คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : บทที่ 9
บทที่ 9
คฤหาสน์หลังงามของชิลฮาวีมีโอกาสได้ต้อนรับนายทหารราชองครักษ์ที่ขอเข้าพบเป็นการส่วนตัว พันโทโมฮัมเหม็ด อารีย์ โกมาเรย์ ในชุดกานดูราสีขาวยาวกรอมเท้า แม้จะอยู่ในชุดธรรมดาเขาก็ยังดูสง่างามไม่แพ้ชุดนายทหาร เขากวาดสายตามองรอบๆ คฤหาสน์ของชิลฮาวี ก่อนจะเดินขึ้นไปยังห้องโถงใหญ่ที่ตกแต่งสไตล์ยุโรป ชุดรับแขกทรงหลุยส์หรูหราจนเขาไม่กล้านั่ง
อารีย์เดินชมความงามของเครื่องแก้วที่จัดโชว์ไว้ รอเจ้าของบ้านอยู่พักใหญ่เสียงทักทายของหญิงสาวก็ดังมาก่อนจะถึงตัว
“ท่านอารีย์ ท่านพ่อฝากขอโทษที่ต้องให้รอ ท่านกำลังสวดมนต์อยู่ในห้องละหมาด ไนร่าเลยอาสามาต้อนรับท่านอารีย์ก่อน” สิ้นเสียงสาวสวยในชุดเดรสสีฟ้าสดใสก็ก้าวเข้ามาในห้องรับแขก สาวใช้ที่อยู่ในชุดอาบายาสีดำตามมาพร้อมกับเครื่องดื่มและอาหารว่าง
“เชิญดื่มน้ำผลไม้และขนมก่อนนะ ขนมนี่ฝีมือไนร่าทำเอง” เธอกุลีกุจอเสิร์ฟน้ำผลไม้ให้ด้วยตัวเอง
“ท่านอารีย์ได้ข่าวฟารุตบ้างหรือเปล่า ไนร่าทราบมาว่าเขาหนีเข้าไปในเขตทะเลทราย ไนร่าเป็นห่วงเขาเหลือเกิน ท่านพ่อบอกว่าส่งคนไปติดตามช่วยเหลืออยู่แต่ยังไม่พบเลย”
“ที่กระผมมาวันนี้ก็เพราะร้อนใจเรื่องของฟารุต ท่านพ่อของคุณไนร่ารับปากว่าจะให้หน่วยรบทะเลทรายของท่านติดตามเพื่อช่วยเหลืออยู่ จึงอยากจะมาพูดคุยถามข่าวคราว”
ไนร่าแสดงความเป็นห่วงฟารุตอย่างออกนอกหน้า ไม่ได้ปิดบังความรู้สึกเช่นสตรีชาวชีร่าห์ทั่วไป เป็นที่รู้กันว่าไนร่ากับฟารุตเหมือนเป็นคู่หมาย เพราะชิลฮาวีเป็นเพื่อนสนิทของเรอิก พ่อของฟารุต
“ท่านอารีย์ ขอโทษที่ทำให้ต้องรอ”
เสียงชิลฮาวีดังเข้ามาขัดจังหวะการสนทนาของทั้งสอง อารีย์ลุกขึ้นทำความเคารพผู้ที่อาวุโสกว่าก่อนจะนั่งลงตามเดิม
“ข้าพเจ้าก็ต้องขอโทษที่มารบกวนท่าน”
“อย่าถือว่าเป็นการรบกวน ต้องถือว่าท่านหัวหน้าราชองครักษ์ให้เกียรติข้าพเจ้าเสียมากกว่า” ชิลฮาวีรีบออกตัว
“มีธุระด่วนอะไรหรือเปล่าถึงได้มาหาข้าพเจ้าถึงที่นี่”
“ก็มีอยู่เรื่องเดียวที่ร้อนใจ ท่านเป็นผู้อาสาที่จะติดตามฟารุตเพื่อให้ความช่วยเหลือ จึงอยากมาพูดคุยถามข้อมูลตรงจากท่านว่ามีความคืบหน้าไปเพียงใดแล้ว ทางท่านพ่อเรอิกเองก็เป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ”
“วันก่อนไนร่าแวะไปหาเรอิกก็เอามาเล่าให้ฟังว่าเขาเครียดจนนอนไม่หลับ ข้าพเจ้าก็ได้โทรศัพท์ไปพูดคุยด้วยอยู่บ้าง ยังไม่มีเวลาแวะไปเยี่ยมเลย”
“ลุงเรอิกกังวลใจมากอยู่ค่ะ ยิ่งวันก่อนถูกมือดีเข้าค้นข้าวของกระจุยกระจายยิ่งทำให้ท่านลุงเครียด” ไนร่าเล่าเสริมการสนทนา
“ท่านไม่มีข่าวคืบหน้าอันใดเกี่ยวกับท่านฟารุตเลยหรือ” อารีย์ถามชิลฮาวีด้วยสีหน้ากังวล
“ทหารของข้าพเจ้าบอกว่าหลายวันก่อนมีคนพบชายชาวชีร่าห์กับหญิงต่างชาติคู่หนึ่งในกระโจมเบดูอินที่หยุดพักแรมที่โอเอซีสเล็กๆ ก่อนจะถึงเขตนครชีร่าห์ แต่มีการปล้นคาราวาน ชายหญิงคู่นั้นหลบหนีพร้อมทั้งขโมยม้าของคาราวานหนีไปด้วย ข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะเป็นท่านฟารุต แต่ทหารไม่สามารถติดตามไปช่วยได้ นั่นเป็นข่าวสุดท้ายของทีมติดตามของข้าพเจ้า”
