Medic
ชีวิตเสนารักษ์คนหนึ่งในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง - ไม่อิงประวัติศาสตร์ - *อาจมีถ้อยคำไม่สุภาพ*
ผู้เข้าชมรวม
307
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เมืองแวร์เดิง
20 มกราคม
10.00 น.
"อ๊ากกกกกกกกกกกกกก อ๊ากกกกกกกกกกกกกก !!!!" "อดทนหน่อยเพื่อน อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว" ผมพูดพลางกึ่งคลานกึ่งลากใครก็ไม่รู้ถูลู่ถูกังลงไปในสนามเพลาะ
"คนนี้ขาที่ขาดตกอยู่กลางสนามไปเก็บไม่ได้ เดี๋ยวผมจะขึ้นไปลากลงมาอีก พลปืนกลยิงคุ้มกันให้ด้วย" ผมปีนขึ้นไปอีกครั้ง ข้างบนนี้มีสภาพไม่ต่างอะไรไปจากนรกเลย ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ ถึงแม้จะยังไม่เคยไปก็เถอะ
ผมเพิ่งถูกย้ายมาใหม่ เป็นกำลังเสริมหน่วยที่ 30 พอลงมาก็ต้องรบเลยไม่มีการพูดพล่ามทำเพลงแนะนำตัว
พื้นดินเป็นหลุมเป็นบ่อไปทั่ว การรบที่สถานที่แห่งนี้ดำเนินมาเป็นวันที่ 5 แล้ว แนวรบของแต่ละฝ่ายต่างไม่ขยับเขยื้อน เป็นจุดที่จะทำให้เกิดการพลิกผันของสงครามเพราะ
จากจุดนี้ไปก็จะเป็นเนื้อดินแดนฝ่ายศัตรูที่โล่งเนื่องจากนำทหารมาตรึงจุดนี้หมด ดังนั้น ยิ่งสูญเสียมาก ยิ่งต้องเสริมมาก สภาพมันเลยไม่ต่างอะไรไปจาก เอ่อ....
เฟี้ยว! เสียงกระสุนเฉี่ยวผ่านข้างผมไป ปาดเอาหูแหว่งไปส่วนหนึ่ง ติ่งหูขาด "โอ้ยย แม่งเอ้ยยย" พูดไปวิ่งไป เฟี้ยวววววววว "เฮ้ยยยยย" "หมอบ!" ตูม! ผมกึ่งหมอบกึ่งกลิ้ง ล้มลุกคลุกคลาน ได้ยินเสียงหลอดยาในกระเป๋าแตก "ฉิบหายกูอยู่ไม่ได้แล้ว"
การระเบิดของลูกกระสุนปืนใหญ่ทำให้ผมต้องลุกขึ้นวิ่งต่อ แรงดันระเบิดทำให้หูผมหนวกชั่วคราว เศษดินเศษหินปลิวว่อน ทุกอย่างดูเหมือนภาพสโลวโมชั่น เมื่อถึงเป้าหมาย
"มาแล้วเพื่อน แฮ่ก แฮ่ก นายเป็นไงบ้าง" แล้วผมก็จับเขาพลิกตัวขึ้นมา หน้าเขาเปรอะไปด้วยโคลน ตาปิด นอนนิ่ง ไม่มีชีพจร
"บ้าเอ้ย ไอ้ห่าเสือกตายก่อนงี้กูก็เสียเที่ยวสิวะ พ่องตื่นเร็วเฮ้ย" พล่ามระบายอารมณ์อยู่คนเดียวเหมือนคนบ้า ผมหายใจหอบขณะที่นอนคว่ำตรวจศพอยู่ ตามองไปรอบๆ ทหารฝ่ายพันธมิตรพวกเดียวกับผมวิ่งขึ้นจากสนามเพลาะด้านหลังอย่างไม่ลดละ
หมอกควันสีขาวปกคลุมไปทั่ว ทำให้มองเห็นในระยะประมาณ 200 เมตรเท่านั้น สีขาวของหิมะลงมาปกคลุมเลือดและร่างที่แดงฉานบนพื้นดิน
ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ "ไป ไป ไป!" เสียงพลปืนกลคุ้มกันสั่งลูกหมู่วิ่ง "เฮฮฮฮฮฮ ปังๆ ๆ อั่ก" ล้มลงอีกหนึ่ง สอง สาม สี่ ... โอย นี่กูต้องไปช่วยอีกเท่าไหร่เนี่ย
ผมใช้โอกาสช่วงชุลมุนวิ่งอีกครั้ง เฟี้ยวววว ฉะ! "โอ้ยยยย" ผมกลิ้งลงไปกองกับพื้น "อั่ก เล่นขากูซะแล้ว แม่งเอ้ยย" ผมกัดกรามแน่น พยายามลุกขึ้นมา กึ่งลากกึ่งคลานไปยังทหารอีกคนที่ยังดูน่าจะมีชีวิต
เขาโดนยิงที่หน้าท้อง เลือดไหลออกไม่หยุด ตัวสั่น หน้าซีด "เริ่มมีอาการช๊อค แย่ละสิ" ผมจึงตัดสินใจ ลากเขากลับสนามเพลาะพร้อมกัน "เอ้า นี่อีกคน ช๊อค แผลโดนยิงท้อง"
พวกที่อยู่ในสนามเพลาะช่วยกันยกทหารคนนั้นขึ้นเปลสนามเลือดเกรอะกรัง ผมคลานออกไปอีกครั้ง
กลิ่นศพผสมกลิ่นดินประสิวคลุ้ง ศพนอนตายเกลื่อน เสียงกระสุนปืนรัวสนั่น ปืนใหญ่ยิงถล่มมั่วซั่วเนื่องจากทัศนวิสัยไม่ดี สุดท้ายวิ่งมาหยุดอยู่ในหลุมลูกระเบิดขนาดใหญ่หลุมหนึ่ง มีทหารพันธมิตรตั้งรับอยู่ 6 คน
4 คน ตั้งรับอยู่ที่เนินดิน คนหนึ่งบาดเจ็บ นอนหงายโดยมีอีกคนซึ่งคิดว่าเป็นแพทย์สนามตรวจอยู่
"แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก เขาเป็นอะไร" ผมวิ่งลงไปหมอบในหลุม "กระสุนปืนฝังอยู่ในโคนขา เขาเสียเลือดมาก ต้องผ่าตัดเอากระสุนออกทันที ช่วยหน่อยนะ" "ได้" ผมยื่นถุงมือพลาสติกเปรอะเลือดกับฟันยางให้
เขาใส่ถุงมือ เอาฟันยางใส่ในปากทหารที่โดนยิงเพื่อป้องกันการกัดลิ้นแล้วก็เริ่มดำเนินการ ผ่าแผลออกด้วยบาโยเน็ต(ดาบปลายปืน)ที่เช็ดแล้ว สภาพแผลเป็นรอยเหวอะขนาดใหญ่ มีเลือดไหลไม่หยุด
"กระสุนมันปาดเส้นเลือดแดงใหญ่โคนขาขาด เราต้องงัดกระสุนออกแล้วต่อเส้นเลือดใหม่"
ผมจับขาสองข้าง ทหารไรเฟิลอีกคนจับแขน แพทย์สนามคนนั้นเป็นคนดำเนินการผ่าตัด "อ้อกกกกกกกกกก อ๊ออกกกกกกก" เสียงที่ผ่านฟันยางออกมารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
เขาควานลงไป "บ้าเอ้ย เส้นเอ็นมันเริ่มหดกลับแล้ว จับไว้ให้แน่น" ฮึ่ย อึ่ย เจอแล้วกระสุน เขาคีบออกมา "ต่อไปเส้นเลือด" แขนผมสั่น เขาชัก! "แย่แล้วเขากำลังจะหมดสติ ชีพจรเบามาก กำลังช๊อค!" "โถ่เว้ยยยย......."
21 มกราคม
0.00 น.
