ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชีร่าห์ ...ล่ารักสุดขอบทราย

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่4

    • อัปเดตล่าสุด 3 ส.ค. 52


    บทที่ 4

    ตำรวจท่องเที่ยวและทีมแพทย์กำลังทำการชันสูติศพชายในชุดพื้นเมืองที่ถูกฆ่าตาย ในทะเลทรายห่างจากเมืองเก่าชีราน
    เนียนเพียงเล็กน้อย สภาพศพบริเวณหน้าอกด้านซ้ายถูกของมีคมลักษณะโค้งแทงทะลุไปถึงด้านหลังคณะนักกีฬาชาวไทยและเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยที่อยู่ด้วยถึงกับสะอึกเมื่อเห็นสภาพศพ

    "พี่รดาจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ สงสารพี่รดาจังเลย" สาวิตรีที่ยืนน้ำตาไหลอาบแก้มรำพึงรำพัน

    "อย่างเพิ่งคิดอะไรไปก่อนเลยครับน้องสา บางทีอาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอย่างที่พวกเราคิดและกลัวกันก็ได้" ดิลกปลอบหญิงสาวเบาๆ  

    "เราจะแจ้งไปทางเมืองไทยให้ญาติของคุณวฏิรดาทราบเบื้องต้นก่อน" เจ้าหน้าที่สถานทูตคนหนึ่งกล่าวแต่สมชาติกลับเป็นกังวลว่าคุณเดือนพักตร์จะเป็นอย่างไรถ้าทราบข่าวว่าลูกสาวคนเดียวของเธอหายตัวไปเช่นนี้

    "ผมอยากขอคำปรึกษากับทางท่านทูตก่อนได้มั๊ยครับ เรื่องการแจ้งข่าว เพราะเท่าที่ทราบคุณรดามีแม่คนเดียวที่ดูแลอยู่และถ้าคุณแม่ของเธอทราบข่าวทันทีเกรงจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะท่านอยู่คนเดียว" เจ้าหน้าที่สถานทูตไม่ขัดข้อง

     

    หลังจากแยกย้ายกันเที่ยวชมเมืองเก่าชีรานเนียน จนถึงเวลานัดหมายวฏิรดาก็ยังไม่กลับมา สมชาติหัวหน้าทีมต้องแจ้งตำรวจท่องเที่ยวให้ช่วยตามหาตัว เพียงไม่นานก็พบศพดังกล่าว จากการสืบสวนพ่อค้าขายของที่ระลึก ทำให้ทราบเบาะแสว่า วฏิรดาเดินออกมากับชายคนที่กลายเป็นศพ ส่วนวฏิรดาได้หายตัวไปอย่างลึกลับ

     

    เวิ้งทรายสีส้มอมชมพูไกลสุดลูกหูลูกตาจนไปจรดกับเส้นขอบฟ้าสีฟ้าสดใส เป็นความงามที่ชวนให้ค้นหา ม้าตัวหนึ่งบรรทุกสองชีวิตวิ่งฝ่าทะเลทรายมาด้วยความเร็ว เหมือนหนึ่งจะมุ่งหน้าไปให้ถึงเส้นขอบฟ้าที่ขวางอยู่เบื้องหน้า แขนข้างหนึ่ง

    ของพันเอกฟารุตกระหวัดรัดรอบเอวของหญิงสาวเอาไว้ อีกข้างหนึ่งจับเชื้อม้ากระตุกตลอดเวลาเป็นการส่งสัญญาณว่าให้วิ่งต่อไป จนมาถึงหน้าผาสูงชัน ฟารุตบังคับม้าให้ชะลอฝีเท้าลง แล้วหยุดอาศัยร่มเงาของภูผาบังแสงแดดที่ร้อนระอุ 

    เขาค่อยๆ ประคองหญิงสาวชาวไทยที่ยังไม่ได้สติลงจากหลังม้า ผ้าผืนใหญ่ที่ใช้โพกพันหน้าตาป้องกันเม็ดทรายถูกดึงออกมาสะบัดแล้วปูลงบนพื้นทรายด้วยมือข้างเดียวที่เหลืออยู่ จากนั้นจึงค่อยๆ วางเธอลงบนผ้า แขนทั้งสองข้างที่ถูกจับมัดไพ่หลัง

