คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 8
บทที่ 8
ม้าตัวเก่งทะยานสู่เวิ้งทะเลทรายด้วยความเร็วเท่าที่แรงของมันจะทำได้เหมือนหนึ่งรู้ใจผู้เป็นนาย ส้นรองเท้าทั้งสองข้างของฟารุตกระทุ้งสีข้างของมันเบาๆ ตลอดเวลาเหมือนส่งผ่านความรู้สึกจากเขาสู่ม้าว่าจิตใจของเขาร้อนรนเพียงใด เดียร์นาพาวฎิรดาไปที่ไหน ทำไมเธอถึงยอมไปทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าทะเลทรายมีอันตรายทุกฝีก้าว และยิ่งมากันเพียงลำพังผู้หญิงด้วยกันตั้งแต่เช้ามืดหลังจากที่เขาออกไปเพียงไม่นาน ยิ่งทำให้เขาสังหรณ์ใจว่าเดียร์นาอาจจะคิดอะไรไม่ซื่อกับวฎิรดา ยิ่งคิดหัวใจของเขาก็ยิ่งร้อนรุ่ม กลางทะเลทรายที่กฎหมายบ้านเมืองเข้ามาดูแลไม่ทั่วถึงเช่นนี้ เหตุการณ์ร้ายต่างๆ เกิดขึ้นได้ง่าย ถ้าหาเธอไม่เจอเขาจะทำอย่างไร คิดมาถึงตรงนี้สีข้างม้าตัวเก่งก็ถูกกระตุ้นอย่างแรง
ทำไมถึงห่วงเธอมากมายขนาดนี้ ทำไมจึงรู้สึกเหมือนหนึ่งหัวใจหล่นวูบเมื่อคิดว่าเธออาจจะมีอันตราย...เขาถามตัวเองขณะควบม้าออกสู่ทะเลทรายที่กว้างใหญ่ เหตุผลที่คิดได้ในเวลานี้ก็คือเธอเป็นผู้มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้
...หลายครั้งที่เขาถามตัวเองว่า มันใช่เหตุผลที่แท้จริงหรือ เขาก็ตอบตัวเองไม่ได้สักครั้ง...
ม้าวิ่งไปข้างหน้าตามบงการของนาย สายตาของฟารุตสอดส่ายออกไปในรัศมีที่กว้างที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ในใจก็ภาวนาขอให้พระผู้เป็นเจ้าคุ้มครองเธอ อย่าให้เขาพบเธอช้าเกินไป เขาจะไม่ให้อภัยตัวเองและเดียร์นาเลย
วฎิรดารู้ตัวว่าถูกเดียร์นาหลอกเมื่อหญิงสาวขี่ม้าลับหายไปได้ไม่นาน
ชายอีกคนหนึ่งโผล่เข้ามาสมทบกับชายที่เดียร์นาแนะนำว่าชื่อ ‘อัมซิก’ ท่าทางที่ไม่น่าไว้ใจของทั้งสองคน ประกอบกับการหายไปของเดียร์นาทำให้เธอมั่นใจว่าถูกเดียร์นาหลอกเสียแล้ว ปืนที่พกมาด้วยจึงถูกดึงออกมาเพื่อป้องกันตัวทันที เธอพยายามสื่อภาษาแต่ไม่ได้ผล พวกมันล้อมเธอเอาไว้แต่ยังไม่กล้าเข้ามาถึงตัวเพราะปืนในมือยังแสดงอำนาจของมัน
ชายคนหนึ่งดึงมีดออกมาส่งภาษาใบ้ให้เธอวางปืน วฎิรดาไม่คิดที่จะหันหลังวิ่งเพราะอย่างไรก็หนีไม่พ้นพวกมันแน่ เธอตัดสินใจในวินาทีนั้นว่าต้องปฏิบัติการก่อนที่พวกมันจะทันตั้งตัวถึงจะรอดชีวิตได้
เป้าแรกจึงเป็นมือขวาของคนถือมีด
ปัง!!
นัดเดียว มีดกระเด็นตกไปบนพื้นทรายพร้อมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดซึ่งมีผลต่อเจ้าผู้ร้ายอีกคนที่ตั้งท่าจะตะครุบเธอ ความมั่นใจของมันลดลงไป แต่ก็ยังวางท่านักเลงชักมีดที่เหน็บอยู่ที่บั้นเอวออกมาถืออย่างไม่มั่นใจ สายตาหลุกหลิกมองเพื่อนที่ถูกยิงอย่างประเมินสถานการณ์
วฎิรดาไม่รอให้ศัตรูตั้งตัว เธอยิงนัดที่สองไปที่เป้าหมายเดิมแต่คนละคนทันที
ปัง!!
