คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 6
บทที่ 6
เสียงอึกกะทึกคึกโครมนอกกระโจมทำให้วฏิรดาตื่นขึ้นมาเธอมองไปยังที่ ที่ฟารุตนอนไม่เจอแม้แต่เงาของเขา ความตกใจทำให้เธอลุกขึ้นแหวกกระโจมออกไปดูข้างนอก ความมืดยามค่ำคืนที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องทำให้เห็นเงาตะคุ่มๆ ของ
การเคลื่อนไหวของม้าที่ล้อมหมู่กระโจมอยู่เป็นวงกว้าง มันเกิดอะไรขึ้น ฟารุตหายไปไหนเหตุการณ์ข้างนอกไม่ใช่เรื่องปกติอย่างแน่นอน เขาคงไม่ทิ้งเธอ วฏิรดาพยายามคิดเข้าข้างตัวเอง แต่เธอก็ไม่งอมืองอเท้ารอความช่วยเหลือจากคนอื่นแน่ เสื้อผ้าที่ซักตากไว้ในกระโจมถูกกระชากมาเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ปืนพก เป้คู่ใจที่มีทุกอย่างที่จำเป็นถูกตวัดขึ้นใส่บ่ากำลังจะกระโจนไปที่ทางออกก็
ต้องตกใจเมื่อคนตัวโตสองคนพุ่งพรวดเข้ามาในกระโจม ทั้งสองกอดพัดกันอยู่พักหนึ่งคนหนึ่งก็ทรุดลงจมกองเลือด วฏิรดาปิดปากตัวเองด้วยความตกใจ กว่าจะได้สติก็รู้สึกว่ามีมือหนึ่งฉุดให้ออกวิ่ง
“ไปเร็ว” ไม่ต้องคิดมาก เสียงที่คุ้นและห่วงเธอแบบนี้ในผื่นแผ่นทะเลทรายไม่มีใครแน่นอกจากนักนักข่าวเดนตายที่ถูกตามล่าให้จากเมืองมาสู่ทะเลทรายนามฟารุต วฏิรดาวิ่งตามแรงของเขาไปทันที เขากระโดดขึ้นหลังม้าแล้วส่งมือรับเธอให้นั่งประกบหลังวฏิรดากระโดดขึ้นหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว ฟารุตควบให้ม้าวิ่งซิกแซกไปตามกระโจมเพื่อหลบการติดตามออกมาทางด้านหลัง ออกมาจากหมู่กระโจมได้เพียงเล็กน้อยม้าตัวหนึ่งก็ควบตาม
“มีคนหนี” เสียงที่ไล่หลังมา ฟารุตหันไปมองเห็นเป็นม้าเพียงตัวเดียวเขาจึงชักม้ากลับวิ่งเข้าใส่ศัตรู วฏิรดาเพิ่งรับรู้ถึงอารมณ์บ้าระห่ำของเขาก็วันนี้ ถ้าพลาดตกลงจากหลังม้านอกจากจะหลังหักแล้วเขาคงไม่ตามกลับมาช่วยเธออีกแน่ คิดดังนั้นเธอจึงเธอกอดเอวเขาแน่น
ปั๊งๆ
วฏิรดาหูอื้อเพราะเสียงปืนที่ดังใกล้หูแล้วม้าของฟารุตก็หันหัวกลับไปยังทิศเดิม วฏิรดาค่อยๆ ลืมตาฟารุตควบม้าด้วยความเร็วสูงทิ้งเสียงอึงอื้อไว้เบื้องหลัง จนแน่ใจว่าไม่มีใครตามมาเขาจึงชะลอความเร็วลงมือที่ว่างจากการบังคับม้าแตะลงบนหลังมือของวฏิรดาที่โอบรอบตัวเขาไว้
“คุณเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” วฏิรดาส่ายศีรษะเป็นการตอบว่าเธอไม่เป็นอะไร ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ามาในความรู้สึกของเธอจนไม่อยากจะถอนอ้อมแขนออกมา เขาลูบไล้หลังมือเธอแผ่วเบาเหมือนหนึ่งให้กำลังใจ
“คุณเป็นผู้หญิงที่เก่งมากเท่าที่ผมเคยเจอมาอดทนอีกนิดนะเราควรไปให้ไกลจากตรงนี้สักหน่อยจะได้ปลอดภัยจากการติดตาม”
“เกิดอะไรขึ้นหรือค่ะ ฉันเพลียงีบหลับไปตื่นมาเพราะเสียงที่ดังจากข้างนอก มองหาคุณไม่เห็น ใจหายหมดเลยออกมานอกกระโจมเห็นม้าวิ่งรอบๆ ลานที่เราอยู่” เธอหยุดพูดแก้มข้างหนึ่งยังซบอยู่ที่หลังของฟารุต อย่างลืมตัว
“ตอนแรกผมคิดว่าเป็นโจรทะเลทรายธรรมดาที่แวะมาปล้นคาราวานซึ่งมีประจำอยู่แล้วเลยออกไปช่วยพวกเขา”