    มีรอยเลือดซึมออกมาเล็กน้อย เขาไม่มีเวลาแก้มัดให้หลังจากช่วยเธอให้พ้นอุ้งมือของไอ้วายร้ายคนนั้นมาได้  การหนีจากจุดเกิดเหตุให้เร็วและไกลที่สุดคือสิ่งจำเป็น มาถึงตรงนี้มีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง ฟารุตจึงรีบแก้มัดแล้วหยิบเอาขวดน้ำที่ผูกติดเอวไว้ 
    เปิดเทน้ำลงบนผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กๆ ค่อยๆ บรรจงเช็ดใบหน้าที่ซีดเผือกของหญิงสาวอย่างเบามือ

    แม้สีหน้าจะซีดไม่ได้ทำให้ความงามของเธอลดลงไป ดวงตาที่หลับพริ้มมีขนตายาวเป็นแพ ชวนมองยิ่งนัก ริมฝีปากอิ่ม แก้มอวบ มีรอยฝ่ามือแดงเป็นปื้น เขาไล้นิ้วลงบนรอยแดงเบาๆ รู้สึกสงสารผู้หญิงตัวเล็กคนนี้จับใจ ไอ้โจรวายร้าย สมแล้วที่เขาส่ง

    มันลงนรก มันป่าเถื่อนทำได้แม้แต่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ไม่มีทางสู้ ฟารุตค่อยๆ ลูบผ้าไปทั่วใบหน้างาม ริมฝีปากที่ซีดเริ่มมีมีชมพูระ

    เรื่อ ขนตาที่นิ่งสงบเริ่มขยับ ความเย็นของน้ำท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุทำให้เธอรู้สึกตัวได้เร็วขึ้น หญิงสาวเริ่มส่ายหน้าหนี เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วจ้องมองฟารุตนิ่งไปชั่วครู พอสติเริ่มกลับมา วฏิรดา ผุนผันลุกขึ้นทันที แต่แล้วก็กลับเซถลาไม่เป็นท่าจนฟารุตต้องรีบคว้าตัวเอาไว้ก่อนที่จะล้มลงคลุกทราย

    "รีบลุกทำไมเดี๋ยวก็หน้ามืดเป็นลมไปอีกรอบหนึ่งหรอก" เขาดุเธอแต่ไม่ดังมากนัก ยังนึกสงสารอยู่ที่เพิ่งผ่านเรื่องร้ายมามาดๆ เขาจึงไม่อยากซ้ำเติมด้วยเสียงที่ดุอีก 

    "ปล่อยฉันไปเถอะ อยากได้จะเอาอะไรก็เอาไปฉันให้" วฏิรดาพยายามผลักอกเขาเพื่อให้หลุดจากอ้อมแขน

    "จริงหรือ ผมอยากได้อะไรคุณก็ยอมหมดหรือ" ฟารุตอยากแกล้งคนอวดเก่งดูสักตั้ง

    "ใช่ เอาไปเลย เงินในกระเป๋า มีมากพอสมควร สร้อยแหวนที่ฉันมีฉันยกให้ อย่าทำร้ายฉันอีก" ฟารุตหยิบเป้ขึ้นมาล้วงลงไปหยิบกระเป๋าเงินใบเล็กๆ ขึ้นมาเปิด 

    "เงินแค่นี้นะหรือที่บอกจะให้ผม"

    "ถ้านายอยากได้มากกว่านั่น นายก็พาฉันไปส่งที่พัก ฉันจะจ่ายนายเพิ่มอีกกี่เท่าก็ได้"

    "คุณคงรวยมากละซิท่า"

    "ฉันไม่ได้ร่ำรวยอะไร แค่พอมีเท่านั้นปล่อยฉันเสียทีซิ" มือสองข้างยังคงยันอกเขาไว้ไม่ให้หน้าอกของเธอแนบชิดหน้าอกของเขา

    "แล้วถ้าผมอยากได้อย่างอื่นนอกจากเงินละคุณจะยอมหรือไม่" ฟารุตแกล้งทำแววตากรุ่มกริ่ม

    "อะไร นายอยากได้อะไรอีก ของก็มีเท่าที่นายเห็น" วฏิรดารู้ดีว่าโจรทะเลทรายคนนี้หมายถึงอะไร แต่เธอแกล้งไม่รู้และพยายามจะหาสิ่งจูงใจสิ่งอื่นมาล่อเพื่อเบนความสนใจ

