คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่3
บทที่ 3
ขบวนรถจี๊ปสีดำบรรทุกชายฉกรรจ์ในชุดอาหรับมีอาวุธครบมือวิ่งมาตามถนนใหญ่เพียงไม่นานก็หักเลี้ยวลงสู่ทะเลทราย
มาด้วยความเร็วสูงตรงไปยังภูเขาหินที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าที่มองเห็นไกลลิบตา เมื่อมาถึงด้านหน้าของภูเขาที่เป็นหน้าผาสูง
ชัน รถคันแรกจึงชะลอให้คันที่อยู่ด้านหลังขับเลยไปจอดเป็นรูปครึ่งวงกลม แล้วชายรูปร่างสูงใหญ่ที่มากับรถคันหน้าสุดเปิดประตู
ก้าวลงมาจากรถด้วยท่าทีที่น่าเกรงขามเพียงคนเดียว ลมทะเลทรายพัดแรงทำให้ผ้าที่โพกอยู่บนศีรษะของเขาปลิวสะบัดไปตามแรง
ลม เขายืนนิ่งอยู่คนเดียวพักใหญ่ก็มีเสียงขบวนม้าควบมาจากด้านหลังของภูเขาหินด้วยความเร็วจนฝุ่นทรายตลบอบอวน เมื่อมาถึงจุดที่ขบวนรถจี๊ปจอดอยู่ ชายชุดดำที่อยู่บนหลังม้าตัวแรกกระโดดลงจากหลังม้าแล้วเดินเข้ามาหาคนที่ยืนรอ
“ท่านทำงานพลาด” เสียงผู้มาก่อนกล่าวตำหนิทันที
“เราจะแก้ตัวในวันพรุ่งนี้” ชายในชุดดำไม่มีคำแก้ตัวใดๆ
“ท่านยังคิดว่าจะทำงานนี้สำเร็จอีกหรือ” เสียงผู้มาก่อนแสดงความไม่เชื่อถืออย่างเห็นได้ชัด
“สำเร็จแน่นอน เพียงแต่เราต้องเลือกสถานที่ใหม่นั้น”
“ท่านไม่มีเวลาแก้ตัวอีกแล้ว เราขอยกเลิกสัญญาจ้างกับท่าน”
“ถ้าอย่างนั้นท่านก็ต้องจ่ายค่าจ้างครึ่งหนึ่งตามสัญญา” ชายชุดดำกล่าวในขณะที่มือข้างหนึ่งตะปบไปที่เอวด้วยความไม่ไว้ใจผู้ว่าจ้าง
คนว่าจ้างล้วงเอากระเป๋าสีดำออกมาจากหน้าอกเสื้อคลุม แล้วโยนลงไปบนพื้นห่างจากชายชุดดำยืนอยู่หลายเมตร
“ค่าจ้างครึ่งหนึ่งอยู่นี่ให้คนของท่านตรวจสอบดูได้” ชายในชุดดำส่งสัญญาณให้คนบนหลังม้าตรวจสอบกระเป๋าใบนั้น ทันทีที่คนบนหลังม้ากระโดดลงมาถึงจุดที่กระเป๋าวางอยู่
ปั๊งๆๆๆๆ
ปั๊งๆๆๆๆๆ
เสียงปืนจากรถจี๊ปก็ดังขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหว รวดเร็วและทำงานประสานกันอย่างดีจนฝ่ายที่อยู่บนหลังม้าไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะชักปืนออกจากเอวมาโต้ตอบ ไม่กี่นาทีเสียงก็สงบลงคงเหลือแต่ร่างที่ไร้วิญญาณของคนที่มากับม้า ม้าบางตัวที่รอดชีวิตวิ่งกระเจิดกระเจิงหนีเอาตัวรอดโดยทิ้งศพของนายเอาไว้ด้านหลัง
ชายผู้ว่าจ้างเดินกลับขึ้นรถไม่สนใจกระเป๋าใบย่อมที่เขาโยนลงไป ไม่นานขบวนรถก็กลับเข้าสู่เส้นทางหลักมุ่งตรงไปยังใจกลางเมืองหลวงทันที.
