คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : 1 (1)
บทที่ ๑
หน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลสยามเวชค่อนข้างวุ่นวาย เสียงร้องโอดครวญของคนเจ็บ เสียงสั่งของแพทย์และพยาบาลดังสับสนไปหมด ปลายรุ้งเพิ่งออกจากเวรหลังผ่านเที่ยงคืนไปหมาดๆ กำลังจะกลับบ้าน แต่ก็อดละล้าละลังอยู่ใกล้ๆ บริเวณดังกล่าวไม่ได้ คนเจ็บเป็นชายหนุ่มในชุดนักศึกษา เลือดท่วมตัว แต่ยังไม่หมดสติ เพราะเขายังส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดออกมาอย่างต่อเนื่อง
ตลอดสองปีที่ประกอบอาชีพพยาบาล ทำงานอยู่บนเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างความเป็นและความตาย ทำให้ปลายรุ้งเริ่มลดความตื่นกลัว และปล่อยวางจากเรื่องความตายลงไปได้มาก กระนั้นก็อดถอนใจเบาๆ ไม่ได้ เด็กหนุ่มคนนั้นยังเรียนหนังสืออยู่แท้ๆ กลับต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ อนาคตของเขาจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ พ่อแม่ของเขาจะทุกข์ใจมากแค่ไหน
คนเจ็บถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉินไปแล้ว สรรพสิ่งรอบตัวเงียบสงัดลง ปลายรุ้งได้แต่ภาวนาให้คนเจ็บอยู่รอดปลอดภัย จากนั้นจึงเดินตรงดิ่งไปยังลานจอดรถด้านหลัง
ยังไม่ทันสตาร์ทเครื่อง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ปลายรุ้งค้นกุกกักในกระเป๋าหนัง คว้ามือถือเครื่องจิ๋วขึ้นกดรับ หากสกรรจ์ ว่าที่เจ้าบ่าวของหล่อน เป็นฝ่ายทักขึ้นมาก่อน
“ทำอะไรอยู่ครับรุ้ง?”
“รุ้งเพิ่งออกเวร กำลังจะกลับบ้านค่ะ” ปลายรุ้งตอบ น้ำเสียงไม่ห้วน แต่ก็ไม่หวาน
“ขอโทษด้วยนะครับที่ไปรับกลับบ้านไม่ได้ คืนนี้ผมพาลูกค้าออกมาเปิดหูเปิดตา คุยเรื่องธุรกิจกันมาทั้งวัน เครียดจะแย่ เลยต้องพามาผ่อนคลายกันหน่อย เห็นว่าเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ ทำการค้ากันมานานหรอกนะครับถึงยอม ถ้าเป็นลูกค้าโนเนมล่ะก็ ผมคงโดดงาน ไปแกร่วอยู่ที่โรงพยาบาลตั้งแต่สองทุ่มแล้วล่ะ”
“ทำงานของคุณกรรจ์ไปเถอะค่ะ อย่าห่วงรุ้งเลย” หล่อนเอ่ยอย่างเกรงใจ
“ไม่ห่วงได้ยังไงกัน รุ้งเป็นผู้หญิงนะครับ”
“ที่โรง’บาลมียามประจำอยู่แทบทุกจุด ปลอดภัยดีค่ะ คงไม่มีผู้ร้ายเข้ามาเพ่นพ่านแถวนี้หรอก”