    "คุณไม่ใช่คนโง่ น่าจะพอรู้ว่าผมต้องการอะไร" เขาก้มหน้าลงมาเกือบชิดหน้าของเธอ วฏิรดา รีบเบนหน้าหนีเพื่อหลบจมูกแต่กลับพลาด แทนที่จะเป็นการหนีกลับกลายเป็นการยกแก้มข้างซ้ายไปถูกจมูกของฟารุต

    "นี่คุณก็คงชอบเหมือนกันถึงขนาดส่งแก้มมาให้ผมจุมพิตเลยหรือนี่นา" เขายังแกล้งเธอไม่เลิก วฏิรดาอึกอักอยู่ในอ้อมแขนของเขา

    "ไม่นะฉันไม่ได้ตั้งใจ นายปล่อยฉันไปเถอะ เดี๋ยวเพื่อนนายอีกคนมามันคงฆ่าฉันแน่" วฏิรดารู้สึกสะท้านกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

    "ไอ้นั่นมันลุกมาทำร้ายคุณแล้วไม่ได้แล้ว"

    "พวกนายจะไม่ทำร้ายฉันอีกใช่มั๊ย" เขาส่ายหน้าแววตาที่แสดงความดีใจก่อนหน้านี้สลดวูบลงทันที

    "ไม่มีใครทำร้ายคุณอีกแล้ว ไอ้นรกนั่นตายไปแล้ว"

    "ใครฆ่าเขา" 

    "ผมเอง" วฏิรดาอ้าปากค้าง แทบไม่เชื่อหูตัวเอง ชายร่างยักษ์ใบหน้าที่รกไปด้วยเคลาแววตาดุร้ายใต้คิ้วที่ดกหน้าดูน่ากลัวขนาดนั้น เขาตายแล้วหรือ ขนาดชายคนนั้นยังถูกฆ่าตายได้ คนนี้ไม่ดุร้ายยิ่งกว่าคนที่ตายหรอกหรือ คิดแล้วหน้าของวฏิรดาก็กลับซีดลงแววตาหวาดหวั่นเริ่มฉายออกมาให้เห็น เธอสูดหายใจลึกๆ เริ่มตั้งสติอีกครั้ง ครั้งนี้ถ้าไม่สามารถรอดเงื้อมมือโจรหน้าหล่อใจร้ายคนนี้ได้เธอคงต้องตายคามือเขาแน่

    เขาปล่อยเธอเป็นอิสระ ดวงตาที่แฝงแววล้อเล่นหายไปสิ้น วงหน้าขรึมภายใต้ผ้าที่พันรอบจมูกเอาไว้เหลือเพียงดวงตาเท่านั้นที่เขาจำเป็นต้องปล่อยให้มันหลุดออกมาจากการปกปิด

    "อย่ากังวลว่าผมจะฆ่าคุณเลย คุณคือคนที่มีบุญคุณกับชีวิตผม"

    "ฉันนะหรือ" เธอเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าเขา ความกล้ากลับเข้ามาสู่จิตใจของวฏิรดาอีกครั้ง เธอจ้องไปในดวงตาของเขาลืมความกลัวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เสียสิ้น

    "เราเคยเจอกัน ใช่แล้วนายคือคนที่ถูกตามฆ่า" เธอนิ่งมองหน้าเขาอย่างสำรวจ เขาพยักหน้าน้อยๆ

    "แล้วฉันมาที่นี่ได้อย่างไร ทำไมฉันสับสน ขนาดนี้" วฏิรดาพยายามทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    "ฉันถูกจี้แล้วบังคับให้เดินออกมาตามซอกหน้าผาเล็กๆ จนมาเจอทางออกที่ด้านหน้าเป็นทะเลทราย ชายคนนั้นหน้าตาหน้ากลัวบังคับให้ฉันเดินเข้าไปในทะเลทราย เขาจับฉันมัด พอฉันขัดขื่นเขาก็ตบฉัน แล้วฉันก็ตกใจจนสลบไป จากนั้น ฉันตื่นมาก็เจอนาย แล้วที่นี่มันคือที่ไหน" เธอทบทวนความจำได้แล้วจึงเริ่มตั้งคำถาม

