คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2
บทที่ 2
แท็กซี่คันที่เพิ่งส่งวฏิรดาลงที่โรงแรม วิ่งกลับมายังเส้นทางเดิมตามที่ โมฮัมเหม็ด ฟารุต อัชชิราน์ ผู้โดยสารสั่ง เมื่อมาถึง
จุดที่เขาถูกไล่ล่า แว่นกันแดดอาจจะดูไม่เหมาะสมนักกับบรรยากาศในช่วงเช้าตรู่ แต่เขาก็หยิบมันขึ้นมาสวม เพื่ออำพลางดวงตา
เขาสั่งให้คนขับรถชะลอความเร็ว แล้วจึงกวาดสายตามองสำรวจพื้นที่รอบๆ ที่เกิดเหตุ รถตำรวจยังเปิดไซเรนดังกังวานไปทั่วท้อง
ถนน ตำรวจในเครื่องแบบเข้าเคลียร์พื้นที่ ฟารุตไม่รอติดตามการทำงานของตำรวจ เขาส่งเงินให้คนขับรถไปห้าร้อยดีน่าร์แล้วสั่ง
ให้ออกรถมุ่งหน้าออกจากกรุงชีร่าห์ดัมไปทางทิศเหนือตามเส้นทางหลวง ไม่ถึงยี่สิบนาทีรถก็วิ่งมาถึงทางแยก เขาสั่งให้คนขับ
เลี้ยวขวาเข้าไปตามทางลูกรังระยะทางประมาณ ห้ากิโลเมตรก็มาถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ ทันทีที่รถวิ่งมาถึงประตูก็เปิดออกโดย
อัตโนมัติ เขาก้าวลงจากรถด้วยท่วงท่าที่สง่าแล้วกล่าวขอบคุณแท็กซี่เป็นอันว่าเขาต้องการสิ้นสุดการรับบริการเพียงเท่านั้น แท็กซี่
คันดังกล่าวยิ้มให้ด้วยความขอบคุณก่อนจะเข้าเกียร์ทยานออกไปจากประตูคฤหาสน์
ฟารุตเดินเข้ามายังคฤหาสน์ด้วยความเร่งรีบ ชายวัยกลางคนๆ คนหนึ่งออกมาต้อนรับเขาด้วยท่าทางที่นอบน้อม แล้วพาเขาเดินไปยังห้องรับแขก
“เชิญนั่งก่อนท่านฟารุต” เสียงของสตรีที่ทรงอำนาจสั่ง ฟารุตเลื่อนเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามเธอออกทำความเคารพก่อนจะนั่งลงตามคำเชิญของเจ้าของคฤหาสน์
“มีอะไรด่วนหรือถึงมาหาเราแต่เช้า” เป็นคำถามจากเจ้าของบ้าน
“กระหม่อมมีเรื่องเดือดร้อน กระหม่อมถูกตามล่า”
“ใครกันทำเช่นนั้น”
“กระหม่อมก็ยังไม่มีข้อมูลตอนนี้กระหม่อมให้ลูกน้องตามข่าวอยู่”
“ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อย”
“สองวันมานี่กระหม่อมถูกติดตาม กลุ่มมือปืนไล่ล่าจนกระหม่อมต้องหนีไปซ่อนตัวอยู่หลายที่ แต่ดูเหมือนศัตรูจะมีหูตากว้างขวาง กระหม่อมหลบซ่อนอยู่ที่ใด มันก็สามารถตามได้”
“ท่านมีศัตรูที่ไหนบ้างลองทบทวนดู การข่าวของท่านไม่รู้เบาะแสเลยหรือว่าเป็นฝีมือใคร”
“คนของกระหม่อมตามอยู่ขอรับแต่ยังไม่ได้รับความกระจ่าง”
เสียงโทรศัพท์ของฟารุตดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนา เขากล่าวขอโทษและรับทันที การพูดคุยสั้นๆ หลังวางหูเขาจึงรายงานกับคนที่อยู่เบื้องหน้า
“คนของกระหม่อมแจ้งว่าเป็นฝีมือของนายทหารระดับสูงของกองทัพ ตอนนี้กระหม่อมถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนขายชาติ โดยการขายข้อมูลสำคัญของกองทัพ แต่ยังไม่ยืนยันชัดเจนว่าใครเป็นคนจัดการข่าวนี้”
“ท่านจะทำอย่างไรต่อไปอย่างไร ศัตรูอยู่ที่มืด เราอยู่ที่สว่างมันทำให้ต้องระวังตัวทุกฝีก้าว”
“กระหม่อมคงต้องระวังตัวอย่างหนักในช่วงนี้ จึงได้เข้ามาเรียนปรึกษาองค์หญิงกระหม่อมไว้ใจใครไม่ได้เลยนอกจากพระองค์”
“ขอบใจที่ท่านเห็นเราเป็นที่พึงยามยาก ท่านจะให้เราช่วยอะไรบอกมาเถิดเราช่วยท่านเต็มที่อยู่แล้วท่านใช่ใครอื่นเรารักท่านแค่ไหนท่านย่อมรู้ดี”
