแล้วล่ะ แต่เรื่องนี้อยากลองถามความเห็นเจ้าดูก่อน” มัฟฟินมองวีวี่คล้ายไม่แน่ใจว่าจะพูดความคิดของตนออกมาดีหรือเปล่าทำให้วีวี่จ้องหน้ารอฟังอย่างตั้งใจ

      “ข้าจะไปขโมยตัวเจ้าหญิงอาณาจักรฟิลาเดเฟีย” ดวงตาสีฟ้าวูบไหวเมื่อได้ยินคำพูดของมัฟฟินก่อนผู้เป็นเจ้าของจะรีบซ่อนมันไว้อย่างรวดเร็ว

      “ขโมยตัวเจ้าหญิง! ทำไมเจ้าถึงเลือกอันนี้ทั้งที่มีอย่างอื่นให้เลือกตั้งมากมาย”

      “ข้าคิดว่าการขโมยตัวเจ้าหญิงซักคนเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าทำสำเร็จท่านพ่อและทุกๆคนจะต้องยอมรับในตัวข้า”

      “แล้วแผนของเจ้าเป็นยังไง? ” วีวี่มีท่าทางสนใจขึ้นมาทันที

      “เจ้าไม่ต้องห่วงว่าเจ้าหญิงอาณาจักรเจ้าจะเป็นอันตรายนะวีวี่ หลังจากทุกคนเชื่อว่าข้าทำสำเร็จแล้วข้าจะรีบพาตัวนางมาคืนให้เร็วที่สุด ข้าสัญญาว่าข้าจะดูแลนางไม่ให้มีแม้แต่รอยขีดข่วนเลย” ท่าทางจริงจังของมัฟฟินทำเอาวีวี่แอบหัวเราะออกมาเบาๆ

      “ข้าไม่ห่วงเรื่องนี้เลยซักนิด! ฟังๆดูแผนของเจ้าก็ไม่เลว แต่ถ้าขาดข้าไปโอกาสสำเร็จคงยาก”

      “หมายความว่าเจ้าจะช่วยข้าเหรอวีวี่ ”

      “ก็ใช่น่ะสิ และอันที่จริงข้าก็บังเอิญรู้เส้นทางในวังหลวงเป็นอย่างดีด้วย”

      “ทำไมเจ้าถึงรู้ล่ะ หรือเจ้าเป็นคนในวัง” มัฟฟินมีสีหน้าประหลาดใจ

      “เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง เอาเป็นว่าเรามาวางแผนให้รัดกุมกันก่อนเถอะ ถ้าพลาดคงไม่มีโอกาสอีกแล้ว”

      แล้วทั้งคู่ก็เริ่มวางแผนสร้างวีรกรรมชั่วร้ายครั้งแรกของเจ้าชายปีศาจเมอร์ฟีเน่ เจ้าชายปีศาจคนแรกที่ไม่อยากทำเรื่องชั่วร้าย วีวี่เห็นว่าควรจะลงมือในคืนเดือนมืดในอีกสามวันให้หลังเราะเป็นผลดีแก่การซ่อนตัว เธอบอกเส้นทางในปราสาทได้ละเอียดจนน่าแปลกใจ วีวี่ไม่ชอบพูดถึงเรื่องของตัวเองมากนักและมัฟฟินก็ไม่ใช่คนช่างซักไซ้ ทำให้เขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย เขาคิดแค่ว่ารอให้เธอเป็นฝ่ายเล่าเองจะดีกว่า

      เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ววีวี่ก็ขอตัวกลับ หลังบอกลาเธอมองมัฟฟินด้วยความรู้สึกคลางแคลงใจ ยังมีสิ่งที่ชวนให้เธอสงสัยแต่ยังไม่ได้เอ่ยถามออกไป

      “ทำไมต้องเป็นเจ้าหญิงของฟิลาเดเฟีย นางมีอะไรที่ทำให้เจ้าอยากไปขโมยตัวนาง” นี่คือสิ่งที่เธอสงสัยที่สุด คิดไม่ถึงว่ามัฟฟินจะให้เหตุผลได้อย่างง่ายดาย

      “ข้าเคยได้ยินว่าเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรฟิลาเดเฟียมีเส้นผมสีทองเป็นประกาย ดวงตาสีฟ้าเหมือนสีของน้ำทะเล ความงามของนางเป็นที่เลื่องลือไปหลายอาณาจักร ถ้าข้าจะขโมยเจ้าหญิงซักคนก็ต้องเลือกเจ้าหญิงองค์นี้นี่แหละ” เมื่อได้ฟังคำตอบวีวี่ก็ยิ้มกว้างก่อนจะโบกมือลา

       

      กลางดึกคืนเดือนมืดไร้แสงจันทร์ ร่างของเจ้าชายปีศาจกระโดดขึ้นไปบนหลังสัตว์เลี้ยงของเขา มังกรตัวโตขนาดเท่าบ้านใหญ่ๆสักหลัง นัยน์ตาสีแดงก่ำ เกล็ดสีดำของมันส่องประกายเย็นเยียบ ร่างมหึมาของมันโผขึ้นสู่ท้องฟ้าและกลืนหายไปกับความมืดยามค่ำคืน

      นับว่าเป็นโชคดีที่เขาเลือกลงมือในคืนเดือนมืด เพราะหากมีมนุษย์มองเห็นมังกรตัวโตบินอยู่บนท้องฟ้าคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ สำหรับมนุษย์แล้วการเจอมังกรสักตัวน่าตกใจกว่าเจอปีศาจเสียอีก เพราะปีศาจถึงแม้จะไม่เจอก็เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง แต่การได้เห็นมังกรสักตัวชั่วชีวิตอาจไม่มีโอกาสในเมื่อมนุษย์ยังคงเชื่อว่ามังกรเป็นสัตว์ที่มีอยู่แค่ในตำนาน หากไม่เข้าไปในใจกลางป่าตะวันตกก็ไม่มีทางได้เจอหรอก หรือถ้าเจอก็คงไม่มีชีวิตรอดมาเล่าให้คนอื่นฟัง

      มัฟฟินสั่งให้มังกรบินไปทางวังหลวงของอาณาจักรฟิลาเดเฟีย เขาปฏิบัติตามคำบอกเล่าของวีวี่อย่างเคร่งครัด ‘ฟังนะมัฟฟิน ถ้าเจ้าไปถึงวังหลวงแล้วให้ไปที่ปราสาททางทิศตะวันตก ห้องบรรทมของเจ้าหญิงอยู่ชั้นบนสุดของหอคอยของปราสาทนั่น ที่เหลือไว้เป็นหน้าที่ของข้าเองน่าแปลกที่หอคอยตะวันตกมีเวรยามบางตากว่าจุดอื่นๆพวกเขาไม่ค่อยเป็นห่วงเจ้าหญิงหรือไงนะ เขาสั่งให้มังกรไปเกาะอยู่บนยอดหอคอยแล้วตัวเองก็กระโดดลงมายืนที่ระเบียงอย่างเงียบเชียบ

