ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : สตรีสูงศักดิ์
บทที่ 4 สตรีสูงศักดิ์
    ณ ที่ยืนอยู่คือภายในครัวหลวง  และโต๊ะเตรียมอาหารแนวยาวนั้น  เรียงรายไปด้วยจานโตหลายใบ  ซึ่งแน่นอนว่าจานเหล่านั้นคือ เสบียงจำนวนมหาศาล. . .
   
    สาวน้อยผมสั้นยืนทำตัวไม่ถูกข้างกาย  ผิวของเจ้าหล่อนขาวหมดจด  นึกเอาไปเทียบกับมนุษย์หิมะผมเงิน  แค่ถูกกระซิบคำเดียวว่า หิว  ก็รีบนำทางมาทันทีไม่ต้องรอให้เอ่ยคำอื่นต่อ
   
    “ง่า  เดี๋ยวผมจัดการเอง  ขอบคุณมากคร้าบ ที่พามา”  เฟรินว่า  พลางโกยอาหารเข้าถุงสีแดง  ดูๆไปก็เหมือนซานตาครอสเตรียมของขวัญไปแจกเด็กๆ  เสียแต่ว่าของที่ใส่ไปหนะ มันคือ อาหาร กับ อาหาร  และคนที่แจกก็คือตัวเองคนเดียวเท่านั้น(ไม่เผื่อเพื่อนฝูง  เรื่องอาหารเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเสีย ยิ่งกว่าเงินทอง)
    คนฟังผงกหัวลง โน้มตัวอย่างสุภาพแล้วเดินจากไป  แม้จะฉงนที่คนตรงหน้าเรียกตัวเองว่า ‘ผม’กับการลงท้ายด้วย ‘ครับ’ หากด้วยมรรยาทแล้วไม่ควรถาม
    เมื่อสมองไร้รอยยักของคนกะล่อนออกความเห็นว่า  พอแล้ว ปากถุงก็ถูกรูดด้วยเชือกปิด  สัมภาระโดนโยนขึ้นพาดหลัง  ขาไวๆก้าวฉับออกไปพลางฮัมเพลงอย่างสบายใจ
    เบื้องหน้านั้นยาวไปเรื่อย  บรรยากาศแสงสลัวดูผิดตากับทางที่เพิ่งเดินผ่าน  เฟรินรู้สึกใจไม่ดีกับสถานการณ์แบบนี้เป็นที่สุด  ดังที่รู้กันว่ามันกลัวผี  อากาศที่ถูกตัวเริ่มเย็นขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้  หมอกจางๆแผ่ตามพื้นหินอ่อน  กลิ่นอายบางอย่างกำลังปกคลุม
    หัตถ์นวลยกขึ้นปัดหมอกให้ออกไปจากดวงหน้า  นัยน์ตาสีน้ำตาลเพ่งตรง  ในใจนึกหาทางออกให้เร็วที่สุด  ปราสาทบ้าอะไรกัน  พ่นควันตามทางได้ด้วย  เขาไม่ใช่ไอศกรีมซักหน่อยจะมาพ่นวิปครีมใส่ซี้ซั้วได้ไง
    “แล้วทางนี้มันจะนำไปไหนเนี่ย  กลับคนละทางกับตอนมาเป็นเรื่องเลยไง  เฮ้อ  เจ้าบ้าพวกนั้นจะรู้มั้ยเนี่ย (ว่ามีขโมยคนหนึ่งหลงทางตาดำๆเดินมั่วคลำๆหาทางออก)”   
    ปากก็บ่นพึมพำอะไรแก้หนาวไป  ทั้งที่ร่างกายสั่นน้อยๆ 
   