คฤหาสน์หินทรายสีเหลืองหลังใหญ่ที่ตั้งตระหว่านท้าแดดอยู่บนเนินเขามองลงไปเป็นย่านชุมชนใหญ่ของกรุงชีร่าห์ดัม
ภายในถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามด้วยฝีมือสถาปนิกชั้นแนวหน้าของชีร่าห์ดัม เจ้าของคฤหาสน์นั่งพิจารณาสำเนาลายแทงที่ได้รับ
มาจากอิสมาเอลเมื่อหลายเดือนก่อน ทุกวันก่อนออกไปทำงาน ชิลฮาวีจะเอามันมานั่งพิจารณาเหมือนหนึ่งจะจะซึมซับเอาทุกส่วน
ของลายแทงเก็บไว้ในสมอง เขาใช้ดินสอลากแบ่งส่วนออกเพื่อให้ง่ายแก่การจำ วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ดินสอในมือถูกลากและทำ
เครื่องหมายเอาไว้ในจุดสำคัญ เสียงเคาะประตูทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมาจากสำเนาลายแทงใบนั้นพร้อมกับเก็บมันลงลิ้นชักล๊อค
กุญแจแล้วหย่อนลูกมันลงในกระเป๋าถือ
“ใคร” เสียงทรงอำนาจถามออกไป
“ไนร่าค่ะพ่อ” เสียงลูกสาวคนเดียวของชิลฮาวีตอบเข้ามาทำให้เสียงของคนที่อยู่ในห้องอ่อนลงในทันที
“เข้ามาสิลูก พ่อไม่ได้ล๊อคประตู” สิ้นเสียงอนุญาตหญิงสาววัยสิบเก้าปีในชุดเดรสทันสมัยสีแดงสดขับให้ผิวของเธอขาว
ผ่อง ผมยาวเป็นลอนสวยรับกับใบหน้าที่คม ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม มีแววซุกซนเหมือนกวางสาวก็ก้าวเข้ามา
“ทำอะไรอยู่หรือค่ะหน้าตาเคร่งเครียดเชียว” เธอทักทายแล้วอ้อมมาสวมกอดพ่อทางด้านหลัง
“พ่ออ่านหนังสืออยู่ วันนี้จะไปไหนหรือแต่งตัวเสียสวยเชียวลูกสาวพ่อ”
“จะออกไปซื้อของกับแม่ค่ะ พอดีลุงอิสมาเอลท่านแวะมาหาพ่อไนร่าเชิญให้รอที่ห้องรับแขก” ทำไมไม่ให้เด็กขึ้นมาตามพ่อละลูกจะได้ไม่เสียเวลา”
“ไม่เสียเวลาเลย ไนร่าจะได้แวะมาบอกพ่อก่อนด้วยไงค่ะ”
“ไปละนะคะเดดี๊ที่รัก” เธอก้มลงจุ๊บแก้มพ่อเบาๆ แล้ววิ่งถลาออกไปจากห้องทำงาน ชิลฮาวีมองตามหลังแล้วยิ้มอย่างเอ็นดู
ไนร่าลูกสาวคนเดียวที่เกิดกับแอนดร้าภรรยาคนแรกของเขา ไนร่าเหมือนลูกอิจฉาหลังจากเขาแต่งงานกับแอนดร้าและ
อยู่ด้วยกันหลายปีแอนดร้าก็ไม่ยอมตั้งครรภ์เสียที แพทย์ประจำตัวของทั้งสองยืนยันว่าทั้งสองมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสามารถ
มีลูกได้ตามปกติ เขาใช้ชีวิตคู่กับแอนดร้าภรรยาคนแรกและคนเดียวอยู่นานเป็นสิบปีเมื่อทั้งคู่ไม่สามารถมีลูกได้ ชิลฮาวีจึงตกลงใจ
แต่งงานใหม่อีกสองคนในเวลาไล่เลี่ยกัน หลังจากนั้นไม่นานภรรยาทั้งสองคนก็ให้กำเนิดบุตรชายแก่เขา พอภรรยาคนที่สามของ
เขาคลอดบุตรชาย แอนดร้าก็ตั้งครรภ์ ชิลฮาวีตื่นเต้นอย่างยิ่งเขาอยากได้ลูกสาว และแอนดร้าก็ให้ลูกสาวเขาดั่งที่หวัง ไนร่าคือชื่อที่
เขาตั้งให้ เธอจึงเป็นลูกอิจฉาที่ชิลฮาวีรักและตามใจทุกอย่าง ด้วยความที่เป็นลูกสาวคนเดียวของผู้บัญชาการหน่วยรบทะเลทราย ทำ