      ภายในห้องบรรทมมีเพียงแสงเทียนสลัว มัฟฟินพยายามเดินเข้าไปในห้องด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุด เตียงของเจ้าหญิงตั้งอยู่กลางห้อง มัฟฟินมองผ่านม่านบางๆที่กั้นอยู่รอบเตียงก็เจอร่างของผู้ที่เป็นเป้าหมายของเขาในคืนนี้ เจ้าหญิงนอนหันหลังให้กับระเบียง เส้นผมสีทองเป็นลอนคลื่นยาวสยาย มัฟฟินเดินเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้นจนชิดขอบเตียง ร่างสูงก้มตัวลงคิดจะอุ้มเธอขึ้นมา แต่ยังไม่ทันที่มือจะสัมผัสร่างบอบบาง

      “เจ้ามาสาย”

      ผ้าห่มที่คลุมร่างเจ้าหญิงตวัดขึ้นพร้องกับร่างบางลุกขึ้นมาจ้องมัฟฟินสีหน้างอง้ำ มัฟฟินนิ่งอึ้ง นี่มันเรื่องอะไรกัน! ส่วนเจ้าหญิงคนสวยก็ก้าวฉับๆไปหยิบกระเป๋าใบโตมายัดใส่มือมัฟฟินแถมยังผลักเขาไปที่ระเบียง ก่อนออกจากห้องยังไม่ลืมเดินไปดับเทียนด้วย นี่ตกลงเขามาลักพาตัวเธอรึเปล่าเนี่ย?

      “นี่เจ้า...” ในที่สุดมัฟฟินก็หาเสียงตัวเองเจอ หลังจากเรียกให้มังกรบินมาเทียบที่ระเบียงแล้วส่งตัวเจ้าหญิงขึ้นไปนั่งและตัวเองตามไปติดๆ เจ้าหญิงคนสวยหันมามองเขาแล้วหัวเราะคิก

      “ตกใจมากขนาดนั้นเชียว”

      “อะไรของเจ้าเนี่ยวีวี่! ตอนนี้ข้างงไปหมดแล้วนะ” มัฟฟินโพล่งออกมาทันที

      “เรื่องนี้เข้าใจยากตรงไหน เจ้าจะมาขโมยตัวเจ้าหญิงและตอนนี้เจ้าหญิงก็อยู่กับเจ้าแล้วนี่ไง” ตาของวีวี่เป็นประกายพราวระยับ ท่าทางขบขันสีหน้าของมัฟฟินเสียเต็มประดา

      “แล้วทำไมเจ้าไม่เคยบอกข้า”

      “ไว้คุยกันที่หลังไม่ได้เหรอ ตอนนี้ข้าเหนื่อยมากเลย เจ้ารู้ไหมว่าข้าต้องวางยาคนเกือบครึ่งปราสาทแล้วก็จัดการอะไรอีกหลายอย่างเพื่อช่วยเจ้า” วีวี่ทำหน้ามุ่ยก่อนจะเอนตัวพิงกับแผ่นอกของมัฟฟิน

      “คราวนี้ปล่อยไปก่อนก็ได้ แต่พรุ่งนี้เจ้าจะต้องเล่าทุกอย่างให้ข้าฟังนะเจ้าหญิงวีวี่”

      “ไม่ใช่เจ้าหญิงวีวี่ ชื่อจริงของข้าคือ ‘เวเลอเรีย ต่างหาก”

       

      เช้าวันต่อมามัฟฟินพาวีวี่หรือเจ้าหญิงเวเลอเรียไปเข้าเฝ้าราชาปีศาจ แน่นอนว่าราชาปีศาจและเหล่าขุนนางพากันตะลึงจนอ้าปากค้าง ส่วนเจ้าหญิงคนสวยที่เป็นมนุษย์เพียงคนเดียวท่ามกลางเหล่าปีศาจแทนที่จะหวาดกลัวกลับถอนสายบัวให้ราชาและราชินีปีศาจอย่างงดงาม เธอมองปีศาจตนอื่นด้วยความสนใจ

      “ทีนี้ท่านพ่อคงไม่มายุ่งกับข้าสักพัก ขอบใจมากนะวีวี่” มัฟฟินพูดขึ้นเมื่อพวกเขาอยู่กันสองคนในห้อง ต่อให้ชื่อจริงของเธอคือเวเลอเรียแต่เขาเรียกว่าวีวี่มาตั้งหลายปี จะให้เปลี่ยนการเรียกอย่างรวดเร็วคงยาก

      “เรื่องเล็กน้อยน่า เป็นหน้าที่ของเพื่อนอย่างข้าอยู่แล้ว”

      “แล้วจะให้ข้าส่งเจ้ากลับวันไหนดี ข้าไม่ลืมที่เคยสัญญาไว้หรอกนะ” พอพูดจบนึกไม่ถึงว่าจะถูกมองด้วยสายตาเอาเรื่อง

      “เจ้าไม่เห็นกระเป๋าที่ข้าเอามาหรือไง! ที่ข้าทำทั้งหมดไม่ใช่เพื่อออกมาคืนเดียวแล้วถูกส่งกลับนะ บอกไว้ก่อนว่าถ้าข้าไม่ได้เที่ยวจนหนำใจข้าก็ไม่มีทางให้เจ้าส่งกลับ”

      “ตามพระทัยขอรับ เจ้าหญิงเวเลอเรีย” มัฟฟินตอบยิ้มๆ

      “นึกแล้วว่าเจ้าต้องยอม คิดไม่ผิดจริงๆที่เลือกเจ้า”

      “แล้วทีนี้ถึงเวลาที่ข้าจะรู้เรื่องของเจ้าหรือยัง”

      เวเลอเรียพยักหน้าก่อนจะเปิดปากเล่าเรื่องราวของตัวเองเป็นครั้งแรก

      เจ้าหญิงเวเลอเรียเติบโตขึ้นมาจากความรักความอบอุ่นของพระราชาและพระราชินีแห่งอาณาจักรฟิลาเดเฟีย เธอมีความเป็นเลิศทั้งศาสตร์และศิลป์ เป็นเจ้าหญิงที่สมบูรณ์เพียบพร้อมเท่าที่เจ้าหญิงองค์หนึ่งพึงมี แต่มีอย่างหนึ่งที่เธอแตกต่างจากเจ้าหญิงคนอื่น