อารีย์ขอตัวกลับหลังการสนทนาดำเนินไปเพียงไม่นาน เขาแวะไปหาองค์หญิงเรเนียพูดคุยกันอยู่นานหลายชั่วโมงก่อนจะเดินทางกลับ
การเดินทางรอนแรมในทะเลทรายสิ้นสุดลงเมื่อมาถึงใกล้เขตเมืองชีร่าห์ดัม รถขับเคลื่อนสี่ล้อสีดำจอดรออยู่แล้ว คราบฝุ่นและทรายที่เกาะเต็มหลังคาบ่งบอกว่ามันถูกจอดทิ้งไว้นาน ฟารุตควานหาของในกระเป๋าไม่นานเขาก็หยิบกุญแจขึ้นมาสอดเข้าไปข้างประตูรถแล้วเปิดล็อก ก่อนที่จะขนย้ายสัมภาระจากหลังม้าลงสู่ท้ายรถ วฎิรดามีเพียงเป้คู่กายใบหนึ่งกับเป้ที่ลาเคย่าใส่อาหารและของใช้ส่วนตัวมาให้อีกใบหนึ่งจึงไม่ยุ่งยาก เธอโยนเป้ของใช้ส่วนตัวรวมไว้กับของฟารุต เดียร์นาไม่มีอะไรติดตัวมาเลยนอกจากเสื้อผ้าเพียงชุดเดียว เธอทำท่าจะเดินไปเปิดประตูด้านหน้าขึ้นไปนั่ง แต่แล้วก็ชะงักแล้วค่อยๆ ถอยออกมาแล้วเปิดประตูหลังแทรกตัวเข้าไปนั่งเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
ฟารุตเปิดประตูด้านตรงข้ามให้วฎิรดา เธอก้าวขึ้นนั่ง สายตาเหลือบไปเห็นแววตาที่มองด้วยความริษยาของเดียร์นาแวบหนึ่งก่อนที่เธอจะหันหน้ากลับ ฟารุตอ้อมไปเปิดประตูฝั่งคนขับ ขึ้นไปนั่งแล้วสตาร์ทเครื่อง พาเจ้าสิงห์ทะเลทรายลุยไปยังทิศตะวันออกทันที
“เราจะไปที่ไหนกันหรือ” วฎิรดาตัดสินใจถาม
“เราจะไปหาบุคคลคนหนึ่งที่ผมจะฝากเดียร์นาให้อยู่ด้วยก่อน แล้วจะหาทางจัดการเรื่องของคุณ”
“จัดการเรื่องของฉันหมายความว่าอย่างไร”
“ผมอยากให้คุณอยู่ที่ชีร่าห์ดัม แล้วเดินทางกลับประเทศไทย คุณจะปลอดภัยแต่ถ้าคุณยังอยู่ที่นี่ ผมไม่แน่ใจในความปลอดภัยของคุณ”
“ฉันไม่ได้เป็นคนที่มีศัตรูอย่างคุณนี่ จะได้กลัวถูกตามล่า ฉันเป็นเพียงผู้หญิงไทยตัวเล็กๆ ที่ต้องการรู้ข่าวพ่อเท่านั้น บังเอิญได้มาพบคุณ ปัญหาความไม่ปลอดภัยของฉันจึงเกิดจากเรื่องของคุณ ฉันจะอยู่ที่นี่อย่างเงียบๆ จนกว่าจะทราบข่าวพ่อ คุณไม่มีสิทธิ์บังคับฉันได้”
“เอาไว้ผมจัดการเรื่องเดียร์นาเสร็จก่อนเราค่อยคุยกัน” เขาตัดบท พารถทะยานไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง
หมู่บ้านเล็กๆ ติดชายแดนเมืองชีร่าห์ดัมคือเป้าหมายที่ฟารุตวางเอาไว้ แม้การข่าวพอจะรู้ว่าผู้ไล่ล่าเขาคือใคร แต่เขายังไม่มั่นใจว่าจะใช่ ถ้าสิ่งที่การข่าวรายงานเป็นเรื่องจริงสิ่งที่ต้องค้นหาคืออะไรที่เป็นเหตุให้คนๆ นั้นมุ่งหวังเอาชีวิตเขาขนาดนี้ และเขาจะต้องรู้ให้ได้
รถวิ่งเข้ามาในหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่เชิงเขาหินทรายขนาดใหญ่ บ้านแต่ละหลังถูกสร้างให้อิงแอบแนบไปกับหน้าผา มีทางเดินวนขึ้นไปเป็นชั้นๆ เพื่อเข้าสู่ตัวบ้าน เป็นภูมิปัญญาของชาวทะเลทรายที่สร้างที่พักโดยอาศัยภูเขาในการป้องกันภัยจากพายุทะเลทราย
รถของฟารุตจอดสนิทตรงเชิงเขา เขาลงจากรถ วฎิรดาและเดียร์นาตามลงไปติดๆ ทั้งสามเดินวนขึ้นไปตามทางมาถึงประตูบ้านหลังหนึ่ง ฟารุตเคาะประตู มีเสียงถามมาจากด้านใน เขาตอบออกไปด้วยภาษาที่วฎิรดาไม่เข้าใจ เพียงไม่นานชายวัยกลางคนก็ออกมาเปิดประตูต้อนรับ ฟารุตปฏิเสธที่จะเข้าไปในบ้าน เขาพูดคุยกับเจ้าของบ้านอยู่ไม่นาน ก็หันมาคุยกับเดียร์นา
“เราจะให้เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่สักพัก รอให้จัดการภารกิจเสร็จสิ้นจะมารับไปอยู่กับท่านพ่อ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ถ้าเราเกิดเป็นอะไรไป ท่านมีอาจะพาเจ้าส่งไปให้ท่านพ่อของเราอุปการะเอง” เขาพูดให้เธอหายกังวลใจ แต่เดียร์นาพยายามจะขอติดตามไปด้วย
