คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่5
บทที่ 5
พันเอกโมฮัมเหม็ดฟารุต พาสาวไทยเดินลุยทะเลทรายมาได้ไม่นานก็ถึงโอเอซีสเล็กๆ ที่เขามาพบและเตรียมเอาไว้เป็นที่พักในคืนแรกที่เขาต้องร่อนเร่มานอนในทะเลทราย ภูเขาหินขนาดย่อม มีต้นไม้ขึ้นประปลายแต่ในกลางทะเลทรายเช่นนี้
ต้นไม้เพียงเท่านี้ก็เป็นสัญญาลักษณ์ให้เห็นได้ว่ามีแหล่งน้ำแน่นอน เขาเลือกซอกที่อยู่ระหว่างหน้าผาสองข้างเป็นที่พักแรมคืนนี้ วฏิรดากวาดสายตามองเงามืดของที่พัก ยังพอมีแสงสว่างจากดวงจันทร์ให้เธอได้เห็นต้นไม้ ใบหญ้าได้บ้าง ห่างจากที่พักไปเพียง
ไม่กี่เมตร มีบ่อน้ำเล็กๆ วฏิรดาอยากอาบน้ำขึ้นมาทันที แต่ในตอนกลางคืนอย่างนี้อากาศที่เย็นไม่ถึงห้าองศาก็ทำให้ความรู้สึกอยากลดลงไปได้มาก เธอทรุดนั่งลงบนผ้าที่ฟารุตปูเอาไว้ เขาเองก็ทรุดลงนั่งข้างๆ เธอแล้วเอนหลังลงนอน ใช้มือสองข้างหนุนแทน
หมอนสูดหายใจเข้าออกช้าๆ แล้วหลับตาลง วฏิรดาหันไปมองหน้าเขาแวบหนึ่งก่อนจะชวนสนทนา
"คุณจะหลับอย่างนี้หรือ" เธอสงสัยเหมือนกันว่าจะนอนกันอย่างไรในซอกผากลางทะเลทรายเช่นนี้
"ยังหรอก ผมแค่อยากเอนหลัง คุณละอยากจะทำอะไร"
"ฉันอยากคุยกับคุณ"
"อยากคุยเรื่องอะไร"
"ฉันยังไม่รู้จักคุณเลย ตั้งแต่เจอหน้ากันก็มีแต่เรื่องร้ายๆ ไม่มีเวลาถามไถ่เลยว่าคุณเป็นใคร และทำไมคุณถึงรู้ว่าฉันเป็น
คนไทย" เธอเว้นจังหวะการพูดเล็กน้อย เห็นเขาไม่ยอมตอบจึงตั้งคำถามต่อ
"ตกลงคุณคือใคร"
"ผมชื่อ ฟารุต"
"แค่นั้นหรือ ทำไมนายคนที่ตายเรียกคุณว่าผู้พัน"
"นั่นเป็นตำแหน่งทางการทหารที่ผมเคยเป็น"
"แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่ที่ไหน ทำไมถึงถูกตามฆ่า" วฏิรดายิงคำถามอย่างรวดเร็ว
"ผมเป็นหัวหน้าข่าว เหตุที่ถูกตามฆ่าผมก็ยังไม่ทราบเอาไว้ผมเจอคนที่ตามฆ่าจะถามมาตอบให้นะครับ" เขาเลี่ยงการตอบโดยใช้คำตอบกวนๆ กลับไป วฏิรดาได้ฟังคำว่าหัวหน้าข่าวเธอดีใจจนลืมถามรายละเอียดอื่นๆ ไปเสียสิ้น
"คุณเป็นหัวหน้าข่าวหรือ ถ้าอย่างนั้นคุณจะต้องเคยรู้จักพ่อฉันแน่ๆ" เธอหันมาจ้องหน้าเขาแววตามีความหวังสว่างโรขึ้นมาทันที
"ทำไมผมต้องรู้จักพ่อคุณด้วย"
"พ่อฉันก็เป็นนักข่าว"
"ผมว่าคุณไม่อาบน้ำหรือเช็ดทำความสะอาดร่างกายก่อนหรือค่อยมาคุยกันต่อ" เขาพยายามตัดบทการสนทนาแต่วฏิรดายังไม่ละความพยายาม
"คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นคนไทย"
"หน้าตาคุณเหมือนคนไทยผมก็เดาๆ เอา" เขาตอบเลี่ยงไปตามเคย
"หน้าอย่างฉันเป็น จีน เกาหลี ญี่ปุ่นก็ได้"
"นี่คุณคิดว่าหน้าคุณเป็นหน้า นานาชาติเลยหรือ" เขาแกล้งว่าเพื่อจะยุติการสนทนา
"แล้วคุณไม่อยากรู้จักชื่อฉันเหรอ" เธอสงสัยว่านี่เขาจะไม่ยอมรู้จักมักจี่คนที่ช่วยเอาไว้เลยหรือไง
"ผมรู้จักคุณดี คุณนักแม่นปืนสาวจากเมืองไทย วฏิรดา หัสดีวิวัฒน์" เขาออกเสียงชื่อเธอด้วยภาษาอังกฤษอย่างชัดเจนวฏิรดางงไปชั่วครู่
"อย่าถามอะไรมากเลย ผมยังไม่อยากตอบอะไรคุณตอนนี้ ผมว่าคุณไปทำความสะอาดร่างกายแล้วมานอนพักเอาแรงดีกว่าพรุ่งนี้ยังไม่รู้ว่าจะเดินไปได้ไกลแค่ไหน จะเจออะไรอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้" เขาแกล้งขู่และก็ได้ผล
"นั่นซินะ พรุ่งนี้คุณวางแผนไว้อย่างไรบ้าง เราจะออกจากทะเลทรายได้ยังไง"
"คุณไปจัดการร่างกายให้สะอาดจะได้นอนพักสบายๆ เอาแรงไว้พรุ่งนี้ อาบน้ำมาแล้วค่อยมาคุยกันต่อก็ได้" เขาให้ความหวังเรื่องการสนทนากับเธอ
"หนาวอย่างนี้ฉันไปอาบน้ำหรอก"
"ผมเพิ่งรู้ว่าสาวไทยไม่ชอบอาบน้ำ"
"ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่อากาศแบบนี้สถานที่แบบนี้ใครจะอยากอาบ" เธอแก้ตัวไปตามความรู้สึกที่แท้จริง
"แล้วแต่คุณก็แล้วกันถ้าไม่อาบตอนที่มีน้ำ ไม่รู้ว่าเราจะไปเจอแหล่งน้ำอีกเมื่อไหร่ อาจจะไม่ได้อาบไปอีกเป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือน คุณตัดสินใจเอาเองก็แล้วกันผมให้เวลาตัดสินใจ ห้านาที ถ้าคุณไม่อาบผมจะไปอาบที่ให้อาบก่อนเพราะไม่อยาก
ให้คุณอาบน้ำที่ผมใช้แล้วเท่านั้น" เขาขู่ทิ้งท้ายแล้วลุกขึ้นก่อนจะหิ้วกระติกและถุงหนังที่เอามาด้วยก่อนที่ทิ้งเธอมา แล้วเดินไปยังบ่อน้ำ ก่อนไปไม่ลืมที่จะหันมาสำทับว่า
"ผมให้เวลา ห้านาที ผมจะไปเอาน้ำมาเก็บไว้ดื่มก่อน หลังจากนั้นจะใช้น้ำนั้นอาบ"
"ทำอะไรนะ" เสียงฏิรดาตวาดดังอย่างลืมตัว
"อ้าว ผมก็จะอาบน้ำซิครับ คุณไม่อาบแล้วนี่" ฟารุตตอบขณะที่มือทั้งสองข้างยังสาละวนกับการถอดเสื้อผ้า
"ฉันจะอาบก่อน" เธอรีบแจ้งความจำนงทั้งๆ ที่ยังคิดไม่ออกว่าจะอาบน้ำกันยังไง กลางทะเลทรายที่มีบ่อน้ำเล็กๆ เสื้อผ้าก็ไม่มีจะเปลี่ยน สบู่ยาสระผมก็ไม่มี เธอจึงหันรีหันขวาง
"จะอาบทำไมไม่ไปล่ะ"
"จะอาบยังไง" วฏิรดาจนปัญญาจริงๆ จึงได้ถามออกไปอย่างนั้น
"ผมจะนอนพัก ขอรับรองด้วยเกียรติของคนทะเลทรายว่าคุณจะปลอดภัยจากสายตาแอบมองอาบเสร็จเรียกผมก็แล้วกัน" เขาล้มตัวลงนอนทันทีแต่วฏิรดาก็ยังหันรีหันขวาง
"มีอะไรอีกหรือเปล่า" ฟารุตถามด้วยความสงสัย
"คือฉันไม่รู้จริงๆ จะอาบยังไง ตักน้ำขึ้นมาอาบก็ไม่มีอะไรตักหรือจะต้องลงไปในบ่อ มันน่ากลัวหรือเปล่า ลึกมั๊ย แล้ว" เธอทิ้งระยะการพูดกำลังตัดสินใจว่าจะพูดต่อดีหรือไม่
"อะไรละผมรอฟังอยู่จะได้อธิบายพร้อมกัน"
"สบู่ คุณพอมีหรือเปล่า" เขาหัวเราะ
"สบู่ผมไม่มีหรอกไม่ได้เตรียมพร้อมหนีขนาดนั้น แต่ข้างๆ บ่อน้ำจะมีต้นไม้ชนิดหนึ่งใบสากๆ เอามาขยี้จะเป็นฟองคงพอใช้แทนสบู่ได้ ส่วนสองคำถามแรก ถ้าคุณไม่กล้าลงก็ใช้มือกวักน้ำขึ้นมาอาบเอาเท่านั้นเอง" พูดเสร็จเขาก็ล้มตัวลงนอนต่อทันที
วฏิรดาจำเป็นต้องพาตัวเองมาที่บ่อน้ำ เมื่อเห็นว่าเขานอนนิ่งตามสัญญาเธอจึงรีบถอดเสื้อผ้า คิดในใจว่าไม่มีวันเสียละที่จะลงไปแช่ในบ่อขณะที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลึกแต่ไหนข้างล่างจะเป็นอย่างไร แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว เธอจึงเลือกที่จะกวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า
เพียงแค่น้ำจากบ่อกระทบผิวหน้าวฏิรดาถึงกับสะดุ้งเพราะความเย็นจัดของมัน เธอจึงรีบล้างหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วใช้ชายของผ้าพันคอที่ติดตัวมาชุบน้ำลูบไล้ไปตามผิวเบาๆ เพียงเท่านั้นก็จัดแจงสวมเสื้อผ้าแล้วเดินกลับมายังคนที่นอนรออยู่เขานอนนิ่งเหมือน
คนหลับ วฏิรดาชโงกหน้าไปมองใกล้ๆ เพื่อดูว่าเขาหลับหรือเปล่า เขาหลับตาเสียงหายใจสม่ำเสมอ วฏิรดาตัดสินใจจะไม่ปลุกเขาตามคำสั่งแต่พอจะขยับตัวออกห่างก็ต้องสะดุ้งเพราะมือที่แข็งปานคีมเหล็กจับข้อมือของเธฮไว้อย่างรวดเร็วจนเธอเซลงไปปะทะกับอกของเขา
"คุณจะทำอะไร" เขาถาม
"ฉันจะมาปลุกคุณไปอาบน้ำไง" วฏิรดารีบบอกจุดประสงค์
"ทำไมต้องมาใกล้ขนาดนี้ อยู่ไกลๆ ปลุกก็ได้ นี่ถ้าผมนึกว่าเป็นศัตรูคุณอาจจะถูกผมเสียบด้วยมีดไปแล้วนะนี่" เขาแกล้งขู่มือยังไม่ยอมปล่อย
"แล้วนี่อาบน้ำแล้วหรือ ทำไมผิวยังแห้งเหมือนไม่โดนน้ำเลย คนไทยเขาอาบน้ำกันแบบนี้หรือ"
"นี่คุณแอบดูฉันอาบน้ำหรือนี่"
"เปล่า ผมรักษาสัญญาเสมอ แต่คุณอาบน้ำใช้เวลาไม่ถึงสามนาทีนี่จะให้ผมเดาว่าไงล่ะครับ"