      ในวัยเด็กเจ้าหญิงโปรดปรานการฟังนิทานที่พระมารดาเล่ามาก นิทานเกี่ยวกับเจ้าชายที่ไปช่วยเจ้าหญิงหรืออัศวินที่ช่วยเจ้าหญิงเป็นแนวที่เธอชอบเป็นพิเศษ เมื่อเห็นดวงตาที่เป็นประกายของเจ้าหญิงพระราชินีก็คาดหวังอยู่ในใจว่าลูกสาวคงจะเติบโตและงดงามดั่งเจ้าหญิงในนิทาน แต่หากมองดีๆสายตานั้นไม่ได้มีให้เจ้าหญิงในนิทานเลยแม้แต่นิด

      เวเลอเรียมีหัวใจที่รักการผจญภัยและการใช้ชีวิตอย่างอิสระ ตอนอายุสิบสามเธอหนีออกจากวังเป็นครั้งแรกด้วยการใส่ชุดเด็กรับใช้และซ่อนเส้นผมสีทองด้วยวิกผมสีน้ำตาล และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับมัฟฟิน เจ้าชายปีศาจที่น่าสนใจจนเธอต้องหนีออกจากวังไปอีกหลายครั้งเพื่อพบกับเขา

                      แต่แล้ววันหนึ่งในอีกห้าปีต่อมา พระราชินีได้บอกกับลูกสาวว่าถึงวัยอันควรแล้วที่เธอจะต้องมีคู่หมั้น ซึ่งพระราชาจะหาเจ้าชายสักคนที่เหมาะสมมาแต่งงานกับเธอ นี่ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับคนรักอิสระอย่างเธอเลย เวเลอเรียจึงหนีออกจากวังอีกครั้ง ตั้งใจจะไปพบเพื่อนที่หลังจากนี้อาจไม่มีโอกาสได้พบกันอีก นึกไม่ถึงว่าคราวนี้การพบกันระหว่างเธอกับเขาจะทำให้เธอตัดสินใจบางอย่างได้

                      “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะถึงกับใช้ข้าเป็นเครื่องมือ” มัฟฟินพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง วีวี่รีบเข้าไปอ้อนเขาทันที

                      “แต่เราก็ได้ประโยชน์กันทั้งคู่นะ ถือเสียว่าเป็นอิสระครั้งสุดท้ายก่อนการแต่งงานของข้าก็แล้วกันนะ”

                      “ทำไมเจ้าต้องฝืนใจทำเรื่องที่ไม่อยากทำ บอกแม่ของเจ้าว่าเจ้าไม่อยากแต่งก็ได้นี่”

                      “มันไม่เกี่ยวกับเรื่องอยากหรือไม่อยากแต่มันเป็นหน้าที่ของข้า ถ้าแต่งงานแล้วข้าคงต้องไปอยู่อาณาจักรอื่น พวกเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกก็ได้”

                      “แล้วพ่อแม่ของเจ้าล่ะ พวกเขาจะไม่ออกตามหาเจ้าเหรอ”

                      “ข้าเขียนจดหมายทิ้งไว้บอกว่าจะกลับไป เจ้าก็รู้ว่าข้าหนีมาหาเจ้าเป็นประจำ พวกเขาไม่ค่อยคิดมากหรอก”

                      “ข้ายินดีจะช่วยเจ้าอย่างสุดความสามารถ เวเลอเรีย” มัฟฟินพูดออกมาอย่างมุ่งมั่น

                      “ได้ยินเจ้าเรียกแบบนี้ไม่ค่อยชินเอาเสียเลย ข้าชอบให้เจ้าเรียกวีวี่มากกว่า”

       

                      “ทำไมไม่เห็นมีใครออกตามหาตัวเจ้าหญิงองค์นี้เลย หรือเจ้าขโมยเจ้าหญิงที่ไม่สำคัญอะไรกลับมาเพื่อหลอกพ่อ เมอร์ฟีเน่” ราชาปีศาจพูดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปหลายวันแล้วแต่ยังไม่มีข่าวความเดือดร้อนจากดินแดนมนุษย์เลย

                      “ลูกไม่กล้าหรอกครับ ที่ไม่ค่อยมีใครเป็นห่วงเธอเพราะเจ้าหญิงเวเลอเรียมีนิสัยซุกซน เธอชอบหนีออกจากวังอยู่บ่อยๆทำให้ไม่มีใครคิดว่าเธอโดนข้าจับตัวมา ท่านพ่อลองสืบดูก็ได้”

                      “งั้นพวกเราก็ไปป่าวประกาศเสียเลยสิ ถ้าได้เห็นพวกมนุษย์แตกตื่นวุ่นวายบ้างคงสนุกไม่น้อย”

                      “ไม่ได้นะครับ!...” มัฟฟินโพล่งออกไปอย่างลืมตัว ราชาปีศาจมองลูกชายอย่างสงสัย

                      “ทำไมจะไม่ได้! หรือเจ้ากำลังเล่นตลกกับพ่ออยู่จริงๆ”

                      “ข้าหมายถึง... ข้าอยากจัดการเรื่องทั้งหมดด้วยตัวเอง ในเมื่อนี่เป็นการพิสูจน์ตัวเองของข้านี่ครับ”

                      “ในที่สุดเจ้าก็คิดได้แล้วสินะ งั้นจะทำอะไรต่อไปก็จัดการตามใจเจ้าเถอะ” ราชาปีศาจมีท่าทางพอใจมากเมื่อได้ฟังเหตุผล มัฟฟินจึงปลีกตัวออกมาหาวีวี่ที่ห้องได้อย่างง่ายดาย

                      “แล้วท่านคิดจะจัดการกับข้าอย่างไรเล่า ท่านเจ้าชายปีศาจ” วีวี่พูดขึ้นหลังจากฟังมัฟฟินเล่าจบ

                      “เริ่มจากพาเจ้าเที่ยวชมแดนปีศาจก่อนดีไหม หลังจากนั้นก็สุดแล้วแต่เจ้า”

                      “ด้วยความยินดี” แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะให้กัน

                      มัฟฟินพาวีวี่ขี่มังกรไปเที่ยวชมดินแดนปีศาจ วีวี่พบว่าพวกปีศาจก็ไม่ได้แตกต่างจากมนุษย์เลย พวกเขามีการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และค้าขาย ปีศาจส่วนมากให้ความสนใจวีวี่ซึ่งเป็นมนุษย์ เมื่อมัฟฟินพาเธอไปเดินตลาดในเมืองทั้งคู่ก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ดูเหมือนปีศาจจะไม่ค่อยมีพิธีรีตองอะไรมากเท่ามนุษย์ เพราะพวกเขาไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าใดนักเมื่อเห็นเจ้าชายปีศาจมาเดินตลาดเหมือนสามัญชนทั่วไป มัฟฟินได้รับขนมนมเนยมาจากพ่อค้าแม่ค้ามากมาย เขาคงเป็นที่รักของเหล่าปีศาจมาก

