คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่1
บทที่1
เมอร์ซีเดนเบ็นซ์ สีดำคันโต ค่อยๆ จอดเทียบฟุตบาทของสนามบินสุวรรณภูมิ พลขับกุลีกุจอลงมาจากรถเพื่อเปิดประตูให้ผู้ที่นั่งอยู่ด้านหลัง ศีรษะและไหล่ที่โค้งงอด้วยความนอบน้อมยิ่งทำให้ผู้คนในสนามบินจ้องมองเพื่อรอดูผู้ที่จะก้าวลงมา เมื่อประตูด้านซ้ายเปิดออก หญิงวัยกลางคนอยู่ในชุดการเกงสูทสีครีม รองเท้าโครดชูสีน้ำตาลเข้ม กระเป๋าถือสีเดียวกับรองเท้า แว่นกันแดดกลมโต ทำให้ใบหน้าของเธอดูน่าเกรงขาม ได้ก้าวลงมาจากรถอย่างสง่างาม ยังไม่ทันที่พลขับจะวิ่งอ้อมมาอีกด้านหนึ่งของประตู อีกคนที่นั่งอยู่ด้านในก็เปิดออกมาเองด้วยท่าทีที่เร่งรีบ
หญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งสมส่วน ในชุดยีนส์สีดำ คาดเข็มขัดหนัง สวมรองเท้าบูทส้นสูงพอประมาณ สวมแว่นกันแดด ทรงทันสมัยรับกับใบหน้า ริมปีปากที่อวบอิ่มได้รูปกับจมูกที่โด่งเชิดเล็กน้อยทำให้ใบหน้าของเธอเด่นสะดุดตา ผมสีน้ำตาลอ่อนประกายทองที่ถูกปิดด้วยหมวกเบเลย์ไว้ แต่ส่วนปลายกลับถูกปล่อยให้ยาวสยายถึงกลางหลังอย่างตั้งใจ เรียกความสนใจจากทุกสายตาให้จ้องมาที่เธอ จนลืมหญิงคนแรกที่ก้าวลงมาก่อนหน้านี้
เธอไม่รอช้าเดินแกมวิ่งอ้อมไปด้านหลังก่อนพลขับแล้วกดล๊อคฝากระโปรงหลังก้มลงหยิบกระเป๋าเดินทางด้วยท่าทีที่รีบเร่ง
“คุณรดาขอรับ เดี๋ยวผมจัดการยกไปให้เองไม่ต้องลำบาก” พลขับต้องรีบปรามไม่อย่างนั้นนายสาวคงจะจัดการทุกอย่างเสียเองตามประสาคนคล่องแคล่วและใจร้อน
“จะรีบอะไรมากมายยัยรดา ให้บรรจงเขาจัดการ เดี๋ยวก็ได้เอวเคล็ดเอวหักก่อนจะได้ไปแข่งขันหรอก”
“รดารีบ มาสายกว่าเวลานัดไปตั้งสิบนาที เดี๋ยวคนอื่นรอ โค๊ชจะค้อนเอาค่ะแม่” เธอหันมาอธิบายให้คนเป็นแม่ฟังแต่ก็ยอมถอยออกมาให้บรรจง สารถีประจำบ้านจัดการทั้งหมดให้แต่โดยดี
การเดินทางไปกับคณะในครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของการบินไปแข่งขันต่างประเทศ แต่ในครั้งนี้วฏิรดาตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะอะไรเธอรู้ตัวเองดี คุณเดือนพักตร์ผู้เป็นแม่ไม่รู้ความนัยจึงเพียงแต่สงสัยว่าลูกสาวทำไมทำท่าตื่นเต้นมากมายทั้งๆ ที่การเดินทางไปต่างประเทศของวฏิรดาเป็นเรื่องที่ปกติมากในชีวิตที่ผ่านมา