"ช่างฉันซิ ฉันกลัวนี่ใครจะกล้าลงไปในบ่อทั้งๆ ที่ไม่รูว่าข้างในบ่อมีอะไร"
"บ่อน้ำในทะเลทรายจะมีอะไรมากคุณนอกจากเนื้อทรายที่ละเอียด"
"ก็คุณไม่บอกฉันนี่ฉันเลยใช้วิธีการอาบแบบนี้ เอาไว้ค่อยอาบเต็มที่ตอนได้กลับไปที่พัก" วฏิรดาเลี่ยงไปแบบข้างๆ คูๆ
"คุณจะแอบดูผมก็ได้นะผมไม่หวง" ฟารุตพูดแล้วลุกเดินไปที่บ่อน้ำทันทีโดยไม่รอฟังคำตอบ
"เชอะ น่าดูนักนี่" ถ้าเขาหันกลับมาคงจะเห็นท่าแบะปากอย่างไม่สบอารมณ์ของเธอ
ฟารุตหายลงไปในบ่อนานจนวฏิรดานึกว่าเขาอาจจะแข็งตายไปแล้วเลยลุกขึ้นไปตาม แต่พอเดินเข้าไปใกล้บ่อน้ำแสงจันทร์สว่างพอจะเห็นความขาวของแผ่นหลังและกล้ามเนื้อเป็นมัดสมชายชาตรีของเขา วฏิรดาเผลอจ้องมองด้วยความรู้สึกอยากจะ
บรรยาย เธอคิดว่าฟารุตไม่รู้ว่าเธฮเดินมา จึงยืนนิ่งเผลอมองเขาอยู่นาน ฟารุตที่ยังคงแช่และถูผิวของตัวเองไปเรื่อยๆ อย่างสบายอารมณ์ แต่พอวฏิรดาจะหันหลังกลับฟารุตหันหน้ามามองเธอแล้วยิ้มอย่างคนรู้ทัน
"นี่ขนาดมาแอบดูใกล้ๆ เลยหรือ"
"ฉันไม่ได้มาแอบดู มาดูว่าแข็งตายไปแล้วหรือยังแค่นั้น" ฟารุตทำท่าจะขึ้นจากบ่อ ทำให้เห็นแผ่นอกเปลือยเปล่าที่มีมีหยดน้ำเกาะ สายตาของวฏิรดาสะดุดกับสร้อยทองคำขาวที่เขาใส่อยู่ ในใจนึกว่าฟารุตแอบขโมยสร้อยเครื่องรางของเธอมาใส่
ตั้งแต่เมื่อไหร่ กำลังจะเอ่ยปากถาม แต่พอเห็นท่าที่จะมิลจะกระโดดขึ้นจากบ่อวฏิรดาก็ลืมคำถามรีบหันหน้าหนีเดินกลับไปยังที่พักเสียก่อนที่จะเห็นภาพอุดอาจตา เป้ของเธอยังวางอยู่ตำแหน่งเดิมและไม่มีร่องรอยการถูกรื้อค้นเธอรีบล้วงเข้าไปหากล่อง
กำมะหยี่ที่แม่ให้มามันยังอยู่ที่เดิมเธอรีบเปิดมันออก สร้อยเส้นนั้นยังคงอยู่ในกล่องไม่ได้หายไปอย่างที่เธอคิด แม้จะรู้สึกสงสัยว่าสร้อยเส้นนั้นของเขาได้มาจากไหนทำไมมันถึงได้เหมือนสร้อยของเธอ แต่พอมาคิดดูอีกทีอาจจะเป็นสร้อยเครื่องรางของชาว
อาหรับทั่วไปก็ได้ ถึงได้ เธอจึงเลือกที่จะเงียบเสีย ฟารุตเดินตามมา เขาเดินมายืนใกล้ๆ เธอแล้วพูดเสียงเบาๆ
"เป็นห่วงผมหรือ แล้วรีบหนีมาทำไม"
"ฉันกลัวไม่มีคนพากลับไปชีร่าห์ดัมเท่านั้น ไม่ได้ห่วงอะไรมากมาย" เขาหัวเราะและเดินไปยังที่นอน แล้วล้มตัวลงนอนทันที วฏิรดาตัดสินใจไม่ได้ว่าจะนอนตรงไหน ผ้าผืนนั้นแคบมาเสียจนถ้านอนสองคนต้องเบียดกันถึงจะนอนได้ และถ้าไม่นอนก็ต้องลงไปนอนบนผืนทราย ฟารุตรู้ใจจึงตะแคงตัว
"มานอนได้แล้วผมตะแคงอย่างนี้คงไม่ถึงกับต้องเบียดกัน หรือว่าคุณจะนอนบนทรายก็ตามใจ" เขาหลับตาลงทันทีที่พูดจบ วฏิรดาไม่รอให้เขาเรียกซ้ำเพราะรู้ดีว่าถ้าเธอบอกว่าจะนอนบนทรายเขาก็คงปล่อยให้เธอนอนแน่ๆ เหตุการณ์เมื่อตอนเย็นทำให้เธอรู้ว่าผู้ชายคนนี้พูดจริงทำจริง
"ฉันอยากจะรู้ว่าเราจะทำยังไงกันต่อ"
"รอถึงพรุ่งนี้ค่อยคิดก็ได้ คืนนี้นอนเอาแรงก่อน"
"แต่ฉันอยากรู้จะได้นอนหลับไม่งั้นนอนไม่หลับแน่"
"ผมเชื่อว่าพอคุณหยุดพูดคุณจะหลับทันทีเพาะเราเหนื่อยและเพลียกันมาก เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เราค่อยคิดวางแผนดีกว่านอนซะ" เมื่อไม่มีประโยชน์ที่จะมาเถียงให้ชนะวฏิรดาก็ยอมทำตาม จริงเหมือนที่เขาพูดเธอหลับได้ภายในไม่กี่นาที
อากาศที่หนาวเหน็บในยามค่ำคืนกลางทะเลทรายทำให้วฏิรดาขยับมาซุกหาไออุ่นที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างไม่รู้ตัว เมื่อตกใจตื่นเพราะแสงอาทิตย์ส่องจ้ามาที่ศีรษะ พอลืมตาก็เห็นฟารุตนอนในท่าเดิมแต่ตัวเธอเองกลับขยับมานอนหนุนแขนของเขาได้อย่างไรก็ไม่รู้ได้ วฏิรดาจึงรีบขยับตัวออกห่างเพราะรู้ว่าคนที่เธอหนุนแขนอยู่นอนลืมตามองเธออยู่ก่อนแล้ว