เพียงเท่านั้นเจ้าวายร้ายทั้งสองคนก็หมดฤทธิ์ มันกุมข้อมือที่เลือดไหลนองหันหลังวิ่งหนีเอาตัวรอดทันที
‘โจรกระจอก’ วฎิรดาคิด หันรีหันขวางว่าจะหาทางกลับกระโจมอย่างไร ใจหนึ่งก็หวังว่าฟารุตคงจะออกตามหาเมื่อรู้ว่าเธอหายไป เจ็บใจเดียร์นาก็เจ็บใจ รอยเกือกม้าที่พาเธอมาก็จางหายเพราะลมที่พัดเอาทรายมากลบไปเสียสิ้น
เธอเริ่มออกเดินอย่างไร้ทิศทาง ในใจก็ภาวนาให้ฟารุตออกมาตามหาเธอให้เจอ วฎิรดาตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมจึงรู้สึกว่าฟารุตจะไม่ทอดทิ้งเธอ การคิดแบบนี้ทำให้เธอมีความหวัง
แม้ว่าเท้าที่ย่ำลงบนทรายจะไม่มีจุดหมายที่ชัดเจนของการเดิน แต่เธอก็ไม่รู้สึกท้อ ชีวิตในทะเลทรายหลายวันที่ผ่านมาทำให้วฎิรดาเรียนรู้ว่า อากาศในตอนกลางวันร้อนระอุเพียงใด แสงแดดที่แผดเผาจะทำให้น้ำในร่างกายกลายเป็นเหงื่อได้อย่างรวดเร็ว เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ไม่ได้ช่วยป้องกันแดดได้ดีเหมือนชุดเดินทางของเบดูอิน
และที่สำคัญ เธอไม่มีน้ำสักหยดที่จะพอประทังความกระหาย
ความกลัว ความวิตกกังวลเริ่มเข้ามาจับหัวใจของหญิงสาวชาวไทย สมองสั่งการให้เธอรีบเดินไปให้พ้นจากจุดเกินเหตุ อย่างน้อยก็ปลอดภัยจากการที่โจรกระจอกสองคนนั่นอาจจะกลับมาพร้อมกับพรรคพวกของมัน ใจก็ได้แต่เฝ้าภาวนาขอให้ฟารุตออกตามหาเธอให้เจอด้วยเถิด
เวลาผ่านไป แสงแดดเริ่มร้อนแรงมากยิ่งขึ้น วฎิรดารู้สึกถึงความอ่อนล้า ลำคอแห้งผาก หัวใจเต้นแรง ตาเริ่มพร่า เข่าเริ่มอ่อน ในที่สุดก็ทรุดลงกับพื้นทราย เธอพยายามพยุงกายลุกขึ้นเดินต่อไปได้อีกเพียงไม่กี่ก้าวก็ทรุดลงอีก เธอไม่ละความพยายาม รวมรวมสติเท่าที่มีอยู่ประคองตัวเองให้ยืนขึ้น มือสองข้างพนมไหว้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่พึ่งสุดท้ายในยามที่ร่างกายและจิตใจอ่อนแอ วฎิรดาหลับตาสวดมนต์...
เหมือนหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะรับรู้คำร้องขอจากเธอ พอลืมตาขึ้นมาสายตาก็สะดุดกับฝุ่นทรายที่ฟุ้งกระจายจากฝีเท้าม้าที่วิ่งมาด้วยความเร็ว แต่มันอยู่ห่างจากจุดที่เธอยืนอยู่มากและที่สำคัญมันกำลังจะวิ่งผ่านเลยไป นาทีที่แสนดีใจ สารอดีนารีนในร่างกายก็หลั่งออกมา พลังที่เหือดหายกลับมาในทันที เธอชักปืนออกจากกระเป๋ายกขึ้นยิงขึ้นไปบนฟ้า
ปัง!!
