ปกติเราจะป่วยเป็นไข้หวัดปีละ 2 ครั้ง คือช่วงเดือนกันยายน จะเป็นช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงจากฤดูฝนไปเป็นฤดูหนาว เราก็จะเป็นหวัดทีนึง และจะเป็นอีกทีช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงจากฤดูหนาวไปสู่ฤดูร้อน และจะเป็นอยู่เพียงเท่านี้ ร่างกายไม่เคยมีอาการผิดปกติอื่นใดอีกเลย ก็นับว่าเป็นคนที่สุขภาพดีพอควร
ทางภาคเหนือเวลาอากาศเปลี่ยนแปลงทีนึง มันจะชัดเจนมากจนบางทีเราปรับตัวไม่ทัน (ซึ่งเราก็ปรับตัวไม่ทันมันทุกปีนั่นแหละ 555)
แต่มาคราวนี้ช่วงเดือนมิถุนายนซึ่งอากาศไม่น่าจะแปรปรวน แต่เรากลับป่วย...อาการที่เป็นคือแสบคอและไอแต่ไม่มีน้ำมูก ซึ่งนับว่าเป็นอาการที่เราไม่เคยเป็น เพราะทุกทีอาการของไข้หวัดสำหรับเราจะมาเป็นเซ็ท คือ เริ่มต้นด้วยเจ็บคอ มีน้ำมูกและไข้ ซึ่งไปหาหมอได้ยามาทาน 3 วันก็หาย แต่คราวนี้ยอมรับว่าแปลกมาก...
วันนี้จึงหาเวลาไปหาหมออีกครั้ง คำแรกที่หมอถามคือ ออกกำลังกายบ้างหรือเปล่า ภูมิคุ้มกันเราต่ำมาก เพราะเป็นติด ๆ กันมา 3 รอบแล้ว เว้นช่วงไม่ถึงสัปดาห์ เราก็เริ่มฉุกคิดถึงชีวิตประจำวันที่เราเป็นในช่วงหนึ่งปีนี้
ปกติแต่ไหนแต่ไรมา เราจะกินอาหารเยอะ มีความสุขกับการกินมาก และเป็นธรรมดาถ้ากินเยอะแล้วไม่ออกกำลังกายไขมันก็จะสะสม ดังนั้นเลิกงานตอนเย็นเราก็ออกกำลังกายเช่นวิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน สลับสับเปลี่ยนกันไป เข้านอนได้ไม่เกินสี่ทุ่ม เพราะร่างกายมันทนต่อการนอนดึกไม่ได้ หกโมงเช้าตื่นนอน หาอะไรกิน แต่งตัวแล้วไปทำงาน อาหารเสริมยังกินอยู่เป็นปกติ เพราะเป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวย อิอิ
ทีนี้มาถึงวงจรชีวิตในช่วงหนึ่งปี (มันก็เริ่มต้นมาตั้งแต่เขียนนิยายนั่นแหละ) ชีวิตที่เราเพิ่งค้นพบความสุขอีกอย่างคือการขีด ๆ เขียน ๆ นิยาย เราตื่นนอนแต่เช้าตีสี่ – ตีห้า เพราะเตรียมนิยายที่เขียนไว้อัพลงเว็บให้คนอ่านได้อ่าน เราไปทำงานด้วยความรีบเร่งเพราะ 8 โมง บางครั้งเรายังไม่ได้กินอะไรด้วยมัวปล้ำเน็ตที่เฉื่อยเป็นเต่า กินมื้อเที่ยงกับโต๊ะทำงานในขณะที่ปากก็เคี้ยว ตาก็จ้องหน้าจอ ตกเย็นถึงบ้าน ก็ใช้ชีวิตอยู่กับหน้าจอ พักทานข้าวมื้อเย็นประมาณหนึ่งทุ่ม และอยู่กับมันยาวไปถึงห้าทุ่ม – เที่ยงคืน ส่วนคืนวันศุกร์กับวันเสาร์ ต้องพูดว่าโต้รุ่งกันเลยทีเดียว อาหารที่กินก็กินเยอะเหมือนเคยไม่ได้เพราะรู้ตัวดีว่าไม่ได้ออกกำลังกาย กินเยอะเดี๋ยวไขมันก็สะสม (กลัวอ้วน) แต่อาหารเสริมก็ยังคงกินอยู่เป็นปกติไม่เคยขาด