“ความจริงหัวหน้าคาราวานมันหักหลังเรา” ยังไม่ทันที่ฟารุตจะพูดอะไรต่อเสียงปืนก็ดังขึ้น
ปั๊ง
“..โอ๊ยยยยยย” เสียงของฟารุตร้องด้วยความเจ็บปวด เขากุมไหล่ซ้ายที่เลือดไหลโชกก่อนจะขยับมือขวามาจับเชือกบังคับม้าควบให้วิ่งออกไปทันที
“ผมถูกยิงคุณขี่ม้าชำนาญหรือเปล่า” เสียงของเขาเริ่มแผ่วลงขณะที่เลือดยังไหลไม่ยอมหยุด
“ได้ ฉันพอขี่ได้” เขาบังคับม้าให้หยุดแล้วให้วฏิรดากระโดดลงจากหลังมาเพื่อเปลี่ยนตำแหน่งกับเขา ฟารุตเริ่มรู้สึกตาลายแต่ก็พยายามตั้งสติสั่งวฏิรดา
“ตอนนี้ม้าหันหน้าไปทางทิศใต้ คุณพยายามบังคับมันให้วิ่งเป็นเส้นตรงนะ วิ่งให้เร็วไปอีกประมาณห้าสิบไมล์จะเจอโอเอซีสใหญ่ที่เป็นที่อาศัยของเบดูอินเผ่าบีทาเนีย เขาจะช่วยเราได้”
“คุณถูกยิงนะเราควรจะดูแผลก่อน”
“ไม่ได้ ไปสิอย่าหยุดไม่งั้นพวกมันตามมาทันแน่”วฏิรดาขยับเท้ากระทุ้งสีข้างม้ามันทะยานอกจากจุดทันที ม้าวิ่งไปได้ไม่นานเธอรู้สึกว่าคนที่อยู่ข้างหลังเริ่มปล่อยมือจากการโอบเอวของเธอน้ำหนักที่ซบลงมาที่แผ่นหลังของวฏิรดามากขึ้นเรื่อยๆ
“ฟารุต คุณได้ยินฉันหรือเปล่า” เธอตะโกนเรียกเขามือข้างหนึ่งบังคับม้ามืออีกข้างจับข้อมือของเขาเอาไว้ มองไปข้างหน้าเห็นเงาภูเขาอยู่ไม่ไกลนักวฏิรดาตัดสินใจบังคับม้าตรงไปทันที
ม้ามาหยุดตรงเนินทรายใกล้หน้าผา เธอจับชีพจรของคนที่อยู่ข้างหลัง เมื่อทุกอย่างปกติจึงค่อยมีความหวังขึ้นมาบ้าง วฏิรดาค่อยๆ เอี้ยวตัวลงจากหลังม้ามือข้างหนึ่งประคองให้ฟารุตนอนซบอยู่กับหลังม้าแล้วจึงสั่งให้ม้ามอบลง เธอค่อยๆ พยุงคนที่ไร้สติลงจากหลังม้าให้นอนราบกับพื้นทราย จากนั้นก็ไม่ได้สนใจว่าม้าจะไปทางไหน เธอรีบหาตำแหน่งแผลที่ถูกยิง
ไหล่ซ้ายถูกกระสุนเจาะทะลุไปด้านหลัง เลือดยังไหลไม่หยุด เมื่อเห็นแผลที่มีรอยทะลุทำให้รู้สึกใจชื้นขึ้นมา วฏิรดาใช้วิชาปฐมพยาบาลที่ถูกฝึกมาอย่างดีให้เกิดประโยชน์ทันที เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าจากเป้มาฉีกแบ่งเป็นสองส่วน พับให้เป็นก้อนกดบริเวณแผลทั้งสองด้าน แล้วดึงผ้าคลุมศีรษะสอดเข้าไปใต้รักแร้ก่อนที่จะพันอ้อมขึ้นมาที่ไหล่ขวา เมื่อมัดปลายทั้งสองข้างให้แน่นแล้วจึงใช้มือกดลงไปที่ปากแผล
“โอ๊ย” เสียงคนเจ็บดังขึ้นเธอหยุดการกดหันไปมองหน้าเขาทันที
“คุณรู้สึกตัวแล้วหรือ” ฟารุตปรือตาขึ้นมอง
“วฏิรดา” เขาเรียกชื่อเธอ สายตาของเขาเริ่มลอย
“น้ำ ผมต้องดื่มน้ำ”
“รอเดี๋ยวนะฉันจะไปหาน้ำมาให้” วฏิรดาคิดไม่ออกว่าท่ามกลางทะเลทรายที่มืดมิดเธอจะไปหาน้ำที่ไหนให้เขาได้
“น้ำในกระติกที่เอวผม” เขาพูดเสียงตะกุกตะกัก วฏิรดาลืมไปสนิทว่าผู้ชายคนนี้เท่าที่อยู่ด้วยกันมาสองวันเขาเตรียมตัวพร้อมสำหรับการหนีตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เธอลูบไปที่เอวเขาดึงกระติกน้ำใบเล็กๆ ออกมาเปิดแล้วจ่อไปที่ริมฝีปากของฟารุต
“ค่อยๆ ดื่มนะจิบทีละนิดก่อน” ถ้าเป็นเวลาปกติเขาคงยิ้มดีใจที่เธอจำวิธีการดำเนินชีวิตเล็กๆ น้อยๆ ในทะเลทรายที่เขาสอนแต่เวลานี้เขาเพียงทำตามที่เธอบอกด้วยอาการที่ช่วยตัวเองไม่ได้ หลังดื่มน้ำไปเพียงไม่นานฟารุตทรุดตัวลงนอนหลับไม่ได้สติ
