คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1
บทที่ 1
รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อค่อยๆ ขบวนไปตามเส้นทางที่ลาดชันของภูเขาสูงหลังจากรับทีมงานทั้งสามคนจากสนามบิน และมีกระแสรับสั่งให้อาคันตุกะจากต่างแดนเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีทันที คนขับหักเลี้ยวพวงมาลัยอย่างคนชำนาญทาง ผู้โดยสารที่มากับรถทั้งสามคนหน้าตาซีดเซียวไปตามๆ กันเพราะอาการวิงเวียนศีรษะ แต่สายตาของคนทั้งสามก็ยังจ้องมองไปยังทิวทัศน์ข้างทางที่สวยเสียจนไม่อาจจะถอนสายตาออกมาจากภาพข้างหน้าได้
หุบเขาเบื้องล่างคืออ่างน้ำขนาดใหญ่ ที่ใสสะอาดจนมองเห็นพื้นหินอย่างชัดเจนรอบๆ อ่างน้ำมีต้นไม้นานพรรณขึ้นห้อมล้อมเพื่อยึดเอาความชุ่มเย็นของอ่างน้ำเป็นแหล่งอาหาร ห่างจากอ่างน้ำขนาดใหญ่เป็นทุ่งหญ้าที่เขียวขจีสลับกับโขดหินขนาดใหญ่ ไปจนจรดเชิงเขาอีกลูกหนึ่ง เป็นความงามของน้ำกับหญ้าและหินที่ถูกธรรมชาติจัดวางเอาไว้อย่างลงตัว
ทิพย์นทีอดไม่ได้ที่จะหันมาวิจารณ์ความงามของธรรมชาติกับเพื่อนร่วมเดินทาง
“สวยเหลือเกิน ภูเขา น้ำ ทุ่งหญ้าและโขดหินมารวมกันอยู่ที่นี่ได้อย่างลงตัวที่สุด”
“พระเจ้า ยังกับวาดเลยนะแนนตี้ ไม่นึกเลยว่าจะได้มาเห็นธรรมชาติสุดแสนสวยงามแบบนี้ ตอนแรกนึกว่าจะเป็นรัฐที่ยากจนที่ไหนได้ดูดีไปหมดทุกอย่าง ถ้ามีชายหนุ่มที่นี่ถูกใจฉันไม่กลับไปทำงานกับบอสแล้วนะแนตตี้ จะอยู่ที่นี่จนตาย ชักหลงเสน่ห์รัฐนี้ตั้งแต่แรกพบเสียแล้ว” เคราร่ารำพึงรำพันออกมาตามประสาคนช่างฝัน จน
“ทำยังกะจะมาหาผัว” เสียงมิสซา เพื่อนชายลูกครึ่งอเมริกัน แอฟริกัน เอ่ยขัดอารมณ์อันสุนทรีของเคราร่า จนสาวลูกครึ่งต้องหันมาค้อนอย่างไม่สบอารมณ์
“มิสซาก็เป็นอย่างนี้ทุกที ไม่รู้จะจริงจังกับชีวิตไปถึงไหน ไม่เคยมองเห็นความสวยความงามเอาเสียเลย ลองแหกตาสิ แล้วใช้หัวใจจ้องมองไปจะได้เห็นความงามของธรรมชาติกับเขาบ้าง” เมื่อโดนกระชากอารมณ์ฝัน อารมณ์หงุดหงิดของเคราร่าก็ปะทุขึ้นทันที
“เอาล่ะๆ อย่ามัวเถียงกันเลย อายมิสเตอร์รันตานูเขาแย่” ทิพย์นทีรีบห้ามทัพก่อนที่ทั้งสองจะทะเลาะกันไปใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เธอพบเห็นมานานเท่าที่ได้มาร่วมงานกันคนทั้งสอง
“ไม่ต้องเกรงใจครับเราถือเป็นคนกันเอง” รันตานูรีบออกตัว
“ฉันละอุส่าห์ชี้ชวนชมความงามจะได้ไม่ต้องเวียนหัวกับทางที่คดเคี้ยว ทำคุณบูชาโทษจริงๆ”
“ใครขอให้ทำเล่าคุณนั่นน่ะ นั่งเงียบๆ จะสบายหูสบายหัวมากกว่าฟังเสียงเป็นพิษ” ทิพย์นทีสายหัวระอาแกมขบขัน ดีที่รันตานูดูเป็นกันเองเธอเลยไม่รู้สึกอึดอัดที่ทั้งสองจะทะเลาะกันต่อหน้าผู้ร่วมงานคนใหม่
“เส้นทางนี้ทำไมไม่มีรถสวนเลยค่ะคุณรันตานู”
“เป็นเส้นทางที่ใช้ขึ้นพระตำหนักครับ ทางลงจะต้องใช้อีกทาง เป็นระบบวันเวย์ครับ”
“ดีจังนะคะ ขับได้สบายไม่ต้องห่วงชน”