ให้เธอถูกเลี้ยงมาด้วยการตามใจ จนกลายเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง อารมณ์ร้าย ตีโพยตีพายถ้าไม่ได้ดั่งใจ จนเป็นที่รู้กันในหมู่คน
ใช้และเพื่อนฝูง แม้ชิลฮาวีจะรู้นิสัยใจร้อนจอมโวยวายของลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนดี แต่เธอก็ไม่เคยทำเรื่องเดือดร้อนใจมาให้คนเป็นพ่อชิลฮาวีจึงมองข้ามเสีย
เขาเก็บของใช้ส่วนตัวลงกระเป๋าถือใบเล็กก่อนจะลุกจากเก้าอี้เดินตรงไปยังห้องรับแขก
“ขอโทษที่ให้รอ มีข่าวคืบหน้าอย่างไรบ้าง” ชิลฮาวีทักทายเพื่อนรักแล้วถามทันที
“ทีมงานค้นหาส่วนที่เหลือยังคงดำเนินต่อไป แต่มีรายงานมาว่าเจ้าของผู้ถือครองลายแทงส่วนที่เหลือหลบหนีไปตามกองคาราวานเบดูอินซึ่งทำให้ยากแก่การเข้าถึง”
“งานที่มอบหมายสำเร็จไปถึงไหนแล้ว”
“งานทางนี้ยังไม่คืบหน้า เราติดตามเป้าหมายไปแต่ คนของเราพลาด เป้าหมาย ถูกชายคนหนึ่งแย่งตัวไป ยังไม่ทราบว่าเป็นฝ่ายไหน ตอนนี้ยังไม่สามารถติดตามตัวได้ ทางตำรวจท่องเที่ยวกำลังส่งทีมออกติดตามเพราะสถานทูตไทยได้แจ้งเรื่องขอความช่วยเหลือเอาไว้ ตอนนี้เราคงต้องรอและยืมมือตำรวจท่องเที่ยวในการค้นหา” อิสมาเอลแสดงความคิดเห็น
“ไม่ได้หรอกอิสมาเอล ปล่อยทางการฝ่ายเดียวไม่ได้ มันอาจจะทำให้ทุกอย่างพลาดไปได้อีก เราใช้สองวิธีควบคู่กันไป
เรื่องที่ตำรวจท่องเที่ยวตามก็ปล่อยเขาตามไป ส่งคนของเราเข้าไปในกลุ่มตำรวจท่องเที่ยวด้วย อีกทางจัดคนออกตามหาอย่าได้ช้า
นี่เรารอมาหลายเดือนแล้ว เธอจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย ผู้หญิงต่างชาติเพียงคนเดียวไม่น่าจะเป็นเรื่องยากที่จะจัดการดูแล”
“คนของท่านพอจะรับไหวหรือไม่ ถ้าไม่ไหวแจ้งมาเราจะใช้คนของเราติดตามเอง” ฟังดูเหมือนชิลฮาวีต้องการช่วย
เหลือแต่อิสมาเอลรู้ดีว่าการทำงานพลาดครั้งนี้เขาถูกลดความเชื่อถือจากชิลฮาวีเพื่อนรักลงไปมาก
“คนของเราจัดการได้ เราจะรีบดำเนินการตามแผนทันที อีกเรื่องหนึ่งคณะสำรวจที่ขุดค้นเมืองโบราณตามที่ทางการสั่งเริ่มทำงานแล้วท่านคิดจะทำอย่างไรต่อไป” อิสมาเอลหารือในข้อถัดมาทันทีอย่างไม่ยอมเสียเวลา
“คณะสำรวจนำโดยท่านอยู่แล้ว ปล่อยให้เป็นไปตามนั้น เพียงแต่ท่านเฝ้าดูความคืบหน้าแล้วรายงานมาให้เราทราบเพื่อวางแผนต่อไปก็พอ”
“ถ้าอย่างนั้นเราจะเริ่มดำเนินการตามแผนใหม่ ช่วงนี้เราจะสำรวจพื้นที่ในหุบเขาเซฮาเนส กลับเข้ามาเมื่อไหร่จะแวะมาทานกาแฟด้วยทันที”
“ท่านจะเดินทางเมื่อไหร่”
“ทางการให้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ในเช้าพรุ่งนี้ คงไปประมาณสัปดาห์หนึ่ง”
“ขอให้ท่านโชคดี” เป็นการกล่าวลาผู้มาเยือน อิสมาเอลลุกขึ้นส่งมือให้จับแล้วเดินออกจากห้องรับแขกไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ด้านหน้าคฤหาสน์