วฏิรดาจูงมือแม่ให้เดินไปที่กลุ่มนักกีฬาที่รออยู่ ปล่อยให้บรรจงจัดการกระเป๋าเดินทาง ตามคำเตือนของเดือนพักตร์ ทุกคนในคณะหันมายกมือทักทายเดือนพักตร์อย่างนอบน้อมไม่เว้นแม้แต่โค๊ช เพื่อนเร่วมทีมของวฏิรดารู้จักเดือนพักตร์ดีในฐานะเศรษฐีไฮโซ ผู้มีหน้าตาในสังคม และเป็นผู้ที่ให้ทุนสนับสนุนสมาคมกีฬายิงปืน
“สวัสดีครับท่าน” โค๊ช สมชาติทักทายก่อนใครอื่น
“สวัสดีคุณสมชาติ ฝากรดาด้วยนะ” คุณเดือนพักตร์ทำหน้าที่แม่เช่นการเดินทางทุกครั้งที่ต้องฝากฝังลูกสาวคนเดียวของเธอให้โค๊ชช่วยดูแลด้วยความอุ่นใจ
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับท่าน ทีมของเราดูแลกันและกันอย่างดีครับ”
“ยัยรดาเขาติดใจร้อน ดูซินี่พี่ทำให้เขามาช้าไปสิบนาที เขาทำท่าเหมือนมาสายไปสิบชั่วโมง” คนเป็นแม่รับผิดเรื่องการมาสายเสียเอง วฏิรดาต้องเดินไปกอดแขนแล้วอ้อน
“รดาช้าเองต่างหาก ไม่ใช่แม่สักหน่อย” เดือนพักตร์ลูบหัวลูกสาวด้วยความรัก
“รดาไปโหลดกระเป๋าก่อนนะคะ บรรจง ไปกับรดา” วฏิรดาหันไปชวนพลขับที่ยืนอยู่ข้างกระเป๋าเดินทางใบโต เพียงไม่กี่นาทีเธอก็เดินกลับมารวมกลุ่มยังไม่ทันที่จะได้สนทนากันต่อเสียงประกาศเชิญให้ผู้โดยสารที่จะเดินทางไปยังประเทศชีร่าห์ให้เข้าไปยังพักผู้โดยสารทำให้ทุกคนหันไปล่ำลาญาติของตัวเองรวมถึงวฏิรดาด้วย
“แม่ขา ดูแลตัวเองด้วยนะ รดาจะเอาข่าวของพ่อมาเป็นของฝากนะคะ” ลูกสาวคนเดียวของเดือนพักตร์สวมกอดมารดา อ้อมกอดของแม่วันนี้อบอุ่นเหลือเกิน แต่ทำไมวฏิรดารู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก
“จะห่วงแม่ทำไม รดาไปออกบ่อยๆ เดี๋ยวก็กลับมา” เดือนพักตร์พูดให้ลูกสาวสบายใจ แท้จริงแล้ว คนเป็นแม่เองก็รู้สึกใจหาย เดือนพักตร์บอกกับตัวเองว่าการเดินทางของลูกสาวในครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ ซึ่งเธอก็พยายามจะอธิบายความรู้สึกของตัวเองว่ามันคงเกิดจากการที่ลูกสาวจะเดินทางไปในประเทศที่สามีสุดที่รักได้หายสาบสูญไปนั่นเอง ความรู้สึกใจหายจึงเกิดขึ้นกับเธอได้
วฏิรดาสวมกอดแม่ น้ำตาคลอ “แม่ขา รดารักแม่ที่สุด รดาจะดูแลตัวเอง และจะกลับมาหาแม่แน่นอน” คำว่าแน่นอนของวฏิรดาไม่หนักแน่น มันถูกกลื่นหายลงไปในลำคอ เพราะคนพูดรู้ดีว่า เธอจะไปทำอะไรที่นั่นโดยที่แม่ไม่อาจร่วงรู้ได้ และเธอเองก็ยังไม่แน่ใจว่าในภายภาคหน้าจะมีเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นกับเธอบ้าง ความกลัว ความหวาดระแวงลึกๆ ในหัวใจทำให้เสียงที่เปล่งออกมาต้องจมหายไปในลำคอที่ตีบตันของเธอ
