คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 7 /1
บทที่ 7
เช้าวันแรกในกระโจมของเบดูอินเผ่าบีทาเนีย ฟ้ายังไม่ทันสว่างหมอเมลอัสซาก็เข้ามาตรวจดูร่างกายของฟารุต ยาที่ใช้ในการรักษาบาดแผลเป็นสมุนไพรที่ใช้ได้ผลดีอย่างยิ่ง แผลของฟารุตแห้งไม่มีการอักเสบ
“อีกสองวันบาดแผลจะหายเกือบปกติ ช่วงนี้อย่าให้แผลโดนน้ำแค่นั้นเอง” เป็นคำแนะนำของหมอเมลอัสซา ก่อนที่เขาจะกลับออกจากกระโจมไป ฟารุตลุกออกมานอกกระโจม เสียงสนทนาเป็นภาษาอังกฤษของหญิงสาวฟารุตไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่า
เป็นใคร เขากวดสายตามองหาต้นตอเสียงว่าอยู่ตรงไหน ก็พบสองสาวคุยกันอย่างสนิทสนมอยู่หลังกระโจม วฏิรดาฟังลาเคยาเล่าบรรยายเรื่องราวของอูฐในทะเลทราย พร้อมกับให้เธอทำความคุ้นเคยกับมัน วฏิรดาค่อยๆ ลูบสีข้างของอูฐที่มอบอยู่เธอรู้สึกว่าสายตาของมันเป็นมิตรกับเธอตั้งแต่แรกเห็น
“เจ้าคิรา มันเชื่องพูดจารู้เรื่องช่างประจบเสียด้วย” เสียงบรรยายสรรพคุณของอูฐที่ชื่อ ‘คิรา’จากปากของลาเคยาเหมือนหนึ่งว่ามันรู้ภาษาคน
“ฉันจะลองขึ้นไปนั่งบนหลังมันตอนนี้ได้หรือเปล่าเคย่า”
“ได้เลยรดา แต่ฉันว่าเราไปเตรียมตัวให้พร้อมก่อนดีกว่า เดี๋ยวพอลองขึ้นหลังมันแล้วฉันจะให้มันพาเธอเที่ยวชมรอบโอเอซีสของเราดีมั๊ย”
“ท่านคาลิคจะว่าหรือเปล่า” วฏิรดายังรู้สึกเกรงใจหัวหน้าเผ่าขึ้นมา เพราะรู้ดีว่าทำเนียบปฏิบัติของเบดูอินนั้นผู้หญิงต้องเก็บตัวอยู่ในกระโจมและคอยดูแลเป็นแม่บ้านในกระโจมเท่านั้น การออกไปโลดโผนโจนทะยานจึงไม่ใช่วิสัยของสตรีชาวเบดูอิน แม้เธอจะได้รับข้อยกเว้นเพราะเป็นชาวต่างชาติแต่วฏิรดาก็ยังอดเกรงใจคาลิคไม่ได้
“ไม่ว่าหรอก ฉันอยากออกไปเที่ยวถ้าไม่มีท่านฉันก็ออกไปเที่ยวคนเดียวไม่ได้ นี่ฉันอ้างได้ว่าพารดา ออกไปชมทะเลทรายรับรองพ่อไม่ว่าอะไรแน่”
“งั้นเราไปเตรียมตัวกันเถอะ ฉันอยากออกไปชมทะเลทรายยามเช้าของที่นี่แล้ว” เสียงสนทนาของทั้งสองเงียบลง ฟารุตรู้สึกกังวลใจไม่น้อยที่สองสาวจะออกไปนอกโอเอซีส แต่การห้ามคงจะไม่เป็นผล เขาจึงหันหลังกลับเข้ามานอนพักในกระโจมปล่อยให้สองสาวแอบออกไปซนกันเอง ได้แต่หวังว่าความปลอดภัยของโอเอซีสแห่งนี้ที่มีหัวหน้าเผ่าที่เก่งอย่างคาลิคคงจะไม่มีอะไรมาทำอันตรายให้กับสองสาวได้
ฟารุตนอนพักรักษาแผลอยู่ได้สามวันอาการของเขาก็หายจนเกือบสนิท คาลิคเข้ามาพบเขาในเช้าวันที่สามพร้อมกับข่าวที่เขาต้องการ
“อาการดีขึ้นมากแล้วใช่มั๊ยท่านฟารุต” คาลิคถามกระแสเสียงของเขาอ่อนโยนจนฟารุตรับรู้ได้ถึงความห่วงใย
“ดีขึ้นมากแล้วท่านลุง ข้าต้องขอบคุณในความเมตตาที่ท่านลุงมีให้”