“ครับทางเส้นนี้ก่อนนั้นเคยใช้เป็นทางขึ้นลงรถวิ่งสองเลนแต่เกิดอุบัติเหตุบ่อย พระราชาธิบดีเลยมีพระดำรัสให้สร้างเส้นทางใหม่ ขึ้นลงคนละทางไปเลยครับ” คนขับรถกิติสมศักดิ์บรรยายถึงที่มาที่ไปของถนนขึ้นพระตำหนักทาจิน
“มันก็น่าเกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ อยู่นะ ก็เส้นทางสวยขนาดนี้ต้องมีเผลอแอบชมธรรมชาติสองข้างทางเพลินจนลืมควบคุมรถกันบ้าง” ยังคงเป็นการสนทนาของทิพย์นทีกับรันตานูเพียงสองคน เพราะสองคนที่เหลืออีกคนหนึ่งงอนอีกคนหนึ่งเงียบตามปกติวิสัยของเขา
รันตานูพารถยนต์เคลื่อนขึ้นมาจนถึงประตูพระตำหนัก เขาลงไปแสดงบัตรและแจ้งความจำนงการเข้าเฝ้าพระราชาธิบดีตามคำเชิญ เพียงไม่นานประตูของราชวังทาจินก็เปิดออก รันตานูพารถเข้ามาจอดยังสถานที่ๆ ทหารราชองครักษ์บอกตำแหน่งให้
“ถึงเสียทีครับ เชิญคุณทั้งสามลงมาก่อนเดี๋ยวผมจะไปจัดการเรื่องเข้าเฝ้าทั้งหมดเอง” ทหารรับใช้เข้ามาโค้งคำนับอย่างนอบน้อม และเชื้อเชิญให้ทั้งสามคนนั่งรอในห้องรับรอง รัตานูเดินหายไปยังตึกที่อยู่ตรงข้าม
ทิพย์นทีไม่สามารถจะนั่งลงตามคำเชิญของราชองครักษ์ได้ ภาพความงามของทิวทัศน์เบื้องหน้าดึงเธอให้เดินออกจาจากห้องกระจก ระเบียงรอบพระตำหนักถูกตกแต่งอย่างสวยงามด้วยดอกไม้เมืองหนาวนานาชนิด สายตาของทิพย์ เธอยืนมองผ่านกระจกห้องรับรองลงไปยังด้านล่างภาพของความงามของสระน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่เชิงเขา เมื่อเปลี่ยนมุมมองจากมามองจากด้านหน้าพระตำหนักสวยงามกว่าที่ทิพย์นทีเห็นเมื่อตอนนั่งรถวนขึ้นเขาอย่างมาก
ทุ่งหญ้าสลับโขดหินที่ว่าสวย ตอนนี้มันสวยกว่าจนเธอไม่สามารถจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ รู้แต่เพียงว่าตัวเองเหมือนต้องมนต์สะกดให้ก้าวออกมาจากห้องรับรองเพื่อซึมซับเอาความงามของธรรมชาติ แห่งภูทาจินเอาไว้ในความรู้สึก และคงยากที่จะมีความงามของที่ไหนมาลบเลือน
“แนตตี้ มาทางนี้เถอะ สวยจริงๆ เคร่าไม่เคยเห็นอะไรสวยงามอย่างนี้มาก่อน” เสียงของเพื่อนสาวที่ร่วมคณะเรียกให้ทิพย์นทีตื่นจากภวังค์ เธอหันกลับมามองความงามตามคำเชิญชวนของเคราร่า เพื่อนร่วมงานสาวจูงมือทิพย์นทีให้เดินห่างออกมาอีกด้านหนึ่งของพระตำหนักพร้อมกับชี้ให้ทิพย์นทีมองตามที่เธอเห็น
“ถ่อยห่างออกมาตรงจุดนี้ แล้วมองขึ้นไปสิ แนตตี้ พระตำหนักหลังนี้คล้ายสถาปัตยกรรมของยุโรปผสมผสานกับเอเชีย มีความสง่าและอ่อนโยนผสมกันในตัวแต่ที่น่าทึ่งคือรายละเอียดของงานศิลป์ที่แต่งแต้มไปตามจุดต่างๆ ของพระตำหนัก โอ๊ย คาร่าเหมือนหนึ่งฝันไปว่าได้เข้ามาอยู่ในดินแดนที่เราไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรเลยนะนี่” คนบรรยายทำท่าเดินตัวลอยเหมือนเป็นนางระบำปลายเท้า ปากก็ยังไม่หยุดพร่ำเพ้อ
“มันไม่ได้เลิศหรูอลังการเหมือนพระราชวังแวร์ซายด์ แต่มันเป็นความงามของพระตำหนักที่ลงตัวที่สุดบนยอดเขาภูทาจินแห่งนี้”