“ผมไม่ได้ห่วงคนร้าย...” เขาลากเสียงยาว ตามด้วยเสียงหัวเราะขัน “แต่ห่วงพวกคนดีต่างหาก โดยเฉพาะพวกหมอหนุ่มๆ บรรจุใหม่ทั้งหลาย นี่ขนาดจะแต่งงานกันแล้วนะ ยังมีคนกล้าเข้ามาก้อร่อก้อติกรุ้งแบบเช้าถึงเย็นถึง เห็นทีผมคงต้องเลื่อนกำหนดแต่งให้เร็วขึ้นแล้วล่ะ ผู้ชายคนอื่นจะได้เลิกยุ่งกับรุ้งเสียที”
พยาบาลสาวยิ้มออกมานิดหนึ่ง หล่อนยังไม่ถึงกับหลงรักสกรรจ์ หากก็ไม่นึกรังเกียจไมตรีที่เขาส่งมาให้ ความจริงแล้ว ปลายรุ้งคบหากับสกรรจ์ผ่านการเห็นชอบของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย สกรรจ์เป็นนักธุรกิจหนุ่มที่น่าจับตามอง เขาเก่ง หน้าตาดี และบิดาของเขายังเป็นนักการเมืองที่มีชื่อเสียงของเมืองไทย ส่วนปลายรุ้ง ตัวหล่อนนั้นแม้จะเป็นแค่พยาบาล ทว่าฐานะทางบ้านของหญิงสาวไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าอีกฝ่ายเลย ดังนั้นบิดาของสกรรจ์จึงเป็นฝ่ายเดินหน้า ทาบทามปลายรุ้งให้แก่บุตรชายของเขา
โสภณ ลุงของปลายรุ้งรีบตกปากรับคำทันที ชายสูงวัยรอโอกาสนี้มานานแล้ว เขาอยากให้ปลายรุ้งแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝากับชายหนุ่มที่เขาคัดสรรมาให้ใจแทบขาด เพราะสกรรจ์เพียบพร้อมทั้งรูปลักษณ์และรูปทรัพย์ อิทธิพลของครอบครัวสกรรจ์สามารถช่วยเกื้อหนุนธุรกิจของเขาได้อย่างเหมาะเจาะทีเดียว
“อีกแค่เดือนเดียวเองค่ะ รุ้งถือว่าเร็วเกินไปด้วยซ้ำ” ปลายรุ้งอุบอิบ
“แต่มันช้าสำหรับผมนี่ครับ ความจริงถ้าเลื่อนมาแต่งพรุ่งนี้ได้ ผมก็จะทำ” น้ำเสียงของสกรรจ์ฟังดูเอาแต่ใจหน่อยๆ
ปลายรุ้งยิ้มกว้างมากขึ้น หล่อนเคยเชื่อมั่นมาตลอดว่า ‘เขาคนนั้น’ เป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้หล่อนหัวเราะได้ในยามกลัดกลุ้ม หากเวลานี้สกรรจ์กลับเปลี่ยนความคิดของหล่อนเสียใหม่ เกือบหนึ่งปีที่คบหากัน สกรรจ์ทำให้หล่อนยิ้มออกมาได้ทุกครั้งที่พูดคุย เขาช่วยให้หล่อนสลัดภาพของ ‘ชายคนนั้น’ ออกไปจากความคิดทีละน้อย
เวลานี้ปลายรุ้งไม่กล้ายอมรับว่ารักสกรรจ์ แต่หล่อนเต็มใจที่จะบอกว่า พร้อมแล้วที่จะเป็นภรรยาที่ดีของเขา
ปลายรุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงตกใจเล็ดลอดมาจากปลายสาย ว่าที่เจ้าบ่าวของหล่อนกำลังจุปากขัดใจกับบางสิ่งบางอย่าง จากนั้นจึงเอ่ยร่ำลากับหล่อนด้วยสุ้มเสียงสั่นๆ
“รุ้งครับ ตอนนี้ลูกค้าผมพากันออกมาแล้ว ขอวางสายแค่นี้ก่อนนะครับ แล้วพรุ่งนี้ผมจะมารับไปดูของชำร่วยแต่เช้า”