“คิดอะไรมากท่านฟารุต ท่านก็เหมือนลูกชายของข้าคนหนึ่ง ข้ากับพ่อท่านรักกันจนเรียกว่าตายแทนกันได้ ลูกชายของเขาก็เหมือนลูกชายของข้า ว่าแต่พ่อของท่านทราบข่าวท่านหรือยัง”
“ข้าไม่ได้แจ้งให้พ่อทราบ เกรงท่านจะเป็นห่วง การหายไปจากบ้านครั้งละหลายวันเป็นเรื่องปกติของอาชีพอย่างข้าอยู่แล้ว”
“แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อไป”
“ท่านลุงได้ข่าวมาอย่างไรบ้าง” คาลิครับปากจะตามข่าวจากเมืองหลวงให้ฟารุตรู้ว่าถ้าคาลิครับปากแล้วไม่มีวันพลาด
“ท่านพันโทโมฮัมเหม็ด อารีย์ โกมาร์ หัวหน้าทหารองค์รักษ์เข้าพบกับองค์หญิงเรเนียแล้ว ท่านติดตามข่าวอยู่ คนของข้าที่เข้าพบท่านแจ้งมาว่า คนที่ตามล่าท่าน ทางการยังไม่ทราบแน่ชัดแต่ พลตรีชิวฮาวี ผู้บัญชาการหน่วยรบทะเลทราย ได้อาสาออกติดตามช่วยเหลือท่าน พลตรีชิวฮาวีมีการติดต่อกองโจรทะเลทราย เพื่อติดตามข่าวท่านอีกทางหนึ่ง มีข่าวว่าพบศพของเหล่ากองโจรที่เข้าไปก่อเหตุในเมืองหลวง คงเป็นพวกเดียวกับที่ลอบยิงท่าน จึงยังคงสับสนอยู่มากยังจับต้นชนปลายหาศัตรูที่แท้จริงของท่านไม่ได้เลย”
“ขอบคุณท่านลุงคาลิค วันนี้ข้าตั้งใจว่าจะออกไปดูลาดเลาเสียหน่อยนอนพักมาหลายวันแล้ว”
“ม้าของท่านการามเอาไปดูแลให้ ถ้าจะเรียกใช้ก็เรียกการามได้เลย เงินทองท่านถ้าต้องการบอกข้ามาได้นะ” หัวหน้าเผ่าแสดงน้ำใจให้กับลูกชายเพื่อนรักอย่างเต็มที่
“ขอบคุณท่านลุง ข้าคงไม่รบกวน ก่อนจะหลบหนีมาองค์หญิงประทานให้มาเพียงพออยู่” ฟารุตบอกว่าเพียงพอแท้จริงแล้วมันมากพอที่จะใช้ชีวิตอย่างสบายในทะเลทรายได้เป็นปีเลยทีเดียว
ฟารุตออกสำรวจรอบๆ โอเอซีสคนเดียว เขาไม่ได้เจอวฏิรดามาสองวันเต็มๆ ได้แต่รับฟังข่าวจากคาลิคว่าเธอสนุกกับการออกเที่ยวรอบๆ โอเอซีส และพูดคุยกับคาราวานที่มาพัก
ม้าคู่ใจทะยานออกจากประตูรั้วที่สร้างอย่างแข็งแรงไว้รอบๆ ที่ตั้งกระโจมเพื่อป้องกันพายุทราย เขาบอกคาลิคว่าจะออกมาสำรวจแต่ม้าตัวเก่งกำลังถูกบังคับให้ทะยานไกลออกไปจากกระโจม การเดินทางในทะเลทรายโดยไม่มีวฏิรดาติดตามมาด้วยทำให้เขารู้สึกคล่องตัว
เขาบังคับม้าให้วิ่งฝ่าเนินทรายเนินแล้วเนินเล่าอย่างเร่งรีบ จนมาถึงภูเขาทรายลูกใหญ่ เสียงผิวปากเป็นจังหวะคล้ายส่งสัญญาณดังขึ้น หลังจากนั้นไม่นานม้าตัวหนึ่งที่มีชายวัยกลางคนอยู่บนหลังม้าก็ควบมาหยุดที่เนินเขา ชายคนดังกล่าวกระโดดลงจากหลังม้าแล้วเดินขึ้นเนินทรายมายังจุดที่ฟารุตนั่งอยู่
“นั่งก่อน” เสียงคนมาก่อนเอ่ยปากอนุญาต
“มีข่าวอะไรเพิ่มเติมมั๊ย”