จากนั้นรถประจำตำแหน่งของชิลฮาวีก็มาจอดเทียบรอรับเจ้าของคฤหาสน์ตรงไปยังทำเนียบรัฐบาล ตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรี
การประชุมอย่างเป็นทางการเริ่มขึ้นเมื่อประธานคือนายกรัฐมาตรีมาถึง
“ขอเชิญท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดชีแจงรายละเอียด” พลเอกโมฮัมเหม็ด จามิลรา ผู้บัญชาการทหารสูงสุดกล่าวรายงานหัวข้อการประชุมลับในวันนี้ทันที
“กระแสข่าวการขายความลับให้กับฝ่ายตรงกันข้ามของนายทหารหัวหน้าหน่วยข่าวกรองพันเอกโมฮัมเหม็ด ฟารุต อัชชิราน์ ทำให้ต้องเรียกประชุมลับในครั้งนี้ หลังการรับทราบข้อมูลเรายังไม่สามารถติดต่อ พันเอกฟารุตได้เลยจนบัดนี้ แต่มีกระแสข่าวจากสายหนึ่งแจ้งมาว่าพันเอกฟารุตกำลังถูกตามล่าจากประเทศที่รับซื้อข่าว เป็นการหักหลัง”
“กระแสข่าวเข้ามาได้อย่างไร แหล่งที่มาเชื่อถือได้หรือไม่” เป็นคำถามที่นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้น
“กระแสข่าวเรื่องการขายข่าวจากการวิเคราะห์เห็นว่ามีความน่าเชื่อถือน้อยมาก แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า พันเอกฟารุตได้หายไป และมีข่าวถูกไล่ล่าจากประเทศฝั่งตรงข้าม จึงต้องเข้ามาหารือในการประชุมด่วนในครั้งนี้”
“มีท่านใดจะเสนอข้อคิดเห็น”
“ข้าพเจ้าคิดว่าเมื่อการข่าววิเคราะห์ออกมาแล้วว่ามีความน่าเชื่อถือน้อยมากและพันเอกฟารุตกำลังตกอยู่ในอันตราย เราควรหาทางให้ความช่วยเหลือเขา” พลตรีโมฮัมเหม็ด ชิลฮาวี เสนอความช่วยเหลือในที่ประชุม
การประชุมดำเนินต่อไปจนได้ข้อสรุปว่า พลตรีโมฮัมเหม็ด ชิลฮาวี ผู้บัญชาการหน่วยรบทะเลทรายจะเป็นผู้ออกติดตามให้ความช่วยเหลือพันเอกฟารุต การประชุมเสร็จสิ้นลง พลตรีโมฮัมเหม็ด ชิลฮาวี เดินออกจากที่ประชุมมาพร้อมกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด สีหน้าของเขาดูหงุดหงิดเสียจนคนที่เดินข้างๆ ต้องเอ่ยปากถาม
“ท่านมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าท่านผู้บัญชาการกองทัพ”
“ไม่มีอะไรครับท่าน เพียงแต่เป็นกังวลและห่วงใยพันเอกฟารุต กระผมจะให้ทหารของกระผมออกติดตามช่วยเหลือโดยด่วน ผิดหวังว่าคนที่เป็นถึงหัวหน้าหน่อยข่าวกรองถูกตามล่านี่มันหยามน้ำหน้ารัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงชัดๆ เลย”
“ในส่วนตัวท่านคิดอย่างไร” ผู้มีตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชาเชิงสนทนาทั่วไปดูเหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบที่แท้จริง