    "อย่าเพิ่งถามอะไรมากเลย ตอนนี้คุณเป็นอย่างไรบ้าง พร้อมจะเดินทางหรือยัง ผมกำลังพยายามติดต่อทางคนของผมให้รับคุณกลับไปส่งแต่ผมมีข้อแม้ว่า คุณจะต้องเดินทางกลับประเทศไทยทันที"

    "ทำไมต้องรีบกลับฉันยังไม่ได้แข่งขันเลย"

    "ไม่มีการแข่งขันอะไรของคุณอีกแล้ว"

    "การแข่งขันถูกยกเลิกเหรอ" วฏิรดาถามด้วยความสงสัย

    "ใช่" เขาแกล้งปดเธอไป

    "ดังนั้นคุณต้องกลับประเทศไทยทันทีผมจึงจะปล่อยคุณไป"

    "ทำไมฉันต้องกลับทันทีฉันมีภารกิจที่ต้องทำอีก" วฏิรดาคิดถึงเรื่องของพ่อขึ้นมาทันที


    "
    คุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันเป็นคนไทย" เขาไม่ตอบแววตานิ่งอยู่พักหนึ่งแล้วก็ลุกพรวดขึ้นคว้าแขนของเธอให้วิ่งตามไปที่ม้า วฏิรดาตกใจกับสิ่งที่เขาปฏิบัติอย่างรวดเร็วจนเธอไม่ทันตั้งตัว เขาจับบั้นเอวของเธอยกขึ้นนั่งบนหลังม้า แล้วก้มลงคว้าผ้าที่ใช้ปูให้เธอนอนก่อนจะกระโดดตามเธอขึ้นมา แล้วจัดแจงใช้ผ้าผืนนั้นพันศีรษะลงมาใต้คางให้เธอแล้วกระหวัดปลายไปรอบๆ คอก่อนที่จะจับชายผ้าสอดเข้าไปในเสื้อเพื่อป้องกันการปลิว แล้วกระทุ้งสีข้างม้าตัวเก่งให้พุงทะยานไปด้านหน้าทันที

    "เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงรีบร้อนอย่างนี้" วฏิรดาจับบังเหียนม้าแน่น โน้มตัวลงนอนราบไปกับหลังม้าอย่างคนรู้เอาตัวรอด

    "หันไปมองด้านหลังซิ" เขาสั่งวฏิรดาหันกลับไปมองด้านหลังทันที ม้าไม่ต่ำกว่าห้าตัววิ่งไล่หลังมาแต่ไกล ฝุ่นทรายปลิวเป็นทางยาวตามหลังกลุ่มม้าเหล่านั้นมายิ่งทำให้เห็นว่าพวกมันวิ่งไล่มาด้วยความเร็วสูงเช่นกัน

    "เกาะหลังม้าเอาไว้ให้ดีปืนที่เคยให้ไว้ยังอยู่หรือไม่"

    "อยู่"

    "คอยฟังคำสั่งจากผม ถ้าพวกมันเข้ามาใกล้เราได้ เราต้องยิงมันก่อนที่มันจะยิงเรา คุณจัดการได้ใช่หรือไม่" เขาถามย้ำเพราะเคยเห็นฝีมือของเธอมาแล้ว 

    "ฉันจะลองดู"

    "ไม่ใช่แค่ลองดู ต้องได้เท่านั้น" เสียงดุดันของเขาทำให้วฏิรดารู้สึกโกรธจี๊ดขึ้นมาทันที

    "ได้" เธอตอบสั้นและห้วนอย่างไม่พอใจแต่ฟารุตไม่ได้สนใจ เขาควบม้าวิ่งไปข้างหน้าแต่ใบหน้าหันกลับมาประเมินกำลังของผู้ติดตามทันที 

    "ผมจะชะลอม้า ไอ้คนหน้าจ้องปืนมาทางเราแล้วคุณเตรียมจัดการได้" สิ้นคำสั่งเขาหย่อนบังเหียนม้าตัวเก่งรับรู้ว่าเจ้านายต้องการเช่นไรมันชะลอฝีเท้าลงทันที

    "ยิง"

    ปั๊ง ๆ ๆ ๆ ๆ

    ปั๊งๆๆๆ

    วฏิรดาปล่อยกระสุนออกไปจากลังถึงห้านัดได้ผลเกินคาด คนบนหลังม้าร่วงลงไปถึงสาม เหลืออีกสอง