    เพราะบันไดน่าเวียนหัวนั่น  เล่นหมุนวนเป็นสิบๆรอบ  ไปถึงก็ตาลายพอดีไม่ต้องทำอะไรต่อ  ตอนขึ้นบันไดตามสาวน้อยแม่บ้านคนนั้นมาได้ก็เพราะแรงโหยหิวล้วนๆ  ความไม่อยากไม่ชอบก็เลยดลให้มาทางนี้  เป็นอย่างที่บ่นไปนั่นแหละ(ขนาดบ่นยังขี้เกียจ  เปลืองพลังงานจากการกินโดยใช่เหตุ)
    พลันอาการผิดปกติบางอย่างก็เกิดขึ้น  เมื่อไอรอบๆตัวโดนกระแสลมหอบไปเบื้องหลัง  แยกกลุ่มควันออกจากทาง
    ลมในทางเดิน?    ทางเดินมิดชิดซึ่งไม่มีหน้าต่าง. . .
    เฟรินกระชับเชือกในมือแน่นขึ้น  ขณะที่อีกข้างเรียกผ่าปฐพีออกมาเตรียมพร้อม  คลื่นพลังเข้าปะทะ
   
    ก็ไม่คิดว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดีหรอก  ยิ่งเป็นครึ่งเดมอสด้วยแล้ว. . .
    หัวขโมยวางถุงใหญ่ลงข้างตัว  ก่อนยกมือมาสัมผัสแผลเป็นใต้ตาอย่างเคยชิน  ภาพเบื้องหน้ากระจ่างชัด  เสียงฝีเท้าดังก้องบอกถึงการมาของบุคคลน่าสงสัย  ร่างนั้นเข้ามาใกล้เรื่อยๆ  หัวใจเต้นเร็วขึ้น  ดังขึ้น  โดยที่เจ้าหล่อนพยายามคุมจังหวะการเต้นให้เป็นปกติ 
.
   
    นักฆ่านัยน์ตาม่วงมองมีดสั้นในมือด้วยความสำราญ  ริมฝีปากผิวสบายใจ  ขาข้างหนึ่งยกขึ้นมาตั้งชันนั่งบนเก่าอี้ดูไม่มีมารยาทเท่าไหร่  แต่ไม่มีใครคิดจะท้วงติงแม้แต่น้อย  เพราะข้อแรก  ไม่มีแม่บ้านหรือคนของปราสาทอยู่ในห้องรับรองนี้เลย  ข้อสอง  เพื่อนอีกสองคนมันก็ไม่เจ้าระเบียบจัดขนาดหาไม้เรียวมาฟาดขาเขาหรอกแม้จะตีลังกานั่ง
    เป็นการผ่อนคลายหลังจากเจ้าบ้านออกมาต้อนรับแล้ว ซึ่งก็ไปแล้วด้วย  มาไวไปไว  กลัวไปกินมาม่าที่ต้มไว้ไม่ทันหรือไง  เจ้าบ้านที่ดูประหลาดๆ. . .คิลคิดแล้วก็เก็บมีดลง  ก่อนความสนใจของนักฆ่าจะถูกหันเหด้วยการเปรยขึ้นมาของโร  เซวาเรส
   