"ฉันทับแขนคุณนานละซิ" เธอแก้เก้อด้วยคำถามที่แทบจะไม่ต้องการคำตอบ และรู้สึกเขินจนต้องหลบดวงตาที่คมโตคู่นั้นลงมองพื้นทราย
"ไม่นานเท่าไหร่ ห้าชั่วโมงเอง"
"ขอโทษนะฉันหลับไม่รู้เรื่องเลย"
"ดีแล้ววันนี้จะได้มีแรงเดินทางกันต่อ"
"ที่นี่ไกลจากแผ่นดินมั๊ย"
"ไม่ไกลเท่าไหร่ เราเข้ามาลึกประมาณ ยี่สิบกิโลเมตรน่าจะได้"
"แล้วทำไมคุณไม่ติดต่อขอความช่วยเหลือจากทางการหรือหทหารละ คุณไม่มีโทรศัพท์หรือ"
"ไม่มี และถึงมีผมก็ไม่ใช้มันอันตราย คุณไม่ต้องห่วงถ้าเจอกลุ่มเบดูอินที่เขาจะเดินทางเข้าไปส่งสินค้าในเมืองผมจะฝากคุณไปกับเขาแต่ตอนนี้คุณไปล้างหน้าล้างตาก่อนผมพอมีขนมปังติดตัวมาจะได้ทานก่อนออกเดินทาง"
"คุณมีขนมปังด้วยหรือ แล้วกระดาษทิชชูมีหรือเปล่า"
"จะเอาไปทำไม" เขาถามทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
"ฉันจะทำธุระส่วนตัว" เขายิ้มล้วงลงไปในเป้ส่งม้วนกระดาษให้เธอ
"เก็บใส่เป้คุณไว้มีอยู่ม้วนเดียวจะใช้มากใช้น้อยก็แล้วแต่คุณผมยกให้"
เธอกล่าวขอบคุณเบาๆ แล้วหายไปทางบ่อน้ำทันที ฟารุตเตรียมอาหารเช้า เขามีขนมปังและกาแฟสำเร็จรูปและอาหารแห้งเล็กน้อยที่จัดเตรียมใส่เป้ก่อนออกเดินทางไปช่วยวฏิรดาและเตรียมพร้อมสำหรับการถูกล่าจากศัตรูที่เขายังไม่รู้ตัวตน อาหารพร้อมรอคนมารับประทานแต่ก็ยังไร้วี่แววของวฏิรดา ฟารุตเห็นว่าเธอไปนานเกินไปรู้สึกเป็นห่วงจึงเดินไปตามหา
เสียงจ๋อมแจ๋มของน้ำในบ่อทำให้เขานึกอยากเห็นว่าเธอทำอะไร จึงค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้บ่อ ภาพข้างหน้าทำให้เขาตลึงจนต้องหยุดก้าวเท้าไปข้างหน้า หญิงสาวที่เปลือยเปล่าปล่อยให้ปทุมถันลอยปริ่มๆ อยู่กลางบ่อแม้จะถูกแขนข้างซ้ายบังเอาไว้แต่
เวลาที่เธอยกแขนขึ้นสยายผมก็ทำให้เห็นว๊อบๆแวมๆ ชวนให้ค้นหา นี่แค่เพียงด้านข้างยังสวยงามเพียงนี้ เขาไม่อยากคิดต่อค่อยๆ หันหลังกลับมานั่งแทะขนมปังและกรอกกาแฟที่ขมจัดลงคอ เหมือนจะสะกดอารมณ์บางอย่างเอาไว้ กาแฟของเขาเกือบหมดแก้ววฏิรดาก็กลับมา
"คุณอาบน้ำหรือ" เขาถามตามองแก้วกาแฟ
"ค่ะ เมื่อคืนมันหนาวฉันแค่เอาผ้าชุบน้ำลูบตัว สายๆ อย่างนี้อากาศเริ่มอุ่นเลยคิดว่าอาบเสียเลยดีกว่าไม่รู้ว่าวันนี้จะต้องเจออะไรอีก" เขาพยักหน้าเข้าใจ
"ดีแล้ว ทานอาหารเช้าเถอะเดี๋ยวจะได้เดินทางต่อ"
"คุณเตรียมอาหารพวกนี้มาด้วยเหมือนรู้ว่าจะมาติดทะเลทราย"
"ผมเตรียมพร้อมเสมอ" ฟารุตหยุดคำพูที่จะอธิบายต่อไว้เพียงเท่านั้น
"ทานก่อนเถอะอย่างเพิ่งถามมาก เดี๋ยวจะได้เตรียมตัว เดินทางต่อ ห่างจากนี้ไปประมาณสองกิโลจะเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าของเบดูอิน โชคดีถ้าเจอคนที่รู้จักจะได้ฝากคุณไปกับเขา"
"ทำไมคุณไม่เข้าเมืองไปด้วย"
"ผมยังไปไม่ได้ตอนนี้"
"แล้วคุณจะไปไหนต่อ"
"ผมจะไปกับคาราวารเบดูอิน เพื่อไปหาหัวหน้าเผ่าเบดูอินท่านหนึ่ง"
"งั้นฉันขอตามไปด้วย มาถึงขนาดนี้แล้วฉันไม่อยากกลับเข้าเมืองตอนนี้ เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น"
"ไม่ได้หรอก คนของคุณ ทางการของคุณจะตามหาตัวคุณมันจะยิ่งทำให้ผมเดินทางไม่สะดวก"
"แล้วถ้าฉันกลับออกไปแล้วไปเจอพวกที่ตามจับฉันอีกละจะทำอย่างไร ฉันไม่ตายหรือ" เรื่องของความกลัวจาก
เหตุการณ์เมื่อวานเป็นเรื่องหนึ่งแต่ในใจของวฏิรดาตอนนี้กำลังประเมินว่า ถ้าตามฟารุตไปนอกจากจะปลอดภัยแล้วยังสามารถทำให้เธอมีหนทางที่จะติดตามข่าวของพ่อได้ง่ายขึ้นแน่นอน วินาทีนั้นเธอจึงตัดสินใจจะทิ้งการแข่งขัน เมื่อเหตุการณ์พาเธอมาได้