    เสียงปืนดังสวนกลับมา ทำให้เธอต้องหยุดยิงกอดคอม้าเอาไว้แน่น ฟารุตดึงบังเหียนให้ม้าวิ่งซิกแซกไปมาเพื่อหนีวิถีกระสุน เสียงปืนยังดังไล่หลังมาติดๆ 

    "เหลืออีกสองคุณจะเอามันอยู่หรือไม่" เขาถามอย่างท้าทาย

    "ฉันมีลูกปืนเหลืออยู่สามลูก"

    "นั่นยิ่งต้องใช้ความแม่นยำให้มาก" เขาพูดแกมท้าทายแนจะลองดู

    "การยิงแบบที่นอนแนบกับหลังม้าจะถนัดสู้การหันหน้าไปยิงหรือไม่" เขาพูดลอย

    "ไม่เข้าใจ" 

    "ถ้าหันไปเผชิญหน้ากับพวกมันแล้วแม่นกว่า คุณก็หันหน้าไปด้านหลังซิแขนข้างหนึ่งกอดผมเอาไว้จะได้บังกระสุนให้แล้วยิงลอดแขนผมไปจะได้เล่งให้เม่นๆ" เขาแนะนำวินาทีชีวิตเช่นนี้วฏิรดาไม่คิดอะไรแล้วเธอทำตามคำแนะนำของเขาทันที เธอลุกขึ้นนั่งหันหน้าเข้าหาอกของฟารุตกอดเขาเอาไว้แล้วงอเข่าม้วนตัวกลับบนหลังม้าอย่างคนที่เคยชินกับม้าอยู่ไม่น้อย เมื่ออยู่ในท่าที่พร้อมเธอไม่รอให้เขาสั่ง ม้าที่ไล่หลังมาสองตัวเริ่มจี้ใกล้เข้ามา

    ปั๊งๆ

    เสียงปืนสองนัดเป็นของฝ่ายรุกไล่ แต่ไม่ตรงเป้าวฏิรดาไม่รอให้ชุดที่สองออกมาจากลำกล้องของฝ่ายตรงข้ามเธอเล่งกระบอกปืนไปที่เป้าหมาย

    ปั๊ง

    นัดแรกได้ผล

    ปั๊ง

    นัดที่สองพลาดเป้าที่ต้องการแต่ก็ไม่เลวนักม้าของฝ่ายตรงข้ามทรุดลง

    ทันที ชายบนหลังม้ากระโดดลงมาคว้าม้าตัวที่เจ้าของเพิ่งถูกสอยลงก่อนหน้านี้มาแล้วกระโดดขึ้นวิ่งไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ กอดผมไว้ให้แน่นๆ นะข้างหน้ามีเนินทรายม้าอาจจะไถลล้มได้ ระวังตัวด้วย วฏิรดาปฏิบัติตามทันที เธอโอบแขนไปรอบลำตัวของฟารุตแต่สายตายังจับจ้องไปที่ศัตรู

    "ระวังมันจะยิงแล้ว"

    ปั๊งๆๆๆๆ

    ไม่ทันสิ้นเสียงเตือน เสียงปืนจากผู้ตามครานี้ไม่พลาดเป้า ม้าของฟารุตถลาลงคลุกพื้นทราย

    "ลงวิ่ง" ฟารุตสั่งเขากระโดดลงจากหลังม้าก่อนที่มันจะล้มลง แต่ก็ไม่ลืมที่จะคว้าเอวของวฏิรดาให้หลุดตามมาด้วย ทั้งสองกลิ้งลงบนพื้นทรายที่ร้อนระอุ

    เสียงม้าที่ควบตามมาหยุดลง วฏิรดาลืมตาขึ้นมามองปืนยาวของผู้ล่าถูกลากออกมาจากด้านหลังจ่อมาที่ศีรษะของฟารุต

    "ตายยากจริงนะผู้พัน" เสียงผู้ได้เปรียบคำรามลั่น

    "แต่ครานี้คงไม่รอดแน่นอกจากมุดทรายได้เท่านั้น" เสียงชายในชุดดำหนึ่งเดียวที่รอดชีวิตมาได้หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