ได้ผล เธอยิ้มอย่างคนมีความหวัง ม้าตัวนั้นถูกกระตุกให้หยุด คนบนหลังม้ากวาดสายตามองหาต้นตอของเสียงปืน วฎิรดา ถอดผ้าคลุมออกแล้วยกขึ้นโบกสะบัด ไม่นานคนที่อยู่บนหลังม้าก็มองเห็นแล้วจึงบังคับม้ามุ่งตรงมายังจุดที่เธอยืนอยู่
แม้ใจหนึ่งจะนึกหวั่นว่าอาจเจอคนร้ายซ้ำอีกหรือไม่ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าคงจะไม่โชคร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างน้อยพอจะอาศัยเขาให้ส่งกลับไปยังกระโจมได้ก็ยังดี
แต่พอม้าควบเข้ามาใกล้ ชายที่อยู่บนหลังม้าดูคุ้นตาเหลือเกิน วฎิรดากะพริบตาเพื่อมองภาพเบื้องหน้าให้ชัดเจน เคยอ่านนิยายที่เขียนเกี่ยวกับทะเลทราย ผู้เขียนมักจะบรรยายว่า ในทะเลทรายที่เวิ้งว้างมักจะก่อให้เกิดภาพลวงตาได้เป็นอย่างดี และจะเป็นภาพลวงตาตามจินตนาการของคนมอง
วฎิรดากะพริบตาอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เธอเห็นไม่ใช่ภาพลวงตา
ฟารุตกระโดดลงจากหลังม้าแล้วถลาเข้ามาหาเธอด้วยแววตาเป็นห่วง วฎิรดาสบตากับเขานิ่งก่อนจะโผเข้าหาอ้อมกอด วินาทีชีวิตเช่นนี้เธอรู้สึกอบอุ่นเหลือเกินในอ้อมกอดของเขา ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม ถ้าชายผู้ที่โดดลงจากหลังม้าไม่ใช่ฟารุต แต่เป็นการามหรือใครสักคนที่เธอรู้จักจะรู้สึกอบอุ่นเช่นนี้หรือไม่ เธอก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน
ฟารุตกอดเธอแนบอกแต่ก็เพียงไม่นาน เมื่อเขารู้ตัวก็ผลักเธอออกห่างกายพร้อมกับใช้ สายตาสำรวจไปทั่วร่าง
“คุณเป็นอะไรไหม”
วฎิรดาส่ายหน้าน้ำตาคลอเบ้า เธอกะพริบตาน้ำตาจึงค่อยๆ ไหลลงมาตามร่องแก้ม
“มีใครทำอะไรคุณหรือเปล่า เจ็บตรงไหนบ้างบอกผมมาซิ”
นิ้วที่แข็งแรงของฟารุตแตะเบาๆ ที่แก้ม เขาเกลี่ยน้ำตาที่ไหลออกมาทิ้งแล้วลูบไล้ไปตามลำแขนทั้งสองข้างของเธออย่างสำรวจ
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ฉันดีใจเหลือเกินที่เห็นคุณ นึกว่าจะต้องมาตายเสียที่นี่ แดดร้อนเหลือเกินฉันหิวน้ำ และไม่รู้ว่าจะกลับไปกระโจมได้อย่างไร”
“คุณปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องกังวลอะไรอีก คุณลืมไปแล้วหรือว่าผมอยู่กับทะเลทรายมาตลอดชีวิต ผมรู้จักมันดี การตามหาคุณไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผม และที่สำคัญผมเชื่อว่าเดียร์นาคงไม่พาคุณออกไปเที่ยวไกลหรอก”
ฟารุตดึงกระติกน้ำออกมาจากเอว เขาโอบไหล่เธอ ยกกระติกจ่อริมฝีปากให้
“ดื่มน้ำสิ ผมคงไม่ต้องบอกวิธีดื่มแล้วใช่ไหม”
วฎิรดาพยักหน้า ค่อยๆ กลืนน้ำลงไปช้าๆ
“ดีมาก คุณเรียนรู้ทุกอย่างได้ดี และฉลาด แต่ทำไมถึงปล่อยให้เดียร์นาพาออกมาเจอกับเรื่องแบบนี้ได้”