ถึงขนาดนี้แม้จะดูเหมือนโชคร้าย แต่ก็เป็นโชคดีที่จะได้ติดตามข่าวพ่อโดยมีฟารุตคอยช่วยเหลือ เธอเชื่อว่า เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนที่ได้รู้จักเขา ฟารุตน่าจะเป็นคนเก่งและเป็นคนดีที่จะช่วยให้เธอปลอดภัยได้
"เอาเป็นว่าผมตัดสินใจแล้วจะส่งคุณกลับเข้าเมือง เรื่องต่อไปจะเป็นอย่างไรมันเป็นเรื่องของคุณที่จะต้องจัดการ คุณสามารถติดต่อทางการขอความคุ้มครองได้"
"ฉันไม่รู้จักใครเลยใครจะช่วยฉันได้"พยายามหาเหตุผลมากล่าวอ้างเพื่อให้เขาอนุญาตให้อยู่ต่อ
"ผมพอมีคนรู้จัก จะเขียนจดหมายไปให้พร้อมกับเบอร์โทรศัพท์ที่คุณสามารถติดต่อเขาได้โดยตรง เขาจะคุ้มครองคุณได้จนกระทั่งออกจากประเทศนี้ แค่นี้เพียงพอที่จะให้คุณมั่นใจในความปลอดภัยหรือไม่" เธอส่ายหน้าแทนคำตอบ
"ทำไมล่ะ"
"เพราะที่ผ่านมาฉันไม่เห็นจะปลอดภัย มีแต่อะไรก็ไม่รู้เหมือนบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแปร" เธอใส่ความทันที
"ผมรับรองความปลอดภัยให้คุณได้แล้วไม่มีเหตุผลที่ผมจะให้คุณตามผมไป ทานให้เสร็จแล้วออกเดินทางตามแผนของผม" เขาปิดการเจรจาด้วยวิธีเผด็จการ วฏิรดาคิดเช่นนั้น เธอจึงไม่ต่อรองอะไร แต่ในใจคิดวางแผนต่อทันที กาแฟดำขมปี๋เมื่อผ่านลิ้นเข้าไปทำเอาแทบสำลัก เธอกำลังจะวางมันลงหลังจากลิ้มรสไปเพียงอึกเดียวแต่ก็ต้องชะงัก
"ดื่มให้หมด แดดกลางวันร้อนจัดความขมของกาแฟจะทำให้รู้สึกสดชื่น" เธอไม่อยากดื้อกับเขา เพราะกำลังหาทางจะติดตามเขาอยู่จึงยอมทำตามโดยดี
ฟารุตเก็บทุกอย่างด้วยตัวเอง เมื่อพร้อมแล้วเขาจึงส่งผ้าโพกศีรษะผืนที่เขาโพกอยู่ให้เธอ
"ฉันมีแล้ว" เธอหยิบผ้าพันคอที่มาใช้ตั้งแต่เมื่อวานโชว์ให้เขาดู
"ใช้อันนี้ ผืนนั้นมันบางและไม่สามารถป้องกันฝุ่นทรายได้เวลาเกิดพายุ เอาเก็บไว้พันคอตอนกลางคืนจะอุ่นกว่า" เธอพยักทำท่าจะรับผ้ามาจากเขาแต่ฟารุตเกิดเปลี่ยนใจ
"ผมจะโพกให้ จะได้แน่หนา" เขาไม่รอฟังคำตอบสะบัดผ้าแล้วคลุมมาที่ศีรษะของวฏิรดาแล้วโพกให้อย่างรวดเร็ว ลมหายใจที่เป่ารดอยู่ใกล้ๆ แก้มทำให้เธอจำต้องยืนนิ่งให้เขาโพกผ้ารู้สึกเหมือนว่าถ้าขยับเพียงนิดเดียวหน้าผากต้องชนจมูกเขาเป็นแน่
ทันทีที่โพกผ้าให้เธอเสร็จสีหน้าของเขาเคร่งเครียด ไม่พูดอะไรหันหลังเดินนำหน้าไปทันที วฏิรดาอดแปลกใจไม่ได้เธอวิ่งตามไปฉุดแขนเขาไว้
"คุณเป็นอะไร ฉันทำอะไรผิดหรือเห็นทำหน้าโกรธ"
"ออกไปห่างๆ ผมหน่อย ผมอึดอัด" เขาพูดเท่านั้นแล้วเดินต่อทันทีวฏิรดาไม่เข้าใจอารมณ์ของเขาในใจคิดว่า ช่างเถอะ โกรธอะไรก็โกรธไปขอให้ได้ตามไปด้วยก็พอใจแล้ว
เดินออกมาจากจุดพักได้ไม่นาน แดดยามสายที่ร้อนราวกับยามบ่ายของเมืองไทยทำให้วฏิรดาเริ่มอ่อนเพลีย เธอต้องเตือนตัวเองว่าให้อดทน อย่าอ่อนแอไม่อย่างนั้นแผนที่วางเอาไว้ในใจจะผิดพลาดได้ สีเขียวจาก กลุ่มต้นอินทผลัมข้างหน้าทำให้เธอรู้สึกใจชื้น ฟารุตพาเธอเดินตรงไปเพื่ออาศัยร่มเงาพักการเดินทาง
"เราพักกันตรงนี้ก่อน ข้างหน้าที่เห็นลิบๆ เป็นเส้นทางที่เบดูอินจะผ่าน ผมจะให้คุณอยู่ที่นี่รอเดี๋ยวจะกลับมารับ"
"ฉันไม่อยากรอที่นี่" วฏิรดาตั้งท่าจะเดินตามเขาไป
"ต้องรอที่นี่ ผมยังไม่รู้ว่าพวกเขาจะเป็นเบดูอินกลุ่มไหน มันอันตราย" เขาพูดเพียงเท่านั้นแล้วหันหลังเดินออกไปทันที วฏิรดาจำเป็นต้องเชื่อฟังเขา ที่นี่ไม่ใช่เมืองไทย วิถีชีวิตของคนที่นี่ต่างจากเมืองไทยมากความเก่งกล้าเอาแต่ใจตัวเอง บางครั้งมันอันตรายถ้าใช้ไม่ถูกเวลา เธอคิดได้ดังนั้นแล้วจึงทรุดนั่งพิงโคนต้นอินทผลัมสายตาจับจ้องไปทางที่ โมฮัมเหม็ดฟารุต อัชชิราน์เดินไป