“ท่านฟารุต เดียร์นาไม่อยากอยู่ที่นี่คนเดียว เมตตาด้วยเถิด เดียร์นาจะไม่ทำตัวให้เป็นภาระ จะติดตามไปดูแลรับใช้ท่าน”
“ไม่ได้หรอก เรามีภารกิจที่ต้องจัดการหลายอย่าง เอาไว้เสร็จเรื่องแล้วจะกลับมารับ”
“แล้วผู้หญิงต่างชาติคนนั้นทำไมท่านพาไปด้วยได้”
ฟารุตมองเดียร์นาด้วยสายตาตำหนิ เขาไม่อธิบายสิ่งใดทั้งสิ้น
“เธอต้องอยู่ที่นี่ หรือไม่ก็จะออกเดินทางไปกับเบดูอินที่ผ่านมาก็ตามแต่เธอจะตัดสินใจ”
คำสั่งเด็ดขาดทำให้เดียร์นาจำต้องหยุดการต่อรอง แม้ในใจจะร้อนเป็นไฟเพราะความโกรธแต่ต้องระงับเอาไว้
“ฝากท่านเป็นธุระให้กับเราด้วย ท่านมีอา คงไม่นานเมื่อภารกิจเสร็จสิ้นเราจะมารับเธอคืน”
“ไม่ต้องห่วงท่านฟารุต เราจะดูแลเธอให้ มีสิ่งใดที่พอจะช่วยท่านได้บอกเรามาได้เลย”
เขาอยู่สนทนากับมีอาด้วยเวลาสั้นๆ เมื่อจัดการเรื่องของเดียร์นาได้แล้ว ฟารุตจึงกล่าวลามีอา พาวฎิรดาออกจากหมู่บ้านทันที
ฟารุตประเมินเดียร์นาผิดอย่างยิ่ง เพียงแค่รถคันที่มาส่งเธอวิ่งลับตาไปเท่านั้น เธอก็ขอร้องให้มีอาจัดการเรื่องการเดินทางกลับเข้าเมืองในทันที
“ท่านมีอา เรามีคนรู้จักในชีร่าห์ดัม พอมีช่องทางติดต่อได้หรือไม่ เราจะไปอาศัยอยู่กับเขาไม่ต้องมาเป็นภาระกับท่าน” เดียร์นาบอกกับเจ้าของบ้านด้วยความเกรงใจ
“ไม่เป็นนภาระอะไรเลยเดียร์นา ท่านฟารุตมีบุญคุณกับเรา สิ่งที่ท่านขอร้องมันเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ท่านให้เราหรอก”
“แต่อย่างไรเราก็เกรงใจท่านอยู่ดี และอีกอย่างคนที่เราอยากจะติดต่อด้วยเขาเป็นญาติกับพ่อ บางทีเราอาจจะได้ออกไปอยู่กับพวกเขา เพราะตอนนี้ไม่มีญาติที่ไหนเลยหลังจากโดนโจรปล้นและฆ่าพ่อกับแม่ เราจึงคิดว่าถ้าติดต่อญาติได้มีที่พักพิงไม่รอคอยความหวังที่ไม่มีอะไรแน่นอนเช่นนี้”
“ที่นี่มีโทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อได้ เราจะให้ลูกสาวพาท่านไป มันอยู่ที่บ้านอีกหลังหนึ่ง”
มีอาให้ลูกสาวคนเล็กไปส่งเดียร์นาเพื่อส่งข่าวถึงญาติในเมืองหลวง เมื่อกลับเข้ามายังบ้านของมีอาอีกครั้งเธอก็แจ้งความประสงค์จะเดินทางเข้าชีร่าห์ดัมทันที
“ท่านมีอา ท่านพอจะจัดหารถให้ไปส่งเราที่ชีร่าห์ดัมได้หรือไม่ ญาติของเราประสงค์จะให้เราเดินทางไปหาเขาในวันนี้เลย พวกเขายินดีจ่ายค่าตอบแทนให้ตามที่เจ้าของรถต้องการ”
“แล้วถ้าท่านฟารุตกลับมารับท่าน เราจะตอบท่านฟารุตว่าอย่างไร”
“ท่านไม่ได้ยินหรือท่านฟารุตบอกกับเราว่าถ้าเราไม่ยินดีอยู่กับท่านที่นี่ เราจะเดินทางต่อไปกับคาราวานเบดูอินก็ได้ ท่านคิดว่าเราควรจะอยู่รอท่านฟารุตที่นี่อย่างนั้นหรือ เพียงแค่นี้ท่านก็ตอบคำถามของท่านฟารุตได้แล้ว”
มีอาพยักหน้า แล้วจึงจัดการทุกอย่างให้เป็นไปตามความประสงค์ของเดียร์นา
เวลาเพียงไม่นาน เดียร์นาก็กลับเข้ามาในชีร่าห์ดัม เธอให้รถมาส่งเธอที่ร้านขายเสื้อผ้า หลังจากที่หายเข้าไปในร้านเพียงไม่นาน เธอก็กลับออกมาพร้อมกับชุดอาบายาสีฟ้าสดใส แล้วเดินกลืนหายไปกับผู้คนที่เดินขวักไขว่ซื้อข้าวของในตลาดกลางกรุง