“ฉันไม่อยากเป็นภาระคุณ ฟารุต” เธอหลบสายตาที่ตำหนิลงมองพื้นทราย
“เดียร์นาอาสาจะพาฉันมารู้จักกับเบดูอินที่เคยเดินทางไปหุบเขาเซฮาเนส เพื่อจะได้สอบถามข่าวของพ่อ ฉันสงสัยว่าคนเอเชียที่ท่านคาลิคพูดถึงนั้นจะใช่พ่อฉันหรือเปล่า ฉันเลยตามเดียร์นาออกมา ไม่นึกว่าเธอจะคิดร้าย” เธอพูดกับเขาด้วยเสียงที่เบาหวิวอย่างคนสำนึกผิด
ฟารุตไม่ได้กล่าวตำหนิเธอแม้แต่คำเดียว สิ่งที่เขาปฏิบัติต่อเธอนุ่มนวลและเอาใจใส่จนทำให้วฎิรดารู้สึกเหมือนหนึ่งว่าเธอคือคนพิเศษของเขา ความรู้สึกผิดต่อผู้ชายคนนี้เกิดขึ้นในใจของเธอทันที นี่เธอทำให้เขาต้องลำบากและเป็นภาระขนาดนี้เชียวหรือ มันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่คนที่เพิ่งจะรู้จักกันเพียงไม่นานต้องมารับผิดชอบชีวิตเธอเช่นนี้
ความรู้สึกผิดทำให้เธอพยายามรวบรวมกำลังที่มีอยู่ทั้งหมดเดินนำหน้าเขาไปยังม้า ความคิดในเวลานี้คือเธอไม่ต้องการเป็นภาระให้เขาต่อไปอีกแล้ว
ฟารุตเดินตามหลังมาด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เขายังคงปฏิบัติเช่นเดิม มือแข็งแรงจับบั้นเอวเธอยกขึ้นนั่งบนหลังม้า แล้วกระโดดตามขึ้นมานั่งประกบด้านหลังด้วยเหตุผลที่เขาให้กับเธอคือ
“คุณอ่อนเพลียมากนั่งข้างหน้าดีแล้วจะได้ไม่หล่นลงจากหลังม้าบั้นเอวหัก”
จากนั้นเขาก็ควบม้าออกไป มือข้างหนึ่งของฟารุตใช้บังคับม้า อีกข้างโอบกระชับเอวของวฎิรดาเอาไว้ เขารั้งร่างที่อ่อนเพลียของเธอเบาๆ ให้พิงมาที่อกของเขา บังคับม้าให้วิ่งสบายๆ ไม่เร็วนัก อากาศภายนอกที่ร้อนแรงของทะเลทรายมันต่างจากความรู้สึกในใจของเขาตอนนี้ยิ่งนัก หัวใจของเขาเป็นสุข อบอุ่น ริมฝีปากของเขาคลอเคลียอยู่กับผมที่เปื้อนเหงื่อของเธออย่างไม่รังเกียจ วฎิรดารู้ว่าเขาบังคับม้าให้วิ่งช้าลง เธอไม่ได้กล่าวสิ่งใด นอกจากเอนกายพิงซุกอยู่กับอกเขานิ่ง ไม่มีคำพูดใดๆ ผ่านออกมาจากริมฝีปากของทั้งคู่
เวลาแห่งความสุขดูเหมือนจะผ่านไปเร็วเหลือเกิน เพียงไม่นานม้าก็พาทั้งสองมาถึงกระโจมของคาลิค การามวิ่งมารับม้าเพื่อเอาไปเก็บ ฟารุตกล่าวคำขอบคุณเด็กหนุ่มแล้วเดินนำหน้าวฎิรดาเข้าไปในกระโจม ลาเคย่าที่นั่งรออยู่รีบลุกขึ้นมาสำรวจวฎิรดาด้วยความห่วงใย
“ท่านฟารุต คุณรดาเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า พ่อกับเดียร์นาพาคนออกไปตามท่านสักพักใหญ่แล้ว”
“เดียร์นาหรือ?” ฟารุตถามด้วยสีหน้างงงวย
“ใช่ เดียร์นาบอกว่าเธอออกมาทำธุระส่วนตัวแล้วโดนฉุดแต่หนีรอดมาได้เธอกลับมาถึงกระโจมด้วยเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น” แม้ลาเคย่าจะไม่ค่อยถูกชะตากับเดียร์นาสักเท่าไหร่แต่สภาพที่เธอเห็นก็ทำให้อดนึกสงสารไม่ได้
“ท่านลุงคาลิคออกไปนานหรือยัง”