    "ชดใช้ชีวิตของแกให้กับคนของข้าด้วยผู้พันฟารุต" เสียงแกร๊กจากการขึ้นไกค์ของชายในชุดดำทำเอาหัวใจของวฏิรดาหล่นวูบ

    ปั๊ง

    เสียงปืนนัดหนึ่งดังขึ้น เสื้อคลุมของฟารุตถูกกระสุนเจาะฉีกกระจายตกลงบนพื้นทรายพร้อมๆ กับชายในชุดดำที่ทรุดฮวบ ฟารุตมองเศษผ้าที่ปลิวว่อนแขนข้างหนึ่งที่ยังกอดวฏิรดาอยู่กระชับแน่นยิ่งขึ้นจนคนถูกกอดอึดอัด

    "เก่ง" เขาชมด้วยเสียงที่จริงจัง

    "ถือว่าคุณช่วยชีวิตผมหนที่สองแล้วในรอบวัน"

    "ฉันช่วยตัวเองด้วยต่างหาก และที่สำคัญฉันยิงออกไปด้วยความตกใจ" เธอสารภาพเสียงอู้อี้เพราะหน้าของเธอซุกอยู่กับไหล่กว้างของเขา

    "ปล่อยฉันได้แล้ว" เขาทำตามอย่างว่าง่าย แล้วลุกขึ้นไปเขี่ยชายในชุดดำให้นอนหงาย เขาหยิบปืนสั้นที่เหน็บไว้ที่เอวของมันมาสำรวจ แล้วส่งให้วฏิรดา 

    "เก็บไว้ มันมีประโยชน์กับเราแน่นอน"

    "พวกมันเป็นใคร และคุณเป็นใครทำไมมันถึงตามล่าคุณ"

    "ทำไมคุณคิดว่าเขาตามล่าผมล่ะ ไม่คิดว่าเขาล่าคุณบ้างหรือ" เขาย้อนถามโดยไม่ยอมตอบคำถามของวฏิรดา

    "ฉันเป็นคนต่างชาติเพิ่งมาเหยียบแผ่นดินของคุณเป็นครั้งแรกในชีวิต ฉันคงไม่มีศัตรูคอยตามล่าถึงขนาดจะเอาชีวิตกันแบบนี้หรอก" 

    "คุณแน่ใจได้อย่างไร อย่างคนที่จี้คุณมา นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคุณอาจมีศัตรู"

    "ฉันคิดว่ามันคงเป็นผลมาจากการที่ฉันช่วยคุณอย่างที่คุณพูดไว้นั่นแหละ" เธอคิดบนฐานความน่าจะเป็น ฟารุตไม่ต่อปากต่อคำ ปัญหาข้างหน้ารออยู่ เขาไม่มีม้า การติดต่อสื่อสารถูกตัดขาด ใกล้มืดเต็มที กลางทะเลทรายมีอันตรายรอบด้าน

    "เดินไหวมั๊ย"เขาหันมาถามวฏิรดา

    "ไม่ไหวแล้วคุณจะให้ฉันขี่หลังไปหรือ" เธอตอบอย่างคนกวนประสาท

    "ใครบอก ถ้าคุณเดินไม่ไหวผมก็จะเดินไปคนเดียวคุณก็นอนที่นี่ก็แล้วกันอีกไม่นานจะมืดแล้ว"

    "คุณจะกล้าปล่อยฉันไว้หรือ" เขาหันมายิ้มไม่มีคำตอบนอกจากลุกขึ้นเดินออกไปทันที วฏิรดาย่นจมูกใส่อย่างท้าทายแล้วนั่งลงกอดเข่าบนพื้นทราย เธอมั่นใจว่าเขาไม่ทิ้งเธอแน่ 

    ฟารุตเดินลับไปกับเนินทราย วฏิรดานั่งกำทรายเล่นอย่างเพลิดเพลิน เวลาผ่านไปเธอเริ่มคิดใหม่ หรือเขาจะทิ้งเราไว้ได้จริงๆ วฏิรดาเพิ่งรู้ว่าตัวเองประเมินเขาผิด เขาเป็นผู้ชายที่แย่จริงๆ ความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามาเธอลุกขึ้นหันรีหันขวาง กำลังตัดสิน