“ค่ะ คุณกรรจ์” หล่อนรับคำอย่างง่ายดาย ไม่รู้เลยว่า เมื่อผละจากกระบอกโทรศัพท์ ริมฝีปากอุ่นๆ ของว่าที่เจ้าบ่าวก็ตอบสนองไปยังสิ่งเย้ายวนตรงหน้าทันที
ช่วงที่คบหากัน สกรรจ์ไม่เคยโกหกปลายรุ้ง เพียงแค่ไม่เคยเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้หล่อนฟังอย่างละเอียดเท่านั้นเอง อย่างเช่นคืนนี้ เขาพาลูกค้าออกมาผ่อนคลายข้างนอก แต่ก็ไม่ได้บอกว่า เขาเองก็อยากผ่อนคลายอยู่เหมือนกัน
สกรรจ์เป็นผู้ชายหน้าตาดี มีเสน่ห์ชวนมอง และติดจะเจ้าชู้หน่อยๆ บ่อยครั้งเขารู้สึกละอายใจที่ทำตัวไม่ดีลับหลังว่าที่เจ้าสาว หากชายหนุ่มก็อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่า นี่คือเรื่องธรรมดาของผู้ชาย ประเด็นหลักอยู่ที่ต้องรู้ว่าใครคือของเล่น ใครคือของจริงต่างหาก อีกอย่าง สกรรจ์ก็ตั้งใจเอาไว้ว่า เมื่อลงหลักปักฐานกับปลายรุ้งแล้ว เขาจะเลิกเที่ยวผู้หญิงให้ได้
ปลายรุ้งติดเครื่องยนต์ แสงไฟจากหน้ารถสาดจ้าไปยังต้นหูกวางที่อยู่ใกล้ๆ ลานจอดรถ เงาดำทะมึนของชายร่างหนาคนหนึ่งผลุบหายเข้าไปในเงาไม้ทันที
หญิงสาวขมวดคิ้ว หากคิ้วโก่งเรียวก็คลายลงในเวลาต่อมา เขาอาจจะเป็นยาม ภารโรง หรือญาติผู้ป่วย หล่อนก็สุดรู้
พยาบาลสาวเลิกสนใจ เหยียบคันเร่ง ขับรถตรงดิ่งไปยังบ้านพัก ไม่รู้ว่าตาฝาดไปหรือเปล่า หล่อนสังเกตว่ามีรถยนต์คันหนึ่งขับตามหลังมาตลอดทาง พอหล่อนหักพวกมาลัยเข้าไปในรั้วบ้าน รถคันนั้นก็แล่นฉิวผ่านหน้าบ้านหล่อนไปอย่างรวดเร็ว
ตระกูลดังอย่างอัครชัยจะเกี่ยวดองกับตระกูลเก่าแก่อย่างเกียรติไพศาลทั้งที งานแต่งจึงตั้งใจจัดขึ้นให้ยิ่งใหญ่และสมเกียรติ แม้ว่าผู้ใหญ่ฝ่ายสกรรจ์จะรับหน้าที่เป็นแม่งาน หากตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ว่าที่บ่าวสาวก็ยังเหน็ดเหนื่อยกับการวิ่งแจกการ์ดเชิญจนน้ำหนักลดฮวบ ต้องแก้ชุดแต่งงานในวินาทีสุดท้าย
ในช่วงที่วิ่งวุ่นจนหัวหมุนแบบนี้ สกรรจ์ ‘เลิก’ เที่ยวกลางคืนไปโดยปริยาย ทั้งที่เมื่อก่อนต้องแวะไปแช่อ่างอย่างน้อยสองสัปดาห์ครั้ง ปลายรุ้งเข้าคอร์สฝึกทำอาหารกับป้าสะใภ้ของหล่อน ความจริงปลายรุ้งมีฝีมือด้านการทำอาหารพอตัว หากสิ่งที่ยังขาดคือประสบการณ์ อรพรรณจึงต้องสอนว่า