“ขอรับกระหม่อม กระหม่อมซาบซึ้งในพระคุณยิ่งนัก ถ้าไม่ตายกระหม่อมคงมีโอกาสได้แทนคุณบ้าง”
“อะไรจะตาย คนเก่งอย่างท่านจะตายง่ายๆ ได้อย่างไร”
“กระหม่อมอยากทราบว่า ทางกองบัญชาการสูงสุดว่าอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ขอรับ”
“เราขอเช็คข่าวสักครู่” องค์หญิงเรนิย่ากดโทรศัพท์ เพื่อเช็คข่าว สีหน้าขององค์หญิงวิตกกังวลไม่น้อยในขณะที่พูดคุยกับคนปลายสาย
“ทางโน้นแจ้งเรามาว่า มีกระแสข่าวว่าท่านขายข่าวให้กับประเทศฝั่งตรงข้าม คนให้ข่าวยังไม่มีหลักฐาน แน่ชัด ทางโน้นปฏิเสธว่าไม่ได้ส่งทหารไล่ล่าท่าน แต่กำลังคิดว่าท่านถูกตามฆ่าจากประเทศที่ท่านขายข่าว”
“เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่ นี่กระหม่อมหนีตายโดยไม่ทราบว่าศัตรูที่แท้จริงคือใคร ทางการเองแม้จะปฏิเสธการตามล่ากระหม่อมแต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้เพราะกระหม่อมกลายเป็นบุคคลที่อยู่ในข่ายสงสัยขายชาติไปเสียอีก”
“เราเชื่อว่า นายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายคนไม่ได้สงสัยท่าน แต่คงยังหาหลักฐานมาแก้ต่างท่านไม่ได้เท่านั้น”
“ท่านมีอะไรให้เราช่วยขอให้แจ้งมาทันที และขอให้ท่านรู้ไว้ว่าไม่ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เราไว้ใจท่านมากที่สุดและขอให้เชื่อมั่นว่าเราจะจัดการแก้ปัญหาทางนี้ให้ท่านอย่างดีที่สุด” เจ้าของคฤหาสน์รับสั่งเหมือนเป็นคำมั่นสัญญา
“กระหม่อมขอบพระทัยองค์หญิงเป็นที่สุด”
“กระหม่อมคงจะอยู่ได้ไม่นาน ตอนนี้พวกมันคงตามหากระหม่อมแทบพลิกแผ่นดิน ที่สำคัญกระหม่อมรอดชีวิตมาได้ในวันนี้เพราะผู้หญิงไทยคนหนึ่งซึ่งกระหม่อมได้ประสานงานกับทีมของกระหม่อมให้สืบมาว่าเธอเป็นใคร และที่สำคัญกระหม่อมเชื่อว่าเธอตกอยู่ในอันตราย กระหม่อมจะต้องจัดการเรื่องนี้ก่อนขอรับ”
“ท่านจะทำอย่างไรต่อ”
“สิ่งแรกกระหม่อมต้องหลบซ่อนก่อน ให้ทางคนของกระหม่อมจัดการหาข่าวให้ชัดเจนว่า ใครทำ และทำทำไม ในตอนนี้กระหม่อมคงจะต้องกลับไปจัดการเรื่องความปลอดภัยของสาวไทยคนนั้นก่อนขอรับ กระหม่อมไม่ต้องการให้เธอต้องมาเสี่ยงชีวิตเพราะการช่วยชีวิตของกระหม่อม”
เจ้าของคฤหาสน์มองหน้าแขกผู้มาเยือนแล้วยิ้ม
“เรารู้จักท่านมากี่ปีแล้ว” คำถามที่ส่งมาทำเอาคนถูกถามงงงวย
“กระหม่อมไม่ได้นับจำนวนปี แต่ตอบได้ว่าตั้งแต่กระหม่อมจำความได้เป็นต้นมาขอรับ”
“นั่นซินะ เราเพิ่งจะเห็นท่านห่วงใยหญิงสาวออกนอกหน้านอกตาก็วันนี้ เธอมีอะไรดีเป็นพิเศษหรือเปล่า” คำถามที่ยิงตรงทำให้ฟารุตอึกอัก เพราะเขาเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึกห่วงใยเธอขนาดนั้น
“กระหม่อมคิดว่าต่อให้เป็นชายกระหม่อมก็คงต้องห่วงใย เพราะเขามีพระคุณกับชีวิตกระหม่อม” เขาตอบไปตามสถานการณ์ที่เป็นจริงคนได้รับคำตอบยิ้มให้ฟารุต แม้ยิ้มนั้นจะไม่แน่ใจในคำตอบแต่ก็ต้องยอมรับตามคำอธิบายนั้น
“ท่านต้องการอะไรแจ้งมาทางคนของเรา เราจะจัดหาให้”