ไกลออกไป กลุ่มคาราวานที่มีทั้งอูฐ ม้า และลาเดินตามทางเป็นแถวยาวเหยียด เมื่อฟารุตเดินไปถึง ขบวนคาราวานได้หยุดการเดินทาง เพียงไม่นานม้าตัวหนึ่งก็ถูกควบออกมาจากขบวนมุ่งตรงมายังทางที่วฏิรดานั่งอยู่ ด้วยความไม่ปลอดภัยเท่าที่ได้
เจอมาตลอดสองวันที่ผ่านมาทำให้วฏิรดาไม่ไว้ใจอะไรทั้งสิ้น เธอรีบลุกขึ้นวิ่งไปซ่อนตัวที่เนินทรายห่างจากร่มไม้ ไปเกือบร้อยเมตร เพื่อดูว่าคนที่ควบม้ามาจะใช่ฟารุตหรือไม่ ม้าที่ควบมชะลอความเร็วลงเมื่อมาถึงใต้ร่มอินทผลัม ฟารุตชักม้าวนไปมากวดสาย
ตามองหาคนที่เขาสั่งให้รอ เมื่อมองไม่เห็นเขาจึงกระโดดลงจากหลังม้า แล้วจึงเดินตรงไปยังเนินทรายที่วฏิรดาซ่อนตัวอยู่
"ออกมาได้แล้ว ทำไมต้องมาหลบด้วย" วฏิรดาค่อยๆ ลุกจากท่าที่นอนราบกับพื้น สงสัยว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าเธออยู่ที่นี่
"คุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันอยู่ที่นี่"
"ถ้าคุณคิดจะหลบต้องอย่าลืมที่จะลบรอยเท้า" เป็นความรู้ใหม่ของการหลบภัยกลางทะเลทราย เธอปัดฝุ่นทรายแล้วเดินตามเขามายังใต้ร่มไม้
"ผมเจรจากับพวกเขาแล้วเรื่องการฝากคุณกลับเข้าเมือง เขาคิดไม่แพงเท่าไหร่ ผมยินดีจ่ายให้คุณจะได้กลับไปหาเพื่อนๆ ของคุณ"
"ฉันไม่กล้าเดินทางไปกับคนที่ไม่รู้จัก"
"คุณรู้จักผมหรือ"
"รู้ คุณเป็นนักข่าวไง ที่สำคัญคุณเป็นคนช่วยชีวิตฉัน ถ้าคุณต้องการทำร้ายฉัน ฉันก็คงไม่รอดมาถึงวันนี้ในทะเลทรายแห่งนี้ฉันจึงคิดว่าไว้ใจคุณได้เพียงคนเดียว" เขาส่ายหัวกับความดื้อร้นของเธอ เขาจึงไม่ยอมต่อปากต่อคำด้วย
"เอาละไปกันเถอะ เราจะเดินทางไปกับพวกเขาก่อนพวกนี้เดินทางช้า คืนนี้พักค้างแรมกับคาราวานแล้วค่อยคิดต่อว่าจะเอายังไง" เขาจับบั้นเอวเธอส่งขึ้นบนหลังม้าก่อนที่จะกระโดดขึ้นตามแล้วควบกลับไปยังคาราวานเขาชักม้าไปเทียบกับชายหัวหน้าคาราวานแล้วส่งภาษาท้องถิ่นที่วฏิรดาฟังไม่รู้เรื่อง แต่สายตาของหัวหน้าคาราวานชาวเบดูอินที่มองมายังเธอสายตาวาววับเจ้าเล่ห์เสียจนวฏิรดารู้สึกกลัว ฟารุตขยับม้าไปรั้งท้ายขบวนแล้วคาราวานจึงเดินทางต่อตามคำสั่งหัวหน้าทันที
จริงดังที่ฟารุตบอก สัตว์ทุกตัวบรรทุกสินค้าบนหลังทำให้คาราวานสินค้าเดินทางช้ากว่าที่คิด เธอไม่เข้าใจว่าฟารุตมีเหตุผลอะไรที่ต้องเดินทางมากับขบวนคาราวานทั้งๆ ที่สามารถใช้ม้าตัวที่เขาซื้อมาเดินทางต่อด้วยตัวเองได้ หลายชั่วโมงผ่านไปขบวนคาราวานเดินทางกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุยังไม่มีทีท่าว่าจะพบแหล่งน้ำหรือต้นไม้สักต้น มีแต่ความเวิ้งว้างของทะเลทราย เนินทรายที่ต้องแสงแดดยามบ่ายคล้อยทำให้เห็นความสูงต่ำคล้ายคลื่นทะเลที่ไม่เคลื่อนไหว ความร้อนทำให้วฏิรดารู้สึกอ่อนล้าไม่น้อย แต่เธอพยายามทำตัวให้เข้มแข็งด้วยความอดทนเพราะถ้าขืนทำตัวอ่อนแอฟารุตอาจจะกลัวเธอเป็นภาระและส่งเธอเข้าเมืองไปพร้อมกับคาราวานก็ได้
ม้าของหัวหน้าคาราวานวิ่งเหยาะๆ มาเทียบกับม้าของฟารุต เขาส่งภาษาพูดคุยกับฟารุตกี่ประโยคแล้วก็ชักม้ากลับไปคุมขบวนต่อ
"อีกสักพักจะถึงโอเอซีส คาราวานจะพักค้างแรมที่นั่นพรุ่งนี้เช้าจึงจะเดินทางต่อและจะถึงเขตเมืองในช่วงใกล้ค่ำ" ฟารุตพูดขึ้นมาเพราะรู้ดีว่าคนที่อยู่ข้างหน้าต้องอยากรู้ไม่น้อยว่าเขาพูดอะไรกับหัวหน้าคาราวาน
มาถึงโอเอซีสเล็กๆ ที่พอจะมีน้ำสำหรับบริโภคได้ ลูกหาบของขบวนคาราวานต่างกุลีกุจอตั้งกระโจมเพื่อเป็นที่พักชั่วคราว ฟารุตแยกออกมาตั้งกระโจมเองห่างจากคนอื่นพอประมาณ เขาคงจ่ายเงินไปไม่น้อยกับม้าและอุปกรณ์การดำรงชีพในทะเลทรายที่ติดมากับหลังม้า รวมถึงอาหารแห้งอีกถุงใหญ่ๆ เหมือนหนึ่งว่าเขาจะต้องเดินทางอีกเป็นแรมเดือน