“อย่างเพิ่งเป็นอะไรไปนะ ฉันจะทำไงดี” วฏิรดาประคองใบหน้าของเขาวางบนตักมือหนึ่งจับที่แขนซ้ายเพื่อสำรวจการเต้นของหัวใจตลอดเวลา
“อดทนหน่อยนะ อย่าเพิ่งเป็นอะไรไป คุณเป็นคนเก่ง คุณจะอ่อนแอไม่ได้นะ” เธอพยายามพูดและหวังว่าเขาคงจะรับรู้ได้ แม้ในความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์ส่องให้เห็นเค้าหน้าของฟารุตเพียงรางๆ วฏิรดายังเห็นความหล่อเหลาสมชายชาตรีของเขาอย่างแจ่มชัด เธอค่อยๆ ลูบมือไปตามใบหน้า จมูกโด่งที่โด่งเป็นสันและคางที่เริ่มจะมีเคราเขียวคลื้ม
“คุณต้องไม่ตาย ชีวิตของฉันต้องพึ่งคุณ คุณมีบุญคุณกับฉันมาก ฉันจะไม่ยอมให้คุณเป็นอะไรไป อดทนอีกนิดนะรอฟ้าสางฉันจะพาคุณไปให้ถึงโอเอซีสที่คุณบอก” เธอสัญญากับเขาทั้งๆ ที่คนที่อยู่บนตักอ่อนเพลียจากการเสียเลือดจนหลับใหลไม่รู้สึกตัว
วฏิรดาปล่อยให้คนบนตักหลับอย่างสบาย มือของเธอกุมมือของเขาเอาไว้เหมือนหนึ่งต้องการถ่ายทอดความอบอุ่นให้แก่กัน สายตาเหม่อลอยออกไปยังเวิ้งทรายข้างหน้า มนต์ขลังของมันทำให้เธอตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด
‘ฟ้าหรืออะไรกันนะที่กำหนดให้ต้องมาเร่รอนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่กลางทะเลทราย กับชายที่ไม่เคยรู้จักหัวนอนปลายเท้า ทะเลทรายกว้างใหญ่ขนาดนี้จะตามหาพ่อเจอได้อย่างไร ความหวังแม้จะริบหรี่ แต่ลูกก็จะไม่ละความพยายาม ขอให้ได้รู้ว่าพ่อยังมีชีวิตอยู่ลูกจะหาทางติดตามหาพ่อให้ได้ คุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครองพ่อและเขาคนนี้ด้วยเถิด’ ตื่นจากภวังค์เพราะคนที่อยู่บนตักดิ้น ฟารุตพูดเบาๆ ฟังไม่ได้ศัพท์ วฏิรดาต้องเอาหูแนบไปใกล้ๆ ปากของเขา ลมหายใจที่ร้อนผ่าวเพราะพิษไข้กระทบแก้มเธอเบาๆ
“มาชลี หนาว มาชลี ฟารุตหนาว” เสียงครางเบาๆ เรียกหามาชลีทั้งๆ ที่ร่างกายของเขาเริ่มสั่น ดวงตาทั้งสองยังคงปิดสนิท แสดงว่าคนพูดไม่ได้รู้สึกตัว
“หนาวมาชลี ฟารุตหนาวเหลือเกิน” ฟารุตตะแคงหน้าเข้าหาวฏิรดา แขนสองข้างโอบรอบบั้นเอวของเธอแล้วซุกหน้าเข้าหาความอุ่นโดยไม่รู้ตัว วฏิรดาตัวแข็งกำลังจะผลักเขาออกห่างแต่ใบหน้าที่ร้อนด้วยพิษไข้ที่แนบมาที่หน้าท้องของเธอทำให้เธอต้องหยุดมือที่จะผลักใส อาการหนาวสั่นจนตัวสะท้านของฟารุตทำให้เธอรู้สึกสงสารจึงยกมือขึ้นโอบกอดเขาไว้เพื่อช่วยให้เขาคลายหนาว ทั้งสองอยู่ในท่านั้นนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ วฏิรดาเองก็งีบหลับไปด้วยความอ่อนเพลียเช่นกัน ตกใจตื่นขึ้นมาตอนใกล้ฟ้าสางเพราะคนที่นอนหนุนตักอยู่ขยับตัวและปลุกเธอให้ตื่น วฏิรดาลืมตาขึ้นมาเห็นภาพตัวเองโอบกอดเขาไว้แล้วนอนแนบไปที่หลังของเขา พอรู้สึกตัวเธอรู้สึกหน้าร้อนซู่ด้วยความอาย
“นี่ฉันหลับไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้ ทับคุณด้วยคุณคงเจ็บแย่ ฉันนี่ไม่เอาไหนเลยดูแลผู้ป่วยก็ยังแอบหลับทิ้งคุณไปอีก คุณเป็นไงบ้าง” ความเขินอายทำให้วฏิรดาพยายามอธิบายเสียยืดยาว ฟารุตฝืนยิ้ม พยายามลุกขึ้นนั่งเพราะรู้สึกเกรงใจเจ้าของตัก แต่เขากลับปวดไปทั้งตัวเมื่อพยายามที่จะขยับ