    ใจว่าจะทำอย่างไรดี พลันสายตาก็ไปเจอเข้ากับศพของชายชุดดำที่เธอยิงนอนตายอยู่ วฏิรดาลุกขึ้นวิ่งอย่างไม่มีมีจุดหมายไม่รู้ทิศทาง เธอวิ่งมาได้ไม่นานความอ่อนล้าบวกกับความกลัวทำให้เธอทรุดลงนั่งบนผืนทรายที่ยังร้อนระอุ ความมืดที่เริ่มคืนคลานเข้ามายิ่งกระตุ้นความรู้สึกหวาดกลัว วฏิรดาหมดความอดทนเธอซบหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น ยิ่งมืดอากาศที่เคยร้อนกลับเย็นลงอย่างรวดเร็ว เธอปาดน้ำตา พยายามตั้งสติก่อนที่จะยืดตัวนั่งหลังตรง วางท่าสงบเตือนตัวเองว่าในใจด้วยคำว่า

    สติ

    สติ

    สติ

    "สติเท่านั้นที่จะทำให้เราต่อสู้ทุกอย่างได้ พ่อขา วฏิรดาคนเก่งของพ่อกำลังจะเผชิญกับสิ่งที่ไม่คาดฝัน ทุกสิ่งที่นี่เป็นสภาพที่ลูกไม่รู้จักไม่คุ้นเคย ที่สำคัญมันแตกต่างจากบ้านเราราวฟ้ากับดิน ลูกจะมีชีวิตรอดกลับไปเพื่อตามหาพ่อนำข่าวดีไม่บอก

    กับแม่หรือเปล่าหนอ
    " คำว่าสติช่วยให้เธอสงบได้เพียงไม่นานเมื่อหวน คิดถึงพ่อความอ่อนแอก็กลับเข้ามาเกาะหัวใจของเธออีก น้ำตาที่เพิ่งเหือดแห้งได้เพียงไม่กี่นาทีเริ่มเอ่อขึ้นมา แล้วไหลล้นขอบตา แต่ครานี้ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้น เธอทรุดนั่งบนผืนทรายหลับตาลงปล่อยให้น้ำตาไหลเป็นทางอย่างคนสิ้นหวัง

    ความหนาวเย็นเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น เวลาที่วฏิรดานั่งหลับตาปล่อยให้น้ำตาไหลผ่านแก้มนานเท่าไหร่เธอไม่รู้ แต่ในความรู้สึกของเธอเวลานี้มันช่างยาวนานเหลือเกิน เธอต้องตายที่นี่แน่ๆ เธอช่วยตัวเองไม่ได้เลย วฏิรดาเคยคิดว่าตัวเองเก่ง เอาตัวรอดได้ จึงตั้งใจจะมาตามหาพ่อเพียงลำพัง เธอประเมินที่นี่ผิดพลาดอย่างมหันต์ ความผิดพลาดมันกำลังจะทำให้ชีวิตของเธอจบลงบนทะเลทรายแห่งนี้ 

    ริมฝีปากที่เริ่มแห้ง เธอไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียว กลางทะเลทรายที่แห้งแล้งเช่นนี้จะไปหาน้ำจากที่ไหน วฏิรดารู้สึกกระหาย กี่ชั่วโมงแล้วที่เธอไม่ได้ดื่มน้ำเลย เธอพยายามรวบรวมสติอีกครั้ง ถ้าจะต้องตายก็ขอตายอย่างคนที่สู้

    วฏิรดาปาดน้ำตาทิ้งก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเพื่อสู้กับปัญหาตรงหน้าอีกครั้ง

    ว้ายยยยยยยยยยย

    แสงสว่างจากดวงจันทร์ทำให้มองเห็นเงาทะมึนของชายรูปร่างใหญ่ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าวฏิรดาตกใจจนแทบสินสติ ผ้าที่เขาใช้โพกศีรษะกับผ้าคลุมไหล่ที่พันไว้รอบกายยิ่งทำให้ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอดูลึกลับคล้ายปิศาจ วฏิรดาได้สติเธอถ่อยกรุดแล้วหันหลังวิ่งหนี้อย่างไม่คิดชีวิต แต่เธอก้าวเท้าออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ตัวของเธอก็ถูกกระชากกลับมาอย่างแรง