ทิพย์นทีเห็นด้วยกำคำบรรยายของคาเรร่า เธอกวาดสายตามองความงามทุกจุดของพระตำหนัก มันเป็นความงามที่เธออยากมองและเก็บมันไว้ในความทรงจำนานๆ จากครั้งนี้ยังไปไม่รู้ว่าเธอจะมีโอกาสดีๆ เช่นนี้อีกหรือไม่ที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เข้าเฝ้ายังพระตำหนักส่วนพระองค์ของพระราชาธิบดีแห่งภูทาจิน
ขณะที่สองสาวตื่นเต้นจนลืมสิ่งแวดล้อมรอบข้าง สายตาที่ทรงอำนาจคู่หนึ่งได้จ้องมองมายังสองสาวด้วยความพินิจพิเคราะห์ ผ่านหน้าต่างบานเล็กๆ บริเวณปีกซ้ายของพระตำหนัก จากนั้นกล้องดิจิทอลก็ถูกยกขึ้นมาถ่ายภาพทุกอิริยาบถของสองสาว คนกดชัดเตอร์กดมันอย่างไม่ยั้งมือประหนึ่งว่าจะเก็บเอาทุกสัดส่วนของผู้มาเยือนไว้ให้ครบ และแน่นอนว่าภาพของมิสซาเองก็ถูกบันทึกเอาไว้ตั้งแต่เดินลงมาจากรถยนต์แล้วเช่นกัน
‘พวกนี้มาช่วยค้นหาปัญหาจริง หรือมาเพื่อจุดประสงค์อื่น’ นั่นคือความคิดของผู้ที่ตั้งใจเก็บภาพของพวกเขา
ภาพไหวที่มาจากด้านซ้ายของตึกแวบเข้ามาในหางตาขอทิพย์นที เธอหันไปมองด้วยสัญชาตญาณที่รู้สึกเหมือนหนึ่งว่ามีคนมองมาจากมุมนั้น สายตาที่จ้องไปยังหน้าต่างบานเล็กกระพริบตาถี่ๆ แล้วคิดในใจว่า สงสัยตัวเองจะตาฝาดไปแน่ๆ มองอย่างไรก็ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตบนปีกพระตำหนักด้านซ้าย มีแต่เพียงม่านสีครีมที่ถูกลมพัดไหวล้อสายตาอยู่ตรงนั้น ‘นี่สงสัยเราจะมีจินตนาการเลยเถิดเกินไปหรือเปล่า เมื่อเห็นตึกที่ดูอลังการแบบนี้ทำให้จิตใจ ฝุ้งซ่านคิดว่ามีคนหรือปีศาจแอบจ้องเหมือนในเทพนิยาย” ทิพย์นทียิ้มขำๆ พร้อมกับส่ายหน้าตำหนิตัวเองในใจ
ยิ้มขำตัวเองของนักเคมีสาวสวยจากเมืองไทยที่ดูอ่อนโยนไร้เดียงสาไม่สมกับวัยยี่สิบเจ็ดปีถูกบันทึกผ่านเลนอย่างคนชำนาญในการเก็บภาพแบบปาปารัสซี่ของคนที่อยู่หลังหน้าต่างบานนั้นอย่างไม่มีตกหล่น ก่อนที่กล้องตัวจิ๋วประสิทธิภาพสูงจะถูกเก็บและหย่อนลงในกระเป๋าเสื้อ ทิ้งไว้แต่เพียงบานหน้าต่างและม่านสีครีมให้ลมแกว่งไกวแก้ข้อกังขาของสาวนักเคมี
“คุณแนตตี้ครับเชิญทางนี้ พระองค์ท่านทรงรับสั่งให้เข้าเฝ้าได้ในเวลานี้เลยครับ” เสียงของรันตานูช่วยหยุดความสนใจของทิพย์นทีและเสียงบรรยายความงามพระตำหนักทาจินของคาเรร่า
“ฉันนึกว่าจะมีพิธีรีตองมาก ไม่นึกว่าจะรวดเร็วขนาดนี้” ทิพย์นทีเอ่ยขึ้นแม้จะเป็นผู้หญิงมั่นและได้เตรียมตัวที่จะเข้าเฝ้าเพื่อถวายรายละเอียดการปฏิบัติงานมาแล้ว การได้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิดและรวดเร็วก็ทำให้เธออดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ ประโยคที่พูดจึงเป็นการพูดกับตัวเองมากกว่าจะต้องการคำตอบจากผู้นำทาง
“ถ้าเป็นการเข้าเฝ้าส่วนพระองค์ จะไม่มีพิธีการอะไรมากครับ” คนพูดยิ้มอย่างให้กำลังใจ ก่อนจะเดินนำเธอและคาเรร่าเข้าไปสบทบกับมิสซาที่ห้องรับรอง