ผมนั่งอยู่ในสนามเพลาะ หลังพิงกำแพง มือกำป้ายสลักชื่อ (DogTag) ประมาณ 10 อัน อากาศหนาวๆยังงี้ต้องซดกาแฟอุ่นๆ เฮ่อออ มีเสียงกระสุนปืนอยู่บ้างแต่เบาบาง ส่วนใหญ่เป็นเสียงปืนต่อสู้อากาศยานมากกว่า เขาให้พรางหน้า โลหะ และห้ามจุดไฟเพราะเครื่องบินสอดแนมจะพบได้ง่าย
ค่ำคืนนี้จึงมืดสนิท ประกอบกับเป็นแรม 15 ค่ำด้วยจึงแทบมองอะไรไม่เห็น เสื้อผ้าตอนนี้เละเทะ ทั้งโคลน เลือด หิมะ หูผมแหว่งไปหน่อยหนึ่ง ก็ยังดีกว่าโดนหัวละนะ ขาที่คิดว่าโดนยิงจริงๆไม่ใช่ มันเป็นรอยช้ำเขียว
แรงระเบิดคงจะดีดหินก้อนใหญ่ๆกระแทกใส่ขา "ไง หมอ" "หืม" คนที่นั่งยองๆข้างหน้าเรียกมั้ง "วันนี้งานหนักนิ" พูดแล้วเขาก็ยกแก้วกาแฟกระดกดังซู้ด "อืม" "อ่า กาแฟเข้มดีจริงๆ ชนแก้วกันหน่อยมั้ย"
"ฉลองในโอกาสอะไรฟระ" "รอดชีวิตในวันนี้" "ฮะฮะ เออ ชนก็ชน" แก๊ง เสียงแก้วแสตนเลสกระทบกัน น้ำในแก้วไม่มีกันทั้งคู่ "ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล นอนซะเหอะ พรุ่งนี้ต้องลุยต่อ" เฮ้อ ไม่บอกก็รู้น่า....
5.00 น.
เฟี้ยวววว ตูม ! "เฮือก" ผมสะดุ้งตื่น "เฮ้ยตื่นๆๆๆโว้ยตื่น เยอรมันยกพวกเอากาแฟมาให้พ่องแล้ว!!!" ตูมมมม ซ่าา ดินกระจายฟุ้ง "กาแฟเฮี๊ยแรงชิบหาย" ผมลุกขึ้นแล้ววิ่งไปตามสนามเพลาะจนสุดแล้วเลี้ยวเข้าไปในอุโมงค์
ข้างในไม่ค่อยกว้างมาก มีไฟเพียงไม่กี่ดวง แต่มีของวางเต็มไปหมด เสบียงเรียงเป็นตั้งอีกปลายอุโมงค์เป็นจุดทิ้งสเบียงและกำลังเสริม ซึ่งเมื่อเสบียงถึงพื้น เขาก็จะลำเลียงมาให้เราในนี้
ผมรื้อสัมภาระกองพะเนิน "เจอแล้ว ไอ่ห่ าหาตั้งนาน" เป้สนาม 1 ใบกับเป้ยา 1 ใบถูกผูกเข้าด้วยกันอย่างลวกๆ ผมหยิบขึ้นมาและเดินไปที่หน่วยเสบียง หยิบมา 8 กล่อง แล้วเดินอุ้มออกมาเป็นตั้ง
เดินไปจนถึงจุดที่รับผิดชอบ วางกล่องทั้งหลายลงกับพื้น แล้วแจกจ่ายข้าวให้ทหารที่กึ่งหมอบกึ่งยืนอยู่ริมสนามเพลาะ "เอ้า ข้าวมึง" "เออ ขอบใจ" "เป็นไง เยอรมันเลิกแจกกาแฟยัง" ผมถามเหมือนรู้จักกันมานานทั้งๆที่ไม่รู้จักเลย
"ใกล้และๆ มันคงจะหมดแรง..." ขณะที่กำลังจะใช้ช้อนตักข้าวใส่ปากคำแรก เฟี้ยววว... ฉะ! "โอ้ยชิบ.หาย ข้าวกู" ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ "เลิกแดกโว้ย มันมากันอีกแล้ว" แนวหน้าประจำสนามเพลาะถล่มกันอีกรอบ
6.30 น.