“ผมรู้สึกดีขึ้น ใกล้สว่างแล้ว มีน้ำเหลืออยู่มากหรือไม่” วฏิรดายกกระติกขึ้นเขย่าเบาๆ ให้เขาได้ยินเสียง
“คุณดื่มเสียให้พอ เหลือเท่าไหร่ช่วยป้อนผมหน่อย” วฏิรดาเปิดฝากระติกแล้วส่งมาจ่อที่ปากเขาก่อน
“คุณดื่มก่อน”
“ไม่ได้ คุณดื่มก่อน เพราะคุณจะต้องอาศัยน้ำในการที่จะมีแรงพาผมไปให้ถึงโอเอซีสข้างหน้า” เขาอธิบาย เธอจึงหันมาดื่มก่อนแต่ก็ไม่มากอย่างที่ใจอยากจะดื่ม จากนั้นจึงค่อยๆ ช้อนศีรษะเขาขึ้นแล้วป้อนน้ำ
“ค่อยๆ ดื่ม และดื่มให้หมดฉันพอแล้วไม่กระหายน้ำมากเท่าไหร่ คุณเป็นไข้เสียน้ำไปเยอะต้องทดแทนให้มาก” ฟารุตไม่ค้านดื่มน้ำในกระติกจนเกลี้ยง วฏิรดาเก็บมันไว้ที่เอวของเขาเช่นเดิม
“คุณเมื่อยมากมั๊ยนี่ผมเอาเปรียบคุณมาก ใช้ตักคุณแทนหมอนค่อนคืนเลย” เขาพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่ง วฏิรดาช่วยประคองเขาอีกแรง
“ไม่หรอกค่ะ ฉันก็พึ่งหลังคุณหลับไปเหมือนกัน”
“คุณพร้อมจะพาผมเดินทางต่อได้หรือยัง” วฏิรดาพยักหน้าแล้วลุกขึ้นนวดขาตัวเองอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเดินไปจูงม้ามาเตรียมไว้ก่อนที่จะหันมาช่วยพยุงฟารุตขึ้นหลังม้าก่อนแล้วกระโดดตามขึ้นไป
“ไหวมั๊ย” เขาถามเธอด้วยความเป็นห่วง
“ไหวซิ ฉันเป็นนักกีฬานะคุณรู้หรือเปล่า”
“รู้”
“ทำไมคุณรู้จักฉันทุกอย่าง คุณเป็นใครกันแน่”
“อย่าเพิ่งถามตอนนี้เลยไปกันเถอะ เดี๋ยวแดดออกแล้วม้าจะไม่ไหวเพราะมันไม่ได้ดื่มน้ำเลย” เธอพยักหน้าเห็นด้วยและยอมทำตาม ตั้งท่าจะควบม้าออกวิ่งฟารุตเอ่ยห้ามเบาๆ
“เดี๋ยวก่อน” วฏิรดาหันมามองเขาใช้แวตตาเป็นคำถาม ฟารุตล้วงลงไปที่อกเสื้อดึงสร้อยข้อมือเส้นเล็กๆ ทำด้วยไม้นำมากลึงให้เป็นรูปทรงกลมและสี่เหลี่ยมขนาดเล็กมากเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณครึ่งเซนติเมตร บนไม้ทรงกลมและทรงสี่เหลี่ยมสลักภาษาอารบิค เธอไม่มีเวลาพิจารณาว่ามันอ่านว่าอย่างไร ฟารุตจับมือเธอแล้วสวมสร้อยข้อมือเส้นนั้นให้
“ผมได้สร้อยข้อมือเส้นนี้มาจากชายแก่ชาวเบดูอินเร่ร่อน เขาขาดอาหารและน้ำจนล้มป่วยผมช่วยเขาแล้วแบ่งอาหารให้จนเขาหายเดินทางต่อได้ เขาให้สิ่งนี้กับผมเป็นการตอบแทน มันเป็นสร้อยที่ทำจากไม้หอมที่เกิดเองในทะเลทราย เป็นไม้หายาก ที่สำคัญเขาสลักอักษรที่เป็นคำอวยพรของอัลเลาะห์เอาไว้ จะเป็นเครื่องรางที่จะคุ้มครองคุณได้คนให้เขาเชื่อเช่นนั้น และผมก็เชื่อเช่นนั้น”
“ขอบคุณค่ะ” เธอกล่าวเบาๆ
“เสร็จแล้ว เรารีบไปกันเถอะ” วฏิรดาควบม้าไปตามเส้นทางที่ฟารุตบอก ขณะที่แขนสองข้างของเขาโอบยึดรอบเอวของเธอเอาไว้แน่น
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องสะท้อนเนินทรายเป็นระลอกสวยงามจนวฏิรดาเผลอบังคับม้าให้ช้าลง
“มีอะไรหรือทำไมชะลอ”
“เปล่า ฉันแค่ตะลึงกับความงามของทะเลทรายยามเช้า” พลันสายตาก็ไปกระทบกับทิวไม้ด้านหน้า