“รุ้ง...คนจะเป็นเมีย เป็นแม่บ้าน ไม่ใช่แค่ทำอาหารเป็นเท่านั้นนะลูก เราจะต้องเรียนรู้วิธีการดูแลปรนนิบัติสามี จะต้องรู้ว่าในแต่ละช่วงวัน อารมณ์ของสามีเราเป็นแบบไหน เขาหิวก็หาข้าวหาปลาร้อนๆ ให้ทาน เขาเหนื่อยก็หาเครื่องดื่มเย็นๆ มาบริการก่อน ไว้เขาผ่อนคลายแล้วค่อยตั้งสำรับอาหาร หากเขาเครียดก็รู้จักเข้าไปบีบนวด เอาอกเอาใจเขาหน่อย สามีจะได้รัก พ่อแม่สามีเองก็จะได้เอ็นดูเรา”
อรพรรณลอบมองหลานสาวอย่างกังวล เมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ นางจึงยิ้มตอบพลางลูบศีรษะเบาๆ
แรกเริ่ม อรพรรณไม่ค่อยเห็นด้วยกับการคลุมถุงชนครั้งนี้นัก แต่ด้วยความที่นางเปรียบเสมือนช้างเท้าหลัง ไม่ค่อยมีสิทธิ์มีเสียงทั้งในและนอกบ้าน นางจึงไม่อาจคัดค้านความเห็นของโสภณผู้เป็นสามีได้ สิ่งเดียวที่นางพอทำได้คือ ช่วยยื้อเวลาให้หลานสาว ด้วยการเสนอให้สกรรจ์หมั้นหมายกับปลายรุ้งก่อน ครบหนึ่งปีแล้วค่อยแต่ง
เมื่อไม่มีใครคัดค้าน ปลายรุ้งจึงมีเวลาสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกับสกรรจ์ทีละน้อย กระทั่งยอมรับที่จะแต่งงานกับเขาได้ในที่สุด อรพรรณจึงเบาใจลง นางอาจไม่ใช่ป้าที่ประเสิร์ฐแสนดี จนถึงขนาดยอมเอาตัวเข้าปกป้องหลานสาวโดยไม่ห่วงตัวเอง แต่นางก็ไม่ได้ใจจืดใจดำเหมือนกับญาติคนอื่นๆ ที่รังเกียจรังงอนหลานสาว ฉะนั้นอะไรที่พอช่วยได้นางก็พร้อมที่จะช่วย
ฤกษ์ดีมาถึง งานแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ แขกมาร่วมงานหลายร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ นักการเมือง และคนในวงสังคมชั้นสูง ระหว่างที่ปลายรุ้งนั่งให้ช่างแต่งหน้าเติมแป้ง พิชญะและสุพัชญา ลูกชายลูกสาวของโสภณและอรพรรณก็โทร.มาจากอเมริกา
อรพรรณเป็นคนถือโทรศัพท์มาส่งให้ถึงมือหลานสาว บอกว่า
“พิชกับพัชอยากจะโทร.มาอวยพรรุ้งน่ะจ้ะ”
พิชญะ ลูกชายคนโตของลุงและป้า แก่กว่าปลายรุ้งสามปี ส่วนสุพัชญานั้นอายุไล่เลี่ยกัน ทั้งคู่ไม่ค่อยชอบหน้าปลายรุ้งมาแต่ไหนแต่ไร หาว่าหล่อนแย่งความรักไปจากคุณปู่คุณย่า จึงคอยกลั่นแกล้งสารพัด แล้วที่โทร.มาครั้งนี้ เห็นจะไม่ใช่การอวยพรเสียแล้ว น่าจะเป็นการ ‘เจริญพร’ มากกว่า
เป็นอย่างที่ปลายรุ้งทำนายไว้จริงๆ เพียงแค่หล่อนกรอกเสียงลงไป สุพัชญาก็หัวเราะเยาะ เอ่ยอย่างคะนองปากว่า