ห้องประทับเพื่อรับรองแขกต่างประเทศเป็นห้องที่ไม่ใหญ่โตอย่างที่ทิพย์นทีคิดเอาไว้ เธอเคยเห็นภาพข่าวในพระราชสำนักที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่เป็นที่รักยิ่งของเธอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เข้าเฝ้าในห้องรับรองที่ใหญ่โตโอ่อ่า ยังเคยนึกเล่นๆ ว่าถ้าสักวันหนึ่งเธอมีบุญวาสนาได้เข้าเฝ้าใต้ฝ่าละอองธุรีพระบาทพระองค์ท่านเธอคงจะตื่นเต้นและเป็นบุญวาสนากับเธอเป็นอย่างยิ่ง
แต่ในวันนี้เธอกลับได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระราชาธิบดีที่เป็นที่รักยิ่งของชาวภูทาจิน และคิดว่าประชาชนชาวภูทาจินคงจะมีความรู้สึกไม่ต่างจากเธอมีกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และพวกเขาหลายคนคงอยากมีโอกาสเช่นเธอในเวลานี้ ดีนะที่ห้องที่ราชองครักษ์นำทางเธอเข้ามาเป็นห้องที่กะทัดรัด น่าจะสามารถจุคนได้ไม่ถึงห้าสิบคน เก้าอี้ที่จัดไว้รับแขก มีเพียงสามตัว ราชองครักษ์นำเธอที่เป็นหัวหน้าทีมให้มานั่งที่เก้าอี้ตัวแรก จากนั้นเป็นของมิสซา และคาเรร่าตามลำดับ ส่วนรันตานูถอยออกไปนั่งหมอบลงกับพื้นใกล้ประตู
เธอเข้าใจว่าคงเป็นราชประเพณีที่ทรงให้เกียรติกับชาวต่างชาติ จึงทำให้เธอและทีมงานได้นั่งบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมเอาไว้ และมีเก้าอี้ขนาดใหญ่อีกสามตัวว่างเรียงกันอยู่บนพื้นที่สูงกว่าจุดที่ทิพย์นทีและเพื่อนร่วมทีมนั่งคงจะเป็นเก้าอี้พระที่นั่งที่จะทรงประทับพร้อมกับพระราชินีและพระโอรสของพระองค์ตามที่เธอได้ศึกษาข้อมูลมา
ราชองครักษ์บอกกับเธอว่า อีกห้านาทีพระองค์จะเสด็จ ทำให้ทิพย์นทีรู้สึกผ่อนคลายความตื่นเต้นลงไปได้บ้าง เธอสูดหายใจเข้า แล้วมองหน้าเพื่อนร่วมทีม เธอไม่พบแววแห่งความตื่นเต้นในสายตาของคนทั้งสอง
“มิสซา คาร่า ไม่รู้สึกตื่นเต้นหรอกหรือ” ทั้งสองส่ายหน้าพร้อมกัน
“แนตตี้ตื่นเต้นหรือ” ทิพย์นทีพยักหน้า ยอมรับอย่างไม่มีการรักษาฟอร์ม
“ตื่นเต้น เพราะประเทศของฉันปกครองด้วยระบบกษัตริย์เช่นเดียวกับภูทาจิน ความรู้สึกฉันตอนนี้ประหนึ่งมีวาสนาได้เข้าเฝ้าราชวงค์ของฉันเชียวล่ะ”
“อ๋อ ใช่สินะ ประเทศเธอกับที่นี่มีอะไรคล้ายกัน” คาเรร่าวิจารณ์ต่อ
“ใช่ ฉันลืมไปว่าเธอสองคนไม่ได้เมาจากประเทศที่ปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ความรู้สึกแบบที่ฉันมีเธอจึงไม่มี”
มิสซาเพียงแค่พยักหน้าและนิ่งตามบุคลิกของเขา ทิพย์นทีสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วค่อยๆ ผ่อนเพื่อลดความตื่นเต้น เมื่อทหารราชองครักษ์ได้เข้ามาบอกว่าพระองค์กำลังเสด็จพระราชดำเนินมา
พระราชบดีโอคีนาปวัยหกสิบในชุดฉลองพระองค์สูทสากล สีดำสวมทับเชิ้ตสีขาว เสด็จพระราชดำเนินเข้ามายังห้องรับรองด้วยท่วงท่าที่สง่างาม ตามหลังมาด้วยสมเด็จพระราชีนีนาถภัทราที่สวมฉลองพระองค์ในชุดกระโปรงสูทสีน้ำตาลทองยาวกร่อมเท้า ทั้งสองพระองค์สาวเสื้อผ้าแบบสากลเพื่อต้อนรับแขกต่างประเทศ ทิพย์นทีลุกขึ้นยืนแล้วถอนสายบัวถวายความเคารพอย่างอ่อนช้อย ทำให้คาเรร่าลุกขึ้นทำตาม ส่วนมิสซา เขาโค้งคำนับได้อย่างน่าดูไม่แพ้สองสาว