เรามาคำนวณเวลาที่วงจรชีวิตเราเริ่มเปลี่ยนมาจนถึงวันนี้ มันก็จะครบรอบหนึ่งปีพอดี นิยายวางแผงไปแล้ว 2 เล่มและเรื่องที่ 3 กับ 4 กำลังจ่อคิว มันเป็นความภาคภูมิใจที่งดงาม แต่ในขณะเดียวกัน วันนี้คุณหมอบอกว่าให้เราดูแลตัวเองบ้าง สุขภาพไม่ดีเลย...เราเลยเริ่มหันมามองดูตัว ก่อนจะยอมรับว่าเราลืมชีวิตประจำวันหลาย ๆ อย่างที่เคยทำและตอนนี้มันได้เริ่มส่งผลต่อสุขภาพตัวเองเข้าแล้ว
เราเมินที่จะไปว่ายน้ำ ไปวิ่ง หรือไปปั่นจักรยาน หลังเวลาเลิกงานแถมเรายังนั่งกับโต๊ะทั้งวัน ตอนนี้เริ่มชักลังเลว่ามันคุ้มไหมที่เป็นขนาดนี้ จริงอยู่มันไม่ได้ป่วยอะไรมากมาย แต่เราเริ่มรำคาญอาการที่ตัวเองเป็น คิด ๆ ดูแล้ว แค่เวลา 30 นาทีต่อครั้ง สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ทำไมเราเมินมันจนต้องให้หมอมาสะกิดให้คิดแบบนี้
สงสัยคงถึงเวลาที่เราต้องกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมแล้วมั้ง...อาหารเสริมที่เคยคิดว่าดี มันกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย เอ...หรือมันคงช่วยได้บ้างเช่น ไม่ทำให้เราเป็นหนักกว่านี้ (หรือเปล่า) คงต้องได้ลดอาการโหมเขียนนิยายนี่ลง แบ่งเวลาไปออกกำลังกายบ้างสัปดาห์ละ 3 วัน แต่ช่วงนี้คงยัง...เพราะต้องทานยาและนอนพัก อีกอย่างการออกกำลังกายตอนเราไม่สบาย เป็นการทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง
อ่ะนะ ไปออกกำลังกันเถอะพี่ ๆ น้อง ๆ ทั้งหลาย การที่ร่างกายเราไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ มันเป็นความทุกข์อย่างหนึ่ง
ความคิดเห็น
555+
ดูแลสุขภาพนะค่ะพี่น้ำ
น้องเป็นห่วงจ๊า...
คิดถึงพี่น้ำจังเลย เฮ้อ...
แวะมาอ่านค่ะเพราะเห็นหัวข้อน่าสนใจดี
ที่ว่าน่าสนใจเพราะคิดว่า
นักเขียนไม่ค่อยจะสนใจเรื่องสุขภาพ
ส่วนใหญ่จะหลงใหลอยู่ในจินตนาการ
และตัวอักษรที่มันวิ่งออกมาจากความคิดที่หลากไหลอย่างไม่หยุดยั้ง
พี่(ขออนุญาตแทนตัวเองว่าพี่เพ็ญนะคะ)ก็เคยเป็นอย่างนั้น
แล้วร่างกายมันก็แย่เพราะไม่ค่อยได้เคลื่อนไหว
ส่วนใหญ่ก็จะนั่งทำงานอยู่กับโต๊ะและอยู่หน้าคอมพิวเตอร์
เหตุการณ์ที่คุณบุษบาฮาวายได้พบอยู่ในขณะนี้
พี่ก็ผ่านมาแล้วแต่...มันไม่ใช่วิธีแก้ไขที่ถูกต้องเสียทั้งหมด
วิธีที่พี่ใช้และทำให้ได้ผลดีคือหาเวลาว่างสักเพียงเล็กน้อย
นั่งหลับตาสักสิบ-สิบห้านาที แล้วให้ดูที่ลมหายใจเข้า-ออก
หยุดความคิด หยุดอารมณ์ หยุดความฟุ้งซ่านทุกอย่าง
แล้วคุณจะพบว่ามันยอดเยี่ยมยิ่งกว่ายาขนานไหน ๆ ในโลก
เดี๋ยวนี้แม้แต่เวลาไม่สบายก็เพียงแค่ภาวนา พุท-โธ เท่านั้น
ก็ไม่ต้องไปนอนป่วยแล้ว มันป่วยค่ะแต่ร่างกายมันต้านได้
ก็เลยเหมือนคนไม่ป่วย(แค่ไข้หวัดค่ะ)
ตอนนี้พี่สามารถทำได้วันละ 1 ชั่วโมง โอ มันวิเศษมากเลยค่ะ
ลองทำดูนะคะเผื่อสุขภาพจะดีขึ้น
ขอให้มีความสุขกับงานที่คุณรัก....เหมือนพี่ค่ะ