“เฮ้ นั่นไงถึงแล้ว ฉันเห็นต้นไม้แล้ว คุณเห็นไหมเราไม่ตายแล้ว ฟารุต” เพราะความดีใจทำให้เธอหลุดปากเรียกชื่อของเขาไปอย่างสนิมสนม
“ไปกันเถอะ” เธอควบม้าให้เร็วขึ้นเพียงไม่กี่นาทีก็มองเห็นหมู่กระโจม ที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ท่ามกลางหมู่ปาล์ม ม้าวิ่งเหยาะๆ ตามคำสั่งเข้าไปใกล้รั้วที่ถูกสร้างขึ้นอย่างแข็งแรงล้อมพื้นที่เอาไว้ ประตูรั้วที่ปิดมีชายฉกรรจ์ยืนคุมอยู่สามคนทุกคนมีปืนยาวในมือ
“เอาไงดีค่ะ”
“ไปใกล้ๆ เดี๋ยวผมจะเจรจาเอง”
ม้าตัวเก่งพาทั้งสองคนมาหยุดที่ประตู ฟารุตส่งภาษาท้องถิ่นที่วฏิรดาฟังไม่รู้เรื่อง อีกเช่นเคย เพียงไม่นานประตูก็เปิดออก หนึ่งในสามคนเดินมาจูงม้าของเธอไปตามทางและมาหยุดอยู่หน้ากระโจมใหญ่แล้วเขาก็หายเข้าไปในกระโจมไม่นาน เขาก็กลับออกมาพร้อมกับชายวัยน่าจะใกล้หกสิบท่าทางภูมิฐาน ในชุดกานดูราสีขาวสะอาดยาวกรอมเท้า ผ้าโพกศีรษะลายแดงขาว คาดทับด้วยกุทราห์สีดำ ใบหน้ากร้านแดด หนวดเคราถูกตัดเล็มอย่างมีระเบียบ แววตาที่มองมายังเธอมีแววสงสัย แต่พอเหลือบไปเห็นคนข้างหลังเขารีบขยับตัวเข้ามาใกล้
“ฟารุต นี่ไปยังไงมายังไงทำไมถึงเป็นสภาพนี้ การาม มาช่วยข้าพยุงฟารุตหน่อย”
“ท่านลุง คาลิค ดีใจเหลือเกินได้พบท่าน ข้านึกว่าจะมาไม่ถึงเสียแล้ว” ฟารุต พยายามเอ่ยทักทายแต่เสียงแผ่วลงทุกที
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยฟารุต ลงมาก่อน มาการามมาช่วยพยุงหน่อย” การามกุลีกุจอ ทั้งสองพยุงร่างที่ทั้งสูงทั้งใหญ่ของฟารุตเข้าไปในกระโจมอย่างทุลักทุเลมิใช่น้อย
“การามไปตาม หมอเมลอัสซามาที่กระโจมข้าด่วน” เด็กหนุ่มวิ่งออกจากกระโจมไปทันที คาลิคมัวห่วงฟารุตเสียจนลืมทักทายหญิงสาวที่พาคนเจ็บมาให้ พอคิดได้จึงหันมาทักทาย เธอด้วยภาษาอังกฤษ ทำให้วฏิรดาทึ่งอยู่ไม่น้อย
“แม่หนูชื่ออะไร” เสียงที่ทักทายแฝงด้วยความเอ็นดู
“วฏิรดาค่ะ”
“เกิดอะไรขึ้นกับแม่หนูและฟารุตหรือถึงได้เจ็บปางตายขนาดนี้” ชายชราถามเพื่อฆ่าเวลามากกว่าอยากจะได้ความจริง
“ฉันก็ไม่ทราบท่านคงต้องรอถามฟารุต” เธอเลี่ยงที่จะตอบเพราะคนที่จะตอบคำถามได้ดีที่สุดควรเป็นฟารุตไม่ใช่เธอ
“หิวหรือไม่ ฉันจะให้คนหาอะไรมาให้ทานก่อน”
“ยังไม่หิว อยากรอดูอาการฟารุตก่อน”
“แม่หนูเป็นภรรยาฟารุตหรือ ไม่เห็นพ่อเขาบอกมาเลยว่าลูกชายแต่งงานแล้ว มันน่าน้อยใจนัก” วฏิรดากำลังอ้าปากจะปฏิเสธ แต่ช้าไปกระโจมถูกเปิดออก เด็กหนุ่มการามวิ่งนำหน้าชายวัยกลางคนมาด้วยความรีบร้อน
“มาแล้วท่านคาลิค”
“เชิญหมอเมลอัสซาเลย ช่วยดูหลานชายผมหน่อย เอาล่ะแม่หนูเราทิ้งให้เป็นภาระของหมอเมลอัสซาเถอะ ให้เขาดูแลฟารุตส่วนแม่หนูไปอาบน้ำอาบท่าพักผ่อนก่อนดีกว่าเดี๋ยวจะได้ออกมาทานอาหารเช้ากัน ถึงตอนนั้นหมอคงจัดการฟารุตเรียบร้อยแล้ว” ชายชราเจ้าของกระโจมไม่รอให้เธอปฏิเสธ
“เคย่าพาแม่หนูไปดูแลหน่อย” สาวน้อยวัยไม่เกิดสิบแปดดวงตากลมโต จมูกโด่งเชิด รับกับริมฝีปากที่งอนนิดๆ สวมชุดอบายาสีดำ ปล่อยผมยาวสยายไม่มีผ้าคลุมปกปิดผมที่เงางามของเธอเช่นหญิงชาวอาหรับคนอื่นๆ ที่วฏิรดาเคยเห็นมา โผล่ออกมาจากมุมหนึ่งของกระโจมที่กั้นเอาไว้เป็นสัดส่วนเหมือนหนึ่งรอฟังคำสั่งอยู่แล้ว