เดือนพักตร์ประคองหน้าลูกสาวเช็ดน้ำตาให้เบาๆ แล้วกล่าวด้วยเสียงที่พยายามจะแสดงความเข้มแข็งให้ลูกสาวได้เห็น
“อะไร ยัยรดาคนเก่งของแม่ วันนี้ทำไมขี้แย ทุกครั้งเห็นร่าเริงอย่างกับอะไรดีที่จะได้โบยบินไปจากอกแม่” เธอสวมกอดลูกสาวแล้วกล่าวต่อ
“แม่เกือบลืมให้ของสำคัญกับลูก” เธอเปิดกระเป๋าหยิบกล่องกำมะหยี่เล็กๆ สีดำออกมาส่งให้ลูกสาว
“แม่ตั้งใจจะให้หนูตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแต่เห็นลูกยุ่งกับการจัดของแม่ก็เลยลืม มันเป็นสร้อยทองคำขาวกับล๊อคเก็ตที่ทำมาจากทองคำขาวเหมือนตัวสร้อย เป็นของเก่าที่พ่อเขาได้มา เป็นของรักของหวงของพ่อเขามาก ลูกเก็บไว้ให้ดี ลูกจะเดินทางไปชีร่าห์ แม่อยากให้ลูกเก็บของสำคัญของพ่อติดตัวไว้เพื่อเป็นเครื่องรางจะได้ปลอดภัย” วฏิรดารับมาแล้วเก็บลงเป้ก่อนจะสวมกอดแม่อีกครั้งน้ำตาซึม
“ขอบคุณค่ะแม่ รดาจะนำเครื่องรางแห่งความโชคดีเส้นนี้ติดตัวไว้ตลอดค่ะ”
“ไปได้แล้ว ลูกแม่ไม่ใช่คนอ่อนแอ รดาเก่งที่สุดในสายตาของแม่ แม่เชื่อมั่นลูกจะคว้าชัยชนะมาให้แม่ชื่นชมเหมือนเช่นทุกๆ ครั้ง” เดือนพักตร์ยิ้มให้ลูกสาวก่อนจะรุนหลังให้วฏิรดาหันหลังเดินเข้าสู่ห้องพักผู้โดยสารพลันสายตาของเธอเหลือบไปเห็นชายหนุ่มในชุดทหารเต็มยศเดินแกมวิ่งตรงมายังจุดที่เธอและแม่ยืนอยู่
“พี่วินทร์ทางนี้ค่ะ” วฏิรดายกมือเรียก
“พี่มาเกือบไม่ทันส่งรดา” เขาส่งสายตาหวานซิ้งมาพร้อมคำพูดจนลืมสนใจคุณเดือนพักตร์ผู้เป็นแม่
แฮ้ม!!
“โอ้ สวัสดีครับแม่ ขอโทษครับผมไม่ทันมองมัวแต่กังวลจะไม่ทันมาส่งรดา” พี่วินทร์รีบแก้ตัวเมื่อได้ยินเสียงกระแอมเชิงตำหนิ
“ไม่เป็นไรหรอกผู้สูงอายุก็มักจะไม่มีคนมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดาแม่ว่ารดารีบไปเถอะลูกเดี๋ยวจะไม่ทันคนอื่นๆ เขารออยู่”
“ค่ะแม่ ขอบคุณพี่วิทร์มากค่ะที่อุตส่าห์แวะมาส่ง เอาไว้เจอกันนะคะ ไปก่อนละคะสวัสดีค่ะ” วฏิรดาหันมากอดแม่แถมจุ๊บเบาๆ สองแก้มก่อนจะเดินตัวปลิวเข้าไปในห้องพักผู้โดยสารโดยไม่ลืมหันมาโบกมือลา ชัชวินทร์ที่อุตส่าห์มาส่ง
“หวานใจเกือบไม่ทันส่งนะคะพี่รดา” สาวิตรีแซว
“หวานจงหวานใจอะไรน้องสา พี่วินทร์เขาก็เป็นพี่ที่ดีคนหนึ่งเท่านั้น”
“พี่รดาเห็นเขาเป็นพี่ที่ดี แต่สาว่าพี่วินทร์ไม่ได้อยากเป็นพี่ที่ดีหรอก”
“แหม...ไม่มีอะไรหรอกน้องสา พี่รดาห้วใจยังว้างงงงง” วฏิรดาทำเสียงล้อเสียงนักร้องลูกทุ่งชื่อดังจนสาวิตรีหัวเราะ