“ขอรับ กระหม่อมคงจะรบกวนรถของพระองค์สักคันเพื่อใช้ในการหนีไปก่อน อย่างอื่นคงไม่มีอะไร พ่อของกระหม่อมคงจะช่วยได้ในเวลาต่อไปจากนี้”
“อยากได้รถแบบไหน”
“ลุยทะเลทรายได้ ดีที่สุด วิ่งบนทางราบดีที่สุด ขอรับ” บทสนทนาสุดท้ายก่อนที่ทั้งสองจะลุกขึ้นหายไปในโรงรถของคฤหาสน์ เพียงไม่นานรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่ถูกเปลี่ยนป้ายทะเบียนเรียบร้อยก็เคลื่อนตัวออกจากคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว
วฏิรดานอนลืมตาอยู่บนเตียง สมองของเธอคิดประมวลภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้จะอ่อนเพลียแค่ไหนแต่ประสาทที่ตึงเครียดจากความตื่นเต้นที่เพิ่งผ่านมาทำให้เธอไม่สามารถข่มตาให้หลับลงไปได้ หันไปมองเพื่อนร่วมห้องเสียงหายใจสม่ำเสมอของสาวิตรีทำให้อดอิจฉาไม่ได้ เธอถอนหายใจนอนพลิกไปพลิกมาบนเตียง อยู่พักใหญ่ เสียงโทรศัพท์หัวเตียงก็ดังขึ้น เธอยกหูแล้วกรอกคำพูดทักทายเป็นภาษาอังกฤษ
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีค่ะ เรียนสายคุณวฏิรดาค่ะ”
“วฏิรดาพูดค่ะ” เธอตอบกลับไปยังประชาสัมพันธ์โรงแรม
“คณะของท่านให้โทรมาแจ้งว่ารออยู่ที่ห้องอาหาร” เสียงปลายสายตอบกลับมา
“โอ!!!! ขอบคุณค่ะ บอกพวกเขาว่าเราจะไปเดี๋ยวนี้” วฏิรดาลืมไปเสียสนิทว่าวันนี้หัวหน้าคณะมีโปรแกรมพาท่องเที่ยวเมืองเก่าชีรานเนียน ก่อนที่จะให้เวลาพักและเตรียมตัวเข้าแข่งขันในอีกสองวันข้างหน้า เธอหันไปมองนักยิงปืนรุ่นน้อง ยังคงหลับใหลไม่สนใจเวลานัดเช่นเดียวกัน เธอจึงลุกขึ้นไปปลุก
“น้องสา คณะของเรารออยู่ที่ห้องอาหารของโรงแรมแล้ว พนักงานโทรมาปลุก น้องสาอาบน้ำได้เลยนะ พี่รดาอาบเรียบร้อยแล้ว” สาวิตรีขยี้ตาด้วยความมึนงง
“นี่สาหลับไม่รู้ตัวเลยหรือนี่ สงสัยเพราะฤทธิ์ยาแก้เมาแน่เลยค่ะ พี่รดากลับมาถึงเมื่อไหร่สาไม่รู้เรื่องเลย”
“มาถึงสักพักค่ะ กะว่าจะหลับสักงีบนอนคิดอะไรเพลินไม่ทันหลับเขาโทรมาเรียกเสียก่อน ยังอิจฉาน้องสาจะแย่ที่หลับสบาย” เธอเลือกที่จะไม่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เพื่อนร่วมห้องฟัง
สาวิตรีขอตัวไปอาบน้ำอย่างเร่งรีบ วฏิรดาเองหันไปค้นกระเป๋าเสื้อผ้าเลือกเอาชุดที่ทะมัดทะแมงพร้อมลุยในการเดินทางสู่มหานครชีรานเนียนที่เธออยากเห็นเหลือเกิน พ่อเคยส่งอีเมล์ถึงเธอเมื่อครั้งที่พ่อเข้ามาท่องเที่ยวในชีรานเนียน ภาพถ่ายที่พ่อส่งไปให้ดู ประทับอยู่ในความทรงจำของเธอ วันนี้เธอจึงตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้เห็นสภาพที่แท้จริงของเมืองโบราณอายุกว่าสองพันปี
วฏิรดาเก็บเอกสารที่สำคัญทั้งหมดรวมรวมไว้ในเป้คู่กาย ไม่ลืมที่จะล้างเอาปืนพกที่เพิ่งได้รับมาจากชายแปลกหน้ายัดใส่กระเป๋าเสื้อคลุมเอาไว้ เวลานี้ยังไม่สาย อากาศของที่นี่ยังคงหนาวเย็น อุณหภูมิน่าจะอยู่ที่สองถึงสาม องศาเซลเซียส ดีนะที่พ่อเล่าเรื่องราวของที่นี่ให้ฟังตลอด ถ้าไม่มีข้อมูลจากพ่อ เมืองแห่งทะเลทรายในสายตาของเธอคงจะยังเป็นเมืองที่ร้อนและแห้งแล้ง จนอาจจะไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ากันหนาวมาแน่ๆ