“ของถวายบังคมด้วยความเคารพยิ่ง” เป็นคำพูดภาษาอังกฤษที่หลุดออกมาจากปากของทิพย์นที สายตาที่เธอจับจ้องไปยังสองพระองค์คลอไปด้วยน้ำตาแห่งความตื้นตัน เธอเองก็บอกไมถูกเช่นกันว่าทำไมจึงรู้สึกเช่นนั้น หรือเป็นเพราะเธอรู้สึกจงรักภักดีในระบบกษัตริย์ของประเทศบ้านเกิด เมื่อมีโอกาสได้เข้าเฝ้าราชวงศ์จึงรู้สึกเหมือนหนึ่งว่าตัวเองได้เข้าเฝ้าราชวงศ์ของประเทศตนเอง เป็นเหตุผลที่เธอนำมาอธิบายให้กับความรู้สึกของตนเอง
“ยินดีอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับคณะทำงานจากองค์การจัดการสารเคมีแห่งสหภาพยุโรป” พระสุรเสียงที่ทรงอำนาจแต่แฝงความอ่อนโยนเอ่ยขึ้น แล้วทรงผายมือไปทางที่พระราชินีประทับ
“นี่คือพระราชินีนาถภัทรา ราชินีของเรา” สองสาวหันไปถอนสายบัว และมิสซาโค้งคำนับอีกครั้งอย่างเป็นทางการ ก่อนที่จะนั่งลงตามคำรับสั่งขององค์โอคีนาป
“เชิญนั่งตามสบาย อย่าได้กังวลกับพิธีรีตองอะไรเลย” พระองค์ทรงตรัสและว่าพระอิริยาบถในท่วงท่าที่สบายๆ ตามที่ทรงรับสั่ง
พระราชินีนาถภัทรา ส่งยิ้มที่อบอุ่นให้กับทุกคน
“ต้องขอโทษที่ลูกชายของฉันไม่สามารถออกมาต้อนรับได้ ทรงติดภารกิจเร่งด่วน ทั้งๆ ที่แจ้งพระประสงค์ไว้ว่าจะมาต้อนรับทีมงานพร้อมกัน” สมเด็จพระราชชินีออกตัวแทนราชโอรส
“เอาล่ะท่านทั้งสามรู้จักเราแล้ว ตอนนี้ขอเราได้ทำความรู้จักท่านบ้าง” พระราชาธิบดีทรงตรัสอย่างเป็นกันเอง แล้วหันมามองทิพย์นทีผู้เป็นหัวหน้าทีม
“กระหม่อมชื่อทิพย์นที เจนตะวนิช นักเคมีหัวหน้าทีมที่ทางองค์การส่งมาในครั้งนี้ กระหม่อมเป็นคนไทย ประเทศของกระหม่อมปกครองโดยระบบกษัตริย์เช่นภูทาจิน กระหม่อมจึงรู้สึกตื้นตันและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ทรงให้ความสำคัญกับทีมงานของกระหม่อม จนได้มีโอกาสได้เข้าเฝ้า” หัวหน้าทีมกล่าวแนะนำตัวเองเสียยืดยาวจนทั้งสองพระองค์ทรงแย้มสรวล แววตาฉายความเอ็นดู จากนั้นเธอจึงผายมือมายังคาเรร่า
“กระหม่อมขอให้เจ้าตัวเขาแนะนำตัวเองนะเพคะ” ทั้งสองพระองค์พยักพระพักตร์พร้อมกัน คาเรร่านั่งตัวตรงสำรวมเสียจนทิพย์นทีอยากจะหัวเราะ
“มิสคาเรร่า ออร์โตริก สัญชาติอเมริกัน มีคุณพ่อเป็นคนอเมริกัน คุณแม่เป็นชาวเปอร์เซีย เพค่ะ” เธอแนะนำตัวด้วยเสียงที่มั่นใจของสาวลูกครึ่งรูปร่างสันทัด ผิวขาว ผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตามีสีฟ้าเจือเล็กน้อย ริมฝีปากหนาแต่งแต้มด้วยสีของลิปสติกสีส้มอ่อนๆ ทำให้คาเรร่าดูเซ็กซี่ยิ่งขึ้น เธอแนะตัวเสร็จแล้วผายมือต่อไปยังมิสซา ด้วยทางทางที่สวยงามมั่นใจ
“มิสเตอร์มิสซา เคบินเร สัญชาติอเมริกัน แต่กระหม่อมมีพ่อเป็นชาวเองโกรา หนุ่มลูกครึ่งแองโกรา อเมริกัน ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำแต่ไม่ถึงกับดำ ดวงตาคมโต ขนตายาวงอน ผมสีน้ำดำสนิทมีรอยหยักศก แสดงให้เห็นว่าเขาได้รับยีสน์เด่นจากพ่อมาไม่น้อย