    “ 1 ชั่วโมง  6 นาที”
    คิลมองไปยังคนพูดผู้ยกนาฬิกาพกออกมาดู  แล้วถาม
    “จับเวลากลั้นหายใจ?”
    คาโลลุกขึ้นทันที  เสียงดันเก้าอี้ออกจะดังพอสมควรให้คิลมองตาม  เลิกการซักแห้ง  ซักเปียกกับห้องสมุดเคลื่อนที่
    ร่างสูงสาวตรงไปยังประตู  ขณะที่โรขยับยิ้มบางตรงมุมปาก
    เป็นเวลา1ชั่วโมงกว่าที่หัวขโมยปากไวหายออกไปจากห้องแล้วยังไม่โผล่หัวกลับมา  เจ้าชายขี่ม้าขาวเลยต้องไปรับ
    “นายไปไหน”  คนไม่รู้เรื่องถามคำถามที่สอง  หลังจากคำถามแรกเหมือนแซวมากกว่าไม่มีคนตอบ  แต่ผู้ถูกถามกลับออกไปโดยเร็วไม่ทิ้งคำตอบไว้  ปล่อยให้คิลเกาหัวแกรกแบบใครบางคนบ้าง  ทีนี้เหยื่อก็เหลือคนเดียว
    โรยกเก้าน้ำชามาจิบรอกันถูกถามด้วยความรู้ทัน  คนผมยุ่งคาดคั้น  เดินเข้ามาใกล้  เท้าแขนที่เก้าอี้ตัวเดียวกับผู้ถูกถาม
    “มันไปไหน”
...................................................................................................................
    “ง่า  ฮาๆ  ขอบพระทัยฝ่าบาท”  เสียงเจื้อยแจ้วใสๆดังขึ้น  หัวก้มปลกๆ  จนผมเผ้าพันเต็มหน้าต้องแกะเป็นพัลวัน
    คู่สนทนารับยิ้ม หัตถ์ขาวยกขึ้นประกอบท่าหัวเราะตามตำราชาววัง  กริยามารยาทนุ่มนวลต่างกันลิบลับกับคนพูดด้วย  ชายกระโปรงยาวลากพื้นน่าหวาดเสียวว่าจะเดินเหยียบสะดุดล้มเองรึเปล่า  ผมยาวถูกรวบขึ้นเป็นมวยแต่บางส่วนก็ยังปล่อยตัวตรงลงมาอย่างมีน้ำหนัก (แชมพูที่ใช้ดีแล้วหรือ?)
    “กระหม่อมก็ไม่คิดว่าทางนี้มันจะไปถึงวังหลังนู่น”  หัวขโมยแก้ตัวน้ำใส(แบบลูกชิ้นน้ำใส)  เดินขนาบข้างสตรีสูงวัยกว่า  “แต่ว่าไม่คิดว่าจะมาเจอฝ่าบาทที่นี่แบบนี้เลยครับ โชคดี  โชคดี~” เจ้าตัวว่าต่อ  ท่อนหลังคล้ายฮัมเพลง
    คนฟังขยับยิ้มอีกครั้ง. . . คนฟังผู้เป็นถึงหนึ่งในสามจอมภูตแห่งสโนแลนด์. . .
    คนที่เฟรินอยากเจอมากที่สุดคนหนึ่ง  ด้วยความที่ชื่อเสียงระบือไกลทั่วเอเดน  กระทบไหล่คนดังไม่ใช่เรื่องง่าย  ยังไงก็ต้องขอลายเซ็น(?)ไปอวดเพื่อน
    แต่อีกประการที่ทำให้อยากพบเช่นกันก็คือ  นางเป็นแม่ของ. . .
    เจ้าหล่อนเว้นช่วงคิด  ปาดจมูกแม้ไม่มีเหงื่อ  แล้วลอบสังเกตสตรีสูงศักดิ์ข้างๆต่อ
    ผมเงินเหมือนเจ้าชายคนสำคัญ  ต่างกันตรงนัยน์ตาสีเดียวกับผมดูโปร่งใสกว่า  ผิวขาวเหมือนหิมะ  ในมือถือคทายาวไม่ห่างตัว  หัวคทาเป็นประกายเช่นเพชร
    หัวขโมยตัวแสบได้แต่หัวเราะแหะๆ  หาเรื่องชวนคุยไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุดด้วยความประหม่าหน่อยๆ  เจ้าหล่อนสวย  สวยมากๆ อาจจะสวยกว่าราชินีจันทราด้วยซ้ำ  จะว่าไปท่านอาลูน่า  ถ้าเป็นชาวเอเดนคงมีหนุ่มถือดอกกุหลาบไปจีบทุกวันเหมือนกัน  เสียแต่ท่านเป็นชาวเดมอส  สงสัยไม่ตรงสเป็คหนุ่มแผ่นดินนั้น  หรือจะแหยงจนไม่กล้าจีบ?
    อิจฉาคาโลมันนิดๆ  แม่สวยแบบนี้ไม่เคยเล่าให้ฟัง  แต่ก็อย่างว่า  แค่มันพูดด้วยตามปกติก็นับว่าดีแค่ไหนแล้ว  ไม่รู้มันจะกลัวความลับราชการแตกอะไรนักหนา
    แล้วจู่ๆคนอยากรู้ก็ชะงักฝีเท้า  ให้คุณแม่ยังสวยหยุดกลับมามอง  เงียบไปชั่วอึดใจการเปรยถามก็เริ่ม
    “ไฮคิงทรงบัญชาหม่อมฉันให้มอบสิ่งนี้กับฝ่าบาท”  เฟรินหยิบกล่องไม้เล็กๆออกมา  ยื่นแก่สตรีผมเงิน  เจ้าหล่อนมีสีหน้าตื่นขึ้น  นัยน์ตาสีเงินเบิกกว้างก่อนแปรเปลี่ยนเป็นปกติเกือบจะทันที  มือขาวยื่นมารับไว้
    “ขอบใจ. . .มาก  เฟลิโอน่า”  น้ำเสียงสั่นเครือของคนรับทำเด็กส่งของไม่สบายใจ  วินาทีซึ่งอึดอัดเป็นที่สุด ทำไมนางถึงทำหน้าแบบนั้น  เฟรินถือสิทธิ์มองหน้าตรงๆ หวังค้นหาสาเหตุ
   