“มันเข้ามาในชีร่าห์ดัมแล้ว รถที่ใช้เป็นรถจี๊ปสีดำ ที่สำคัญเป้าหมายอีกคนหนึ่งคือนางผู้หญิงชาวไทย มันอยู่กับไอ้ฟารุตด้วย สายรายงานมาว่า คนที่เราส่งไปจับตัวผู้หญิงไทยคนนี้ถูกไอ้ฟารุตฆ่าตายแล้ว ตอนนี้ให้คนของเราแฝงตัวเข้าไปทุกจุดตรวจ ตรวจรถยนต์ลักษณะที่ว่านี้ทุกคัน เราจะแจ้งข่าวไปยังตำรวจทางหลวงว่าจะมีการลักลอบขนอาวุธ เดี๋ยวทางตำรวจทางหลวงจะติดตามรถของมันอีกแรงหนึ่ง ให้คนของเราคอยประกบตำรวจทางหลวง ค้นเอาของที่ต้องการมาให้ได้ ใครได้มาจะมีรางวัลอย่างงาม”
เสียงสั่งการผ่านโทรศัพท์ทำให้คนที่รับคำสั่งเริ่มปฏิบัติการทันที
รถเป้าหมายปรากฏตัวขึ้นบนถนนสายหลักของชีร่าห์ดัม การติดตามเริ่มต้นขึ้นในทันที
หูตาของศัตรูไม่ใช่ขี้ไก่เสียแล้ว ฟารุตคิด เมื่อเห็นรถคันหนึ่งตามเขามาได้สักระยะ เขาหักพวงมาลัยเข้าซอยที่มีผู้คนจอแจ
“เราถูกติดตามมาได้พักใหญ่แล้ว แสดงว่าข่าวที่เราเข้ามาในชีร่าห์ดัมถึงหูศัตรูแล้ว คนที่รู้ว่าเราใช้จี๊ปคันนี้มีเพียงไม่กี่คน ท่านคาลิคตัดทิ้งไปได้ คนของท่านห้าคน เชื่อมั่นว่าท่านน่าจะเลือกคนที่ไว้ใจที่สุด แต่เราก็ยังไม่ตัดออกจากบุคคลต้องสงสัย ที่เหลือก็จะเป็นมีอาหัวหน้าหมู่บ้านที่ชายแดน และเดียร์นา ที่ไม่น่าจะทำสิ่งเหล่านี้ได้เธอ เป็นเบดูอินเร่รอนใช้ชีวิตในทะเลทรายตั้งแต่เกิด คนพวกนี้ไม่ยอมรับความทันสมัย พวกเขารักษาประเพณีและรักการเร่ร่อน”
“แสดงว่าคุณสงสัยว่าจะเป็นมีอา”
“ถ้าถามว่าเท่าที่ผมรู้จักมีอามา เขาเป็นบุคคลน่าสงสัยหรือไม่ ก็ไม่ใช่ แต่ด้วยเหตุผลทั้งหมดผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะเป็นใครได้ คนของท่านคาลิคไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราจะไปอาศัยเขา”
แม้จะสงสัยในตัวมีอา แต่เขาก็ยังไม่ปักใจ
“ตอนนี้เราไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้นเพราะผมเองยังไม่รู้เลยว่าคนที่ตามล่าผมต้องการอะไร และที่สำคัญถ้าสายข่าวไม่ผิดพลาด เขาคือคนที่กว้างขวางอย่างมากในกองทัพ”
ฟารุตใช้ความชำนาญขับรถคันเก่งวิ่งซอกแซกไปตามซอยในเมืองหลวงจนแน่ใจว่าผู้ติดตามยังคลำทางมาถึงเขาไม่ได้ รถคันดังกล่าวก็จอดลงทันที แล้วออกคำสั่ง
“ไปกันเถอะ เราจะทิ้งรถไว้ที่นี่ เอาแต่ของที่จำเป็นไปเท่านั้น”
วฎิรดาไม่รอให้เขาสั่งซ้ำ เธอคว้าเป้คู่ใจเพียงใบเดียวใส่บ่าแล้วเปิดประตูเดินตามหลังเขาไปอย่างรวดเร็ว
ฟารุตพาเธอออกจากซอยเล็กๆ ที่จอดรถทิ้งเอาไว้ เขาโบกมือเรียกแท็กซี่ทันทีที่ถึงถนนสายหลัก จากนั้นรถคันดังกล่าวก็วิ่งด้วยความเร็วมุ่งหน้าหนีความจอแจของเมืองหลวงขึ้นเหนือไป
“เราจะไปที่ไหนต่อ”
“ตอนนี้ผมไม่แน่ใจว่าถ้าปล่อยคุณห่างตัว คุณจะปลอดภัยหรือเปล่า ศัตรูคงรู้แล้วว่าผมมีหญิงชาวไทยติดตามมาด้วย เขาคงไม่ปล่อยคุณอาไว้แน่ ผมจะพาคุณไปหาคนๆ หนึ่งที่ผมมั่นใจว่าไม่มีอันตรายสำหรับเราสองคน คุณต้องพักอยู่ที่นั่น”
“ฉันตัดสินใจเองได้มั้ยว่าจะอยู่หรือไม่”
“ไม่ได้ อย่าถือว่าผมบังคับเลยนะวฎิรดา แต่จงรู้ไว้เถิดว่าผมเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณจริงๆ”
คำพูดที่มั่นคงและแววตาที่มองมาทำให้เธอต้องหลบสายตาอันคมกริบที่แฝงความหมายอะไรสักอย่างเอาไว้ วฎิรดาไม่กล้าสบตาคมดวงนั้นจึงแสร้งมองไปนอกหน้าต่าง ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ผู้ชายคนนี้ทำให้เธอรู้สึกโกรธ น้อยใจ และรู้สึกขาดความเป็นตัวของตัวเองได้อย่างร้ายกาจเมื่ออยู่ใกล้เขา