“มาเร็วทันใจเกินไปหน่อยนะลูก นี่แอบฟังอยู่ละซิ” คนที่ถูกเรียกลูกทำหน้าทะเล้น
“เปล่าสักหน่อย ฉันก็แค่รอให้ท่านพ่อเรียกใช้ จะได้รวดเร็วทันใจไงล่ะ” คนที่ถูกเรียกท่านพ่อหัวเราะหึๆ อย่างเอ็นดูและไม่ต่อปากต่อคำกับสาวน้อยท่าทางปราดเปรียวคนนั้น
“แม่หนูวฏิรดา”
“นี่ลาเคยาลูกสาวฉันเอง เธอจะพาแม่หนูไปพักผ่อนในส่วนของผู้หญิงมีอะไรบอกเธอได้ ลาเคยาพูดภาษาอังกฤษได้คล่องเธอเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติ” ลาเคยาก้มศีรษะให้เธอเล็กน้อยพร้อมส่งรอยยิ้มที่เป็นมิตร แม้การแนะนำจะสั้นแต่ได้ใจความ วฏิรดารู้สึกถูกชะตากับเด็กสาวคนนี้ทันทีที่สบตา กระโจมเบดูอินกลางทะเลทรายมีอะไรน่าค้นหามาก ในความคิดของวฏิรดาและจากสภาพที่เห็นเบดูอินเป็นเหมือนชนเผ่าเร่รอนที่ดำเนินชีวิตแบบดั่งเดิมไม่ยอมรับวัฒนธรรมใหม่ๆ แต่พอได้เข้ามาเห็นใกล้ชิดทำให้ความคิดของเธอเปลี่ยนไป
กระโจมของ ‘คาลิค’ ตามที่ฟารุตเรียกน่าจะเป็นผู้นำของเบดูอินกลุ่มนี้ ภายนอกกระโจมไม่แตกต่างจากกระโจมอื่น มีเพียงขนาดเท่านั้นที่แสดงให้เห็นว่ากระโจมนี้มีความพิเศษกว่า แต่พอเข้ามาภายในยิ่งรู้สึกแปลกใจภายในที่เย็นสบายและถูกตกแต่งด้วยของมีค่า พรมที่ปูเป็นพรมอย่างดี ทุกส่วนของกระโจมถูกจัดเป็นสัดส่วนเหมือนบ้านหลังย่อมหลังหนึ่งที่มีอุปกรณ์ครบครันเลยทีเดียว
“เชิญทางนี้ดีกว่าค่ะ คุณวฏิรดา” ลาเคยาเชื้อเชิญแขกอย่างให้เกียรติ
“ถ้าลาเคยาไม่รังเกียรติเรียกฉันว่า รดาเฉยๆ ก็ได้นะ” ลาเคยายิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“งั้นเรียกฉันว่าเคย่าเหมือนพ่อเรียกก็ได้”
“ได้จ๊ะ”
“มาทางนี้กันเถอะให้พวกผู้ชายเขาอยู่ดูแลกัน เราผู้หญิงต้องอยู่อีกส่วนหนึ่งปะปนกับผู้ชายจะไม่ดี” วฏิรดาทำตามคำแนะนำของสาวน้อยลาเคยา เสื้อผ้าชุดใหม่ถูกจัดวางมาบนถาดทองเหลือง
“ฉันว่าคุณรดาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่าอยู่ในนี้จะได้สบายตัวเดี๋ยวเราจะได้ทานอาหารเช้าพร้อมกันกับครอบครัวของฉัน” วฏิรดาทำตามทันทีเธออยากสบายตัวเป็นข้อหนึ่ง แต่เหตุผลสำคัญคือเธออยากผูกมิตรกับสาวน้อยคนนี้จึงไม่อยากจะขัดใจเธอ ไม่นานวฏิรดาก็อยู่ในชุดอบายาสีดำเช่นเดียวกับผู้หญิงชาวเบดูอินคนอื่นๆ รวมทั้งลาเคยาด้วย
“เคย่า พ่อของท่านเป็นหัวหน้าเผ่าหรือ” วฏิรดาชวนสนทนาในหัวข้อที่เธอสงสัยทันทีที่มีเวลา
“ใช่จ๊ะ พ่อเป็นหัวหน้าเผ่าบีทาเนีย ต่อมาจากท่านปู่ หลังจากพ่อได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าเผ่าแล้วจึงได้ยกเลิกการเดินทางเร่ร่อน เราจึงจับจองโอเอซีสแห่งนี้เป็นแหล่งทำกิน และค้าขายกับชาวเมือง”
“ที่นี่มีผู้คนเดินทางผ่านไปมามั๊ย”
“โอเอซีสของพวกเราเป็นแหล่งพักของกลุ่มคนที่ชอบเดินทาง รายได้ของพวกเราอีกส่วนหนึ่งจึงมาจากการให้บริการที่พักและอาหาร”
“ผู้คนที่เดินทางผ่านไปมาเป็นพวกเบดูอินด้วยกันหรือ” วฏิรดาชวนสนทนา