"ฉันช่วยอะไรคุณได้บ้าง" เธอเดินเข้ามาถามด้วยความรู้สึกเกรงใจที่ต้องให้เขาทำให้ทุกอย่าง
"ไม่ต้องหรอก คุณไม่รู้หรือว่าประเพณีของเราสามีต้องทำทุกอย่างให้ภรรยา เดี๋ยวคุณก็ดูแลเรื่องอาหารและเสื้อผ้าดีกว่า"
"แต่ฉันไม่ใช่ภรรยาคุณ ควรต้องช่วยคุณถึงจะถูก" เธอเดินตางไปช่วยจับนั่นจับนี่ฟารุตวางทุกอย่างลงเดินมาใกล้เธอแล้วพูดด้วยเสียงที่กระซิบ
"ที่นี่คุณอยู่ในฐานะภรรยาผม ถ้าไม่เช่นนั้นคุณจะอยู่กระโจมเดียวกับผมไม่ได้ นั่งม้าตัวเดียวกับผมไม่ได้ และที่สำคัญพรุ่งนี้คุณจะเดินทางไปกับพวกเขาในฐานะภรรยาของผมที่จะไปพบญาติที่อยู่ในเมืองมันถึงจะทำให้คุณปลอดภัย" วฏิรดาทำตาโต
"นี่พวกเขาคิดว่าฉันเป็นภรรยาคุณหรือฟารุต"
"ซู่ๆๆๆๆ" เขาใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปากส่งสัญญาณให้เธอพูดเบาๆ
"อย่าเรียกผมว่าฟารุต ถึงคุณจะพูดภาษาอังกฤษ แต่คำว่าฟารุตมันออกเสียงชัดเกินไปอันตรายสำหรับผม ผมบอกพวกนี้ไปว่าผมชื่อจินมาล"
"จินมาล เรียกยากชะมัด"
"งั้นเรียกที่รักซิง่ายดี"
"ไม่เอาหรอกชื่อนั่นยิ่งยากหนัก เอาเป็นว่าฉันจะเว้นเสียถ้าจะต้องใช้ชื่อคุณก็แล้วกัน" วฏิรดาเลี่ยงไปได้ไม่ยอมตกหลุมพรางของฟารุต
"นี่ฉันต้องนอนในนี้กับคุณหรือ" เขาพะงกศีรษะมือยังสาละวนกับการจัดการกับกระโจม
"หรือคุณอยากไปนอนกระโจมอื่น"
"คุณซื้อมากระโจมเดียวหรือนึกว่าซื้อมาเผื่อฉันด้วย" เขาหัวเราะวฏิรดาทำหน้างง
"หัวเราะทำไม"
"คุณนี่ ผมอธิบายแล้วไม่ใช่หรือว่าที่นี่กลางทะเลทรายเขามีประเพณีของเขาถ้าไม่ใช่สามีภรรยามาด้วยกันอย่างนี้ผิดประเพณีคุณจะถูกดูรังเกียจบางทีอาจจะถูกทำร้ายจากผู้หญิงที่เขาเคร่งครัดในประเพณี ที่ร้ายที่สุดถ้าเจ้าหัวหน้าคาราวานมันรู้ว่าคุณไม่ใช่ภรรยาผม ผมไม่อาจรับรองความปลอดภัยให้คุณได้ หรือคุณอยากลอง"
"ไม่" วฏิรดาสะบัดเสียงด้วยความไม่พอใจในคำถามสุดท้ายแล้วปิดปากเงียบแล้วทำท่าจะเดินหนีแต่แล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ วฏิรดาหันหน้ากลับมามองหน้าเขานิ่ง
"มีอะไรหรือ" เขาถามมือยังไม่หยุดงานที่ทำอยู่
"เมื่อกี้คุณบอกว่าฉันจะเดินทางไปกับพวกเขาในฐานะภรรยาของคุณที่จะไปพบญาติที่อยู่ในเมืองอย่างนั้นหรือ"
"ใช่" เสียงหนักแน่นของเขาทำให้เธอรู้ว่าเขาต้องการอย่างนั้นแน่
"พรุ่งนี้พวกเขาจะเดินทางกี่โมง"
"ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น การเดินทางตอนเช้ามืดอากาศเย็นสบายอูฐและลา จะเดินทางได้เร็ว"
"คุณจ่ายไปเท่าไหร่สำหรับของที่ได้มาทั้งหมด" วฏิรดาไม่สนใจคำอธิบายความของเขา
"ทำไม"
"ฉันถามคุณ ไม่ได้ต้องการให้คุณถามย้อน"
"ผมไม่ตอบ"
"งั้นฉันจะไปหาคำตอบเอง" วฏิรดาหันหลังเดินออกไปไม่ถึงสามก้าวก็ถูกกระชากกลับมาฟารุตลากเธอเข้าไปในกระโจมที่เพิ่งกางเสร็จหมาดๆ สายตาของวฏิรดาเหลือบไปเห็นผู้หญิงหลายคนที่อยู่ในกระโจมถัดออกไปแอบมองแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย
"คุณจะทำอะไร"
"ผมต่างหากที่ต้องถามคุณ"
"ฉันจะไปถามราคาของสินค้าที่คุณซื้อมันผิดตรงไหน"
"ผิดมหันต์"
"ผิดยังไง" เธอเถียงด้วยความไม่พอใจ
"ผิดที่คุณอยู่ในฐานะผู้หญิงของผมแล้วทำในสิ่งที่ไม่ควรที่สุดของชนเผ่าที่เรามาอยู่ในสังคมเขา"
"ฉันไม่ใช่ผู้หญิงของคุณ ฉันไม่จำเป็นต้องทำตามที่คุณบอก เมื่อคุณจะส่งฉันไปกับคนพวกนี้ เราก็จบการแสดงละครกันได้ ฉันจะทำในสิ่งที่ฉันเห็นว่าควรจะทำและจะตัดสินใจเอง"
"คุณนี่ทำไมถึงได้ดื้อร้นอย่างนี้ ผมพบกับคุณแค่ไม่กี่วันมีแต่เรื่องวุ่นวายปวดหัว นี่คุณยังจะดื้ออีก"