                      “ที่นี่สงบสุขมาก คงเป็นภาพที่มนุษย์คนอื่นคาดไม่ถึงแน่ๆ” วีวี่พูดพร้อมยิ้มบางๆ

                      “ปีศาจอย่างเราไม่ได้ชั่วร้ายไปหมดทุกตน พวกเขาไม่จู่โจมใครก่อนโดยไม่จำเป็น แต่มนุษย์กลับลงมือก่อนเพราะกลัวถูกทำร้าย นั่นทำให้ปีศาจถูกมองในแง่ลบเสมอ”

                      “หากแก้ความเข้าใจผิดได้ คงมีสักวันที่ปีศาจกับมนุษย์จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ”

                      “เจ้าสนุกหรือเปล่าวีวี่” มัฟฟินถามขึ้น

                      “สนุกสิ ตอนอยู่แดนมนุษย์ข้าไม่ค่อยได้ทำอะไรอย่างสบายใจแบบนี้หรอก”

                      “ถ้าเจ้าอยากไปเที่ยวแดนมนุษย์ ข้าพาเจ้าไปได้นะ”

                      “อยากไปสิ! แต่ถ้ามีคนเห็นเจ้าในสภาพนี้คงไม่ดีแน่ คงต้องให้เจ้าปลอมตัวก่อน” หลังจากนั้นทั้งคู่ก็กลับวังปีศาจเพื่อปลอมตัว วีวี่ใช่วิกผมสีน้ำตาลอันเดิม ส่วนมัฟฟินใช้วิกผมสีฟ้าที่วีวี่เอามาด้วย แต่เธอก็ต้องคิดหนักเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรกับตาสีแดงของเขาดี

                      “ท่านแม่ของข้ามีสร้อยที่ใส่แล้วเปลี่ยนสีตาได้ ข้าจะไปยืมนาง” มัฟฟินพูดขึ้นก่อนจะหายตัวไปสักพักและกลับมาพร้อมสร้อยเส้นหนึ่ง เมื่อเขาสวมสร้อยเส้นนั้นตาสีแดงของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท

                      “สร้อยนี่คงเป็นของวิเศษสินะ ตอนนี้เราก็ไปเที่ยวแดนมนุษย์กันได้แล้ว”

                      ทั้งคู่ขี่มังกรสัตว์เลี้ยงของมัฟฟินออกจากวัง พวกเขาอ้อมไปทางป่าตะวันตกและทิ้งมังกรไว้ที่นั่นจะได้ไม่มีใครเห็นว่าพวกเขาออกมาจากแดนปีศาจ วีวี่ท่าทางตื่นเต้นมากกับการพามัฟฟินมาเที่ยวแดนมนุษย์ครั้งแรก

                      “ของขึ้นชื่อของอาณาจักรข้าคือเนื้อแกะอบสมุนไพร ไว้ข้าจะพาเจ้าไปกินเป็นมื้อเที่ยงก็แล้วกัน” วีวี่พูดเมื่อพวกเขาเดินผ่านร้านอาหาร จากนั้นเธอก็พามัฟฟินไปดูนั่นดูนี่มากมาย เธอรู้ว่ามัฟฟินชอบอ่านหนังสือจึงพาเขาไปที่ร้านหนังสือและซื้อเล่มที่เขาอยากได้ให้เป็นของขวัญ มัฟฟินมองดูมนุษย์รอบตัวอย่างสนใจ เขาตั้งคำถามมากมายกับวีวี่เหมือนตอนที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก ทำไมผู้ชายคนนั้นต้องทำแบบนั้น แล้วนั่นเรียกว่าอะไร วีวี่ตอบทุกคำถามของเขาอย่างไม่รู้เบื่อ

                      “คราวนี้ข้าถามเจ้าบ้าง เจ้าสนุกหรือเปล่ามัฟฟิน” วีวี่ถามขึ้นขณะที่พวกเขากำลังจัดการกับเนื้อแกะอบสมุนไพรซึ่งเป็นอาหารกลางวัน

                      มัฟฟินกลืนเนื้อแกะลงคอก่อนจะตอบ “วันนี้ข้าสนุกมาก ขอบใจที่ทำให้ข้าได้สัมผัสการใช้ชีวิตแบบมนุษย์เป็นครั้งแรก” วีวี่ยิ้มกับคำตอบนั้นและลงมือกินต่อ

                      “อิ่มชะมัดเลย เนื้อนั่นอร่อยมาก” มัฟฟินพูดขึ้นตอนที่พวกเขาเดินกลับเข้าไปในป่าพร้อมแกะอบสมุนไพรอีกสองตัวไปฝากสัตว์เลี้ยง ไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าของร้านตกใจแค่ไหนตอนที่วีวี่สั่งแกะเพิ่มสองตัวและมัฟฟินถือมันได้ด้วยตัวคนเดียวทั้งที่รูปร่างของเขาดูผอมบางกว่าเจ้าของร้านเสียอีก

                      “นั่นเป็นของขึ้นชื่อของฟิลาเดเฟียนะ ก็ต้องอร่อยอยู่แล้วสิ”

                      มัฟฟินเดินเข้าไปหาสัตว์เลี้ยงที่รออยู่ หลังจากให้อาหารมันเขาก็ถอดสร้อยคอและวิกออกเพราะรู้สึกรำคาญ วีวีเองก็ถอดวิกผมเช่นกัน ถึงแม้ในป่าจะไม่ได้ร้อนมากแต่การต้องใส่วิกอยู่ตลอดก็อดรู้สึกรำคาญไม่ได้อยู่ดี พวกเขานั่งลงดูเจ้ามังกรจัดการกับเนื้อแกะอย่างเงียบๆ

                      ในป่าแห่งเดียวกันนั้นเอง นักผจญภัยคนหนึ่งออกมาหาอาหารกลับไปให้เพื่อนในกลุ่มที่กำลังหิวโซเต็มที่ เขาเดินตามกลิ่นอาหารมาเรื่อยๆจนกระทั่งได้ยินเสียงคนคุยกันอีกด้านของพุ่มไม้ เขานึกในใจว่าคงเป็นนักผจญภัยกลุ่มอื่นกำลังกินอาหารกันอยู่ ถ้าขอแบ่งพวกเขาสักนิดจะได้ไหมนะ เขาคิดก่อนจะแหวกพุ่มไม้ออก

                      ภาพที่เห็นทำให้เขาตะลึงจนตาค้าง น...นั่นมันมังกรตัวจริงเลยนี่นา! ข้างๆนั่นยังมีคนอีกสองคน ไม่สิ...เส้นผมสีดำแบบนั้น แถมดวงตายังเป็นสีแดงอีก นั่นมันปีศาจชัดๆ! นึกไม่ถึงว่าเดินทางมาตั้งหลายวัน แค่ออกมาหารอาหารครั้งเดียวจะได้เจอทั้งมังกรกับปีศาจ แต่คนที่นั่งอยู่ข้างๆปีศาจตนนั้นเป็นมนุษย์ไม่ผิดแน่ เส้นผมสีทอง ดวงตาสีฟ้า หน้าตาแบบนั้นมัน...