“ไม่หรอก ชาวต่างชาติก็มีเยอะ พวกที่ชอบท่องทะเลทราย บางคนผ่านมาแวะแล้วหายไปเป็นเดือนๆ กว่าจะกลับมา” คำบอกเล่าของลาเคยาทำให้วฏิรดาเห็นทางที่จะถามไถ่ถึงคนเป็นพ่อได้
“เคย่าอยู่ที่นี่ตลอดหรือเปล่า”
“เปล่าหรือฉันเพิ่งกลับมา สองปีก่อนฉันไปเรียนต่อที่เมืองหลวง ตอนนี้กลับมาเยี่ยมพ่อแต่จะอยู่นานหน่อยเพราะเป็นช่วงปิดยาวของมหาวิทยาลัย” ลาเคยาอธิบายทำให้ความหวังที่จะสืบข่าวคราวของพ่อจากลูกสาวหัวหน้าเผ่าหมดไป
“ฉันเป็นห่วงฟารุต จะออกไปดูเขาได้ไหมเคย่า”
“ต้องขออนุญาตพ่อก่อน รอเดียวนะ” เธอเดินไปใกล้ฉากกั้นแล้วส่งภาษาพื้นเมืองประจำเผ่า ฟังดูเหมือนจะเป็นการถกเถียงมากกว่าการพูดคุย การสนทนาระหว่างพ่อลูกสิ้นสุดลงลาเคยาหันมายิ้มให้กับแขก
“ออกไปได้แล้ว พ่อนี่กว่าจะตะล่อมให้อนุญาตได้เกือบทะเลาะกันตาย” เธอบ่น
“ทำไมหรือ”
“พ่อบอกว่าไม่จำเป็นต้องไปเยี่ยม หมอดูแลดีแล้ว ท่านฟารุตนอนพักอยู่ พ่ออ้างความเหมาะสมตามประเพณีตลอดแหละ แต่ฉันบอกว่า คุณรดาไม่ใช่คนของเบดูอิน ย่อมมีสิทธิ์ตามวัฒนธรรมของเธอที่จะเข้าไปเยี่ยมและดูเลสามีที่บาดเจ็บได้ กว่าจะเถียงชนะเล่นเอาเหนื่อย” เธอบ่นแต่ไม่ได้จริงจังอะไรแต่คำว่าสามีทำเอาวฏิรดาสะดุ้ง
“ฟารุตไม่ได้เป็นสามีฉันนะเคย่า”
“อ้าวก็เมื่อกี้ที่พ่อคุยกับคุณฉันได้ยินท่านถามไม่เห็นคุณปฏิเสธนี่”
“ฉันกำลังจะอธิบายให้ท่านหัวหน้าทราบพอดีหมอมาเสียก่อนพ่อของเคย่าเลยไม่ได้สนใจจะฟังฉันตอบ” ลาเคยาหัวเราะ
“นี่แสดงว่าพ่อเข้าใจว่าท่านเป็นภรรยาท่านฟารุตไปแล้วล่ะซิ” เธอพยักหน้า
“ออกไปดูอาการท่านฟารุตกันเถอะ” ลาเคยาจูงมือแขกของเธอให้เดินตามออกไปอย่างสนิทสนม
อาการของฟารุตดีขึ้นมากหลังการรักษาของหมอเมลอัสซา เขาลืมตามองเธอและลาเคยาแล้วยิ้มให้สาวน้อยก่อนที่จะหันไปคุยกับคาลิค
“ท่านลุงคาลิค ข้ายังไม่ได้แนะนำผู้หญิงที่พามาด้วยให้รู้จักเลยมัวแต่เจ็บป่วยจนเสียมารยาท”
“ไม่เป็นไรพ่อหลานชาย ฉันแค่น้อยใจว่าเจ้า เรอิกมันใจดำไม่ยอมเชิญลุงไปงานแต่งลูกชายมันเลย นี่มันคงเห็นว่าลุงเป็นหัวหน้าเผ่าเล็กๆ ไม่สำคัญอะไรเลยจึงไม่ยอมบอกกล่าวกัน” วฏิรดามองหน้าฟารุตรอฟังว่าเขาจะตอบเช่นไร
“ท่านลุงเข้าใจผิด ข้ายังไม่ได้แต่งาน” คาลิคหันไปมองหน้าวฏิรดาอย่างสงสัย
“แล้วแม่หนูนี่เป็นใครละ”
“ข้าไปเจอเธอถูกทำร้ายเลยช่วยไว้ และเธอขอติดตามมาด้วยเพื่อมาตามหาพ่อที่หายไปเมื่อสองปีก่อน” ฟารุตอธิบาย
“อื้ม” ผู้เฒ่าลูบเคราเบาๆ ในใจสงสัยว่ามันไม่น่าจะแค่นั้น นายทหารหัวหน้าหน่วยข่าวกรองถูกตามล่าอย่างไม่ทราบสาเหตุหนีเอาตัวรอดมาได้ และอันตรายในการหนีมีมากมายไม่น้อยในทะเลทรายทำไมถึงยอมเอาผู้หญิงตัวเล็กๆ มาเป็นภาระในการหลบหนี คือสิ่งที่ผู้เฒ่าสงสัยแต่เขาก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามผู้มาเยือน หลังอาหารเช้าฟารุตต้องพักผ่อนตามคำสั่งหมอ วฏิรดาจึงมีโอกาสเที่ยวชมกระโจมและรอบๆ โอเอซีสโดยการนำเที่ยวของลาเคยา ที่กลายมาเป็นเพื่อนต่างวัยที่คุยกันถูกคอ