ฟ้าเริ่มสางอากาศค่อยอุ่นขึ้นมาหน่อย มีคนตกค้างอยู่กลางสนามรบที่ดุเดือดไม่มีเสบียงไปถึงประมาณ 50 คน กระสุนก็คงจะร่อยหรอแล้วด้วย หมอกลงจัดมาก หากออกไปช่วยตอนนี้ถึงจะรอดออกไป แต่กลับมาอาจจะถูกพวกเดียวกันเองยิงตาย
ฉะนั้น การช่วยเหลือจึงถูกเลื่อน
9.00 น.
หมอกจางลงแล้ว รถถังสนับสนุนมาถึงพอดี เป็น เอ็ม-1 เอแบรม 20 คัน "เอาละ พวกเรา ลุย!!!" "เฮ...ฮ" ทหารชุดแรก รวมผมด้วย วิ่งออกไปในสนามรบกว้างใหญ่พร้อมๆกับรถถัง
11.00 น.
"อดทนไว้เพื่อนอดทนไว้" ผมพูดพลางใช้เข็มฉีดยาดูดมอร์ฟีนขึ้นจากขวดเล็กๆ ผ้าที่มัดโคนแขนเขาทำให้เส้นเลือดปูดขึ้นมาให้เห็นเล็กน้อย ผมจึงทิ่มเข็มลงไป "เมดอีแวค (MEDEVAC) กำลังมารอก่อน แป๊บเดียว"
ผมวิ่งไปที่ซากรถถังเอแบรมคันต่อไป "ไอ่เวรเอ้ย ทำไมเป็นแบบนี้วะ" หิมะเริ่มปรอย กองร้อยผสมฝ่ายเราถูกถล่มเสียหายยับเยิน เนื่องจาก มี รถถัง T-60 จากฝ่ายนั้นบุกเข้ามาเหมือนกัน มาเจอกันตรงกลาง
สรุป เราวิ่งมาชนกันตรงกลางเพื่อที่จะเพิ่มซากปรักหักพังให้มันเยอะขึ้น
12.00 น.
ทหารบาดเจ็บหลายนายที่ช่วยได้เสียชีวิตไปแล้วเพราะพิษบาดแผล ควัมดำขโมงจากรถถังที่เสียหาย ตัดกับสีขาวของหิมะ "ฝะ ฝาก บอก ลูกๆ ผม ด้วยว่า พ่อ ติด ธุระ กลับ...ไม่ได้" "ไม่เอา มึงต้องกลับไปบอกพวกเขาเอง กูไม่บอกให้มึง"
ตาผมเริ่มมัวเพราะน้ำบัง "ฮะฮะ เออ ข้าวที่ แก แบกมาให้ตอน เช้า ข้า เสียดาย จัง ว่ะ.....ฮ่ะ ฮ่ะ " พลปืนกลที่ผมยื่นกล่องข้าวให้เมื่อเช้า ยกมือขึ้นจับแขนผมซึ่งกำลังเอามือกดปิดปากแผลขาซ้ายของเขาสุดชีวิต แล้วมือเขาก็ร่วงลง
"ไม่....ไม่.......ไอ้เวรเอ้ยยยยยยยยยยย" แพทย์สนามที่ช่วยทำการห้ามเลือดอยู่ก็ตบไหล่ผมแล้วเดินจากไป
18.00 น.
เฮลิคอปเตอร์เมดอีแวคเพิ่งจะมาถึง ผมยืนดู ฮ.บินเข้าและออก เขาขนไปเพียงผู้บาดเจ็บ ศพยังนอนเกลื่อนกลาด แดดเริ่มคล้อยแล้ว กระสุนปืนใหญ่ฝ่ายตรงข้ามบีบให้เรากลับไปที่สนามเพลาะเหมือนเดิม
20.00 น.
"แผลที่เท้านายเป็นไงบ้าง" "อืมรู้สึกค่อยยังชั่วแล้ว" "แล้วนายล่ะ" "อืม .. ก็ .. มั้ง" ผมเอะใจ "ถอดรองเท้าออกมา ขอดูหน่อย" แผลที่เห็นลางๆเป็นลักษณะถูกยิงที่เท้า กระสุนทะลุออกอีกด้านเป็นรูโบ๋เลือดติดกรัง
มีเลือดไหลอยู่เล็กน้อย เห็นกระดูกขาวอยู่ข้างใน "ไปที่กองหลัง นายรบไม่ได้แล้ว" ผมสั่ง "แต่.." "ห้ามแต่ กลับไปเดี๋ยวนี้!" เขาเขย่งลุกขึ้น เดินหายไปในสนามเพลาะที่มืดสนิท ผมต้องเดินไปที่รายต่อไป...