“คงต้องบอกว่ายินดีที่ได้รู้จักทุกท่านอีกครั้ง ที่สำคัญเรายินดีที่ได้เจอคนไทย มิสทิพย์นที เราเห็นประวัติท่านที่ราชเรขาส่งเข้ามาให้แล้ว ทำให้อยากรู้จักท่านยิ่งนัก” แม้เสียงของพระราชินีจะอ่อนโยน แต่ทิพย์นทีมีสีหน้างงงวย ในกระแสรับสั่งนั้น
“พระองค์อยากรู้จักหม่อมฉันหรือเพคะ”
“ใช่แล้วจ้ะ” เสียงตรัสรับเป็นภาษาไทยยิ่งทำให้สาวนักเคมีงงมากยิ่งขึ้น สีหน้าที่มีแต่คำถามทำให้สมเด็จพระราชินีแห่งภูทาจินยิ้มอย่างเอ็นดู
“ต้องขอประทานโทษทุกท่านนะฉันขอสื่อภาษาไทยกับมิสทิพย์นทีสักหน่อย แม้จะเป็นการเสียมารยาทไปบ้างแต่ฉันอยากใช้ภาษาของฉันกับคนประเทศเดียวกันหวังว่าทุกท่านคงจะให้อภัย” พระราชินิแห่งภูทาจินเอ่ยกับทุกคนอย่างไม่ถือองค์
“พระองค์เป็นคนไทยหรือเพคะ” ทิพย์นทีจ้องหน้าพระราชินิอย่างลืมตัว
“ใช่แล้ว ฉันคือหม่อมราชวงค์หญิงนาถภัทรา เป็นคนไทยแท้ๆ เลยจ้ะ” เพียงเท่านั้นทิพย์นทีก็ทรุดลงนั่งกับพื้นแล้วค่อยๆคลานเข้าไปก้มลงกราบแทบพระบาทขององค์ราชินีอย่างอ้อนช้อย
“หม่อมฉันช่างโง่เขลา ไม่ได้ศึกษาภูทาจินอย่างถ่องแท้ หม่อมฉันไม่เคยทราบมาก่อนว่าองค์ราชินีแห่งภูทาจินคือเชื้อพระวงศ์ของไทย อภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”
“ลุกขึ้นมาเถิด ฉันเป็นเพียงหม่อมราชวงศ์ ไม่ได้ถือยศศักดิ์ อะไรมากมายทำตัวตามสบายเถอะ”
“หม่อมฉันขอบพระทัยองค์ราชินีที่ทรงพระกรุณาหม่อมฉันเพค่ะ” ทิพย์นทีก้มลงกราบแทบพระบาทของทั้งสองพระองค์อีกครั้งแล้วจึงค่อยๆ คืบคลานถอยหลังมานั่งยังเก้าอี้ตัวเดิม โดยมีสายตาของสองพระองค์มองตามด้วยแววพระเนตรที่เอื้อเอ็นดู
“เราคงมีโอกาสได้คุยกันอีกครั้งหลังจากการเจอครั้งนี้ เอาไว้ฉันจะเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง”
“เพค่ะ” ทิพย์นทีรับกระแสรับสั่งเบาๆ
“ราชินีของฉันอยากใช้ภาษาไทยจะแย่แล้งคงกลัวจะลืม เอาไว้คุณทิพย์นทีมีเวลาว่างฉันจะเชิญมาร่วมสนทนาให้ราชินีนาถภัททราได้หายคิดถึงบ้านบ้าง” กระแสรับสั่งเอาพระทัยองค์ราชินี
“เป็นพระกรุณายิ่งเพค่ะ”
“หญิงไทยสวยทั้งรูปร่างและกิริยากันอย่างนี้นี่เอง ฉันจึงไปหลงเสน่ห์สาวไทยเสียจนถอนตัวไม่ขึ้น” เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ในกลุ่มผู้เข้าเฝ้า
“เอาล่ะ มาเข้าเรื่องของเราก่อนดีกว่า” พระสุรเสียงจริงจังขึ้นมาทันที
รัฐของเราประสบปัญหา ทางเราคงไม่ต้องอธิบายอะไรอีกแล้วใช่หรือไม่ เพราะข้อมูลที่ท่านทั้งสามได้รับมาคงจะเพียงพอ แต่สิ่งที่เราอยากจะบอกกับทุกท่านคือ เราห่วงใยประชาชนของเราอย่างยิ่ง ปัญหานี้จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้เรายอมรับการเข้ามาทำงานของทีมของท่าน เมื่อองค์การเสนอความช่วยเหลือเข้ามา”
ขณะที่ทรงตรัสกับทิพย์นที สายตาของพระราชาธิบดีได้สำรวจและรวบรวมข้อมูลของนักเคมีสาวชาวไทยเอาไว้อย่างละเอียด
ผู้หญิงรูปร่างบางเล็ก หน้าตาสวยอ่อนหวาน ดวงตาสีดำกลมโต ไร้การตกแต่งด้วยสีสันจากสารเคมี ขนตาที่ยาวเป็นแพส่งให้ดวงตาที่กลมมีแววหวานมากขึ้น ผิวหน้าที่เนียนใสเช่นหญิงสาวชาวเอเชีย พวงแก้มที่แดงระเรื่อ จมูกโด่ง รับกับริมฝีปากบางได้รูป ระบายด้วยลิปสติกสีชมพูบางๆ ช่วยส่งให้ผิวที่บอบบางดูสว่างใสยิ่งขึ้น