นอกเหนือจากหมวกแล้วผ้าพันคอสีดำเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เธอไม่ลืมหยิบไปด้วย พ่อเคยบอกว่า ทะเลทรายบางเวลามันสวยงามจับใจ แต่เวลาที่มันจะโหดร้ายก็โหดได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทรายเม็ดเล็กๆ สามารถทำลายใบหน้าและดวงตาของเราได้ ผ้าพันคอผืนใหญ่จึงถูกเตรียมเอาไว้ป้องกันตามคำบอกเล่าของพ่อ
ทุกอย่างของที่นี่เหมือนคำบอกเล่าของพ่อ ตั้งแต่เหยียบย่ำลงบนผืนแผ่นดินนี้คำว่าพ่อติดอยู่ในความคิดตลอดเวลา น้ำตาเริ่มเอ่อมาคลอเบ้า ก่อนที่มันจะไหล่เป็นทางลงมาที่แก้ม วฏิรดาค่อยๆ ยกผ้าเช็ดหน้าแตะที่หัวตาเบาๆ ถ้าวันนี้พ่อยังอยู่ พ่อคงไม่ปล่อยให้เธอเดินทางมาดินแดนแห่งนี้คนเดียวอย่างแน่นอน เช่นเดียวกันถ้าวันนี้พ่อรู้ว่าเธอเดินทางมาที่นี่แล้วมันทำให้เธออ่อนแอพ่อคงไม่มีความสุขน้ำตาที่กำลังจะไหลซึมหายไปกับผ้าเช็ดหน้า ชีร่าห์เป็นดินแดนที่พ่อรัก และมาบ่อยจนเกือบจะเป็นอีกบ้านหนึ่งของตัวเอง เธอหยิบกระเป๋าเงินใบย่อมออกมาสำรวจ รูปพ่อหลายใบที่เตรียมมายังคงสอดอยู่ในช่องกระเป๋า เธอยิ้มให้คนในรูปนิ้วที่อ่อนนุ่มค่อยๆ สัมผัสลงบนใบหน้าของชายในรูปอย่างทนุถนอม เสียงพึมพำเบาๆ ลอดออกมาจากลำคอ
‘พ่อจ๋า วันนี้จะเป็นวันแรกที่รดาจะเริ่มออกตามหาพ่อ รดามีความหวังว่าจะได้เจอพ่อไม่วันใดก็วันหนึ่ง เพราะรดาและแม่เชื่อว่าพ่อยังมีชีวิต เราจะต้องได้เจอกันอีก รดารักพ่อที่สุด’เธอยกรูปของพ่อขึ้นจุมพิตแผ่วเบาแล้วสอดไว้ในตำแหน่งเดิม สาวิตรีใช้เวลาในการอาบน้ำแต่งตัวไม่นานทั้งสองก็ออกมาจากห้องพักตรงไปยังห้องอาหารโรงแรมทันที
“ขอโทษค่ะโค๊ช รดาช้าอีกตามเคย” เธอรีบออกตัวด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้ผู้ใหญ่รอ
“ไม่เป็นไรครับคุณรดา ที่จริงยังไม่ถึงเวลานัดแต่ผมกลัวคุณรดากันคุณสาไม่ตื่นเลยให้พนักงานโรงแรมปลุก”
“งั้นรดาจัดการอาหารเช้าก่อนนะคะเดี๋ยวโค๊ชจะรอนาน” เธอขอตัวเดินไปตักอาหารที่ทางโรมแรมจัดเอาไว้ให้ทันที เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักท่องเที่ยวว่า ถ้าวันไหนจะไปเยี่ยมชมเมืองโบราณชีรานเนียนจะต้องทานอาหารตุนกำลังเอาไว้ เพราะเส้นทางที่จะเข้าไปไม่มีรถต้องเดินเท้าหรือใช้บริการแท็กซี่สัตว์ ไม่ว่าจะเป็นอูฐ ลา หรือม้า แล้วแต่ว่าจะเลือกใช้บริการ วฏิรดาจึงจัดการอาหารเช้ามื้อแรกของโรมแรมเสียอิ่มแปล้ ก่อนที่จะเคลื่อนขบวนด้วยรถบริการที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้
เมื่อมาถึงทางเข้านครชีรานเนียน ความหนาวเหน็บในยามเช้าคลายลงไปแสงแดดที่ร้อนระอุเข้ามาแทนที่ในเวลาอันรวดเร็ว วฏิรดาก้าวลงจากรถ ไอ้ร้อนของเปลวแดด วาบมาโดนใบหน้าจนต้องล้วงเอาผ้าพันคอที่เตรียมมาใช้งานในทันที