22 มกราคม
0.00 น.
คืนนี้นอนไม่หลับ รู้สึกพะอืดพะอม เสียงใบพัดเครื่องบินอยู่ไกลๆ สลับด้วยเสียง ปืนต่อสู้อากาศยานรัวเป็นชุดๆ ผมลุกขึ้น เดินไปยืนกึ่งหมอบที่ข้างสนามเพลาะ ดูพื้นที่ข้างหน้า มองอะไรไม่เห็นเลยแฮะ "อ้าว ยังไม่หลับเหรอหมอ เป็นอะไรไปหน้าพะอืดพะอมเชียว"
พลปืนกลที่เฝ้ายามอยู่ทัก "อืม วันนี้นอนไม่หลับ" "เฮ้อ เซ็ง บุหรี่ก็ห้ามสูบ หนังสือโป๊ก็อ่านไม่เห็น นอนก็ไม่ได้ ง่วงจะตายอยู่แล้ว ฮ้าววววววววว....." "ยังจะมีอารมณ์ดูหนังสือโป๊อยู่อีกเหรอเนี่ย ไปเดินเที่ยวก่อน เดี๋ยวมา" "รีบไปรีบมาล่ะ"
ผมเดินตามสนามเพลาะไปเรื่อยๆ พอถึงมุมมืดที่ไม่ค่อยมีคนผมก็หยุด ก้มต้ว มือท้าวผนัง .. "อ๊อก อ๊อก อ้ววกก แอว่ก แอ่ก แค่ก แค่ก แค่ก" เป็นหมอขืนเห็นศพแล้วอ้วกก็เสียหน้าแย่สิ ผมเอามือปาดปากแล้วเดินกลับ "เลยหิวข้าวเลยห่าเอ้ย"
6.00 น.
หน่วยสอดแนมออกไปตั้งแต่ 2.00 น. ไม่กลับมาซะที "โดนยิงตายห่ าแล้วมั้ง" ทหารปืนกลหน้าโหดข้างหลังผมโพล่งขึ้นมา ตกใจหมดไอ่เวร "เออกูก็ว่างั้นว่ะ" "เฮ่ยๆไม่มั้ง นั่นไงๆวิ่งมาแล้ว" พอมาถึงมันก็ไสลด์ตัวลงมาในสนามเพลาะ
"เฮ้ย เป็นไงได้ข่าวอะไรบ้าง" "แฮ่กแฮ่กแฮ่ก พวกมัน กำลังจะ... ใช้ระเบิดคลอรีน !!" "อะไรนะ!!" "ก็อย่างที่พูดแหละ พวกมันกำลังเตรียมระเบิดคลอรีนอยู่แนวหลัง ... แฮ่ก แฮ่ก .. กว่าจะสืบมาได้ เกือบตาย" "มันจะทำเสร็จเมื่อไหร่" หัวหน้ากองร้อยถามคิ้วขมวด
"ตอนนี้คิดว่ามันเสร็จประมาณ 90 เปอร์เซนต์แล้ว มันคงจะพร้อมในอีก 2 วัน" "ทุกคนเตรียมพร้อม เราจะยกทั้งหมดที่เรามีออกตีข้าศึก เริ่มทำการโจมตีเวลา 22.00 น. ย้ำ 22.00 น. ใครยังไม่ทำพินัยกรรมให้ไปทำที่ตอนนี้ที่กองธุรการ"
"แล้วมีอะไรอีกหรือเปล่า" ผมถามเพื่อความแน่ใจ "มี" "อะไรวะ?" "เหี้ยเอ้ย ศพบางศพเริ่มเน่าแล้ว ความเย็นเอาไม่อยู่" "เฮ้ย เรื่องปกติ ไม่แปลก ไปเตรียมตัวกันเถอะ"
12.00 น.