ขณะนั่งรอขึ้นเครื่องบินวฏิรดาหยิบเอากล่องกำมะหยี่ที่แม่เพิ่งให้มาเปิดดู สร้อยทองคำขาวเส้นเล็กที่มีล๊อคเก็ตเป็นรูปเลขสามทำจากทองคำขาวเหมือนตัวสร้อย ถ้าจะพูดถึงราคาแล้วคงไม่มีราคาเท่ากับสร้อยกับล๊อคเก๊ตเพชรที่เธอสวมใส่อยู่ตอนนี้ แต่มันมีค่าเพราะเป็นของเก่าที่พ่อรักและหวงเธอจึงบรรจงปิดฝากล่องเก็บไว้ในเป้แล้วกอดเป้ไว้รู้สึกอุ่นใจเหมือนมีพ่อเดินทางไปด้วย
สายการบิน Royal Cheera แบบ Airbus A-310-300 ใช้เวลาในการบินจากสนามบินสุวรรณภูมิ สู่สนามบิน นานาชาติ Cheera Alia กรุงชีร่าห์ดัมเมืองหลวงในเวลาใกล้รุ่ง วฏิรดาต้องปรับเข็มนาฬิกาให้เป็นเวลาของชีร่าห์ซึ่งช้ากว่าประเทศไทยถึงห้าชั่วโมง
รถของโรงแรมที่ทีมงานได้จองไว้มารอรับคณะเดินทาง โดยไม่ต้องเสียเวลาในการรอ วฏิรดาพักกับสาวิตรีเพื่อนนักแม่นปืนที่สนิทที่สุด สาวิตรีเป็นนักแม่นปืนรุ่นน้องที่มีความสามารถในการยิงปืนสั้นมากกว่าอุปกรณ์ชนิดอื่น ส่วนวฏิรดานั้นเธอมีความสามารถทั้งปืนสั้นปืนยาว แต่ที่เด่นที่สุดคือเป้าบินที่นักแม่นปืนหญิงในเมืองไทยไม่มีใครลบสถิติของเธอได้
ทันทีที่มาถึงห้องพัก วฏิรดาไม่รอช้า เธอจับกระเป๋าเดินทางใบโตยัดใส่เข้าไปในตู้เสื้อผ้าโดยไม่สนใจที่จะดึงเอาเสื้อผ้าออกมาจัดเรียงให้เรียบร้อย เป้ประจำตัวถูกคว้าขึ้นมาใส่บ่าจนสาวิตรีมองด้วยความสงสัย
“พี่รดาทำท่าเหมือนจะออกไปไหน ไม่นอนพักก่อนหรือค่ะ ยังไม่สว่างเลย”
“เช้าๆ อย่างนี้สถานที่ท่องเที่ยวที่พี่ชอบที่สุดน้องสาก็น่าจะรู้” เธอหันไปสนทนากับเพื่อนร่วมห้อง
“น้องสาไม่ลองไปเที่ยวตลาดกับพี่รดาบ้างหรือค่ะ” วฏิรดาจะแทนตัวเองด้วยชื่อที่แม่เรียกกับทุกคนที่เธอรู้จัก
“ไม่ไหวค่ะ สาเมาเครื่อง อยากนอนต่ออีกสักงีบ พี่รดาระวังตัวด้วยนะคะ ไม่มีใครไปด้วย ที่จริงรอเช้าพรุ่งนี้ษาจะไปเป็นเพื่อนได้ วันนี้ษาไม่ไหวจริงๆ” สาวิตรียื่นข้อเสนอ แต่ไม่สามารถจะรั้งวฏิรดาไว้ได้ เธอตั้งใจว่าเวลาทุกวินาทีที่อยู่ในประเทศนี้เธอจะใช้มันให้เกิดประโยชน์ในการสืบเสาะข้อมูลของพ่อให้ได้มากที่สุด เป้คู่กายจึงถูกกระหวัดขึ้นใส่บ่า เธอหันมายิ้มให้เพื่อนร่วมห้อง
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะน้องสา พี่รดาแค่ไปเดินเล่น ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงไม่ใช่หรือ” สาวิตรียิ้มแล้วโบกมือให้ก่อนจะซุกตัวลงในผ้าห่มบนเตียงนุ่มของห้องพักโรงแรม
สาวสวยในชุดยีนส์สีดำตัวเดิมเดินมายังร๊อบบี้โรงแรม เธอแวะเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ สอบถามเส้นทางและพาหนะที่จะพาเธอไปยังตลาดสดที่ใกล้โรงแรมที่สุด