บนเส้นทางไปสู่ประตูแห่งชีรานเนียน วันนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติคึกคักพอสมควร รถท่องเที่ยวหลายคันจอดเรียงรายให้ผู้โดยสารลงเพื่อเดินทางต่อไปตามเส้นทางลูกรัง รถยนต์คันหนึ่งแล่นด้วยความเร็วแล้วมาจอดใกล้ๆ กับรถคณะของวฏิรดา ชายในชุดกานดูราสีขาวกับแว่นกันแดดเดินลงจากรถด้วยท่าทีเร่งรีบผ้าโพกศีรษะที่ปล่อยชายยาวมาถึงหลังถูกกระหวัดขึ้นไปพันรอบใบหน้าเหมือนหนึ่งต้องการปิดบัง เขาเดินตามหลังวฏิรดามาที่จุดเช่าม้า และรอจนเธอเลือกม้าตัวที่ต้องการแล้วเขาจึงส่งภาษาท้องถิ่นกับเด็กเลี้ยงม้า จากนั้นม้าสีดำรูปทรงสง่างามตัวหนึ่งก็ถูกเขาเลือก วฏิรดาจ้องมองเขารู้สึกคุ้นๆ หน้า แต่ชายคนนั้นหาได้ให้ความสนใจเธอไม่ เขาจูงม้าที่เช่าเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง วฏิรดาจึงหมดความสนใจลงไปทันที เพื่อนร่วมทีมส่วนใหญ่อาศัยรถเทียมม้าที่นั่งสบายๆ ไม่ต้องบังคับม้าเอง แต่วฏิรดาเลือกที่จะใช้ม้า ครั้งแรกเธอคิดจะเลือกใช้อูฐเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศทะเลทราย แต่เส้นทางที่จะเดินไปไกด์ให้คำแนะนำว่ามันยังไม่ใช่ทะเลทรายสามารถใช้ม้าหรือลาได้ เธอจึงเปลี่ยนใจหันมาเลือกม้าเป็นพาหนะแทน
เพียงไม่นานก็มาถึงทางเข้าเมืองโบราณชีรานเนียน เธอกระโดดลงจากหลังม้าแล้วจ่ายค่าเช่าให้กับเจ้าของพร้อมกำชับว่า บ่ายสองโมงเธอจะใช้บริการม้าตัวเดิมนี้อีกให้มารอรับ เด็กเลี้ยงม้าตอบรับด้วยท่าทางที่ดีใจที่ได้ลูกค้าขาประจำไปกลับ
“มารวมกันทางนี้ก่อนดีกว่า” โค๊ชสมชาติเริ่มทำหน้าที่ผู้นำร่วมกับไกด์
“ไกด์จะเป็นคนพาเดินชม ใครอยากจะรับฟังการบรรยายตามไกด์ไปได้ แต่ถ้าใครอยากจะดูด้วยตัวเองก็ตามสบายเลยนะครับ วันนี้เราจะใช้เวลาชมที่นี่ตลอดทั้งวัน บ่ายสองโมงเจอกลับกันที่ทางเข้านะครับ” โค๊ชสมชาติเป็นคนจัดแจงวางแผน
“แหมโค๊ชเริ่มทำหน้าที่ตั้งแต่ทริปเที่ยวทริปแรกเลยนะคะ” วฏิรดาเย้าเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนร่วมทีมได้
“แหงอยู่แล้วคุณรดา เดี๋ยวทีมงานจะหาว่าโค๊ชบกพร่องในหน้าที่” โค๊ชสมชาติรับมุกที่โยนไปทันที
“รดาจะขอเดินชมเองนะคะ มีอะไรน่าสนใจหลายอย่างบางทีอยากหยุดชมนานๆ เดี๋ยวจะทำให้คนอื่นต้องเสียเวลามารออีก”
“ตามสบายเลยครับคุณรดา แล้วค่อยมาเจอกันตามเวลาก็แล้วกันครับ งั้นเราแยกย้ายกันเลยนะใครใคร่ไปไหนกับใครเชิญตามสบายแล้วเจอกันบ่ายสองโมง ผมจะไปแอบมองสาวๆ ชาวพื้นเมืองที่นี่เสียหน่อยว่าสวยสู้คนไทยได้หรือไม่” วฏิรดาทำท่าจะแยกจากกลุ่มในทันทีแต่สาวิตรีเรียกเอาไว้
“พี่รดาค่ะ ไปกับสาและคุณดิลกมั๊ยค่ะจะได้เดินกันเป็นกลุ่มไม่เหงา” สาวิตรีแสดงน้ำใจหลังจากที่ดิลกชวนให้เธอเดินไปกับเขา วฏิรดารู้ว่าดิลกนักยิงปืนชายที่มีหน้าตาหล่อเหลาพอใช้ได้ กำลังทำคะแนนในการจีบสาวิตรีอยู่
“เชิญน้องสากับคุณดิลกตามสบายค่ะ พอดีพี่รดาอยากสำรวจทุกที่ให้นานๆ เดี๋ยวทั้งสองคนจะเบื่อเสียก่อนพี่รดาไปคนเดียวดีกว่า เดี๋ยวจะหาเด็กที่เลี้ยงอูฐเลี้ยงม้าแถวนี้เดินเป็นไกด์นำทาง” เธอรีบขอตัวเพราะไม่อยากเป็นก้างขวางคอทั้งสอง และที่สำคัญเธอตั้งใจจะเริ่มหาข้อมูลของพ่อทันทีที่มีโอกาส