                      “เจ้าหญิง! ...” เขาอุทานออกมาอย่างไร้เสียง นี่มันเรื่องใหญ่เลยนี่นา เขารีบกลับไปหากลุ่มนักผจญภัยทันที ตอนที่เพื่อนเห็นเขากลับไปมือเปล่าและกำลังจะต่อว่าเขาก็เล่าสิ่งที่ตัวเองไปเห็นให้ฟัง แน่นอนว่าทุกคนพากันวิ่งออกจากป่าแบบไม่คิดชีวิต เส้นทางที่พวกเขามุ่งหน้าไปคือวังหลวงของอาณาจักรฟิลาเดเฟีย

                     

                      “ว่าไงนะ! เจ้าหญิงถูกปีศาจจับตัวไปงั้นเหรอ” พระราชาแห่งอาณาจักรฟิลาเดเฟียผุดลุกจากบัลลังก์ ใบหน้าซีดเผือดหลังจากได้ฟังข่าวร้าย

                      “นักผจญภัยที่เห็นเข้าโดยบังเอิญเมื่อสองวันก่อน ยืนยันว่านั่นคือเจ้าหญิงเวเลอเรียขอรับ”

                      “เราจะทำอย่างไรดีเพคะ หลังจากลูกของเราหายตัวไปก็ผ่านมาหลายวันแล้ว นางอาจจะไปเจอปีศาจเข้าโดยบังเอิญระหว่างผจญภัยและถูกจับตัว” พระราชินีเองก็ร้อนใจไม่แพ้กัน

                      “ก่อนอื่นก็รวบรวมกำลัง ติดประกาศให้ทั่วเมืองว่าเราต้องการผู้จะอาสาไปช่วยเจ้าหญิงหากช่วยลูกข้าได้ข้าจะตอบแทนอย่างงาม และส่งทหารไปขอความช่วยเหลือที่อาณาจักรเพื่อนบ้านด้วย” พระราชาออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว

                      “โธ่... เวเลอเรียที่รักของแม่” พระราชินีร้องไห้ออกมาเงียบๆ เป็นห่วงลูกสาวที่รักจับใจ

                      ขณะเดียวกันเจ้าหญิงเวเลอเรียที่ผู้คนมากมายกำลังเป็นห่วงก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ในวังปีศาจ บางครั้งก็ออกไปเที่ยวเล่นกับเจ้าชายมัฟฟิน ให้อาหารมังกร รวมถึงแกล้งเหล่าขุนนางปีศาจที่อยู่ในวัง

                      “วีวี่ แหล่งข่าวของข้าแจ้งมาว่าอาณาจักรของเจ้ากำลังมีเรื่องวุ่นวาย พวกเราออกไปดูกันเถอะ”

                      “เรื่องอะไรกัน หรือพวกเขาเริ่มออกตามหาข้าแล้ว” ทั้งคู่รีบขี่มังกรออกจากวังปีศาจทันที

                      พวกเขาปลอมตัวอย่างที่เคยทำเข้าไปในหมู่บ้านที่มากันครั้งก่อน ครั้งนี้ผู้คนในหมู่บ้านดูวุ่นวายกว่าเดิม พวกเขาพากันเข้าไปมุงดูป้ายประกาศที่ทหารจากในวังนำมาติดไว้ทั่วเมือง วีวี่กับมัฟฟินเองก็เข้าไปมุงดูเช่นกัน

                      “นั่นมันรูปข้านี่! ” วีวี่อุทานอย่างตกใจ

                      “ประกาศหาผู้กล้าร่วมกองทัพไปช่วยเจ้าหญิงเวเลอเรียที่ถูกปีศาจจับตัวไป ใครสนใจให้เข้าไปสมัครด้วยตนเองที่วังหลวง” มัฟฟินอ่านประกาศด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ

                      “คงมีคนเห็นพวกเราอยู่ด้วยกัน เราจะทำยังไงดีมัฟฟิน!

                      “เจ้าคงต้องตัดสินใจเองแล้วล่ะ ว่าจะอยู่กับข้าต่อหรือกลับไป” มัฟฟินพูดเสียงเรียบ

      “โธ่...” วีวี่เอามือกุมหัว เหตุการณ์มันกะทันหันจนแทบคิดอะไรไม่ออก

      “ข้าได้ข่าวมาว่าเจ้าชายฟีลิกซ์คู่หมั้นของเจ้าหญิงจะเดินทางมาช่วยเจ้าหญิงด้วยตนเองเลยนะ” ชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้นเรียกความสนใจของทั้งคู่

      “เจ้าชายฟีลิกซ์แห่งอาณาจักรเพกาซัสน่ะเหรอ ได้ยินว่าเขารูปงามและเก่งกาจมากเลยนี่” ชาวบ้านอีกคนพูด

      “ข้ายังได้ข่าวมาอีกว่าถ้าเขาช่วยเจ้าหญิงได้สำเร็จ พระราชาจะจัดพิธีอภิเษกให้เขากับเจ้าหญิงเวเลอเรียทันที” พอชาวบ้านคนนั้นพูดจบประโยค สีหน้าของวีวี่ก็ซีดเผือดทันที

      “ไม่นะ... ทำไมคู่หมั้นของข้าต้องเป็นฟีลิกซ์ด้วย”

       

      วีวี่นั่งทอดถอนใจอยู่บนเตียงในวังปีศาจโดยมีมัฟฟินยืนกอดอกอยู่ข้างๆ ทั้งคู่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา วีวี่กำลังคิดหนักว่าจะแก้ปัญหาที่ตนก่อไว้อย่างไรดี ส่วนมัฟฟินก็มีสีหน้าที่คาดเดาไม่ถูกว่าเขาคิดอะไรอยู่

      “ทำไมเจ้าถึงไม่พอใจเจ้าชายฟีลิกซ์ เท่าที่ฟังมาเขาก็เพอร์เฟ็คออกไม่ใช่เหรอ” มัฟฟินเปิดปากพูดขึ้น

      “ที่พูดอย่างนั้นเพราะเจ้าไม่รู้จักฟีลิกซ์น่ะสิ พวกเราเป็นเพื่อนเล่นกันสมัยเด็กๆ ฟีลิกซ์ที่ข้ารู้จักน่ะนิสัยเสียจะตาย ชอบโอ้อวดไปทั่ว ดูถูกคนอื่นที่ต่ำกว่าตัวเอง และเห็นแก่ตัวเป็นที่สุด ที่เขาจะแต่งกับข้าก็คงเพราะอยากสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองแน่นอน”

       “เจ้าก็เลยไม่อยากแต่งกับเขา”