เป็นหญิงสาวที่สวยอ่อนหวาน หาดูได้ยากจากชนชาวภูทาจิน ที่มีเลือดผสมของชาวยุโรป และชาวพื้นเมือง เพราะภูทาจินเป็นดินแดนที่เคยถูกชาวยุโรปยึดครองมาช่วงก่อนสงครามศาสนา เมื่อสงครามเสร็จสิ้น ชาวยุโรปได้ตั้งรกราก และอยู่ที่นี่จนกลายเป็นบรรพบุรุษของชาวภูทาจิน คนภูทาจินจึงมีเชื้อสายชาวยุโรปปะปนอยู่ ความงามของหญิงสาวชาวภูทาจินจึงดูคมเฉี่ยว จมูกโด่งเป็นสัน มากกว่าจะสวยอ่อนหวานเช่นผู้หญิงที่เป็นหัวหน้าทีม เป็นข้อสรุปในพระทัยของพระราชาธิบดีแห่งภูทาจิน
การเดินทางเข้าเฝ้ากษัตริย์ผู้ครองรัฐภูทาจินของทีมผู้มาเยือนจากยุโรปในครั้งนี้สิ้นสุดลงโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน คณะผู้ทำงานทั้งสามคนได้รับความประทับใจในการต้อนรับจากองค์ประมุขแห่งภูทาจินเป็นอย่างยิ่ง จนคาราร่าพูดติดปากอยู่ตลอดเวลาว่า
“ฉันอยากขึ้นมาบนนี้อีก และฉันจะต้องมาให้ได้”
“พวกเรามาทำงานนะ ไม่ได้มาท่องเที่ยว ห่วงแต่เรื่องสนุกสนานเพลิดเพลิน งานไม่เดินโดนตำหนิอย่าหาว่าไม่เตือนล่ะ” เสียงเข้มๆ ของมิสซาตำหนิเพื่อนสาวออกนอกหน้า เลยโดนสายตาค้องวงใหญ่ตามมา
“มิสซาก็ จริงจังไปเสียทุกเรื่องปล่อยวางเสียบ้างสิ ไหนๆ ก็มาแล้วถ้าได้ทั้งงานได้ทั้งความสุขทำไมไม่รีบคว้าล่ะ คิดมากไปได้”
“เสียดายที่ไม่ได้เจอมกุฎราชกุมาร” เสียงพึงพำว่าเสียดายดังมาจากปากของชายคนเดียวของทีม ทำให้ทิพย์นทีต้องหันมามองหน้ามิสซาแล้วถามด้วยความสงสัย
“ทำไมถึงอยากเจอองค์มกุฎราชกุมารล่ะมิสซา”
“ผมเคยได้ยินมาว่า มกุฎราชกุมารของภูทาจินเรียนจบมหาวัทยาลัยชื่อดังของอังกฤษ หน้าตาหล่อเหลาหาตัวจับยาก แต่ไม่ชอบฉายพระรูป คนส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยจะรู้จัก เลยรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เห็นพระพักตร์” มิสซาอธิบายเหตุผลเสียยาว
“ฉันมัวแต่หาข้อมูลด้านอื่น เลยไม่ได้สนใจเหล่าเชื้อพระวงศ์ มิสซามีข้อมูลดีจัง มีอย่างอื่นเกี่ยวกับองค์มกุฎราชกุมารอีกมั้ย ฟังดูน่าสนใจไม่น้อย”
“ก็รู้ไม่มากหรอก เห็นบอกว่าเรียนจบด้านการปกครอง ก็คงจะเป็นการวางแผนที่จะสืบราชบัลลังต่อ แต่เห็นว่าแท้จริงแล้วพระองค์ชอบงานด้านวิศวกรรมมากกว่า หลังจบด้านการปกครองเลยเรียนด้านวิศวกรรมเพิ่มเติม” ทิพย์นทีพยักหน้ากับข้อมูลที่ได้รับ
ขณะที่ทุกคนเอ่ยถึงราชวงศ์และมกุฎราชกุมาร รันตานูนิ่งเงียบ จนทิพย์นทีต้องเอ่ยปากถาม
“คุณรันตานูละคะ ไม่มีข้อมูลเรื่องเกี่ยวกับองค์รัชทายาทมาบอกเล่าให้พวกเราได้รู้บ้างหรือ”
“ไม่มีครับผม เพราะประชาชนชาวภูทาจินจะสงวนคำพูดที่จะกล่าวถึงราชวงศ์ชั้นสูงไม่ว่าในแง่ดีหรือร้ายเพราะราชวงศ์เปรียบเหมือนพระเจ้าที่พวกเราเคารพและไม่บังควรนำพระองค์มากล่าวถึงไม่ว่าจะกรณีใดๆ”