“ฉันได้ข่าวว่าแกจะแต่งงาน ฉันเลยโทร.มาหา ได้ยินมาว่าเจ้าบ่าวของแก คุณสกงสกรรจ์อะไรนั่นเจ้าชู้ไม่เบา แต่แกคงเอาอยู่มั้ง เห็นหลงหัวปักหัวปำขนาดนั้น ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่สมบูรณ์แบบ เข้าตำรารูปหล่อพ่อรวยอย่างเขา จะมาเหลือบตามองดอกหญ้าริมถนนอย่างแก ยังไงฉันก็ขออวยพรให้แกน้ำตาเช็ดหัวเข่าในเร็ววันนะยะนังรุ้ง”
สุพัชญาส่งสายต่อให้พิชญะ ญาติหนุ่มพูดกับปลายรุ้งด้วยใจความไม่ต่างจากน้องสาวมากนัก ปลายรุ้งปล่อยให้คำพูดเหล่านั้นลอยผ่านหู สนใจคำกระแนะกระแหนของญาติทั้งสองไปก็เท่านั้น จนกระทั่งญาติผู้พี่ชิงวางสายไปก่อน หล่อนจึงส่งโทรศัพท์คืนให้อรพรรณ
“คุณพิชวางสายไปแล้วค่ะ” หญิงสาวบอกยิ้มๆ แต่ดวงตาแห้งผาก
“ป้าไม่ควรให้สองคนนั่นคุยกับรุ้งเลย” อรพรรณเอ่ยอย่างลุแก่โทษ นางรู้จักนิสัยลูกๆ ของตัวเองเป็นอย่างดี ทำให้พอเดาใจความในบทสนทนาได้ “อย่าสนใจคำพูดของสองคนนั่นเลยนะรุ้ง รู้อยู่ว่าสองคนนั่นนิสัยเป็นยังไง ป้าผิดเองที่เลี้ยงลูกไม่ดี ป้าขอโทษที่ทำให้รุ้งไม่สบายใจ”
“คุณพิชกับคุณพัชไม่ได้ว่าอะไรรุ้งหรอกค่ะ พวกเธอโทร.มาอวยพรรุ้งจริงๆ” ปลายรุ้งแกล้งบอก
“ได้ยินแบบนี้แล้วป้าก็เบาใจ” อรพรรณบอกอย่างอ่อนโยน เชื่อคำพูดของปลายรุ้งสนิทใจ จนลืมสังเกตว่าปลายรุ้งแอบนั่งถอนใจยาวอยู่ใกล้ๆ
ปลายรุ้งเกิดมาในตระกูลใหญ่ แต่หาคนที่จะหวังดีกับหล่อนจริงๆ ได้น้อยลงทุกที ญาติคนอื่นไม่ค่อยชอบหน้าหล่อนเท่าไหร่ บรรดาลุงป้าน้าอายทั้งหลายพากันชิงชังโสภาค บิดาของหล่อน เพราะเป็นลูกรักของคุณปู่คุณย่า ความเกลียดชังนั้นยังลุกลามมายังปลายรุ้งอีกด้วย หากอรพรรณคือคนที่ปฏิบัติกับหล่อนแตกต่างไปจากคนเหล่านั้น ป้าสะใภ้รักและเอ็นดูหล่อนอย่างจริงใจ แต่ความหวังดีของนางก็แสดงออกอย่างมีขอบเขต อย่างน้อยก็ไม่เคยเกินหน้าเกินตาลูกๆ ของหล่อน
คิดมาถึงตรงนี้ ความอ้างว้างที่หนีหายไปนานก็เข้ากัดกร่อนจิตใจอย่างเชื่องช้า
ในวันมงคลแท้ๆ ข้างกายหล่อนกลับเหงาหงอย มีเพียงอรพรรณที่คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง ส่วนลุงโสภณไม่เคยเฉียดเข้าใกล้หล่อนแม้แต่น้อย ที่ของลุงคือกลางวงสนทนากับนักธุรกิจและนักการเมืองชื่อดังซึ่งถูกเชิญเข้ามาร่วมงานกันอย่างอุ่นหนาฝาคลั่ง ปลายรุ้งเคยวาดฝัน เมื่อถึงวันแต่งงาน หล่อนจะมีพ่อกับแม่ตามเฝ้าตามดูแลอยู่ใกล้ๆ คอยส่งตัวเข้าหอ ให้โอวาทเมื่อหล่อนกำลังจะออกเรือน
หากไม่มีอีกแล้ว พ่อกับแม่จากหล่อนไปตั้งแต่เก้าขวบ...