“มีข่าวแจ้งมาว่าเมื่อคืนที่ผ่านมามีกลุ่มโจรแอบเข้าไปค้นบ้านของท่าน เอกสารต่างๆ กระจัดกระจาย แต่มันไม่ได้เอาของมีค่าอะไรเลย เช้าวันนี้ท่านพ่อไปแจ้งความเอาไว้ ตำรวจเข้าไปสอบสวนแล้วยังไม่ได้เบาะแสอะไร มีการปล่อยข่าวในหมู่ทหาร ตำรวจว่า ท่านหัหหลังรัฐบาลโดยการขายข่าวลับให้กับฝ่ายตรงข้าม แต่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเสียงส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าท่านจะเป็นคนทำเช่นนั้น ส่วนผู้บัญชาการหน่วยรบทะเลทรายได้อาสาจะติดตามช่วยเหลือท่าน”
“มันต้องการอะไร” ฟารุตพึมพำกับตัวเอง
“พ่อคงทราบแล้วว่าเราถูกตามล่าช่วยส่งข่าวบอกพ่อด้วยว่า เราปลอดภัยดี บอกท่านเพียงเท่านี้ แล้วมีข่าวอะไร อีกสองวันเราจะมารับข่าวจากท่าน” ทั้งสองแยกจากกันทันที่ทีภารกิจเสร็จสิ้น
ฟารุตพยายามคิดว่าใครคือคนปล่อยข่าวเรื่องการขายข่าว แล้วมันเข้าไปค้นบ้านของเขาเพื่ออะไร ข้อมูลที่ได้มาไม่พียงพอที่จะวิเคราะห์หาเหตุผลการตามล่าตัวเขา ความเป็นห่วงพ่อแม่ที่อยู่ในชีร่าห์ดัมมีมากยิ่งขึ้น ตราบใดที่ไม่รู้ว่าศัตรูคือใครเขาย่อมเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างแน่นอน
ฟารุตลงจากเนินเขามุ่งหน้ากลับที่พัก ออกจากเนินเขามาได้เพียงไม่นาน เขาได้ยินเสียงผู้หญิงร้องขอความช่วยเหลือแว่วมาในโสตประสาท ฟารุตหยุดม้านิ่งเพื่อฟังทิศทางของเสียง เสียงร้องที่โหยหวนทำให้เขาไม่สามารถบังคับม้าให้ผ่านเลยไปได้ ฟารุตชักม้าวิ่งไปยังทิศที่ได้ยินเสียง ไม่นานนักก็เห็นกลุ่มชายในชุดพื้นเมืองราวห้าคนกำลังชุดกระชากผู้หญิงคนหนึ่ง เสื้อผ้าของเธอขาดรุ่งริ่งอย่างน่าสงสาร เขาบังคับม้าตรงไปทันที ชายกลุ่มนั้นไม่ได้สนใจผู้มาเยือนใหม่เลย พวกมันตั้งตาลากเธอไปตามพื้นทราย
“ช่วยด้วย ช่วยเราด้วย” เสียงร้องขอความช่วยเหลือจากปากหญิงสาว ไม่ได้หยุดการกระทำของพวกมันได้
“ปล่อยเธอเสีย” เสียงสั่งที่เฉียบขาดทำให้ทุกคนหยุดเคลื่อนไหวหันมามองฟารุตอย่างไม่พอใจแต่ปืนพกในมือก็สามารถทำให้พวกมันนิ่งได้ ชายหนึ่งในกลุ่มชักมีดออกมาจากเอวแต่ยังไม่ทันจะยกมันขึ้น
ปั๊ง
มีดในมือของมันก็กระเด็นหล่นลงบนพื้นทราย ชายอีกล้วงเข้าไปในเสื้อมันชักมือออกมาพร้อมกับปืนสั้นแต่ไม่ทันได้ยกเล็งเช่นกัน
ปั๊ง
ข้อมือขวาที่กุมด้ามปืนอยู่ต้องสั่นระริกเพราะความเจ็บปวดที่กระสุนจากกระบอกปืนของฟารุตเจาะเข้าที่ข้อมือ เมื่อรู้ว่าจะสู้ไม่ได้พวกมันจึงพยักหน้าแล้วหันหลังต่างคนต่างวิ่งหนีไปคนละทาง ฟารุตกระโดดลงจากหลังม้าไม่คิดจะติดตามโจรกระจอกพวกนั้น เขาดึงผ้าที่พันรอบไหล่ไปห่อตัวหญิงสาวไว้
“ท่านมาจากไหน”