หิมะตกหนัก ขาวโพลนไปหมด สนามรบข้างหน้าเงียบ ไม่มีเสียงอะไรเลยนอกจากลมพัด ฝ่ายเราทุกคนต่างยืนประจำที่ ประมาณว่าถ้ามดเดินผ่านก็โดนยิง ผมทรุดตัวลงนั่งในสนามเพลาะที่เละเทะแฉะเป็นโคลน จมูกตอนนี้ไม่ได้กลิ่นอะไรแล้วนอกจากกลิ่นดินปืน
กลิ่นศพ กับกลิ่นตัวแต่ละคนที่เหม็นเน่ายิ่งกว่าสกังค์ซะอีก รู้สึกง่วงมาก เลยเอากล่องกระสุน .50 มาตั้งแล้วเอานั่งหัวเอียงไปทับ . . . . . .
23 มกราคม
00.00 น.
"เฮ้ย ย้ายโว้ยๆๆๆๆๆๆ" ตั่กๆๆ "ไปๆๆๆเร็ว" เสียงเอะอะทำให้ผมสะลึมสะลือลืมตา อ้าว มืดแล้วหรือนี่ ยกนาฬิกาข้อมือมาดู "เฮ้ย เลยเวลาโจมตีแล้วนี่หว่า ชิบหาย" สถานการณ์ในสนามเพลาะตอนนี้ชุลมุนวุ่นวาย ต่างคนต่างวิ่งเก็บของ
ผมลุกพรวดขึ้นวิ่งไปถามทหารคนหนึ่งซึ่งแบกปืนกลพะรุงพะรังที่ผ่านหน้าไป "นี่เกิดอะไรขึ้น..แล้ว" เขารีบเร่งพูด "ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว หมอไปอยู่ไหนมา รีบตามผมมา เร็ว!" ผมวิ่งตามเขาไป ซึ่งดูเหมือนทหารทุกคนกำลังไปทางเดียวกัน
มีเสียงเครื่องบินหลายลำ บินหึ่งมาจากอีกฝั่งของสนามรบ มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ลำหนึ่งบินโฉบลงมาแล้วสาดปืนกลรัวไม่ยั้ง ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ "โอ้ย อ๊ากกก" มันซัดพวกที่วิ่งอยู่ข้างหน้าร่วงไปหลายคน ผมก้มหลบทัน
"ป.ต.อ.ของพวกเราทำไมไม่ยิง!" ผมตะโกนถาม "สปายของฝ่ายเยอรมันทำลายเกลี้ยง" หลายลำกำลังตีวงเข้าแนวทางตรงของสนามเพลาะ กะว่าซัดตามแนวสนามเลย "ยุงเคอร์โว้ยยยย หลบเร็ววว!!" ปรังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เฟี้ยยววววว มันเฉี่ยวผ่านหัวไปไม่ถึง 20 เมตร ผมถึงทางแยกพอดีเลยหลบทัน โชคดีนะนี่
"เฮ้ หมอ หยิบ อาร์พีจีข้างๆให้หน่อย" ผมโยนให้ "แกจะเอาไปทำอะไรวะ" "จะตบยุง" "บ้าเปล่าเฮ้ย!!" มันไม่ฟังคำผม เดินออกไปยืนจังก้าอยู่กลางสนามเพลาะ อีกลำกำลังตีวงเข้ามาอีกแล้ว พอเครื่องตั้งตรง มันยิงจรวด
ลูกไฟพุ่งออกจากกระบอก วิ่งตรงไปข้างหน้า เฟี้ยยวววววววววววว...... ตูม! "โย่ว โดนเต็มๆ" มันทำท่าดีใจ "เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ยยย" เครื่องบินลำที่มันยิงพุ่งตรงลงมาตรงที่มันยืนอยู่ "ตายละโว้ยย" ตูม แคร้งงงงงงงงงงครืดดดดดด บรึ้มมมมมมมมม!!!
มันกระโดดเข้ามาทันพอดี "โฮ่ย เกือบไป" ผมนั่งนิ่ง นึกในใจ อยากไปไกลๆไอ้บ้านี่ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี
00.30 น.