การสื่อสารในชีร่าห์ประเทศเล็กๆ ที่มั่งคั่งไปด้วยน้ำมันไม่ได้เป็นอุปสรรค์กับเธอเลย ประเทศนี้แม้จะมีภาษาอารบิคเป็นภาษาประจำชาติ แต่ชาวชีร่าห์ทุกคน ตั้งแต่คนใช้ คนเลี้ยงลา ไปจนถึงเศรษฐี และนายกรัฐมนตรี สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีพอๆ กับภาษาประจำชาติของพวกเขา วฏิรดาจึงมั่นใจว่าเธอจะปลอดภัยเพราะไม่มีอุปสรรคในการสื่อสารอย่างแน่นอน
หลังจากก้าวขึ้นแท็กซี่ที่พนักงานโรงแรมเรียกให้เธอกระชับเสื้อยีนส์ที่หนาพอจะทำให้ร่างกายอุ่นได้ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่าห้าองศา บรรยากาศยามใกล้รุ่งของกรุงชีร่าห์ดัมแม้จะยังไม่สามารถมองเห็นสภาพทั่วไปได้ชัดเจน แต่ก็พอจะเห็นว่าตึกรามบ้านช่องของย่านเมืองหลวงของชีร่าห์ก่อสร้างด้วยหินทรายสีธรรมชาติแทบจะไม่มีหลังไหนแต่งแต้มสีอื่นเลยนอกจากสีที่แท้จริง ทำให้มองเห็นตึกสีเหลืองนวลตาตลอดเส้นทาง
รถมาจอดอยู่ตรงด้านหน้าตึกหลังหนึ่ง คนขับเชื้อเชิญให้เธอลง แล้วบอกเส้นทางเดินต่อเพื่อเข้าไปยังตลาด วฏิรดานัดหมายกับรถเอาไว้ว่า อีก หนึ่งชั่วโมงเธอจะกลับมาที่จุดนี้เพื่อกลับไปยังที่พัก เธอสาวเท้าก้าวออกไปยังจุดที่คนขับรถชี้ทางให้ ยังไม่ทันจะมองเห็นจุดหมายปลายทาง ร่างของเธอก็เซถลาเพราะถูกชนเข้าอย่างแรง แต่ก่อนที่จะล้มลงกระแทกพื้นก็มีมือแข็งแรงของชายแปลกหน้าที่ชนเธอเกือบล้มคว้าเอาไว้เสียก่อน จากนั้นก็กระชากเธอให้วิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว วฏิรดาจำเป็นต้องวิ่งตามชายแปลกหน้าไปเพราะแรงกระชาก เสียงออกคำสั่งของชายนิรนามเป็นภาษาอราบิคที่วฏิรดาไม่สามารถเข้าใจได้ เธอพยายามขัดขื่นแต่สู้แรงเขาไม่ได้ จึงปล่อยให้เขาลากเธอวิ่งไปตามซอย พอหันมาด้านหลังก็เห็นชายฉกรรจ์สี่ห้าคนวิ่งไล่มาติดๆ วินาทีนั้นวฏิรดาไม่รอให้ชายแปลกหน้าออกแรงลากเธออีกต่อไป เธอวิ่งตามเขาไปด้วยความเร็วเท่าที่กำลังเธอจะทำได้ทั้งสองวิ่งมาได้ไม่เท่าไหร่ ก็พบชายอีกกลุ่มหนึ่งตั้งแถวรออยู่ในมือของทุกคนมีปืนยาวที่หันปากกระบอกปืนมาที่เธอและเขา ชายนิรนามถือปืนยาวจ้องไปยังกลุ่มที่อยู่ด้านหน้า เขาหันมาสั่งเธอเป็นภาษาอังกฤษหลังจากพยายามสื่อสารกับเธอด้วยภาษาอารบิคไม่ได้ผล