      “ก็ใช่น่ะสิ ทำไมถึงมีแต่เรื่องแย่ๆกันนะ เรื่องดีที่สุดของวันนี้คงเป็นรูปในป้ายประกาศของข้าที่สวยสุดๆเลย รู้สึกว่าสวยกว่าตัวจริงอีกนะเนี่ย” วีวี่พูดกับตัวเองก่อนจะหยิบป้ายประกาศที่แอบดึงมาออกมากาง

      “ฮะ...” มัฟฟินหลุดหัวเราะออกมาและรีบปิดปากอย่างรวดเร็วเพราะวีวี่มองเขาตาขวาง

      “เจ้าจะบอกว่าข้าไม่สวยหรือไงมัฟฟิน” วีวี่ท่าทางเอาเรื่อง

      “ต่อให้แต่งเติมแค่ไหน ในสายตาข้าเจ้าก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน”

      “เจ้ามันต่อมรับความงามบกพร่อง! ออกไปจากห้องเลยนะ ตอนนี้ข้าไม่อยากคุยกับเจ้าแล้ว!” ไม่พูดเปล่าร่างบางยังดันมัฟฟินออกไปน้องห้องและปิดประตูไล่หลัง มัฟฟินเอนตัวพิงประตูและหัวเราะกับตัวเอง

      “สำหรับข้าเจ้าไม่มีอะไรเปลี่ยน ยังคงสวยที่สุดในสายตาข้าเหมือนเดิม...”

       

      “ตอนนี้พวกมนุษย์บุกเข้ามาถึงป่าปีศาจแล้ว เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไปเมอร์ฟีเน่” ราชาปีศาจมองหน้าลูกชาย สีหน้าของเจ้าชายปีศาจลึกลับจนยากจะคาดเดาความคิด

      “ในนิทานของพวกมนุษย์ปีศาจอย่างเรามักเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสมอ แต่ข้าก็ไม่อยากจะทำอะไรที่ตัวเองจะต้องเสียใจภายหลัง ข้าคิดถูกหรือเปล่าครับท่านพ่อ”

      “เรื่องนี้เป็นเพราะท่านนั่นแหละที่บังคับลูกมากเกินไป ลูกถึงต้องลำบากใจแบบนี้” ราชินีปีศาจอดตำหนิสามีออกมาไม่ได้ ถึงเธอจะไม่ค่อยยุ่งเรื่องการตัดสินใจของเขาแต่นี่เป็นเรื่องของลูกชายมันก็ต้องเข้ามายุ่งบ้างสิ

      “ข้าต้องทำตามธรรมเนียมของเราชาวปีศาจ หากไม่บังคับมีหรือมัฟฟินจะยอมออกไปทำเรื่องชั่วร้ายให้ปีศาจตนอื่นๆยอมรับว่าเขาเหมาะสมกับตำแหน่งรัชทายาท”

      “ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าอยากทำอะไรก็ตามใจเจ้าเถอะเมอร์ฟีเน่” ราชีนีปีศาจพูด

      “พ่อเองก็จะไม่บังคับเจ้า เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับถูกไม่ถูกหรอก จะแพ้หรือชนะมันก็ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของเจ้า ไม่ว่าสุดท้ายผลจะเป็นอย่างไรขอแค่เจ้าตั้งใจจริงก็เพียงพอแล้ว”

      “ขอบพระทัยที่เข้าใจลูก”

      มัฟฟินเดินกลับไปวีวี่ที่ห้อง นึกไม่ถึงว่าพอเปิดประตูเข้าไปจะพบว่าวีวี่กำลังเก็บข้าวของอยู่ เขาเดินเข้าไปกระชากแขนวีวี่อย่างลืมตัว

      “เจ้ากำลังทำอะไร!

      “อะไรของเจ้าเนี่ยมัฟฟิน ข้าก็กำลังจะกลับน่ะสิ! ” วีวี่สะบัดแขนออก

      “ข้า ไม่ ให้ กลับ” มัฟฟินพูดเน้นเสียง

      “ถ้าข้าไม่กลับไปพวกเขาก็จะบุกมาชิงตัวข้า เจ้าอยากให้เกิดสงครามหรือไง! นี่ไม่ใช่เหรอเรื่องวุ่นวายที่เจ้าไม่อยากให้เกิด”

      “ตอนนี้ข้าอยากแล้ว แค่เจ้าบอกมาคำเดียวว่าอยากอยู่กับข้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าก็จะทำเพื่อเจ้า” มัฟฟินจับไหล่วีวี่แน่น มองลึกลงไปในดวงตาคู่สวยที่เขาหลงใหล แน่นอนว่าวีวี่รู้ว่าคำพูดนั้นหมายถึงอะไร เจ้าชายปีศาจกำลังคิดจะทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องที่เธอเคยคิดว่ามันคงเป็นแค่ความฝันที่ไม่มีวันกลายเป็นจริง

      “อยาก...” สิ้นเสียงร่างบางก็ถูกดึงเข้าไปกอดแน่น อ้อมกอดที่รัดแน่นจนน่าอึดอัดแต่มันเป็นสิ่งที่เธอโหยหามาโดยตลอด เหมือนความสุขถูกเติมเต็มจนอดน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

      “ร้องไห้ทำไม เสียใจที่เลือกข้าหรือ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มกระซิบอยู่ริมหู

      “ข้าดีใจต่างหากล่ะ ทำไมพวกเราถึงไม่พูดความรู้สึกกันให้เร็วกว่านี้นะ”

      “จะช้าหรือเร็ว แค่ผลลัพธ์ออกมาดีก็พอแล้ว”

      “จำที่ข้าเคยพูดได้ไหมมัฟฟิน ข้าบอกว่าคิดไม่ผิดจริงๆที่เลือกเจ้า เจ้าเข้าใจความหมายหรือเปล่า”

      “เจ้าหมายความว่าอย่างไรหรือ? ”

      “อิสระครั้งสุดท้ายก่อนการแต่งงาน ข้าเลือกที่จะมาอยู่กับเจ้า”

      “แบบนี้ค่อยคุ้มกับที่ข้าตัดสินใจหน่อย” พูดจบมัฟฟินก็จูบหนักๆลงที่ขมับของวีวี่ก่อนจะผละออกและเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

      “ขอให้เรื่องนี้จบลงด้วยดี เจ้าต้องรีบกลับมาหาข้านะมัฟฟิน” วีวี่มองส่งร่างสูงไปจนลับสายตา

       

      กองทัพมนุษย์ที่ฝ่าออกมาจากป่าปีศาจปะทะกับกองทัพปีศาจทันที ถึงปีศาจจะมีจำนวนน้อยกว่าแต่ก็ไม่ได้เสียเปรียบเลยแม้แต่นิด นี่อาจจะเป็นการปะทะกันครั้งแรกในรอบร้อยปีระหว่างมนุษย์กับปีศาจ ถึงแม้ขนาดตัวจะไม่แตกต่างกันมากแต่ปีศาจแข็งแรงกว่ามนุษย์ ปีศาจตนหนึ่งสามารถรับมือกับมนุษย์ได้ถึงทีละสามคน นั่นทำให้ไม่มีใครคาดเดาบทสรุปของสงครามครั้งนี้ได้