ทุกคนมุ่งหน้าเดินเข้าไปทางซอกหินที่แคบ ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวที่จะพาผู้คนไปเยือนมหานครในอดีต หินที่แยกออกเป็นทางเดินนั้นถูกสันสร้างด้วยน้ำมือของธรรมชาติ ที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกทำให้เกิดรอยแยกของหิน แต่ชาวนาบาเชีย ผู้ก่อสร้างมหานครชีรานเนียนเมื่อสองพันปีก่อนเลือกใช้ซอกหินนี้เป็นเส้นทางที่จะนำพาผู้คนไปสู่นครชีรานเนียนเพียงเส้นทางเดียว
วฏิรดารู้สึกเหมือนมีใครคนหนึ่งเดินตามเธอมาห่างๆ ครั้งพอหันไปมองรอบๆ ตัวเองผู้คนที่เดินกันเข้ามาตามทางไม่มีใครสนใจใครต่างคนต่างเดินชมความงามของภูผาที่สูงตระง่านด้วยความตื่นตาตื่นใจ เดินต่อไปได้สักพักความรู้สึกที่จะเรียกว่าสัมผัสที่หกก็ไม่น่าจะผิด ทำให้รู้สึกว่ามีสายตาจ้องมองเธออยู่ วฏิรดารู้สึกหนาวยะเยือก จนต้องรีบพาตัวเองเข้าไปอยู่ใกล้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวคนอื่นจึงค่อยทำให้รู้สึกอุ่นใจ
เดินมาได้กิโลเมตรกว่าๆ ก็เห็นแสงสว่างด้านหน้าที่เป็นทางออกจากซอกหน้าฝา แสงแดดที่ส่องลอดเข้ามาทำให้วฏิรดาหรี่ตาลง ภาพที่มองลอดผ่านช่อหินออกไปเป็นภาพแรกที่เธอจะไม่มีวันลืมในความงามของชีรานเนียน หน้าผาที่เป็นหินทรายสีชมพู ถูกสีแดงของแสงแดดสาดส่อง ทำให้มองเห็นความงามของหน้าผาที่สลักให้เป็นวิหาร ที่สูงตระหง่าน วฏิรดาจ้องมองความงามผ่านซอกหินอยู่ชั่วครู่เธอค่อยๆ เดินเข้าไปหาหน้าผาที่สวยงามแห่งนั้นอย่างลืมตัว
“นี่ต้องเป็น อัลคัซเชียน มหาวิหารฝีมือการสลักหินของชาวนาบาเชียแน่ๆ สวยงามเหลือเกิน ไม่สงสัยเลยว่าทำไมพ่อถึงหลงเมืองโบราณของที่นี่อย่างยิ่ง มันสวยงามและน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก” เธอพึมพำกับตัวเอง ขณะที่สายตายังจับจ้องไปยังวิหารอันยิ่งใหญ่ด้านหน้า ยังไม่ทันที่จะก้าวเข้าไปชมให้เต็มตา เธอก็เซถลาไปด้วยแรงกระแทกของชายคนหนึ่งที่วิ่งมาด้วยความเร็ว เสียงโหวกแหวกโวยวายเหมือนหนึ่งสั่งให้ไล่จับชายคนที่ชนวฏิรดาตามมาติดๆ
วฏิรดารีบพาตัวเองหลบเส้นทางวิ่งของไล่ล่า นายทหารม้านายหนึ่งเข้ามาทักทายเธอด้วยความห่วงใย
“เป็นอย่างไรบ้างครับ เจ็บที่ไหนบ้างหรือเปล่า จะให้ทางเราช่วยอะไรไหมครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่ถูกชนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ขอบคุณที่เป็นห่วง” เธอรีบขอบคุณเพื่อที่จะให้เขาเลิกสนใจเธอ ขณะที่สนทนาอยู่กับทหารม้า สายตาของเธอเหลือบไปเห็นชายในชุดพื้นเมืองคนหนึ่งแอบอยู่ในซอกหินด้านซ้ายห่างจากเธอไปประมาณร้อยเมตรแต่พอเธอหันหน้าไปมองให้เต็มตาชายคนนั้นก็หลบหายเข้าไปในซอกหิน วฏิรดารีบเดินเข้าไปในวิหารทันที
เพียงแค่ย่างก้าวเข้ามาในร่มเงาของมหาวิหารวฏิรดาก็ตะลึงกับความงามและความอลังการของมันจนลืมเรื่องตื่นเต้นที่เพิ่งผ่านมาเสียสิ้น ภาพของเมืองเก่าชีรานเนียน จากสไลด์ในห้องเรียนแม้จะดูสวยงามแค่ไหนก็เป็นเพียงภาพถ่าย แต่วันนี้ความมหัศจรรย์ของชีรานเนียนตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว นี่หรือสมบัติของเบดูอิน ชาวพื้นเมืองเร่ร่อนในศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล มันจะมีขุมทรัยพ์จริงเช่นตำนานหรือเปล่าหนอ เธอก็เริ่มเดินสำรวจความงามของห้องโถงใหญ่ที่เป็นที่เก็บพระศพอย่างตั้งใจก่อนที่จะเดินย้อนออกมาด้านนอก