“นานอยู่เหมือนกัน แต่พ่อสั่งไว้ว่าถ้าท่านกลับมาถึงก่อนให้อยู่รอที่นี่”
ฟารุตทำตามคำสั่งของหัวหน้าเผ่า
“ลาเคย่า ฝากดูแลวฎิรดาด้วย ดูเธอตกใจไม่น้อยที่ถูกทิ้งไว้ให้ต่อสู้กับชายเบดูอินเร่ร่อนถึงสองคนแล้วยังหาทางกลับกระโจมไม่ได้อีก”
“ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวเคย่าจะดูแลเธออย่างดี”
ลาเคย่าประคองวฎิรดาเข้าไปในที่พักส่วนของหญิง วฎิรดาเปิดผ้าม่านที่บังประตูแต่ก่อนที่จะแทรกตัวเข้าไปข้างในเธอหันมามองฟารุตด้วยสายตาขอบคุณก่อนจะปล่อยผ้าลงปิดช่องประตู
คาลิคกลับมาถึงกระโจมตอนบ่ายคล้อย พร้อมกับความผิดหวัง แต่การามรายงานว่าฟารุตกลับมาแล้วพร้อมกับนายสาวชาวต่างชาติ คาลิครู้สึกโล่งใจ ในใจลึกๆ คาลิคยังสงสัยในตัวเดียร์นาอยู่ว่าเธออาจจะตั้งใจทิ้งวฎิรดาไว้ เพียงแต่คาลิคยังหาเหตุผลประกอบได้ไม่เพียงพอ จึงไม่อาจจะปรักปรำเธอ
ฟารุตเรียกเดียร์นาไปซักถาม ข้อมูลที่ได้ไม่ต่างจากที่ลาเคย่าเล่า เขาเห็นเธอท่าทางอิดโรยจึงไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียงมากนัก ใจหนึ่งก็ยังไม่ปักใจว่าเดียร์นาจะคิดร้ายต่อวฎิรดาเพราะเพิ่งเจอหน้ากันไม่น่าจะมีเหตุผลที่จะตั้งใจทำร้ายกันขนาดนี้ และเมื่อเธอกลับมาถึงกระโจมด้วยสภาพที่สะบักสะบอม ฟารุตจึงตัดประเด็นที่ว่าเดียร์นาจงใจทำร้ายวฎิรดาไปเสีย
สองวันที่ผ่านมาฟารุตออกจากกระโจมตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น และกลับมาอีกครั้งก็เมื่อแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว วฎิรดาเองก็ได้แต่ชวนลาเคย่าแวะเวียนไปสอบถามข่าวจากผู้ที่เดินทางผ่านมาแวะพัก ไม่มีความคืบหน้าใดๆ สำหรับข่าวของพ่อ ทำให้เธอตัดสินใจจะกลับเข้าเมืองหลวงชีร่าห์ดัม เพื่อส่งข่าวให้คุณเดือนพักตร์ทราบ แล้วค่อยคิดวางแผนการติดตามอีกครั้ง เหตุผลใหญ่อีกข้อหนึ่งคือ เธอไม่ต้องการให้ตัวเองเป็นภาระที่จะทำให้ฟารุตต้องมาคอยห่วงใย เธอไม่แน่ใจว่าฟารุตเป็นใคร จะใช่นักข่าวที่ถูกตามล่าเช่นที่เขาบอกหรือไม่ แต่สิ่งที่เธอสัมผัสได้คือเขาอยู่ในอันตราย ศัตรูตามล่าตัวเขา ถ้าเธอยังอยู่เป็นภาระเขาอาจจะพลาดท่าเสียทีได้
ความเอาใจใส่ที่เขามอบให้ทุกครั้งที่มีเหตุร้ายทำให้เธอรู้สึกเป็นห่วงเขา สิ่งที่วฎิรดาคิดว่าจะช่วยเขาได้ดีที่สุดคือการแยกจากเขาเพื่อให้เขาไม่ต้องมาห่วงหน้าพะวงหลัง เมื่อตัดสินใจได้เช่นนั้นเธอจึงให้ลาเคย่าเลือกว่าจ้างคาราวานที่ไว้ใจได้ ในการพาเธอเดินทางกลับเมืองหลวง
วันนี้เธอจึงตั้งตารอฟารุตเพื่อจะบอกลาเขา