    "ช่วยด้วยยยยยยยยยยยยยยยย" เสียงของเธอขาดหาย เธอดิ้นทุนรุรายทั้งหยิกทั้งข่วนเพื่อให้ตัวเองหลุดออกมาจากอุ้งมือที่แข็งราวกับคีมเหล็กนั้นให้ได้ 

    "หยุดบ้าเสียที" เสียงทรงอำนาจตะคอกแล้วจับตัวเธอเขย่า เสียงที่คุ้นหูทำให้วฏิรดาได้สติ เธอเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในดวงตาคู่นั่น แล้วซบหน้าลงกับอกเขาอย่างลืมตัว

    "ฉันกลัว อย่าทิ่งฉันไป" เธอเริ่มร้องไห้ เขาลูบศีรษะเธอเบาๆ อย่างปลอบโยน ฟารุตเพียงแค่อยากจะแกล้งสั่งสอนคนอวดเก่งเท่านั้น ไม่นึกว่าการที่เขาทิ้งให้เธออยู่คนเดียวเพียงไม่นานจะทำให้เธอหวาดกลัวได้ขนาดนี้ นี่ถ้าเขาปล่อยไปอีกสักพักเธอคงบ้าไปแล้วแน่ๆ 

    "หยุดร้องได้แล้ว เห็นทำท่าเก่ง นึกว่าจะแน่สักแค่ไหน" เขาหัวเราะหึๆ ในลำคอวฏิรดายังพร่ำพูดประโยคเดิม

    "อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียว อย่าทิ้งฉันไปอีกนะฉันกลัว ที่นี่ไม่เหมือนบ้านฉัน ฉันกลัวจริงๆ" 

    "ไม่ทิ้งจ๊ะ สัญญาว่าจะไม่ทิ้งอีก ถ้าคุณไม่ดื้อ" ไม่มีคำตอบจากคนที่ซุกอยู่ในอก มีเพียงศีรษะที่ส่ายไปมาฟารุตแปลความหมายเอาว่าเธอตอบว่าจะไม่ดือ

    "หยุดร้องได้แล้ว นี่น้ำค่อยๆ ดื่มนะ ทีละอึกเล็กๆ" เขาส่งกระติกสนามใบเล็กๆ ที่พกติดตัวเสมอให้เธอ วฏิรดารับมาจ่อริมฝีปากและทำตามอย่างว่าง่าย เธอค่อยๆ กลืนน้ำลงคอทีละนิด รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที หลังจากค่อยๆ กลืนไปได้เพียงสามอึก ฟารุตก็ดึงกระติกจากมือของเธอกลับ

                    "ฉันยังไม่อิ่ม" เธอไม่ยอมปล่อย

                    "พอก่อน ผมไม่ได้หวง เดี๋ยวค่อยดื่มต่อดื่มตอนนี้เยอะไม่ได้เดี๋ยวคุณจะจุก เชื่อผม" ขาค่อยๆ ดึงกระติกคืนมาเสียบไว้ที่เอวเหมือนเดิม 

                    "ไปกันเถอะ อดทนเดินอีกนิดหนึ่งประมาณหนึ่งกิโลห่างจากนี้จะมีที่ให้เราพักได้สบายและปลอดภัย เดินไหวมั๊ย" คำถามเดิมที่เขาถามเธอก่อนเดินทิ้งไปถูกนำมาใช้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้คำตอบเปลี่ยนไป

                    "ไหว" เขาแอบยิ้มใต้ผ้า ถ้าตอนบ่ายตอบแบบนี้ก็ไม่ต้องมานั่งแกล้งกันให้ขวัญกระเจิงแบบนี้

    เขาลุกขึ้นส่งมือให้วฏิรดาเธอส่งมือให้เขาแต่โดยดี เขาดึงเธอให้ลุกขึ้นผ้าคลุมไหล่ผืนโตถูกเปลี่ยนมาคลุมให้ผู้หญิงตัวเล็ก

                    "อากาศจะเย็นลงเรื่อยๆ ในทะเลทรายตอนกลางคืนจะเย็นมากกว่าในเมือง พันเอาไว้จะได้อุ่น" เขาพันผ้าไปรอบตัวเธออย่างคนชำนาญ เพียงไม่นานวฏิรดาก็กลายเป็นสาวชาวอาหรับเพราะผ้าคลุมไหล่ผืนหนา.

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×