เป้าหมายต่อไปคือร้านขายของที่ระลึก หินหลากสีที่ถูกนำมาร้อยเป็นเครื่องประดับถูกวางเรียงรายกับพื้นดินบ้าง วางแขวนเป็นแผงบ้าง สนนราคาก็ไม่แพงมากมาย แต่จุดสนใจของวฏิรดาไม่ได้อยู่ที่ของประดับสนใจคนขายมากกว่า เธอเดินสำรวจร้านค้าเพื่อหาคนขายที่มีอายุแล้วเข้าไปพูดคุยทักทาย
“ลุงขายของที่นี่นานหรือยัง” เป็นคำถามที่เธอถามชายชราเจ้าของแผงขายของเก่ามีทั้งมีดวงเดือน กริช ที่ด้ามของมันสลักลวดลายดั่งเดิมตามแบบของชนเผ่าเบดูอิน
“นานแล้ว แม่หนูถามทำไมหรือ”
“หนูอยากได้มีดที่ลุงคิดว่าเก่าที่สุดสักเล่มลงเลือกให้หน่อยซิค่ะ” ความจริงวฏิรดาไม่ได้มีความต้องการมีดเลย แต่พยายามที่จะหาหัวข้อสนทนากับชายชราเท่านั้น ชายเจ้าของร้านเลือกมีดวงเดือนที่มีด้ามสีเขียวมรกตฝั่งด้วยหินสีเดียวกันให้เธอ
“มีดนี้ลุงซื้อมาจากชาวเบดูอินนานมากแล้ว มันเป็นของเก่าของต้นตระกูลพ่อเขาแต่เขาต้องขายมันเพราะไม่มีเงินลุงเลยซื้อเอาไว้” เจ้าของร้านเสนอราคาวฏิรดาไม่ได้สนใจเธอยอมจ่ายตามที่เขาบอก ขณะที่หยิบเงินออกจากกระเป๋าเธอแกล้งทำรูปของพ่อหล่น แล้วทำท่ารีบก้มลงเก็บ
“รูปใครหรือแม่หนู” ชายชราถามด้วยความสนใจ
“ลุงรู้จักคนๆ นี้หรือค่ะถึงได้ถาม” เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ วฏิรดาเชื่อแน่ว่าพ่อต้องมาที่นี่บ่อย อย่างน้อยคนที่อยู่ที่นี่มานานจะต้องรู้จักหรือไม่ก็ต้องเคยเห็นพ่อของเธอแน่ๆ
“เคยเห็น เขาเป็นลูกค้าประจำของลุง และของหลายๆ ร้านที่นี่” หัวใจของวฏิรดาเต้นแรงจนแทบจะล้นออกมานอกอก
“เขาเป็นอะไรกับแม่หนูหรือ” ชายชราถามเรื่อยๆ
“พ่อค่ะ” เธอทิ้งคำพูดไว้เพียงเท่านั้นรอให้ชายแก่เจ้าของร้านถามต่อ
“แล้วเขาไม่ได้มาด้วยหรือ ลุงไม่ได้เจอเขานานแล้วนะ”
“ลุงเจอพ่อหนูครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่หรือค่ะ” เธอเลี่ยงการตอบคำถาม แต่ใช้การถามกลับแล้วแกล้งเลือกสินค้าชิ้นต่อไปเหมือนไม่สนใจคำตอบ
“น่าจะสองปีละมัง ครั้งสุดท้ายเขามาที่นี่มารับแผนที่อะไรสักอย่างที่เขาให้เพื่อนของลุงร้านตรงข้ามซื้อให้ แล้วก็ไม่เจอเขาอีกเลย”
“เพื่อนของลุงร้านไหนหรือค่ะ” ชายชราชี้ไปที่ร้านเก่าๆ เล็กๆ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องร้านแกไปเพียงเล็กน้อย
“เจ้าของร้านชื่ออะไรหรือค่ะลุง หนูจะได้ไปทักทายท่านสักหน่อย” วฏิรดาตั้งใจฟังอย่างใจจดจ่อ
“เขาชื่อ ซาเลย์ อัลราเด ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่หรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรค่ะหนูจะลองแวะไปทักทายเพื่อนเก่าพ่อเสียหน่อย ขอบคุณลงมากนะคะ ถ้ามีโอกาสมาที่นี่อีกหนูจะแวะมาอีกนะคะ” เธอรีบกล่าวลาเพราะร้านเบื้องหน้าคือเป้าหมายต่อไปที่จะได้ข่าวของพ่อ
ก้าวออกมาจากร้านมุ่งตรงไปยังร้านของ ผู้เฒ่าซาเลย์ ยังไม่ทันถึงหน้าร้านก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีมือๆ หนึ่งคว้าแขนของเธออาไว้ สีข้างของเธอถูกกระทุ้งด้วยท่อนเหล็กที่แข็งซึ่งมันจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากกระบอกปืน
“หยุดยืนนิ่งๆ” เธอจำเป็นต้องหยุดทันทีตามคำสั่งของผู้อยู่เบื้องหลัง
“เดินตรงไปข้างหน้า อย่าขัดขืนไม่งั้นปืนเก็บเสียงจะทำงานทันที” เขาขู่เธอด้วยเสียงที่น่ากลัว เธอหันกลับมาเพื่อจะมองหน้าผู้รุกราน
“อุบ” วฏิรดารู้สึกเจ็บแปลบที่สีข้าง นี่มันอะไรกันเธอเป็นเพียงผู้หญิงไทยตัวเล็กๆ ที่เพิ่งย่างก้าวเข้ามายังดินแดนแห่งนี้ทำไมถึงได้มีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดกับเธอหลายครั้งหลายคราขนาดนี้
“ไม่ต้องมองเดินไปข้างหน้ามีซอกเล็กๆ เลี้ยวตามซอกนั้นไปถ้าไม่อยากตาย” วฏิรดานึกวางแผนในใจว่าเธอจะทำอย่างไรดี สถานที่ก็ไม่คุ้น แต่ยังอุ่นใจว่าในกระเป๋ามีปืนสั้นที่ชายคนนั้นให้เอาไว้ หรือว่าคนพวกนี้จะเป็นศัตรูของนายคนนั้นที่เธอช่วยเอาไว้ตอนเช้ามืด หลังของเธอถูกดันให้เดินออกมาตามซอกเล็กๆ ของหน้าผา เพียงไม่นานก็มาโผล่ที่ลานกว้าง วฏิรดาไม่ทราบว่าที่นี่เป็นด้านไหน แต่มองไปด้านหน้ามีภูเขาหินเรียงรายอยู่กลางทะเลทรายผืนที่กว้างสุดลูกหูลูกตาไม่มีผู้คนเลยแม้แต่คนเดียว ความกลัววิ่งเข้ามาจับหัวใจจนระงับอารมณ์เอาไว้ไม่ได้
“ท่านจะทำอะไร เราเป็นนักท่องเที่ยว เราไม่เคยเป็นศัตรูกัน ท่านอยากได้อะไรเอาไปเลยเรายินดียกให้ ปล่อยเรากลับไปหาเพื่อนๆ ในวิหารเถอะ” วฏิรดาเริ่มตั้งสติ และเจรจากับผู้รุกราน ขณะที่พูดเธอหันหน้ามามองหน้าของเขา ใบหน้าที่กร้านหยาบ หนวดเคลารุงรังเช่นชายชาวอาหรับทั่วไป จมูกโตแบน ดวงตาใหญ่ลึกลงไปในเบ้าตา มีแววดุร้าย แค่สบตาก็ทำให้วฏิรดาสั่นด้วยความกลัว นี่เธอจะรอดพ้นจากมือมัจจุราชผู้ดุร้ายคนนี้ได้อย่างไร ชายผู้ดุร้ายไม่ยอมสนทนากับเธอ แม้แต่ข้อเสนอที่เธอเสนอไปเขาก็ไม่สนใจ แขนสองข้างของเธอถูกจับรวบไว้ข้างหลัง เชือกเส้นเล็กถูกนำมามัดมือของเธอทั้งสองข้างประกบกัน วฏิรดาเริ่มดิ้นด้วยความตกใจ
ฉาด!!
โอ๊ย!!
ฝ่ามือของชายคนนั้นกระทบลงบนแก้มของเธออย่างไม่ปราณีปราสัย ไม่มีคำพูดใดๆ จากปากของเขา ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า สิ่งเดียวที่จะช่วยลดความเจ็บปวดและความกลัวคือน้ำตา เธอปล่อยให้มันไหลลงมาเป็นทาง แล้วใช้ความพยายามพูดกับเขาอีกครั้ง
“อย่าทำอะไรฉันเลย ปล่อยฉันไปเถอะ เราไม่เคยเป็นศัตรูกันมาก่อน จะมาทำร้ายกันทำไม” ชายผู้โหดร้ายไม่ยอมฟัง
เสียงและไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเธอเขาลากเธอเดินออกไปทะเลทรายเบื้องหน้าที่เวิ้งว้าง สายตาของวฏิรดาเริ่มพร่าเพราะแสงแดด
ความร้อนที่แผดเผาผิวกายของเธอทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อนโดยเฉพาะบริเวณแขนที่ถูกเชือกมัดมันเริ่มมีรอยบาดจากการถูกลาก
ขาที่พยายามพยุงกายให้เดินไปตามแรงลากเริ่มอ่อนแรง วฏิรดาล้มลงคลุกทรายที่ร้อนรุอุหลายครั้ง แต่ชายคนนั้นหาได้สนใจไม่
ทุกครั้งที่เธอล้มเขาก็เข้ามากระชากแขนให้ทรงตัวลุกขึ้นแล้วลากต่อ ครั้งสุดท้ายก่อนที่จะล้มลงเธอได้ยินเสียงม้า เสียงเอะอะ
โวยวาย จากนั้นสติของเธอก็ดับวูบ .
ความคิดเห็น