“ฉันจะส่งข่าวถึงแม่ และสถานทูตไทยได้หรือเปล่า” เธอเปลี่ยนเรื่อง นั่นหมายความว่าเธอยอมรับที่จะทำตามที่เขาสั่งโดยปริยาย
“อย่าเพิ่งเลย แต่ผมมีวิธีที่จะจัดการแจ้งข่าวไปให้ทางแม่คุณทราบว่าคุณปลอดภัยดี อย่าได้กังวลเลย”
“เอาเป็นว่าฉันจะเชื่อคุณด้วยเหตุผลเดียว คือฉันไม่อยากเป็นภาระทำให้คุณต้องเดือดร้อน แต่ถ้าคุณแก้ปัญหาทุกอย่างได้แล้ว ฉันจะจัดการอย่างไรกับชีวิตของฉันคุณคงจะปล่อยให้ฉันตัดสินใจด้วยตัวฉันเองนะ”
เธอยังทิ้งท้ายเอาไว้อย่างกลัวเสียฟอร์มที่ยอมเขา ฟารุตยิ้มเล็กน้อยอย่างรู้ทันแต่ไม่อยากจะพูดอะไรในตอนนี้ ถ้าแม่เสือสาวจากเมืองไทยคนนี้โกรธ เขาอาจจะไม่สามารถตะล่อมให้เธอทำตามที่เขาสั่งได้
แท็กซี่เลี้ยวเข้ามายังตำหนักไบจีรัลที่มียามรักษาการณ์อย่างแน่นหนา เธอกำลังจะเอ่ยปากถาม ฟารุตยกมือห้ามอย่างรู้ทัน เขาบอกเธอเบาๆ ว่า
“อย่าใจร้อน เดี๋ยวคุณก็จะทราบทุกอย่างอยู่แล้ว”
เธอค้อนเขาด้วยสายตารู้สึกหมั่นไส้นิดๆ ที่เขารู้ทันความคิดเธอไปเสียหมด แต่มันก็ทำให้เธอปิดปากนั่งตัวตรงอย่างคนถูกขัดใจได้
เขายื่นหน้าไปพูดกับยามรักษาการณ์ด้วยภาษาชีร่าห์เพียงสองสามประโยค ประตูตำหนักก็เปิดออก รถแล่นเข้าไปช้าๆ ความสวยงามของอาคารหินทรายที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า บวกกับความงามของสนามที่เต็มไปด้วยหญ้าเขียวขจี และดอกไม่นานาพรรณทำให้วฎิรดาตื่นตาตื่นใจไม่น้อย นี่เป็นเมืองหลวงกลางทะเลทราย ทำไมถึงมีดอกไม้สีสวยสดใสและความร่มรื่นให้เห็นได้ในพื้นที่แห่งนี้
แท็กซี่วิ่งมาจอดตรงทางขึ้น โชเฟอร์เดินมาเปิดประตูให้เธออย่างนอบน้อมต่างจากตอนที่ขึ้นรถมาที่ต้องเปิดประตูเอง เธอยิ้มให้เขา แต่ไม่มีคำขอบคุณหลุดออกมาจากปาก
ชายชาววัยกลางคนแต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองที่เห็นกันทั่วกรุงชีร่าห์ออกมาโค้งคำนับฟารุตและเธอด้วยความน้อบน้อม
“ท่านฟารุต มาโดยไม่บอกล่าว องค์หญิงยังบรรทมอยู่ กระผมขอเชิญท่านที่ห้องรับรอง โปรดรอสักครู่จะขึ้นไปทูลองค์หญิงให้ทรงทราบ”
คนเชื้อเชิญลับตาไป ฟารุตหันมามองหน้าวฎิรดา สายตาที่เธอมองเขามีแต่เครื่องหมายคำถามและแววตาที่บอกว่ารอคำอธิบาย เขายิ้มให้แล้วพาเธอมานั่งยังโซฟาหรู
“คุณอยากถามอะไรผมหรือ แววตาที่มองผมมันเป็นเครื่องหมายคำถามมากมายจนผมนับไม่ได้ว่ากี่คำถาม” เขาเอ่ยยิ้มๆ หลังทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เธอ
“คุณรู้ดีว่าฉันอยากจะถามอะไรคุณ” เธอตอบอย่างไว้เชิง
“ผมจะไปรู้ใจคุณได้ยังไง”
“แล้วคุณรู้ใจใครล่ะ” โดนไม้นี้เข้าฟารุตถึงกับสะอึก
“ผมที่จริงผมก็มีคนรู้ใจหรอกนะ เพียงแต่ยังไม่ค่อยแน่ใจว่า เขาจะยอมให้ผมเป็นคนรู้ใจหรือเปล่าเท่านั้น”
“ช่างเถอะฉันไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ว่าคุณรู้ใจใคร”
วฎิรดารู้ว่าถ้าพูดเรื่องนี้มีหวังเข้าตัวจึงเลี่ยงเสีย
“คุณไม่อยากรู้หรอกหรือ” เขายั่วต่ออย่างคนอารมณ์ดี ดูเหมือนเขาไม่ทุกข์ร้อนกับปัญหาของตัวเองที่รอให้แก้ไขอยู่ข้างหน้าเลย
“ไม่ใช่หน้าที่ของฉัน”