    “ฝ่าบาท?”  หัวขโมยผิดสังเกต
    จอมภูตคนงามสะดุ้งขึ้นเหมือนตื่นจากภวังค์    กลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม  แล้วยืดวรกายขึ้นตรง  ผ่อนลมหายใจออก
    “อีกนิดก็จะถึงห้องรับรองแล้ว”  นางยิ้มคล้ายฝืน  เดินนำเร่งให้คนตามมาสมทบ  แต่ดูเหมือนเท้าไวๆของผู้ตามจะเดินเลยไปหน่อย  จึงแซงนำไปที่ช่วงเลี้ยวแล้ว. . .
    โครม
    คนไม่ระวังเซไปข้างหลังเกือบล้ม  และด้วยทักษะของสุดยอดหัวขโมยจึงรั้งตัวไว้ให้สมดุลได้  ก่อนถอนหายใจโล่งอก  มองไปหาอีกคนซึ่งคนด้วย
    “คิล”
    นักฆ่าจากซาเรสทรงตัวได้ก็ยันโครมเข้าให้กับลูกหมาในร่างคน  มันเดินประสาอะไร(ฟะ)
    “เฮ้ย  จะทำอะไรวะ  คิล  แกชนฉันเองนะ”  พูดจบก็โดนศอกกระทุ้งเข้าเต็มหน้า
    “แกสิ  ไอ้หมาตาบอด”
   
    ไอสังหารพวยพุ่งเป็นการใหญ่  ตอบสนองกับอารมณ์ปุดๆของเจ้าของ  ดูน่ากลัวเกินกว่าจะเป็นการเอาคืนนิดๆหน่อยๆ  ให้เจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยืนหลบฉากกันโดนลูกหลงหลังประเมินเหตุการณ์  ยืนยิ้มไม่รู้ไม่ชี้ปลอดภัยไป
    จอมภูติแห่งสโนแลนด์ได้แต่ยืนงงเป็นไก่ตาแตก  เกิดมาไม่เคยเห็นหมากัดกันจะได้เห็นก็งวดนี้  (ปกติคงเห็นแต่หงส์กัดกันในสภา)  ก่อนจะนิ่งสนิทไปเมื่อเด็กหนุ่มร่างสูงเปรยเรียกเบาๆ
    “เสด็จแม่”
    ณ ที่ยืนอยู่คือภายในครัวหลวง  และโต๊ะเตรียมอาหารแนวยาวนั้น  เรียงรายไปด้วยจานโตหลายใบ  ซึ่งแน่นอนว่าจานเหล่านั้นคือ เสบียงจำนวนมหาศาล. . .
   