“ระวังตัวให้ดี ด้านซ้ายมือมีซอกแคบๆ ที่ทะลุไปยังถนนใหญ่ได้ ค่อยๆ ก้าวถอยหลังไปอีกสี่ห้าก้าวจะมองเห็น ผมจะยิงสกัดคุณหนีเอาตัวรอดไปเสีย” เสียงสั่งที่เฉียบขาดทั้งๆ ที่อยู่ในภาวะวิกฤตที่สุดของชีวิตทำให้วฏิรดาคิดหาทางที่จะช่วยเขาให้รอดพ้นกับมัจจุราชที่จ้องเขมือบเขา สมองของเธอสั่งการณ์ในทันที
“มีปืนอีกมั๊ย” เธอถามออกไปขณะที่มือและเท้าอยู่ในท่าเตรียมพร้อมวิ่งหนีเอาตัวรอด
“มี ล้วงเข้ามาในชายเสื้อปืนสั้นอยู่ที่เอว” เขาตอบอย่างรวดเร็ว วฏิรดาเองก็ไม่รอให้เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวเธอล้วงเข้าไปที่บั้นเอวของชายนิรนามแล้วดึงมือกลับมาพร้อมกับปืนสั้นกระบอกพอดีมือแล้วจัดการมันอย่างชำนาญ
“หนีด้วยกัน” เธอออกคำสั่งบ้าง
“คุณแน่ใจว่าใช้มันเป็นหรือ” เขาถามเพื่อความแน่ใจ
“เป็น” เธอตอบสั้นๆ ตายังจ้องไปที่กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ย่างสามขุมเข้ามาหาทั้งคู่
“ยิง แล้ววิ่งไปก่อน ผมจะตามไป” ชายนิรนามวางแผนแล้วสั่งทันที
“ยิง”
ปั๊งๆๆๆๆๆๆๆ
ปั๊งๆๆๆๆๆๆๆ
โอ๊ยๆๆ
เสียงปืนจากวฏิรดาและชายนิรนามดังขึ้นพร้อมกัน ตามมาด้วยเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของศัตรู วฏิรดาไม่รอดูผลเธอหันหลังวิ่งออกไปตามซอกแคบๆ เพียงไม่กี่เมตรก็เจอถนน เธอหยุดชะงักคิดว่าจะไปทางไหนดี ยังไม่ทันได้ตัดสินใจข้อมือของเธอก็ถูกชายนิรนามกระชากให้วิ่งตามไปทางซ้ายมือ เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายตามหลังมา ทั้งสองไม่มีเวลาที่จะหันไปดู เขาพาเธอวิ่งเข้าซอยเล็กๆ ซอกแซกไปตามตึกสูงของเมืองหลวง ได้สักพักแล้วจึงหยุด เขาฉุดให้เธอนั่งลง เก็บปืนยาวสะพายไหล่แล้วใช้เสื้อคลุมปิดทับเอาไว้ เธอส่งปืนคืนเขาแต่เขากลับส่ายหน้า เสียงไซเรนของรถตำรวจดังก้องมาตามท้องถนน
“ปลอดภัยแล้ว คุณเก็บมันเอาไว้ป้องกันตัวเถอะ” เขาพูดน้อยเหมือนเดิม วฏิรดาเพิ่งจะมีโอกาสได้มองเขาเต็มตา ชายรูปร่างสูงใหญ่ในชุดพื้นเมืองโพกศีรษะเช่นชายอาหรับทั่วไป มีเพียงดวงตาโตลึกและขนตาที่ยาวเป็นแพเท่านั้น ที่โผล่พ้นผ้าคลุมให้เธอได้เห็น จมูกมีผ้าพันทับเอาไว้แต่ก็ยังมองเห็นสันที่โด่งได้รูป เขามองหน้าเธอนิ่งไปพักหนึ่งแล้วถามว่า
“คุณมาจากไหน” วฏิรดาบอกเพียงชื่อโรงแรมที่เธอพัก เขาก็ไม่ได้ซักไซ้
“เดี๋ยวผมจะเรียกรถให้ไปส่งคุณที่โรงแรมจะได้ปลอดภัย จากนี้ไปอย่างออกมาเดินคนเดียว พวกนั้นอาจจะจำคุณได้ซึ่งนั่นหมายถึงชีวิตของคุณจะตกอยู่ในอันตราย” เขาลุกขึ้นจะเดินไปเรียกรถ นึกขึ้นมาได้ว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่วิ่งหนีตายมาเพียงไม่กี่นาทีคงจะเหนื่อยอยู่ไม่น้อยจึงก้มลงไปถามด้วยเสียงที่เจือด้วยความรู้สึกห่วงใย