ชุดเก่าที่ซักเก็บไว้ตั้งแต่มาถึงที่นี่ได้ถูกดึงออกมาใช้ เธอสวมใส่มันและเก็บข้าวของที่จำเป็นทุกอย่างของตัวเองลงเป้ เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปกับคาราวานตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ รู้สึกใจหายเมื่อคิดว่าจะต้องเดินทางลำพังคนเดียว กลัวอันตรายที่อยู่กลางทะเลทรายหรือ ก็รู้สึกกังวลอยู่บ้าง แต่เท่าที่ผ่านมาเธอก็สามารถดูแลตัวเองได้ในระดับหนึ่ง แต่ทำไมถึงรู้สึกไม่มีความสุขทั้งๆ ที่จะเป็นการเดินทางกลับไปในเมืองที่ให้ความสะดวกสบายทุกอย่างไม่เหมือนกระโจมกลางทะเลทรายเวิ้งว้างนี้เลย
น้ำตารื้นขึ้นมาคลอเบ้า เจ้าตัวเองก็พยายามหาเหตุผลว่าทำไมจึงรู้สึกเศร้ามากมายขนาดนี้ คงเป็นเพราะเขาสร้างเงื่อนไขการเดินทางในทะเลทรายให้เธอตั้งแต่แรกที่ต้องมีเขาเป็นเพื่อนร่วมทางมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา พอจะต้องเดินทางเพียงลำพังจึงรู้สึกอ้างว้าง
เป็นเหตุผลที่เธอนำมาอธิบายให้กับตัวเอง
“รดา เคย่าเข้าไปได้มั้ย” เสียงลูกสาวเจ้าของกระโจมร้องขออนุญาตอย่างคนที่มีมารยาท
“เข้ามาได้เลยเคย่า” เธอถือเป้เข้ามาด้วยใบหนึ่ง แล้วนั่งลงเปิดก่อนที่จะหยิบสิ่งของที่อยู่ข้างในเป้มาสาธยาย
“นี่เป็นขนมปัง อินทผลัมเชื่อม ทั้งสองอย่างเก็บไว้ได้นานไม่ต้องปรุงก็ทานได้เลย เหมาะกับการเดินทาง เคย่าจะได้ไม่ห่วงรดา” เธอเรียกเพื่อนรุ่นพี่อย่างสนิทสนม
“นี่เป็นเสื้อผ้าที่เคย่าเตรียมไว้ให้สำหรับผลัดเปลี่ยน”
ของจำเป็นหลายอย่างที่ลูกสาวเจ้าของกระโจมเตรียมไว้ให้ ทำให้วฎิรดาตื้นตันใจจนต้องวางมือจากทุกสิ่งเดินเข้ามาสวมกอดเธอด้วยความรู้สึกขอบคุณ
“เคย่า หวังว่าเราคงจะได้มีโอกาสพบกันอีกในวันข้างหน้า รดาขอบคุณเคย่าอย่างมากที่ให้ความรักและเอาใจใส่ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ รดาจะไม่มีวันลืมเพื่อนที่แสนดีคนนี้
“เคย่าก็ดีใจที่ได้รู้จักคนไทยที่น่ารักอย่างรดา อ้อ ท่านฟารุตให้มาบอกว่ามีธุระจะคุยกับรดา เคย่ายังไม่ได้บอกอะไรท่านฟารุตนะ ให้รดาคุยกันเอาเองก็แล้วกัน”
“ได้จ้ะ งั้นรดาจะไปพบฟารุตก่อน ขอบใจเคย่ามาก”
วฎิรดาเตรียมคำพูดเอาไว้แล้วว่าจะบอกกับเขาอย่างไร แต่พอเจอหน้าฟารุตและเดียร์นาที่นั่งรออยู่ ความรู้สึกน้อยใจก็ก่อตัวขึ้นเป็นริ้วๆ ในอารมณ์
“คุณเตรียมตัวจะไปไหนหรือวันนี้” แววตาสงสัยของฟารุตจ้องมองเธออย่างต้องการคำตอบ
“ฉันตั้งใจจะบอกคุณเช้านี้ว่าฉันตัดสินใจจะเดินทางกลับชีร่าห์ดัมพร้อมคาราวานที่จะขนสินค้าเข้าเมืองเย็นนี้”
“คุณจะไปกับคาราวาน เย็นนี้หรือ”
ฟารุตหน้าแดงด้วยความรู้สึกโกรธ เขาเดินมาจับแขนเธอจูงออกไปนอกกระโจมด้วยความฉุนเฉียว เดียร์นามองตาม แม้จะรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าตามคนทั้งสองออกไป
เขาลากเธอออกมาข้างนอกเพราะไม่ต้องการให้คนในกระโจมได้ยินว่าเขาคุยอะไรกับวฎิรดา เดินออกมาได้ระยะห่างพอประมาณ เขาหันมาจ้องเธอด้วยสายตาตำหนิ