    สาวน้อยผมสั้นยืนทำตัวไม่ถูกข้างกาย  ผิวของเจ้าหล่อนขาวหมดจด  นึกเอาไปเทียบกับมนุษย์หิมะผมเงิน  แค่ถูกกระซิบคำเดียวว่า หิว  ก็รีบนำทางมาทันทีไม่ต้องรอให้เอ่ยคำอื่นต่อ
   
    “ง่า  เดี๋ยวผมจัดการเอง  ขอบคุณมากคร้าบ ที่พามา”  เฟรินว่า  พลางโกยอาหารเข้าถุงสีแดง  ดูๆไปก็เหมือนซานตาครอสเตรียมของขวัญไปแจกเด็กๆ  เสียแต่ว่าของที่ใส่ไปหนะ มันคือ อาหาร กับ อาหาร  และคนที่แจกก็คือตัวเองคนเดียวเท่านั้น(ไม่เผื่อเพื่อนฝูง  เรื่องอาหารเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเสีย ยิ่งกว่าเงินทอง)
    คนฟังผงกหัวลง โน้มตัวอย่างสุภาพแล้วเดินจากไป  แม้จะฉงนที่คนตรงหน้าเรียกตัวเองว่า ‘ผม’กับการลงท้ายด้วย ‘ครับ’ หากด้วยมรรยาทแล้วไม่ควรถาม
    เมื่อสมองไร้รอยยักของคนกะล่อนออกความเห็นว่า  พอแล้ว ปากถุงก็ถูกรูดด้วยเชือกปิด  สัมภาระโดนโยนขึ้นพาดหลัง  ขาไวๆก้าวฉับออกไปพลางฮัมเพลงอย่างสบายใจ
    เบื้องหน้านั้นยาวไปเรื่อย  บรรยากาศแสงสลัวดูผิดตากับทางที่เพิ่งเดินผ่าน  เฟรินรู้สึกใจไม่ดีกับสถานการณ์แบบนี้เป็นที่สุด  ดังที่รู้กันว่ามันกลัวผี  อากาศที่ถูกตัวเริ่มเย็นขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้  หมอกจางๆแผ่ตามพื้นหินอ่อน  กลิ่นอายบางอย่างกำลังปกคลุม
    หัตถ์นวลยกขึ้นปัดหมอกให้ออกไปจากดวงหน้า  นัยน์ตาสีน้ำตาลเพ่งตรง  ในใจนึกหาทางออกให้เร็วที่สุด  ปราสาทบ้าอะไรกัน  พ่นควันตามทางได้ด้วย  เขาไม่ใช่ไอศกรีมซักหน่อยจะมาพ่นวิปครีมใส่ซี้ซั้วได้ไง
    “แล้วทางนี้มันจะนำไปไหนเนี่ย  กลับคนละทางกับตอนมาเป็นเรื่องเลยไง  เฮ้อ  เจ้าบ้าพวกนั้นจะรู้มั้ยเนี่ย (ว่ามีขโมยคนหนึ่งหลงทางตาดำๆเดินมั่วคลำๆหาทางออก)”   
    ปากก็บ่นพึมพำอะไรแก้หนาวไป  ทั้งที่ร่างกายสั่นน้อยๆ 
   