“อ้าวอย่างนั้นหรอกหรือ ฉันขอโทษที่ไม่ได้ศึกษาวัฒนธรรมของรับแห่งนี้ก่อนมา นี่คงทำให้คุณลำบากใจไม่น้อยที่พวกเราพูดถึงองค์ราชาธิบดีและองค์รัชทายาท”
“ไม่ลำบากใจครับเพราะพวกคุณเป็นชาวต่างชาติไม่อยู่ในกฎของภูทาจิน” เป็นเรื่องใหม่ที่รันตานูให้ความรู้เกี่ยวกับวิถีของคนในรัฐแห่งนี้ที่มีต่อราชบัลลัง
รันตานูพาทีมสำรวจจากองค์การจัดการสารเคมีแห่งสหภาพยุโรปมายังที่พักที่ทางการจัดให้ ซึ่งอยู่ห่างจากเหมืองยูเรเนียมออกไปอีกเกือบ 12ไมล์ เรือนรับรองหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางสวนดอกไม้ที่สวยงาม ทำให้ทิพย์นทีรู้สึกว่าการเดินทางมาครั้งนี้น่าจะเป็นการมาเที่ยวเสียมากกว่ามาทำงาน
“สวยไปหมดทุกที่ รัฐนี้น่าจะเป็นรัฐที่เป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยว แต่กลับไม่ใช่นโยบายหลักของรัฐ น่าเสียดาย ความงามของภูทาจินถูกเก็บซ่อนเอาไว้ไม่ได้อวดสายตาชาวโลกเลย” คาเรร่ายังชมความงามของสถานที่ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในสายตาอย่างไม่ขาดปาก
“ฉันว่าเขามีรายได้จากแร่กัมมันตรังสีก็คงมากพอที่จะทำให้ประชาชนอยู่อย่างสุขสบาย คงอยากจะเก็บความงามของธรรมชาติเอาไว้ให้ประชาชนได้ชื่นชม มากกว่า ถ้ามีนักท่องเที่ยวเข้ามาความงามของธรรมชาติอาจจะเลือนหายไปเพราะน้ำมือมนุษย์จากที่อื่นซึ่งคงจะรักษามันได้ไม่ดีเท่าคนของภูทาจิน” ทิพย์นทีออกความเห็น
“ถูกต้องครับ รัฐบาลของเราไม่มีนโยบายด้านการท่องเที่ยว เพราะเกรงว่าสิ่งแวดล้อมที่พวกเรารักจะถูกทำลาย”
“เก่งจริงนะ นี่เพิ่งมาเหยียบแผ่นดินของภูทาจินไม่นานดอกเตอร์แนตตี้เข้าอกเข้าใจคนที่นี่เสียมากมาย”
“แหมนี่ชมหรือประชดจ๊ะ เคร่า” เธอถามเพื่อนร่วมงานกลับเล่นๆ ไม่จริงจังอะไร
“ชมจ้า ใครจะกล้าประชดหัวหน้าทีมตัวเองเดี๋ยวก็อดเงินตอบแทนพิเศษหรอก” คำตอบของเคราร่า เรียกเสียงหัวเราะของทิพย์นทีและรันตานูได้ แต่มิสซาเพียงยิ้มที่มุมปากก็ถือว่าขำมากที่สุดของเขาแล้วสำหรับไอ้เสือยิ้มยากคนนั้น
“เรือนรับรองหลังนี้รัฐบาลเตรียมไว้ให้พวกท่าน และทุกเช้าผมได้รับมอบหมายให้มารับทุกท่านเข้าไปที่เหมือง เรื่องของการดูแลภายในเรือนรับรองจะมีแม่บ้านเดินทางมาทำความสะอาด พร้อมทั้งดูแลเสื้อผ้าให้กับทุกท่าน ขาดอะไรบอกผมได้ทุกอย่างนะครับผมได้รับมอบหมายให้อำนวยความสะดวกให้กับคณะของท่านอย่างเต็มที่ และวันนี้ห้องอาหารของโรงแรมดูซานลากูลจะจัดอาหารเย็นมาให้นะครับ พรุ่งนี้เช้าผมจะมารับในช่วงบ่าย แล้วจะพาทุกท่านไปแนะนำสถานที่คือเหมืองดูซานแชนตี้ แล้วถ้ามีเวลาจะพาทุกท่านชมเมือง ซานดูเมืองหลวงของเรานะครับ”
รันตานู ชี้แจงยาวเหยียด อันที่จริงเขายังไม่อยากจะให้ทีมงานเริ่มงานในวันพรุ่งนี้เพราะเห็นว่าทุกคนเหนื่อยกับการเดินทางและยังไม่ได้พักผ่อนเลย แต่ขัดความประสงค์ของทิพย์นทีไม่ได้ เธอต้องการจะเริ่มงานทันทีที่มาถึง รันตานูจึงจัดโปรแกรมมารับในเวลาหลังเที่ยง จากนั้นจึงขอตัวกลับเพื่อให้คณะที่เพิ่งเดินทางมาถึงได้พักผ่อน
ความคิดเห็น