“นี่ คุณไม่ต้องมามองฉันแบบนั้นหรอก”
“แล้วจะให้มองแบบไหน รู้ตัวหรือเปล่าที่คิดจะทำนั่นน่ะมันเหมาะสมหรือไม่”
“ฉันคิดรอบคอบดีแล้ว”
“รอบคอบหรือ จะเดินทางลำพังแบบสาวชาวต่างชาตินี่นะรอบคอบ อยากได้ลูกครึ่งเบดูอินไทยไปฝากคนที่อยู่ประเทศคุณหรือไงถึงคิดแบบนี้”
“คุณจะดูถูกฉันมากไปแล้ว” วฎิรดาหน้าแดงด้วยความโกรธ
“ไม่ได้ดูถูก”
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงใจง่ายจะเที่ยวไปนอนกับใครได้”
“ใครบอกว่าคุณใจง่าย การที่คุณจะมีลูกครึ่งเบดูอินมันไม่ได้เกิดจากความใจง่ายของคุณหรอก แต่มันจะเกิดจากความโง่ของคุณนั่นแหละ”
วฎิรดายกมือขึ้นตบหน้าเขาแต่ช้ากว่า มือแข็งแรงจับข้อมือเธอเอาไว้แล้วบีบอย่างแรง
“คุณไม่มีสิทธิ์มาว่าฉันโง่”
“ถ้าคุณฉลาดคุณจะต้องไม่ทำในสิ่งที่คุณกำลังคิด”
“ชีวิตของฉัน ฉันตัดสินใจเองได้ คุณไม่มีสิทธิ์มาจิกหัวด่า ฉันไม่ใช่ผู้หญิงเผ่าพันธุ์เดียวกับคุณที่จะกดกันให้จมอยู่เหมือนนางทาส”
“ทำไม ไม่ใช่เพราะประเพณีแบบนี้หรือที่ทำให้ประเทศของผมอยู่อย่างสงบสุข ไม่มีการหย่าร้าง ไม่มีปัญหาเด็กติดยาเสพติด”
“เชอะ คิดว่าตัวเองดีวิเศษน่ะสิ ถึงเห็นคนอื่นโง่ไปหมด”
เธอโกรธและรู้สึกคับแค้นที่ทำอะไรเขาไม่ได้ น้ำตาเจ้ากรรมเลยพาลไหลเอาดื้อๆ ฟารุตรู้สึกตัวว่ารุนแรงกับเธอมากไปจึงค่อยๆ คลายมือที่จับข้อมือของเธอออก
“ผมขอโทษ คุณทำให้ผมโมโห” เสียงอ่อนลงอย่างคนที่รู้สึกผิด วฎิรดาน้ำตาร่วงเป็นทาง
“คุณเห็นฉันเป็นทั้งผู้หญิงใจง่ายและโง่ คุณก็ไม่ต้องมาสนใจฉันหรอก ฉันจะดูแลตัวเอง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ถือเสียว่าเราไม่เคยเดินทางร่วมกัน ฉันจะจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง อะไรจะเกิดขึ้นฉันจะไม่โทษคุณแม้แต่น้อย”
เขาจูงมือเธอเดินมานั่งใต้ต้นปาล์ม แม้วฎิรดาจะแข็งขืนไม่ยอมเดินไปตามที่เขาบอก แต่ไม่นานก็ต้องยอมแพ้ เธอจึงปล่อยให้เขาจูงมือเดินไปเหมือนผู้ใหญ่จูงเด็ก
“ฟังผมนะ ผมขอโทษที่ว่าคุณแรงไปหน่อย คุณก็รู้ว่าถึงคุณไม่ยินยอมพวกนั้นมันก็ข่มขืนคุณได้ ที่ผ่านมาคุณก็พอจะเห็นอยู่ไม่ใช่หรือว่ากฎหมายใช้กับคนเร่ร่อนกลุ่มนี้ไม่ได้ อันตรายเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ คุณยังคิดที่จะเดินทางโดยลำพังอีก”
“ฉันไม่อยากเป็นภาระให้กับคุณ ฉันรู้ว่าคุณเองก็ต้องหนีการตามล่าหัวซุกหัวซุน ถ้ามีฉันเป็นภาระมันจะยิ่งทำให้ชีวิตคุณอันตรายมากยิ่งขึ้น”
“ผมจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าคุณเป็นภาระของผมหรือไม่”
“คุณเองก็อยากให้ฉันกลับเข้าเมืองหลวงไม่ใช่หรือ”