"นับแต่เวลานี้เป็นต้นไปฉันจะรับผิดชอบชีวิตตัวเอง จะไม่เป็นภาระคุณ คุณจะได้ไม่วุ่นวายปวดหัว ฉันมีเงิน ฉันจะใช้มันในการจัดการชีวิตของฉันได้" วฏิรดาสะบัดมือจนหลุดจากการเกาะกุมแล้วถลาออกไปนอกกระโจมฟารุตตามออกมาติดๆ คว้าเอวไว้ผู้คนในกระโจมต่างโผล่หน้าออกมาดู เขาส่งภาษาพื้นเมืองที่เธอฟังไม่เข้าใจไปสองประโยคแล้วกอดเอวเธอโอบกึ่งลากเข้ามาในกระโจม
"ปล่อยฉัน"
"ถ้าคุณออกไปตอนนี้พวกนั้นจะหัวเราะคุณ"
"ทำไม"
"ผมบอกพวกเขาว่าคุณงอนที่ผมไม่ยอมทำรักให้จะหนีออกจากกระโจม ผมบอกพวกเขาว่าผมยอมคุณแล้วเลยลากคุณมานี่ไง" วฏิรดาตาโตด้วยความตกใจ นี่จะออกไปสู้หน้าคนพวกนั้นได้อย่างไร เธอหยุดพยศลงมองหน้าเขาด้วยความแค้นเคือง ฟารุตวางสีหน้าเฉยเมยแต่ดวงตายิ้มระริกด้วยความรู้สึกสะใจที่ปรามเธอได้โดยวิธีนี้
ก่อนอาหารเย็นเด็กชายชาวเบดูอินสามคนหาบน้ำมาส่งให้ถึงหน้ากระโจม ฟารุตออกไปรับแล้วจัดแจงกันส่วนของกระโจมและสั่งให้เธออาบน้ำ โดยบอกว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะมีอาหารเย็นมาเสิร์ฟถึงในกระโจม เวลาตามหน้าปัดนาฬิกาของวฏิร
ดาตอนนี้เพิ่งจะสี่โมงเย็นแต่ความมืดมาครอบคลุมทุกพื้นที่ของทะเลทรายแล้ว ฟารุตเปิดหลังคากระโจมรับอากาศภายนอก มีความ
งามของดวงจันทร์ที่เพิ่งจะเห็นรำไรลอยเด่นอยู่เหนือกระโจม เขาเอนกายลงนอนมองท้องฟ้าขณะที่วฏิรดาอาบน้ำ ความสดชื่นหลังผ่านสายน้ำที่เย็นพอประมาณกระทบผิวทำให้เธอลืมความหงุดหงิดที่ผ่านมาไปเสียสิ้น เสื้อผ้าชุดใหม่ที่เด็กชายนำมาให้พร้อมน้ำ ทำให้เธอกลายเป็นหญิงสาวชาวทะเลทรายไปแล้ว ความยาวของชุดอบายาสีดำที่คลุมตั้งแต่คอจนถึงปลายเท้า ทำให้รู้สึกโหวง
เหวง
แต่ก็ดีกว่าใส่ชุดเก่าชุดเดียวที่ตอนนี้วฏิรดาซักตากเตรียมใส่เดินทางในวันพรุ่งนี้ไว้แล้ว ฟารุตลุกไปปฏิบัติภารกิจส่วนตัวทันทีหลังจากที่เธอเสร็จ เพียงไม่นานอาหารมื้อเย็นก็ถูกนำมาเสิร์ฟในกระโจมโดยเด็กหนุ่ม ถาดที่เขายกมามีทั้งเนื้อแกะย่างข้าวคลุกเครื่อง
เทศ
เมล็ดข้าวสีต่างๆ วางมาในถาดแยกส่วนกันทำให้ดูสวยงาม อินทผลัมผลไม้ยอดฮิตของคนทะเลทรายจัดวางมาพร้อมกับอาหาร ฟารุตส่งเงินทริปให้เด็กหนุ่มเขาค้อมตัวรับอย่างนอบน้อมก่อนจะค่อยๆ ก้าวถอยห่างกระโจมออกไป อำนาจเงินของฟารุตช่วยอำนวยความสะดวกสบายในทะเลทรายที่แห้งแล้งได้อย่างดี
"มาทานอาหารเถอะเดี๋ยวจะได้นอนเอาแรง" เขาบอกเพียงเท่านั้นแล้วนั่งลงข้างๆ ถาด ลงมือจัดการอาหารตรงหน้าโดยไม่รอคำตอบจากเธอ วฏิรดาทำตาม เธอไม่ยอมปล่อยให้อาหารมื้อนี้ผ่านไปแน่ในใจคิดเอาไว้ว่าจะต้องใช้สมองในการคิดวางแผน
สำหรับเรื่องที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ยังไม่มีคำพูดคุยสนทนาจากทั้งสองคน หลังจากเด็กชายชาวเบดูอินมาเก็บสัมภาระอาหารมื้อเย็นไปแล้ว ฟารุตล้มตัวลงนอนบนพรมชั้นดีซึ่งเป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่ได้จากการเหมาซื้อกระโจม เขาใช้มือสองข้างรองศีรษะ
สายตาจับจ้องไปยังท้องฟ้าที่ดวงดาวเริ่มส่องประกาย แม้จะอยู่ในกระโจม ท้องฟ้าที่มองเห็นจะจำกัดอยู่เพียงวงกลมที่กระโจมเปิดออกแต่ก็ยังพอให้ได้สัมผัสท้องฟ้ายามค่ำคืนของท้องทะเลทรายได้ วฏิรดามองเขาอย่างชั่งใจอยู่พักหนึ่งแล้วดึงเอาเป้มาวางไว้ข้างกายก่อนจะล้มตัวลงนอน ห่างจากเขาเกือบครึ่งเมตรหมอนลมที่ถูกเป่าพร้อมใช้วางอยู่สองใบ เธอหยิบมันมารองศีรษะ แล้วดึงผ้า
คลุมที่วางอยู่กองเดียวกันมาห่มจนถึงอกแล้วนอนมองท้องฟ้าโดยไม่ปริปากพูดกับคนที่อยู่ข้างๆ ตั้งใจว่าจะนอนเอาแรงสักครู่แล้วค่อยตื่นมาคิดวางแผนสำหรับพรุ่งนี้.
ความคิดเห็น