“เหนื่อยมากมั๊ย พอจะหายเหนื่อยบ้างหรือยัง” วฏิรดาพยักหน้า อยากรีบออกไปจากที่ตรงนี้ให้เร็วที่สุด เขาฉุดให้เธอลุกแล้วปล่อยมือเธอเป็นอิสระ
“ตามมาเดี๋ยวจะไปส่ง” ไม่รอคำตอบชายนิรนามเดินนำหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานแท็กซี่ที่เขาเรียกก็มาส่งเธอที่หน้าโรงแรมที่พัก เขาส่งเธอลงพร้อมกับคำขอบคุณสั้นๆ
“ขอบคุณที่ช่วยชีวิตผมไว้ ระวังตัวด้วย” แล้วแท็กซี่คันนั้นก็ทะยานออกจากโรงแรมไปทันที
มันช่างน่าอัศจรรย์และเหมือนความฝันเสียจริงๆ ที่เธอมีชีวิตหลุดรอดมาได้ เหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็ว จนวฏิรดายังรู้สึกมึนงง เล่าให้ใครฟังคงไม่มีใครเชื่อเธอว่าเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่เธอเหยียบย่างเข้าสู่แผ่นดินนี้ ได้มีเรื่องราวตื่นเต้นจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดผ่านวูบเข้ามาในชีวิตและผ่านเลยไป ไม่ทิ้งร่อยรอยหลักฐานที่จะเอาไว้บอกเล่าให้ใครๆ ฟังได้ เลยนอกจากปืนสั้นที่ยังมีกลิ่นดินปืนนอนสงบในกระเป๋าเสื้อของเธอกระบอกหนึ่ง เธอเดินมาที่ล๊อบบี้โรงแรม แล้วทรุดตัวลงนั่งที่โซฟา เอนศีรษะลงกับพนักสูดหายใจลึกๆ เพื่อเรียกสติกลับคืนมา ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันความตื่นเต้นทำให้วฏิรดาลืมถามไถ่ไปเสียสิ้น นั่งคิดเพลินประกอบความอ่อนเพลียทำให้เธอเคลิ้มหลับที่โซฟา มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อมีมือมาสะกิดเรียกเบาๆ เธอเด้งตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยความผวา
“ขอโทษค่ะ มีอะไรให้เราช่วยหรือเปล่า ท่าทางคุณเหมือนไม่สบาย” พนักงานของโรงแรมยิ้มแหยๆ ที่ทำให้แขกตกใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่อยากนั่งเล่น ขอบคุณที่เป็นห่วง ฉันขอตัวขึ้นห้องพักนะคะ” วฏิรดายิ้มให้อย่างขอบคุณก่อนจะเดินกลับห้องพัก
เธอใช่การ์ดสอดเข้าประตูห้องพักแล้วค่อยๆ เปิดและปิดประตูอย่างแผ่วเบาเพราะเกรงว่าจะทำให้สาวิตรีตื่น เพื่อนรวมห้องยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง วฏิรดาคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำก่อนที่จะออกมาซุกตัวในผ้าห่มงีบไปด้วยความอ่อนเพลีย
ความคิดเห็น