“เรื่องนั้นก็ใช่ แต่คุณจะต้องเดินทางไปกับพวกเขาในฐานะภรรยาของผมเท่านั้นจึงจะปลอดภัย ไม่ใช่แบบนี้ เอาเถอะอย่าเพิ่งมาทะเลาะกันตอนนี้ ที่ผมให้ลาเคย่าไปตามก็เพราะผมจะแจ้งแผนการเดินทาง”
“คุณจะไปจากที่นี่แล้วหรือ”
“ใช่ สองวันมานี่ผมได้ข่าวหลายอย่าง จึงตัดสินใจจะปรับแผนการเดินทาง ท่านคาลิคจะให้คนของท่านพร้อมม้าในการเดินทางครั้งนี้ คุณรู้แค่นี้ก็พอ ที่สำคัญผมไม่ยอมปล่อยคุณไปกับคาราวานแน่นอน ผมเป็นห่วง”
“ฉันจะเป็นภาระคุณเสียเปล่า”
“ถึงจะเป็นภาระ แต่ก็เป็นภาระที่ผมพึงพอใจจะให้เป็น”
วฎิรดาก้มหน้ามองพื้นทราย เธอเจอชายหนุ่มมาห้อมล้อมจีบอยู่ไม่น้อย แต่ทำไมถึงไม่รู้สึกเก้อเขินเหมือนเช่นวันนี้ ผู้ชายคนนี้มีอะไรพิเศษในสายตาและกระแสเสียงทำให้เธอร้อนวูบวาบไปทั้งตัว
“ก็ได้ ฉันจะทำตามที่คุณสั่ง”
เมื่อรู้ว่าจะไม่เป็นตัวของตัวเอง เธอจึงรีบหาทางออกทันที
“แล้วเดียร์นาล่ะ”
“เธอขอเดินทางไปด้วย บอกว่าจะไปขออาศัยอยู่กับญาติทางพ่อที่อยู่ในชีร่าห์ดัม อีกอย่างเธอเป็นคนของผมที่พาเข้ามา จะทิ้งไว้ให้เป็นภาระท่านลุงคาลิคก็กระไรอยู่จึงต้องให้เธอติดสอยห้อยตามไปด้วย เดียร์นาคงจะไม่มีปัญหาในการเดินทาง เพราะเธอคุ้นชินกับการเดินทางในทะเลทรายอยู่แล้ว เราจะออกเดินทางกันคืนนี้ ใช้ม้าจะเร็ว จะไปถึงจุดหมายใกล้ฟ้าสาง คุณมีเวลาเตรียมตัวอีกหลายชั่วโมง ตะวันลับฟ้าเราจะออกเดินทางทันที”
วฎิรดากลับเข้ามาในกระโจม ลาเคย่ารออยู่แล้ว
“รดาเป็นอย่างไรบ้าง ตัดสินใจอย่างไร”
“นี่เคย่าก็ทราบใช่มั้ยว่าฟารุตจะเปลี่ยนแผนการเดินทาง และฉันก็จะไม่ได้ไปกับคาราวานที่ให้เคย่าไปติดต่อให้”
เธอพยักหน้า
“รู้ก่อนจะเดินมาบอกรดานั่นแหละ แต่รู้มั้ยเคย่าดีใจที่ท่านฟารุตเปลี่ยนแผน ไม่ว่าจะยังไง การเดินทางกับท่านฟารุตย่อมปลอดภัยกว่าอยู่แล้ว พวกเราเป็นห่วงรดากันทุกคน”
“รดาทราบ และขอบคุณในน้ำใจที่ทุกคนมีให้กับรดา”
เวลาที่เหลือก่อนการเดินทางจึงเป็นการกล่าวลาระหว่างรดากับครอบครัวของหัวหน้าเผ่า หลังอาหารมื้อเย็นทั้งหมดจึงเตรียมออกเดินทาง
“ท่านรู้หรือเปล่าว่าท่านฟารุตจะเดินทางไปไหน” เดียร์นาถามวฎิรดาด้วยความสงสัย
“ไม่ทราบ ฟารุตไม่ได้บอกเรา” เธอเลี่ยงที่จะตอบ เวลานี้สำหรับวฎิรดาแล้วเดียร์นาไม่น่าไว้ใจที่สุด
ม้าสามตัวพร้อมผู้ติดตามที่เป็นชายฉกรรจ์อีกห้าคน เตรียมพร้อมสำหรับเดินทาง ฟารุตแสดงความขอบคุณและกล่าวลาครอบครัวคาลิคแล้วจึงจัดแจงม้าให้กับวฎิรดา เขาทำท่าจะช่วยให้เธอขึ้นนั่งบนหลังม้า แต่ช้าไป วฎิรดาโหนตัวเองขึ้นไปนั่งได้อย่างคล่องแคล่ว เขายิ้มให้เธอเล็กน้อยแล้วเดินเลยม้าของเดียร์นาไปที่ม้าของตนเองแล้วกระโดดขึ้นหลังมันควบนำออกไปทันที วฎิรดาหันมาโบกมือให้ลาเคย่าก่อนจะกระทุ้งสีข้างม้าตามฟารุตไปติดๆ
ความคิดเห็น