“แล้วอะไรคือหน้าที่ของคุณล่ะ”
“หน้าที่ของฉันมีมากมาย ไม่จำเป็นต้องมาทำหน้าที่สอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่น”
“แล้วถ้าเรื่องของคนอื่นมันเกี่ยวกับคุณด้วยล่ะ คุณยังจะคิดว่ามันเป็นเรื่องของคนอื่นอยู่อีกหรือเปล่า”
ฟารุตกำลังสนุกกับการต้อนสาวชาวไทย แต่เสียงตรัสทักจากองค์หญิงเรเนียดังขัดจังหวะเสียก่อน
“ฟารุต เราเป็นห่วงท่านเหลือเกิน”
“ถวายบังคมองค์หญิง กระหม่อมมารบกวนเช่นเคย”
“รบกวนอะไร เรารอข่าวของท่านอย่างใจจดจ่อ ทราบมาว่าชิลฮาวีออกติดตามช่วยเหลือท่านโดยการมอบหมายของกองทัพ และยิ่งได้ข่าวลึกๆ จากอารีย์ยิ่งกังวล”
“อ้าว ขอโทษที เอรีฟาไม่ได้บอกว่าท่านมีผู้ติดตามมาด้วย”
องค์หญิงเรเนียเสด็จมาถึงกลางห้องโถงแล้วจึงเห็นวฎิรดาที่นั่งอยู่ ฟารุตเริ่มแนะนำหญิงสาวด้วยภาษาอังกฤษ
“วฎิรดา นี่คือองค์หญิงเรเนีย พระขนิษฐาขององค์เจ้าเหนือหัว”
วฎิรดาเงอะๆ งะๆ เพราะไม่นึกว่าจะต้องได้มาอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ของราชนิกูลแห่งชีร่าห์ดัม เธอยกมือขึ้นประนม แล้วกล่าวทักทาย
“สวัสดีค่ะ กระหม่อมไม่ทราบว่าท่านฟารุตจะพามาเข้าเฝ้าองค์หญิงแห่งชีร่าห์ดัม เอ๊ะ กระหม่อมต้องใช้คำว่าถวายบังคมซินะ”
ความมั่นใจในตัวของวฎิรดาหายไปสิ้น เหลือเพียงหญิงสาวที่น่ารักทำอะไรไม่ถูก ฟารุตหัวเราะเบาๆ แววตาที่มองมายังเธอแฝงแววเอ็นดูจนองค์หญิงเรเนียสัมผัสได้ เธอจึงเดินเข้ามาลูบศีรษะวฎิรดาเบาๆ อย่างเอ็นดู
“ทำตัวตามสบายเถิด ที่นี่เป็นตำหนักส่วนตัวของฉันไม่ต้องมีพิธีการอะไร”
องค์หญิงตรัสกับวฎิรดา แม้จะรู้สึกเคอะเขินแต่เธอก็ย่อตัวลงทำความเคารพ
“ชื่ออะไรนะเมื่อกี้ฉันฟังไม่ถนัด หน้าตาน่ารักเสียเหลือเกิน” ภาษาอังกฤษที่สื่อสารมายังเธอฟังแทบไม่รู้ว่าไม่ใช่คำตรัสของเจ้าของภาษา
“วฎิรดา เพคะ”
“ท่านจะเล่าให้เราฟังได้หรือยังว่า เรื่องมันเป็นอย่างไร ถึงเป็นได้เพียงนี้”
องค์หญิงเรเนียหันมาสนทนากับฟารุตด้วยความร้อนใจใคร่รู้
เรื่องราวที่ผ่านออกจากปากของฟารุต ทำให้ใบหน้าขององค์หญิงมีแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านจะทำอย่างไรต่อ”
“กระหม่อมจะขอรบกวนฝากคุณวฎิรดาไว้ในความดูแลขององค์หญิงสักพัก ยังไม่อยากให้ออกไปปรากฏตัว อาจจะทำให้การสืบหาความจริงเป็นไปได้ยาก จะมีความห่วงกังวลหลายทาง”
“แล้วเรื่องพ่อเธอล่ะ ท่านคิดว่าอย่างไร”
“กระหม่อมตั้งใจไว้ว่าถ้าสะสางปัญหาที่เกิดขึ้นนี้หมดสิ้น ภารกิจต่อไปจะช่วยติดตามหาพ่อของเธอ”
องค์หญิงยิ้มอย่างมีความหมายแต่ไม่ได้ซักไซ้อะไร เพียงแต่รับปากว่าจะดูแลเธออย่างดีจนกว่าเขาจะมารับกลับ
“คุณมีอะไรจะค้านหรือไม่ในการที่ผมจะให้คุณพำนักอยู่กับองค์หญิงเรเนียสักพักจนกว่าผมจะจัดการปัญหาต่างๆ ได้”
“ฉันแค่สงสัย ทำไมนักข่าวหนังสือพิมพ์หนุ่มเช่นคุณรู้จักและสนิทสนมกับราชนิกูลของชีร่าห์ถึงเพียงนี้ ถ้ามีความกระจ่างเรื่องนี้ ฉันจะพิจารณาอีกทีว่าการอยู่ที่นี่ของฉันเหมาะสมหรือไม่ ไม่เช่นนั้นฉันคงทนอยู่อย่างคนโง่ไม่รู้เรื่องรู้ราวไม่ได้”
“แล้วคุณคิดว่าผมน่าจะเป็นใคร”