    เพราะบันไดน่าเวียนหัวนั่น  เล่นหมุนวนเป็นสิบๆรอบ  ไปถึงก็ตาลายพอดีไม่ต้องทำอะไรต่อ  ตอนขึ้นบันไดตามสาวน้อยแม่บ้านคนนั้นมาได้ก็เพราะแรงโหยหิวล้วนๆ  ความไม่อยากไม่ชอบก็เลยดลให้มาทางนี้  เป็นอย่างที่บ่นไปนั่นแหละ(ขนาดบ่นยังขี้เกียจ  เปลืองพลังงานจากการกินโดยใช่เหตุ)
    พลันอาการผิดปกติบางอย่างก็เกิดขึ้น  เมื่อไอรอบๆตัวโดนกระแสลมหอบไปเบื้องหลัง  แยกกลุ่มควันออกจากทาง
    ลมในทางเดิน?    ทางเดินมิดชิดซึ่งไม่มีหน้าต่าง. . .
    เฟรินกระชับเชือกในมือแน่นขึ้น  ขณะที่อีกข้างเรียกผ่าปฐพีออกมาเตรียมพร้อม  คลื่นพลังเข้าปะทะ
   
    ก็ไม่คิดว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดีหรอก  ยิ่งเป็นครึ่งเดมอสด้วยแล้ว. . .
    หัวขโมยวางถุงใหญ่ลงข้างตัว  ก่อนยกมือมาสัมผัสแผลเป็นใต้ตาอย่างเคยชิน  ภาพเบื้องหน้ากระจ่างชัด  เสียงฝีเท้าดังก้องบอกถึงการมาของบุคคลน่าสงสัย  ร่างนั้นเข้ามาใกล้เรื่อยๆ  หัวใจเต้นเร็วขึ้น  ดังขึ้น  โดยที่เจ้าหล่อนพยายามคุมจังหวะการเต้นให้เป็นปกติ 
.
   
    นักฆ่านัยน์ตาม่วงมองมีดสั้นในมือด้วยความสำราญ  ริมฝีปากผิวสบายใจ  ขาข้างหนึ่งยกขึ้นมาตั้งชันนั่งบนเก่าอี้ดูไม่มีมารยาทเท่าไหร่  แต่ไม่มีใครคิดจะท้วงติงแม้แต่น้อย  เพราะข้อแรก  ไม่มีแม่บ้านหรือคนของปราสาทอยู่ในห้องรับรองนี้เลย  ข้อสอง  เพื่อนอีกสองคนมันก็ไม่เจ้าระเบียบจัดขนาดหาไม้เรียวมาฟาดขาเขาหรอกแม้จะตีลังกานั่ง
    เป็นการผ่อนคลายหลังจากเจ้าบ้านออกมาต้อนรับแล้ว ซึ่งก็ไปแล้วด้วย  มาไวไปไว  กลัวไปกินมาม่าที่ต้มไว้ไม่ทันหรือไง  เจ้าบ้านที่ดูประหลาดๆ. . .คิลคิดแล้วก็เก็บมีดลง  ก่อนความสนใจของนักฆ่าจะถูกหันเหด้วยการเปรยขึ้นมาของโร  เซวาเรส
   