“เรามาจากคาราวานเบดูอินเร่รอน และถูกโจรดักปล้น พวกมันฆ่าพ่อแม่ของเราแล้วจับเรามา เราพยายามหนี หัวหน้ามันส่งลูกน้องตามมาทัน” เธอเล่าด้วยใบหน้าที่เปื้อนน้ำตา เม็ดทรายที่เปื้อนตามใบหน้าไม่ได้ปิดบังความสวยของสาวเบดูอินเร่ร่อนคนนี้เลย ฟารุตนึกขอบคุณอัลเลาะห์ ที่ทำให้เขามาพบและช่วยเธอทันไม่เช่นนั้นคงจะตกเป็นเหยื่อของโจรใจร้ายพวกนี้ไปเสียแล้ว
“ท่านชื่ออะไร” ฟารุตถาม
“เดียร์นา เราชื่อเดียร์นา เมตตาเราด้วยเถิด เราไม่มีที่ไป”
“ไปกับเราก่อน แล้วค่อยคิดอีกทีว่าจะทำอย่างไรต่อไป” ฟารุตไม่ใจร้ายพอที่จะปล่อยเด็กสาวเบดูอินวัยไม่เกินยี่สิบคนนี้ไว้กลางทะเลทรายคนเดียวเขาจึงนำเธอกลับมายังกระโจมของคาลิคด้วย ฟารุตฝากเดียร์นาให้อยู่ในความดูแลของลาเคยาเช่นเดียวกับวฏิรดา แต่ดูเหมือนว่าลาเคยาจะไม่ถูกชะตากับเดียร์นาเท่าที่ควร
“เคย่าว่าให้เขาไปอยู่กับคนของแม่ด้านหลังกระโจมเถอะ” เธอพยายามปัดความรับผิดชอบในการดูแลเดียร์นาเมื่อเคลิคผู้เป็นพ่อมอบหมายหน้าที่ให้ เดียร์นาทำหน้าเศร้าน้ำตาไหล
“เราเป็นเบดูอินเร่ร่อนต่ำต้อย จะให้เราอยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้นอย่าทำให้คุณหนูเคย่าเดือนร้อนใจเลยท่านหัวหน้า”
“แต่เดียร์นาถือเป็นคนของฟารุต เราควรดูแลเขาเท่าๆ กับดูแลแม่หนูรดา” คาลิคให้เหตุผลกับลูกสาวของตัวเอง
“ขอบคุณท่านหัวหน้าที่เมตตาและให้เกียรติเรา” เดียร์นารีบรับและกล่าวขอบคุณคาลิค ฟารุตเฝ้ามองอยู่รู้ว่าสาวน้อยคนนี้รีบฉกฉวยโอกาสที่หัวหน้าเผ่าหยิบยื่นให้อย่างฉลาด ลาเคยาต้องยอมรับในเหตุผลของพ่อแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม
ฟารุตยังคงพักอยู่ในกระโจมของคาลิคเพื่อรอฟังข่าว เขายังไม่มีแผนการเดินทางต่อ ส่วนวฏิรดายังคงออกไปท่องทะเลทรายกับลาเคยาทุกวัน เธอพยายามเข้าไปพูดคุยกับแขกที่เข้ามาพักแรมที่กระโจมของคาลิคเพื่อถามข่าวคราวของทวีพงษ์ แต่ไม่มีใครสามารถให้ข้อมูลที่กระจ่างกับเธอได้
ทางด้านเดียร์นาเธอไม่ยอมออกไปท่องทะเลทรายกับสองสาวโดยให้เหตุผลว่าเบื่อทะเลทราย อยากอยู่ในกระโจมที่เย็นสบายและคอยดูแลฟารุตเพื่อตอบแทนบุญคุณ
ฟารุตรู้สึกอึดอัดไม่น้อยที่เดียร์นาคอยวนเวียนอยู่ใกล้เขาตลอดเวลาเท่าที่เธอจะมีโอกาส แต่การปฏิบัติอย่างดีต่อเขาและแววตาที่ใสซื่อทำให้เขาไม่กล้าตำหนิเธอ หลายวันมานี้วฏิรดาเจอเขาเพียงแค่ช่วงรับประทานอาหาร เธอเลี่ยงที่จะเข้ามาสนทนากับเขา
เย็นวันนี้ คาลิคได้เชิญครอบครัวหมอเมลอัสซา มาเลี้ยงขอบคุณและเลี้ยงต้อนรับฟารุตที่กระโจมของเขา คาลิคเป็นผู้นำเผ่าที่ทันสมัยเขาให้เกียรติทุกคนในเผ่าไม่ได้ใช้อำนาจในการปกครอง แต่เด็ดขาดเมื่อเกิดปัญหาและต้องตัดสินใจ ผู้คนจึงรักและไว้วางใจที่จะให้เขาเป็นผู้นำ