พวกเราหนีเข้าป่า วิ่งสุดชีวิตและวางแผนว่าจะขึ้นเรือข้ามแม่น้ำไปยังอีกฝั่งซึ่งมีพวกเราประจำการอยู่ "คือว่า พวกที่บุกเข้าทะลวงแนวเยอรมันน่ะ ทำสำเร็จ บุกเข้าไปถึงถังก๊าซคลอรีน แต่เกิดอุบัติเหตุถังระเบิด แก๊สแพร่กระจาย ดูเหมือนว่าจะเป็นแผนสำรองของฝ่ายเยอรมันเพราะว่ามันใส่ชุดกันก๊าซถล่มกลับมา
ทันที แนวเราเลยแตกกระจัดกระจายไม่เป็นท่า ซวยจริงๆ" คงไม่ได้พบแนวหน้าพวกนั้นอีกแล้ว ผมรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ร่วมรบกับพวกนั้น ไม่ได้ตายด้วยกันในฐานะชายชาติทหาร กลับกลายเป็นทหาร AWOL (Absent WithOut Leaving)
ฐานะแบบนี้ ตายไปซะยังจะดีกว่าอยู่ นี่ผมอยากตายหรือนี่...
02.30 น.
ห่างจากแนวรบมาทางตะวันตก 10 กิโลเมตร
โชคดีที่กองทหารราบและรถถังติดตามเราไม่ทัน พวกเราขึ้นอีกฝั่งแม่น้ำ เมื่อยืนยันการเป็นทหารพันธมิตรแล้วจึงถูกเปิดให้เข้ามาได้ "กองทัพที่แวร์เดิงถูกทำลายเกลี้ยง เราเสียแนวรับไปแล้ว" "ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้เรารู้แล้ว เรามีแผนสำรอง"
30 มกราคม
1 สัปดาห์ผ่านไป
12.00 น.
ผมไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น สภาพบริเวณที่เคยเป็นแนวรบและที่มั่นของฝ่ายเยอรมันกลายเป็นดินสีดำ ต้นไม้กลายเป็นตอตะโกถูกเผาเกรียม ซากปรักหักพังกระจายอยู่ทั่วไป ไอแดดลอยขึ้นจากดิน
สภาพบริเวณทั่วไปรู้สึกเหมือนอยู่แถวเอเชียกลาง สภาพแดดที่แรงจ้าทำให้อากาศในชุดป้องกันสารเคมีของผมระอุ เหงื่อกาฬไหล แต่ผมต้องทำงานต่อไป งานของผมคือ "รักษาเชลยที่ได้รับบาดเจ็บ"
แต่ "เชลย" นั้น บางคนเสื้อผ้าโดนความร้อนสูงแกะออกจากตัวไม่ได้ กลายเป็นลายพิมพ์อยู่บนตัวอย่างน่าสยดสยอง บางคนตาบอด บางคนเสียสติไปเลย พวกนี้เป็นพวกที่โชคร้าย มีชีวิตอยู่ พวกที่โชคดีตายไปก่อนหน้านี้แล้ว
กองทัพพันธมิตรประกาศชัยชนะ โห่ร้องก้องยินดี ผมว่ามันไม่น่ายินดีเลยสักนิด เมื่อถามหัวหน้าบังคับการว่า "อะไรเกิดขึ้นกับที่นี่" คำตอบคือ "ทิ้งระเบิด" ผมไม่อยากถามต่อว่ามันคืออะไร
เพราะผมจำได้ว่า เคยเห็นสัญลักษณ์แปลกๆ เป็นรูปกังหันสามใบสีดำ พื้นเหลือง ติดป้ายไว้ว่า "แวร์เดิง" จึงพอปะติดปะต่อเรื่องได้ ผมทำงานต่อไป ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าอนาคตของโลก วันหนึ่งจะต้องหมดสิ้นไปกับไอ้เจ้าสิ่งนั้นแน่ๆ
อาจจะไม่ใช่ในรุ่นนี้ หรือรุ่นต่อไป แต่สักวัน มันจะต้องเกิดขึ้น อย่างแน่นอน ความวิบัติล่มสลายของโลก ด้วยน้ำมือของมนุษย์เอง
ผลงานอื่นๆ ของ Tolukin ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Tolukin
ความคิดเห็น