“คุณไม่มีสิทธิ์มาถามเพื่อให้ฉันคิด ฉันมีความรู้เรื่องบุคคลของประเทศคุณเพียงน้อยนิด แต่ดูจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาถ้าฉันโง่หรือเซ่อก็คงพอจะเชื่อคำบอกเล่าของคุณได้ สิ่งที่จะบอกกับคุณอย่างชัดเจนคือคุณอยากจะบอกความจริงแค่ไหนก็ได้ แล้วแต่คุณ และฉันเองก็จะพิจารณาด้วยตัวเองว่าน่าเชื่อถือแค่ไหน ซึ่งนั่นหมายถึงการตัดสินใจจะอยู่ที่นี่หรือไม่”
องค์หญิงแย้มพระสรวล รู้สึกสะพระทัยที่หญิงสาวคนนี้ดูจะปราบพันเอกฟารุตได้อยู่หมัด
“ถ้าผมพูดเอง อย่างไรความน่าเชื่อถือคงมีไม่เท่าองค์หญิงตรัส” เขาโยนภาระให้เจ้าของตำหนัก
“เราเกี่ยวข้องอะไรด้วยหรือนี่” องค์หญิงตรัสยิ้มๆ ไม่จริงจังอะไร
“แต่ครานี้องค์หญิงคงจำเป็นต้องได้เกี่ยวข้องแล้ว เพราะเธอลดความเชื่อถือกระหม่อมลงไปจนหมดสิ้นแล้ว”
“มานี้ซิเราจะพาท่านมาดูอะไรนี่หน่อย”
องค์หญิงเรเนียเสด็จจูงมือวฎิรดาอย่างไม่ถือองค์แม้แต่น้อย เธอเดินตามแรงฉุดเบาๆ ไปยังห้องถัดไปซึ่งเป็นห้องนั่งเล่น ภาพถ่ายหลายภาพถูกนำมาใส่กรอบอย่างดีตั้งเรียงเอาไว้ หนึ่งในภาพนั้นเป็นภาพของฟารุตในชุดทหารเต็มยศ
“เรายืนยันด้วยภาพน่าจะมีความน่าเชื่อถือที่สุด”
วฎิรดาก้มลงมองภาพนั้นนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นสบเนตรขององค์หญิง
“องค์หญิงคงจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมให้หม่อมฉันได้มากกว่าภาพนี้เพียงภาพเดียวนะเพคะ”
“แน่นอนสาวน้อย ฟารุตเป็นญาติห่างๆ ของเรา เขาเป็นลูกชายของท่านเรอิก ภรรยาของท่าน เป็นญาติห่างๆ ของเสด็จแม่ของฉันที่ไม่ได้อยู่ในราชสกุล”
ทรงดำเนินกลับมายังห้องเดิมที่ฟารุตนั่งอยู่
“เขาเป็นนักเรียนการทหาร เรียนจบจากอเมริกา ตำแหน่งปัจจุบันคือหัวหน้าหน่วยข่าวกรองของกระทรวงกลาโหม”
องค์หญิงหยุดตรัสชั่วขณะแล้วทอดเนตรยังหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างสำรวจความรู้สึก
“สาเหตุการถูกล่าในครั้งนี้ยังไม่กระจ่างชัด แต่ทางการไม่ได้นิ่งนอนใจและให้การช่วยเหลือพันเอกฟารุตอยู่ โดยนายพลชิลฮาวี หัวหน้าหน่วยรบทะเลทรายอาสาดูแลช่วยเหลืออยู่ ข้อมูลเท่านี้เพียงพอต่อความน่าเชื่อถือหรือเปล่าวฎิรดา”
องค์หญิงตรัสถามเธอขณะที่คนถูกเล่าประวัติเอนกายพิงพนักโซฟา หลับตานิ่ง
“เพคะ เพียงแค่องค์หญิงตรัสบอก ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานอะไรหม่อมฉันก็มิบังอาจจะคิดว่าเป็นข้อมูลเท็จหรอกเพคะ”
“ไม่ได้สิ ฉันคุยอยู่กับพวกคนรุ่นใหม่ที่มั่นใจในตัวเองทั้งนั้น คำพูดเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องมีหลักฐานประกอบจึงจะน่าเชื่อถือไม่ใช่หรือ”
วฎิรดายิ้มเพียงเล็กน้อย ก้มหน้าลงมองมือ
“หม่อมฉันมิบังอาจถึงเพียงนั้นเพคะ เพียงองค์หญิงตรัสหม่อมฉันก็เชื่อมั่นแล้ว”
“ขอบใจที่ไว้วางใจฉันเช่นนั้น ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ของเธอที่จะตัดสินว่าจะอยู่ที่นี่กับฉันรอให้ฟารุตจัดการปัญหาของเขาก่อน หรือจะออกไปพักที่อื่นตามที่เธอคิดเอาไว้ ซึ่งถ้าเป็นข้อหลังเธอย่อมรู้ดีว่า คนของฉันจะต้องห่วงหน้าพะวงหลังอย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นหม่อมฉันจะรบกวนองค์หญิงทรงช่วยตัดสินใจให้เพคะ”
“เธอย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าถ้าฉันตัดสินใจให้ คำตอบคืออะไร”
“เพคะ”