ลาเคยาตื่นเต้นเป็นพิเศษ เธอเตรียมเสื้อผ้าสำหรับตัวเองและสำหรับวฏิรดาเอาไว้ เดียร์นาแวะเข้ามาในกระโจมของลาเคยา เพื่อขอยืมชุดสำหรับใส่ในงานเลี้ยง
“ลาเคยาฉันไม่มีเสื้อผ้าสำหรับคืนนี้ แม่ของท่านแนะนำให้ฉันมาขอยืมท่าน”
“ฉันไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าสำหรับเธอเลย มีแต่ชุดอบายาที่ใส่ประจำจะเอาหรือเปล่า” ท่าทางไม่ใส่ใจของลาเคยาทำให้เดียร์นาน้อยใจ จนน้ำตาคลอ
“ชุดที่แขวนอยู่นั่นท่านจะไม่แบ่งปันให้ข้ายืมสักชุดหรือ” เธอชี้ไปยังชุดที่ลาเคยาเตรียมเอาไว้สำหรับเธอและวฏิรดา
“ไม่ได้หรอก สองชุดนั้นเป็นของฉันและรดา” วฏิรดาที่นั่งฟังการสนทนาอยู่แม้จะฟังภาษาที่ทั้งสองคุยกันไม่รู้เรื่องแต่จากท่าทางที่เดียร์นาแสดงออกบ่งบอกว่าเธอถูกใจชุดที่ลาเคยาเตรียมไว้ให้เธอใส่
“ชุดที่เคย่าจะให้ฉันใส่ฉันขอยกให้เดียร์นาก็ได้ ฉันใส่ชุดอบายาสีดำที่เคย่าใส่ปกติก็ได้นะ”
“ไม่ได้หรอกชุดนี้ฉันเตรียมเพื่อรดานะ”
“คืนนี้ท่านคาลิคจะให้ฉันช่วยเสิร์ฟอาหารผู้นำหมู่บ้านที่จะมาร่วมงานด้วย ถ้าฉันแต่งตัวธรรมดาคงจะเป็นที่ขายหน้าของท่านหัวหน้าเผ่า” เธอเอาคาลิคพ่อของลาเคยามากล่าวอ้างเพื่อให้สมเหตุสมผล
“ไม่เป็นไรหรอกเคย่า ฉันใส่ชุดอะไรก็ได้ ฉันไม่ใช่ชาวเบดูอินแขกคงไม่ถือ แต่เดียร์นาจะต้องบริการแขกที่มาด้วย ฉันขอบใจเคย่ามากที่เตรียมให้ งานคืนนี้ให้เดียร์น่ายืม และครั้งต่อไปฉันค่อยใช้ก็ได้นะ” วฏิรดารู้ดีว่าเดียร์นาต้องใช้ความพยายามที่จะยืมชุดสวยของลาเคยาจนได้ เธอไม่อยากมีปัญหากับสาวน้อยเบดูอินผลัดหลงคนนี้จึงต้องขอร้องลาเคยา
“ตามใจรดาก็แล้วกัน อยากได้ก็เอาไปเถอะ พรุ่งนี้ต้องซักให้เรียบร้อยก่อนเอามาคืนฉันนะ” เธอกำชับเหมือนรังเกียจคนใส่ แต่เดียร์นาไม่สนใจ เป้าหมายของเธอคือสวยที่สุดในคืนนี้
ครอบครัวของหมอเมลอัสซารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นแขกรับเชิญของกระโจมหัวหน้าเผ่า พวกเขานำอาหารติดมือมาด้วยเพราะความเกรงใจ งานเลี้ยงของเผ่าบีทาเนียไม่ได้จัดขึ้นบ่อยนัก ในปีหนึ่งจะมีเทศกาลสำคัญเพียงสองครั้ง การจัดงาน
เลี้ยงกรณีพิเศษเช่นนี้จึงถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ได้รับเชิญ นอกจากครอบครัวของหมอเมลอัสซาแล้ว ยังมีหัวหน้าหมู่บ้านอีกกว่าสิบคนที่ได้รับเชิญมาเป็นแขก วันนี้กระโจมของคาลิคจึงคึกคักไปด้วยผู้คน และเวลาพิเศษเช่นนี้ การแบ่งแยกชายหญิงดู
เหมือนจะถูกปล่อยวาง ทุกคนต่างกุลีกุจอช่วยกันเตรียมสถานที่ และอาหารกันอย่างขะมักเขม้น ลานทรายหน้ากระโจมถูกตกแต่งด้วยโคมไฟ
ความคิดเห็น