      วีวี่เฝ้ารออยู่ที่วังปีศาจอย่างกระวนกระวายใจ เธอไม่อาจทิ้งชายที่เธอรักกลับไปแต่งงานกับคนอื่น แต่หากจะให้ทิ้งเผ่าพันธุ์ตัวเองก็คงถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ การที่เธอบอกความรู้สึกตัวเองออกไปเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่านะ เพราะมัวแต่เป็นห่วงมัฟฟินที่อยู่ในสงครามทำให้วีวี่ไม่รู้สึกตัวว่ามีใครบางคนเข้ามาในห้อง

      “ท่าทางจะกังวลมากสินะ เจ้าหญิงเวเลอเรีย” นี่เป็นครั้งที่สองที่เธอได้พบกับสตรีที่สูงส่งที่สุดในดินแดนปีศาจ ราชินีปีศาจกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอ

      “แล้วท่านไม่กังวลเหรอคะ ลูกชายของท่านกำลังอยู่ในสงครามนะ”

      “ข้าต้องกังวลเรื่องนั้นอยู่แล้ว แต่นั่นเป็นสิ่งที่มัฟฟินตัดสินใจ และข้าก็รู้ผลของสงครามครั้งนี้ดี”

      “รู้ผล? ท่านหมายความว่ายังไงกัน” วีวี่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

      “ปีศาจอย่างเรามีพละกำลังมากกว่ามนุษย์หลายเท่าและต่อให้เป็นปีศาจที่อ่อนแอที่สุดก็ยังสามารถเอาชนะมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย พวกเราต่อสู้สามวันสามคืนได้โดยไม่ต้องพัก เรื่องมีจำนวนน้อยกว่าจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ได้ยินแบบนี้แล้วเจ้ารู้ผลของสงครามหรือยังล่ะ”

      “หมายความว่า พวกมนุษย์จะแพ้...” วีวี่ตกใจมาก

      “แน่นอนว่าเมอร์ฟีเน่รู้ข้อนี้ดีอยู่แล้ว และยังรู้อีกด้วยว่าเจ้าไม่มีทางดีใจที่เขาชนะ ดังนั้นเขาถึงคิดจะยอมแพ้ยังไงล่ะ! ” ตอนสุดท้ายราชินีปีศาจตะโกนออกมาอย่างลืมตัว

      “แบบนั้นข้าก็ไม่ดีใจเหมือนกัน”

      “เจ้านี่เห็นแก่ตัวเหลือเกินนะ เพราะเจ้าไม่ยอมตัดสินใจให้เด็ดขาดมัฟฟินถึงต้องทำแบบนี้ เขาคิดจะยอมแพ้แล้วขอเจรจากับพวกมนุษย์ แล้วมนุษย์น่ะเหรอจะยอมเจรจากับปีศาจดีๆ”

      “ข้าจะไปหาพวกเขา ต้องรีบไปหยุดสงครามนี้! ” วีวี่วิ่งออกมาจากห้อง เธอวิ่งตรงไปที่คอกมังกรและภาวนาให้มันอยู่ที่นั่น คำภาวนาของเธอเป็นผล สัตว์เลี้ยงของมัฟฟินยังอยู่ในคอกและมีอานใส่ไว้พร้อมขี่เหมือนมีคนจงใจมาเตรียมไว้ให้

      เมื่อมองลงไปจากบนท้องฟ้าเหมือนสงครามด้านล่างเป็นการบรรจบกันของแสงสว่างและความมืด ปีศาจแต่งกายด้วยสีดำมีจำนวนน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด วีวี่มองเห็นมัฟฟินท่ามกลางเหล่าปีศาจมากมายได้ในทันที เขาดูสงบเยือกเย็นอย่างน่าประหลาด บางทีนี่คงไม่ใช่มัฟฟินแสนดีที่เธอรู้จัก แต่เป็นเจ้าชายปีศาจเมอร์ฟีเน่

      “มัฟฟิน! ” เร็วเกินกว่าที่ใครจะตั้งตัวได้ทัน วีวี่ทิ้งตัวลงจากหลังมังกรสู่สงครามวุ่นวายเบื้องล่างสร้างความตกใจให้ทั้งมนุษย์และปีศาจ มีเพียงคนเดียวที่วิ่งสุดชีวิตกระโดดเข้าไปรับร่างของเธอ

      “ทำไมถึงทำอะไรงี่เง่าแบบนี้! ” มัฟฟินตะคอกร่างในอ้อมกอด หากเขาช้าไปนิดเดียวอาจต้องเสียใจและเธอไปตลอดชีวิต

      “เวเลอเรีย! ” พระราชาแห่งอาณาจักรฟีลาเดเฟียตามด้วยเจ้าชายฟีลิกซ์วิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน

      “ท่านพ่อ...” วีวี่น้ำตาคลอ

      “เอามือสกปรกของเจ้าออกจากเวเลอเรียเดี๋ยวนี้! ” ดาบของเจ้าชายฟิลิกซ์ชี้มายังมัฟฟินที่จ้องตอบอย่างท้าทาย

      “หยุดนะฟีลิกซ์! ถ้าจะฆ่าคนที่ข้ารักเจ้าก็ต้องฆ่าข้าก่อน” วีวี่ดันมัฟฟินไปด้านหลังพร้อมกางแขนอย่างปกป้อง

      “เวเลอเรีย นี่เจ้า...” พระราชามองลูกสาวด้วยความสับสน

      “ลูกรักเขาค่ะท่านพ่อ ที่ลูกหนีออกจากวังบ่อยๆก็เพื่อไปเจอเขา และครั้งนี้เขาก็ไม่ได้จับตัวลูกแต่เป็นลูกเองที่อยากไปกับเขา"

      “ท่านพ่ออย่าไปฟัง เวเลอเรียหายตัวไปนานขนาดนั้นอาจถูกปีศาจล้างสมองไปแล้วก็ได้ พวกเรารีบฆ่าเจ้าปีศาจนี่เถอะ”

      “หุบปากนะฟีลิกซ์! ท่านพ่อโปรดเชื่อลูก พวกเรารักกันจริงๆ”

      “ข้ายินดีจะทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ว่าข้ารักเวเลอเรียจริง ต่อให้นั่นคือการต้องตายก็ตาม” มัฟฟินพูดขึ้น

      “งั้นก็อย่าดีแต่พูด ถ้าเจ้ารักลูกข้าจริงก็ใช้ดาบนี่แทงนางเสีย ถ้าเจ้ากล้าทำข้าถึงจะเชื่อ” พระราชาพูดเสียงดังฟังชัด ทุกคนต่างก็มีสีหน้าตกตะลึง ดาบสีเงินสะท้อนใบหน้าซีดเผือดของมัฟฟิน แล้วเลือดสีแดงก็สาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ...