“ท่านได้ยินแล้วใช่มั้ยฟารุต ดำเนินการเรื่องของท่านต่อได้แล้ว ว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
คนที่ถูกเรียกชื่อลืมตาขึ้นมองแล้วลุกขึ้นยืน
“กระหม่อม เห็นจะต้องออกเดินทาง รถคันที่องค์หญิงประทานให้กระหม่อมไปใช้ กระหม่อมจอดทิ้งไว้ในซอย ใกล้ๆ ตลาด รบกวนคนขององค์หญิงไปจัดการ จะทำอย่างไรก็ได้ ที่พวกมันจะไม่รู้ว่าเป็นรถของที่นี่ และกระหม่อมจะขอประทานคันใหม่จะทรงอนุญาตหรือไม่”
“เราคงไม่อนุญาตให้ท่านใช้รถที่เราใช้อยู่ที่นี่ ขอเวลาครึ่งชั่วโมง ท่านนอนสักงีบ จะมีคนมารับท่านไปยังรถอีกคันหนึ่ง จากนั้นท่านจะทำอย่างไรต่อ”
“กระหม่อมมีนัดกับคนของกระหม่อมไว้ อีกไม่เกินเจ็ดวันถ้ากระหม่อมไม่กลับมา ส่งเธอกลับประเทศไทยให้กระหม่อมด้วย”
“ได้ฟารุต เราจะทำตามที่ท่านขอร้องทุกอย่าง สักครู่คนของเราจะพาวฎิรดาไปห้องพัก แต่ตอนนี้เราขอไปจัดการเรื่องรถก่อน”
องค์หญิงเสด็จออกจากห้องไป ทิ้งเธอไว้อย่างคนรู้จักรู้ใจนายทหารหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับ
“คุณตัดสินใจแล้วนะ”
“ค่ะ ฉันไม่อยากเพิ่มภาระความกังวลให้กับคุณ ที่สำคัญ ฉันอยากพักผ่อนหลังจากระเหเร่ร่อนอยู่กลางทะเลทรายเสียหลายวัน หนึ่งสัปดาห์ที่คุณวางเอาไว้ก็ไม่นานเกินไป ฉันรอได้ ระหว่างนี้ฉันจะสามารถส่งข่าวถึงแม่ได้หรือไม่”
“ได้เพียงช่องทางเดียวคืออีเมล์”
“แต่แม่ใช้ไม่เป็น”
“คุณหาทางติดต่อคนที่คุณไว้ใจที่สุดให้เขาแจ้งข่าวให้ วิธีการผมคงไม่ต้องบอกละเอียดคนอย่างคุณจัดการได้อยู่แล้วผมเชื่อเช่นนั้น”
“แล้วคุณล่ะ จะทำอย่างไรต่อ”
“ภายในเจ็ดวันถ้าผมทำงานที่เกี่ยวกับความเป็นความตายของตัวเองไม่ได้ ผมก็ไม่สมควรที่จะอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับ ไม่ต้องห่วงผม”
“ฉันไม่ได้ห่วงคุณ” เธอรีบปฏิเสธ เขายิ้มไม่ต่อปากต่อคำ
ก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้องไปกับหัวหน้าทหารรับใช้ที่มารับเธอไปยังห้องพัก เสียงฟารุตพูดเบาๆ ให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“คุณอาจจะไม่ห่วงผม แต่คุณคงรู้ว่าผมห่วงคุณ”
วฎิรดาชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวเดิน เธอหันมาสบตากับเขา เมื่อเห็นแววตาที่เขาส่งมาเธอต้องยอมแพ้หลบสายตาลงมองพื้น
“ฉันจะรอคุณจนครบเจ็ดวันค่ะ” แล้วหมุนตัวเดินตามหลังหัวหน้าทหารรับใช้ออกไป
ฟารุตปิดเปลือกตาลง เขาหลับอย่างคนไร้ความกังวล มารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อองค์หญิงเรเนียตรัสเรียกเบาๆ
“ไปได้แล้วฟารุต”
เขาลืมตาทันทีแล้วลุกขึ้น ความรู้สึกสดชื่นกลับมาอีกครั้ง
“ขอรับ กระหม่อมหลับสบายไปเลย”
“ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วทั้งของที่ต้องการและของจำเป็นอื่นๆ เท่าที่จะต้องใช้ เราให้คนจัดเตรียมใส่รถไว้เรียบร้อย โทรศัพท์เครื่องใหม่ เบอร์ใหม่ และนี่เบอร์เฉพาะของเรา”
องค์หญิงส่งโทรศัพท์ให้พร้อมแนบเบอร์ที่ติดต่อกลับได้ ฟารุตรับมาอ่านแล้วฉีกกระดาษเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพลางเดินเข้าห้องน้ำ ก่อนจะกลับออกมาลาองค์หญิงแล้วขึ้นรถที่มารอรับออกจากตำหนักไปทันที
ถ้าเขาหันกลับมาคงได้เห็นสายตาที่มองลอดหน้าต่างด้วยความห่วงใยไปจนลับสายตา
ความคิดเห็น