    “ 1 ชั่วโมง  6 นาที”
    คิลมองไปยังคนพูดผู้ยกนาฬิกาพกออกมาดู  แล้วถาม
    “จับเวลากลั้นหายใจ?”
    คาโลลุกขึ้นทันที  เสียงดันเก้าอี้ออกจะดังพอสมควรให้คิลมองตาม  เลิกการซักแห้ง  ซักเปียกกับห้องสมุดเคลื่อนที่
    ร่างสูงสาวตรงไปยังประตู  ขณะที่โรขยับยิ้มบางตรงมุมปาก
    เป็นเวลา1ชั่วโมงกว่าที่หัวขโมยปากไวหายออกไปจากห้องแล้วยังไม่โผล่หัวกลับมา  เจ้าชายขี่ม้าขาวเลยต้องไปรับ
    “นายไปไหน”  คนไม่รู้เรื่องถามคำถามที่สอง  หลังจากคำถามแรกเหมือนแซวมากกว่าไม่มีคนตอบ  แต่ผู้ถูกถามกลับออกไปโดยเร็วไม่ทิ้งคำตอบไว้  ปล่อยให้คิลเกาหัวแกรกแบบใครบางคนบ้าง  ทีนี้เหยื่อก็เหลือคนเดียว
    โรยกเก้าน้ำชามาจิบรอกันถูกถามด้วยความรู้ทัน  คนผมยุ่งคาดคั้น  เดินเข้ามาใกล้  เท้าแขนที่เก้าอี้ตัวเดียวกับผู้ถูกถาม
    “มันไปไหน”
...................................................................................................................
    “ง่า  ฮาๆ  ขอบพระทัยฝ่าบาท”  เสียงเจื้อยแจ้วใสๆดังขึ้น  หัวก้มปลกๆ  จนผมเผ้าพันเต็มหน้าต้องแกะเป็นพัลวัน
    คู่สนทนารับยิ้ม หัตถ์ขาวยกขึ้นประกอบท่าหัวเราะตามตำราชาววัง  กริยามารยาทนุ่มนวลต่างกันลิบลับกับคนพูดด้วย  ชายกระโปรงยาวลากพื้นน่าหวาดเสียวว่าจะเดินเหยียบสะดุดล้มเองรึเปล่า  ผมยาวถูกรวบขึ้นเป็นมวยแต่บางส่วนก็ยังปล่อยตัวตรงลงมาอย่างมีน้ำหนัก (แชมพูที่ใช้ดีแล้วหรือ?)
    “กระหม่อมก็ไม่คิดว่าทางนี้มันจะไปถึงวังหลังนู่น”  หัวขโมยแก้ตัวน้ำใส(แบบลูกชิ้นน้ำใส)  เดินขนาบข้างสตรีสูงวัยกว่า  “แต่ว่าไม่คิดว่าจะมาเจอฝ่าบาทที่นี่แบบนี้เลยครับ โชคดี  โชคดี~” เจ้าตัวว่าต่อ  ท่อนหลังคล้ายฮัมเพลง
    คนฟังขยับยิ้มอีกครั้ง. . . คนฟังผู้เป็นถึงหนึ่งในสามจอมภูตแห่งสโนแลนด์. . .
    คนที่เฟรินอยากเจอมากที่สุดคนหนึ่ง  ด้วยความที่ชื่อเสียงระบือไกลทั่วเอเดน  กระทบไหล่คนดังไม่ใช่เรื่องง่าย  ยังไงก็ต้องขอลายเซ็น(?)ไปอวดเพื่อน
    แต่อีกประการที่ทำให้อยากพบเช่นกันก็คือ  นางเป็นแม่ของ. . .
    เจ้าหล่อนเว้นช่วงคิด  ปาดจมูกแม้ไม่มีเหงื่อ  แล้วลอบสังเกตสตรีสูงศักดิ์ข้างๆต่อ
    ผมเงินเหมือนเจ้าชายคนสำคัญ  ต่างกันตรงนัยน์ตาสีเดียวกับผมดูโปร่งใสกว่า  ผิวขาวเหมือนหิมะ  ในมือถือคทายาวไม่ห่างตัว  หัวคทาเป็นประกายเช่นเพชร
    หัวขโมยตัวแสบได้แต่หัวเราะแหะๆ  หาเรื่องชวนคุยไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุดด้วยความประหม่าหน่อยๆ  เจ้าหล่อนสวย  สวยมากๆ อาจจะสวยกว่าราชินีจันทราด้วยซ้ำ  จะว่าไปท่านอาลูน่า  ถ้าเป็นชาวเอเดนคงมีหนุ่มถือดอกกุหลาบไปจีบทุกวันเหมือนกัน  เสียแต่ท่านเป็นชาวเดมอส  สงสัยไม่ตรงสเป็คหนุ่มแผ่นดินนั้น  หรือจะแหยงจนไม่กล้าจีบ?
    อิจฉาคาโลมันนิดๆ  แม่สวยแบบนี้ไม่เคยเล่าให้ฟัง  แต่ก็อย่างว่า  แค่มันพูดด้วยตามปกติก็นับว่าดีแค่ไหนแล้ว  ไม่รู้มันจะกลัวความลับราชการแตกอะไรนักหนา
    แล้วจู่ๆคนอยากรู้ก็ชะงักฝีเท้า  ให้คุณแม่ยังสวยหยุดกลับมามอง  เงียบไปชั่วอึดใจการเปรยถามก็เริ่ม
    “ไฮคิงทรงบัญชาหม่อมฉันให้มอบสิ่งนี้กับฝ่าบาท”  เฟรินหยิบกล่องไม้เล็กๆออกมา  ยื่นแก่สตรีผมเงิน  เจ้าหล่อนมีสีหน้าตื่นขึ้น  นัยน์ตาสีเงินเบิกกว้างก่อนแปรเปลี่ยนเป็นปกติเกือบจะทันที  มือขาวยื่นมารับไว้
    “ขอบใจ. . .มาก  เฟลิโอน่า”  น้ำเสียงสั่นเครือของคนรับทำเด็กส่งของไม่สบายใจ  วินาทีซึ่งอึดอัดเป็นที่สุด ทำไมนางถึงทำหน้าแบบนั้น  เฟรินถือสิทธิ์มองหน้าตรงๆ หวังค้นหาสาเหตุ
   