“กระผมคิดว่ามันน่าจะเกิดจากเรื่องการเมืองและความมั่นคง ซึ่งแน่นอนว่าหน่วยข่าวกรองเป็นหน่วยงานที่สำคัญอย่างยิ่งการจัดการกับหัวหน้าหน่วยข่าวนอกจากจะทำให้การข่าวช้าไปได้ระยะหนึ่ง ตามที่ได้เสนอไปแล้วนั่นแหละครับ” ชิลฮาวีอธิบายความให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพได้รับทราบเพียงเท่านั้น
“ตอนนี้พอทราบข่าวของพันเอก ฟารุต บ้างหรือเปล่า”
“ยังไม่มีความคืบหน้าขอรับการข่าวยังไม่มีรายงานเพิ่มเติม”
“แล้วเรื่องที่มีการยิงกันตายกลางทะเลทราย สรุปว่าเป็นพวกไหน”
“ตรวจสอบแล้วเป็นกลุ่มโจรทะเลทรายที่เข้ามาไล่ล่าศัตรู เรายังไม่ทราบว่าศัตรูของพวกมันคือใคร ไม่เกี่ยวกับพันเอกฟารุต” พลตรีโมฮัมเหม็ด ชิลฮาวี ให้ข้อมูล การสนทนาสิ้นสุดลงเมื่อมีทหารเข้ามารายงานต่อผู้บัญชาการเหล่าทัพว่า ท่านนายกรัฐมนตรีเชิญเข้าพบ
“เชิญตามสบายครับท่านผมจะกลับไปที่ทำงานมีงานด่วนที่ต้องสะสางอยู่หลายเรื่อง” ทั้งสองจึงแยกย้ายกันไปทำภารกิจของตัวเอง
รถประจำตำแหน่งของชิลฮาวีหลุดออกมาจากย่านชุมชนมาจอดยังสวนสาธารณแห่งหนึ่งนอกกรุง เขาสั่งพลขับให้กลับ
ไปก่อนจะเรียกมารับภายหลัง เมื่อรถประจำตำแหน่งลับตาไปแล้วชิลฮาวีเดินทอดน่องเล่นไปตามทางเดิน ถัดออกไปจากสวน
สาธารณมี ประตูรั้วเตี้ยๆ ที่สามารถเปิดออกไปนอกสวน ชิลฮาวีเปิดมันออกไปและเดินไปตามทางที่ปูด้วยหินทราย ไม่กี่ร้อยเมตรก็
เดินไปถึงตึกสี่ชั้นที่สร้างเรียงรายกันหลายตึก เขาเดินลับหายไปในมุมหนึ่งของตึก เพียงไม่นานก็กลับออกมา แล้วเดินย้อนกลับ
มายังสวนสาธารณะก่อนที่จะเรียกพลขับให้กลับมารับแล้วเดินทางกลับคฤหาสน์แล้วเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องทำงานคนเดียวตลอดบ่ายวันนี้
รถยนต์คันเก่าของทหารรักษาพระองค์ที่เข้าปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยของคฤหาสน์ส่วนตัวของเจ้าหญิงเรเนีย
ค่อยๆ เคลื่อนตัวมาจอดบริเวณโรงจอดรถเช่นทุกวันที่ผ่านมา เพียงแต่ในวันนี้มีผู้โดยสารกิตติมศักดิ์ สองคน ที่ขออาศัยมาเพื่อเข้า
เฝ้าเจ้าหญิงเรเนียเป็นการส่วนตัวตามพระบัญชา พันโทโมฮัมเหม็ด อารีย์ โกมาเรย์ และนายทหารคนสนิท ถูกเรียกตัวอย่างลับๆ
ให้เข้าพบเจ้าหญิง ณ คฤหาสน์แห่งนี้ การเดินทางเพื่อเข้าพบเจ้าหญิงในครั้งนี้รับสั่งให้เป็นความลับสุดยอดของหัวหน้าทหารราชองค์รักษ์เพื่อนรักของ พันเอกโมฮัมเหม็ด ฟารุต อัชชิราน์
ห้องนั่งเล่นเป็นห้องที่เจ้าหญิงเปิดรับแขกผู้มาเยือนตามคำเชิญ พันโทโมฮัมเหม็ด อารีย์ โกมาเรย์และทหารคนสนิทถูกพามานั่งรอที่ห้องนั่งเล่นเพียงไม่กี่นาทีเจ้าหญิงเรเนียก็เสด็จมาถึง
“ถวายบังคมองค์หญิง” ทั้งสองลุกขึ้นทำความเคารพพร้อมกันอย่างสวยงามสมกับการเป็นทหารองครักษ์ที่ถูกฝึกมาอย่างดี ท่าทีที่สง่า มีระเบียบและพร้อมเพรียงทำให้เจ้าหญิงถึงกับเอ่ยปากชม
“ยินดีต้อนรับท่านหัวหน้าราชองค์รักษ์ ท่านทั้งสองสง่างามและมีระเบียบเหมาะสมกับตำแหน่งที่ได้รับยิ่งนัก”