หลังอาหารค่ำ วฏิรดามีโอกาสได้คุยกับคาลิค เรื่องของพ่อจึงถูกแทรกเข้าไปในบทสนทนาอย่างตั้งใจที่จะหาข่าว คำถามหลายคำถามถูกป้อนมายังวฏิรดาหลังการเล่าเรื่องราวการหายไปของทวีพงษ์ให้กับคาลิคฟัง การสนทนาหัวข้อของทวีพงษ์ จึงได้รับความสนใจจากสองพ่อลูกในขณะที่นั่งรับประทานอาหารในกระโจมเธอเล่าเรื่องของพ่อให้หน้าเผ่าบีทาเนียฟังบางส่วนที่จะเกิดประโยชน์กับการติดตามเท่านั้น แม้ผู้เฒ่าแห่งทะเลทรายคนนี้ท่าทางจะเป็นคนดี มีใจเอื้อเฟื้อและฟารุตรู้จักดีก็ตามแต่วฏิรดาก็ยังไม่อาจไว้วางใจใครได้ ทุกคำพูดจึงต้องระมัดระวัง ฟารุตรับฟังอย่างสงบเหมือนไม่สนใจเรื่องราวของเธอ
“นานหลายเดือนมาแล้ว มีชาวเอเชียที่มากับคาราวานเบดูอินคนหนึ่งแวะมาพักแรมที่นี่ และเขาได้แยกจากคาราวานนั้นพักต่ออยู่ที่นี่อีกหลายวัน เขาบอกว่าต้องการจะเดินทางไปยังหุบเขา เซฮาเนสซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไปทางทิศตะวันตกประมาณ พันไมล์ ยังไม่มีเส้นทางรถยนต์ไปถึง ต้องไปกับคาราวานเบดูอินเท่านั้น แต่ทราบมาว่าทางการกำลังจะเข้าไปสำรวจหุบเขาอยู่ไม่รู้ว่าดำเนินการไปถึงไหนแล้ว”
“แล้วชายคนนั้นเดินทางไปอย่างไรท่านคาลิค”
“เขาไปกับคาราวานที่แวะมาพักที่นี่” วฏิรดาลุกหายไปในกระโจมส่วนผู้หญิงแล้วออกมาพร้อมกับรูปถ่ายของพ่อ เธอส่งให้คาลิคดู เขาพินิจอยู่พักหนึ่งแล้วส่ายหน้า ใจของวฏิราดที่มีความหวังกลับหล่นวูบลงไป
“ไม่ใช่เขาหรือท่านคาลิค”
“ข้าดูไม่ออก เพราะสภาพที่เขามามีหนวดเครารุงรังผมยามมัดรวมเอาไว้ด้านหลัง เมื่อมาเห็นภาพนี้จึงตอบไม่ได้ว่าใช่คนเดียวกันหรือเปล่า” คาลิคเพ่งดูอีกครั้งก่อนจะพูดต่อ
“เค้าหน้าคนเอเชียในสายตาพวกเราก็จะมีเค้าเดียวกันหมดแยกยากมาก” แม้จะไม่ใช่ชัดเจนแต่ความหวังที่จะเจอพ่อมีมากขึ้นอย่างแน่นอน
“ไปพักผ่อนกันได้แล้วนะ พ่อมีเรื่องต้องคุยกับฟารุต แม่หนูไปนอนกับเคย่าและแม่ของเขาในส่วนของผู้หญิงนะ” ฟารุตทำท่าจะค้านเพราะความเป็นห่วงแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เลเคยาสาวจึงลุกขึ้นเดินนำแขกของกระโจมเข้าไปที่พัก
“ท่านมีอะไรจะเล่าให้ข้าฟังหรือเปล่าท่านฟารุต” เป็นคำถามที่ถือว่าให้เกียรติคนถูกถามอย่างมาก
“ข้าถูกตามล่า ยังไม่ทราบว่าฝีมือใคร แต่ทางเมืองหลวงกำลังสืบอยู่ มันจู่โจมแบบไม่ให้ได้ตั้งตัวเลย ดีที่หนีรอดมาได้”
“พ่อของท่านว่าอย่างไรบ้าง”
“พ่อไม่รู้เรื่องนี้”
“ท่านจะทำอย่างไรต่อไป”
“ข้าอยากส่งข่าวสารติดต่อกับคนของข้า ท่านพอมีวิธีไหนบ้าง”
“เอาเป็นว่าเรื่องนี้ข้าจะเป็นธุระจัดการให้ วันนี้ท่านพักผ่อนเสียพรุ่งนี้รอฟังข่าวจากข้าก็แล้วกัน”
หัวหน้าเผ่าบาทีเนียรับคำ ฟารุตรู้ว่าถ้าผู้เฒ่าคาลิครับปากแล้วจะไม่มีพลาดอย่างแน่นอน คืนนี้คงจะเป็นคืนที่เขาจะหลับได้โดยไม่ต้องระแวดระวังภัย ห่วงแต่แม่สาวไทยเธอจะคิดทำอย่างไรต่อไป จะทิ้งให้เดินทางตามหาข่าวพ่อคนเดียวมีหวังเอาชีวิตมาทิ้งในทะเลทรายแน่ จะส่งกลับเมืองหลวงก็ดื้อรั้นไม่ยอมกลับ ไม่รู้จะเอาอย่างไรกับเธอดีฟารุตถอนหายใจด้วยความรู้สึกหนักใจความคิดของเขาวนเวียนอยู่กับเรื่องของวฏิรดาอยู่นานกว่าจะข่มตาหลับลงได้.
ความคิดเห็น