       

      หลังจากนั้นไม่นานพิธีอภิเษกก็ถูกจัดขึ้น ผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินต่างยินดีกับการอภิเษกครั้งนี้ พระราชาค่อยๆพาเจ้าหญิงเวเลอเรียเจ้าสาวของงานนี้เดินตรงไปยังแท่นพิธีที่มีเจ้าบ่าวยืนรออยู่ เมื่อส่งมือลูกสาวให้เจ้าบ่าวเสร็จพระราชาก็พูดขึ้นว่า “ฝากลูกสาวข้าด้วยนะ”

      “ข้าจะดูแลนางเป็นอย่างดี” เจ้าบ่าวตอบพร้อมยิ้มบางๆ

      หลังพิธีอภิเษกเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาอยู่ร่วมกันของคู่บ่าวสาว เวเลอเรียมองผู้ที่กลายมาเป็นสามีของนางอย่างเต็มตัวด้วยสายตามีความหมาย มือบางลูบแผ่นอกของเขาเบาๆ

      “แผลหายหรือยัง” เธอถามขึ้น

      “ก็ดีขึ้นแล้ว ความรักของเจ้าทำให้แผลฟื้นตัวเร็วขึ้น” ไม่พูดเปล่าคนพูดยังแถมด้วยการเปิดแผลให้ดู

      เมื่อเห็นแผลนี้หัวใจของเธอก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา นึกไม่ถึงว่าคนตรงหน้าจะทำอะไรที่บ้าบิ่นแบบนั้น หลังจากรับดาบจากพ่อของเธอมัฟฟินก็มองเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง พริบตาที่เลือดสีแดงกระเด็นมาเปื้อนตัวเธอถึงได้รู้ว่าเขากล้าทำเช่นนั้นจริงๆ ‘...ต่อให้นั่นคือการต้องตายก็ตาม

      “ข้าไม่อาจทำตามที่ท่านพูดได้ หากข้าต้องลงดาบกับนางข้ายินดีให้ดาบนั้นแทงร่างข้าเองดีกว่า” คำพูดสุดท้ายที่ได้ยินก่อนที่ร่างสูงจะล้มลงสู่พื้น

      เวเลอเรียแทบคลั่งที่เห็นภาพนั้น เธอกระโจนเข้าหาร่างของเขาหากไม่มีคนมาจับไว้เธออาจใช้ดาบนั่นทำแบบเดียวกันไปแล้วก็ได้ เมื่อราชาปีศาจรู้เรื่องนี้ก็เข้ามาอาละวาดอย่างหนัก ผลจากการอาละวาดของเขาเลวร้ายยิ่งกว่าสงครามเสียอีก เพราะเหตุนั้นสงครามจึงจบลงอย่างเงียบๆ มัฟฟินถูกส่งตัวกลับไปรักษาที่วังปีศาจ ส่วนเธอก็ถูกบังคับให้กลับฟิลาเดเฟีย ท่านพ่อมาสารภาพกับเธอทีหลังว่าหากเขาแทงเธอจริงก็มีนักเวทย์ที่สามารถช่วยเธอได้ทันแน่นอน แต่ท่านพ่อคงไม่คิดหรอกว่าเรื่องมันจะลงเอยแบบนี้ ส่วนฟีลิกซ์ก็เดินทางกลับอาณาจักรของตัวเองในวันต่อมา

      เวเลอเรียใช้ชีวิตอย่างคนหัวใจสลาย จนวันหนึ่งคนที่เธอไม่คาดคิดก็มาปรากฏตัวที่ระเบียงห้องเธออีกครั้ง ความรู้สึกในตอนนั้นมันผสมปนเปกันไปหมด ทั้งดีใจ ทั้งตกใจ และตื้นตันจนน้ำตาไหล มัฟฟินที่ไม่ใช่แค่ความฝันเดินเข้ามาคุกเข่าตรงหน้าเธอ

      “เจ้ายินดีจะแต่งงานกับเจ้าชายปีศาจอย่างข้าไหม เจ้าหญิงเวเลอเรีย”

      ถ้าตอนนั้นมัฟฟินชวนให้เธอหนีไปกับเขา เธออาจจะไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เพราะความลังเลของเธอเคยทำให้เธอและเขาต้องเจ็บปวด เธอพร้อมจะยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเขาจริงๆ

      หลังจากพิธีอภิเษกในอาณาจักรฟิลาเดียเฟียเสร็จสิ้น เวเลอเรียก็เก็บข้าวของตามมัฟฟินไปอยู่ที่แดนปีศาจ เรียกง่ายๆว่าไปอยู่บ้านสามี

      “ข้ายังต้องสร้างวีรกรรมเพื่อพิสูจน์ตัวเองอยู่หรือเปล่าครับ ท่านพ่อ” มัฟฟินถามขึ้นในวันหนึ่งที่พวกเขาอยู่กันพร้อมหน้าทั้งครอบครัว ราชาปีศาจมองลูกชายก่อนจะพูดเสียงเรียบ

      “ยังจะต้องทำอะไรอีกล่ะ ในเมื่อตอนนี้เจ้าขโมยตัวเจ้าหญิงมาได้แล้ว แถมยังขโมยมาแบบตลอดชีวิตเสียด้วย” ทั้งมัฟฟิน เวเลอเรีย และราชินีปีศาจต่างก็หัวเราะกับคำพูดนั้น

      “แล้วนี่ใกล้ถึงฤดูผสมพันธุ์ของพวกมนุษย์หรือยัง เวเลอเรีย” คำพูดของราชินีปีศาจทำเอาเวเลอเรียอ้าปากพะงาบๆ นั่นมันฤดูบ้าอะไรกันล่ะนั่น!

      “นั่นน่ะสิ แทนที่จะพูดถึงเรื่องสร้างวีรกรรมอะไรนั่น พวกเจ้ารีบสร้างทายาทมาให้ข้าอุ้มเร็วๆจะดีกว่า ฮ่าๆๆ” เป็นครั้งแรกที่เวเลอเรียรู้สึกอยากลอบปลงพระชนม์ราชาปีศาจ เพราะเมื่อมัฟฟินได้ยินคำพูดนั่นก็หันมาจ้องหน้าเธอด้วยดวงตาแพรวพราว

      “อย่ามามองข้าแบบนั้นนะ! ” เมื่อเห็นใบหน้างามของเจ้าหญิงเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดเจ้าชายปีศาจก็ยิ่งชอบใจ

      “คืนนี้เรามาสร้างทายาทกันเลยดีไหม? เจ้าหญิงเวเลอเรีย”

       

       

      ++++++ THE END ++++++
       

       


      ฝากนิยายอีกเรื่องด้วยค่ะ^^

       

       photo banner-toey-custom_zps24cdc059.gif

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×