“ขอบพระทัยที่องค์หญิงทรงเมตตา” พันโทโมฮัมเหม็ด อารีย์ โกมาร์ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม
“เชิญนั่งตามสบาย อยู่ที่นี่เราไม่ถือยศถืออย่าง อย่าได้กังวลอะไรเลยนะ ดื่มน้ำชากับเราสักมื้อเรามีเรื่องที่จะหารือท่านทั้งสอง” ไม่รอฟังคำตอบเสียงปรบมือสองครั้งเรียกชายวัยกลางคนในชุดพื้นเมืองเต็มยศให้เข้ามาเสิร์ฟน้ำชาและขนมหวานซึ่งเป็นของว่างยามบ่ายสำหรับแขก
“องค์หญิงมีมีพระประสงค์จะให้กระหม่อมรับใช้เรื่องใดหรือขอรับ” พันโทโมฮัมเหม็ด อารีย์ โกมาเรย์ เริ่มการสนทนาก่อน
“ท่านพอจะทราบหรือไม่ว่าทำไม พันเอกฟารุตจึงถูกตามฆ่า” องค์หญิงเริ่มการสนทนาในสิ่งที่ต้องการทันที
“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ”
“ท่านทราบข้อเท็จจริงเพียงใด”
“กระหม่อมคงทราบพอๆ กับองค์หญิง แต่ถ้าถามว่าข่าวที่ทราบมาคิดอย่างไร กระหม่อมเชื่อมั่นว่าไม่เป็นจริงตามข่าวแน่นอน พันเอกฟารุตเป็นนายทหารรุ่นพี่ของกระหม่อมที่กระหม่อมให้ความรักและนับถือ” อารีย์กล่าวนำ
“ในการทำงานทุกคนให้ความรักและไว้ใจท่านมาก และในช่วงนี้เรื่องของความมั่นคงของประเทศเรานั้นแทบจะเรียกได้ว่ามั่นคงสูงสุด”
“ถ้าอย่างนั้นท่านเชื่อตามที่ที่ประชุมสรุปใช่หรือไม่” องค์หญิงรุกเพื่อเจาะข้อมูลอย่างรวดเร็ว
“กระหม่อมมั่นใจอย่างนั้น เพียงแต่สงสัยว่าถ้าท่านฟารุตไม่ได้ขายข่าวตามที่ข้าพเจ้าและการวิเคาระห์ข่าวเชื่อมั่น พันเอกฟารุตก็ไม่น่าจะถูกตามล่าจากฝ่ายตรงข้าม ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าใครคือผู้ตามล่า” อารีย์ รายงานด้วยความมั่นใจ
“นานแค่ไหนจึงจะได้ข้อมูลเพื่อช่วยเขาได้”
“กระหม่อมยังไม่สามารถกำหนดเวลาได้ขอรับ กระหม่อมพยายามติดต่อพันเอกโมฮัมเหม็ด ฟารุต อัชชิราน์ เพื่อช่วยเหลืออยู่แต่ยังไม่ได้รับข้อมูลตอบกลับ กระหม่อมยังคงให้การข่าวติดตามอยู่ขอรับ”
“แม้ว่าทางผู้บัญชาการหน่อยรบทะเลทรายจะอาสาติดตามช่วยเหลือพันเอกฟารุตแล้วก็ตาม แต่อย่าได้นิ่งนอนใจ เราอยากให้ท่านช่วยติดตามอีกแรงหนึ่ง คนอย่างฟารุตคงไม่พลาดท่าง่ายๆ เราคงต้องรอการติดต่อกลับมาของเขา เราฝากความหวังในการแก้ปัญหาครั้งนี้ไว้ที่ท่านนะอารีย์”
“กระหม่อมทราบ และจะเอาชีวิตเป็นเดิมพันขอรับ”
“เราเองต้องขอขอบคุณที่ท่านรับปากเช่นนั้น เมื่อใดที่ได้ข่าวฟารุตช่วยบอกเราด้วย เราเป็นห่วงเขา สิ่งไหนที่จะช่วยเขา
ได้ อย่าได้ละเลย ถ้าเหลือบ่ากว่าแรงบอกเราได้ สิ่งไหนที่เราช่วยได้เราจะช่วยทันที” พันโทอารีย์ โกมาเรย์ อยู่สนทนากับองค์หญิง
เรเนียจนกระทั่งถึงเวลาเปลี่ยนเวรของทหารยามเขาจึงได้กลับออกมาพร้อมกับรถของทหารใต้บังคับบัญชาคนเดิม
ความคิดเห็น