    “ฝ่าบาท?”  หัวขโมยผิดสังเกต
    จอมภูตคนงามสะดุ้งขึ้นเหมือนตื่นจากภวังค์    กลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้ม  แล้วยืดวรกายขึ้นตรง  ผ่อนลมหายใจออก
    “อีกนิดก็จะถึงห้องรับรองแล้ว”  นางยิ้มคล้ายฝืน  เดินนำเร่งให้คนตามมาสมทบ  แต่ดูเหมือนเท้าไวๆของผู้ตามจะเดินเลยไปหน่อย  จึงแซงนำไปที่ช่วงเลี้ยวแล้ว. . .
    โครม
    คนไม่ระวังเซไปข้างหลังเกือบล้ม  และด้วยทักษะของสุดยอดหัวขโมยจึงรั้งตัวไว้ให้สมดุลได้  ก่อนถอนหายใจโล่งอก  มองไปหาอีกคนซึ่งคนด้วย
    “คิล”
    นักฆ่าจากซาเรสทรงตัวได้ก็ยันโครมเข้าให้กับลูกหมาในร่างคน  มันเดินประสาอะไร(ฟะ)
    “เฮ้ย  จะทำอะไรวะ  คิล  แกชนฉันเองนะ”  พูดจบก็โดนศอกกระทุ้งเข้าเต็มหน้า
    “แกสิ  ไอ้หมาตาบอด”
   
    ไอสังหารพวยพุ่งเป็นการใหญ่  ตอบสนองกับอารมณ์ปุดๆของเจ้าของ  ดูน่ากลัวเกินกว่าจะเป็นการเอาคืนนิดๆหน่อยๆ  ให้เจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยืนหลบฉากกันโดนลูกหลงหลังประเมินเหตุการณ์  ยืนยิ้มไม่รู้ไม่ชี้ปลอดภัยไป
    จอมภูติแห่งสโนแลนด์ได้แต่ยืนงงเป็นไก่ตาแตก  เกิดมาไม่เคยเห็นหมากัดกันจะได้เห็นก็งวดนี้  (ปกติคงเห็นแต่หงส์กัดกันในสภา)  ก่อนจะนิ่งสนิทไปเมื่อเด็กหนุ่มร่างสูงเปรยเรียกเบาๆ
    “เสด็จแม่”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น