พ่อกับแม่จากไปได้ปีกว่าๆ ชายคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาในชีวิตหล่อน ตั้งตัวเป็นผู้ปกครอง คอยดูแลหล่อนเป็นอย่างดี ทว่าหกปีมาแล้วที่เขาหายหน้าหายตาไป ไม่โทร.หา หรือส่งจดหมายมาเลย สิ่งเดียวที่แสดงว่าเขายังมีตัวตนอยู่บนโลกนี้ คือของขวัญวันเกิดที่ส่งมาให้ทุกปี พร้อมกับประโยคสั้นๆ
‘สุขสันต์วันเกิดจ้ะรุ้ง...’
เวลานี้เขาจะรู้บ้างไหมว่า ยายรุ้งตัวน้อยของเขาโตพอที่จะออกเรือนเฉกเช่นหญิงสาวคนอื่นแล้ว
เสร็จจากพิธีรดน้ำสังข์ ตอนเย็นก็มีการเลี้ยงอาหารแขก สถานที่จัดเลี้ยงยังเป็นที่เดียวกับที่จัดพิธีในช่วงเช้า หากบรรยากาศแตกต่างออกไป รอบด้านเซ็งแซ่ด้วยเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ ดูครื้นเครงกว่าช่วงเช้ามากทีเดียว คนที่หน้าบานที่สุดเห็นจะเป็นสกรรจ์และญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเขา
บิดามารดาของเจ้าบ่าวปลื้มใจที่บุตรชายคนเดียวหยุดทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัยเสียที แถมยังได้สะใภ้ที่ดีพร้อมอย่างปลายรุ้งมาช่วยเกื้อหนุน อีกคนที่เบิกบานใจเป็นที่สุดคือโสภณ การแต่งงานของหลานสาวนอกจากจะสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจของเขาแล้ว ยังเปรียบเสมือนยันต์คุ้มภัย ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องน่าอับอายอย่างที่เขาหวาดหวั่นมานานหลายปี
บ่าวสาวเดินทักทายแขกเหรื่อทั่วงาน ก่อนที่สกรรจ์จะแวะไปที่โต๊ะหนุ่มโสดที่อยู่เยื้องๆ กับเวที สมาชิกในโต๊ะคือบรรดาเพื่อนๆ ซึ่งคบหากันมาตั้งแต่สมัยเรียน แต่ละคนล้วนเป็นหนุ่มทรงเสน่ห์ ท่าทางรื่นรมย์อยู่ตลอดเวลา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สาวสวยในงานหลายคนปรายตามายังบริเวณดังกล่าว แล้วหันกลับไปหัวเราะคิกคักเอียงอาย
“สวัสดีท่านผู้มีเกียรติทุกท่านอีกครั้งครับ” เสียงของพิธีกรหนุ่มประกาศผ่านไมโครโฟน “ทุกท่านคงอยากจะรู้จักตัวจริงของคู่บ่าวสาวในคืนนี้กันแล้ว กระผมใคร่ขอเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ปรบมือให้ต้อนรับคุณสกรรจ์และคุณปลายรุ้ง คู่บ่าวสาวในค่ำคืนนี้ด้วยครับ”
สกรรจ์จูงมือว่าที่เจ้าสาวขึ้นไปบนเวที
สายตาหวานๆ หลายคู่ทอดมองเจ้าบ่าวของงานอย่างแสนเสียดาย วูบหนึ่งสกรรจ์แอบยิ้มลำพอง เขาภูมิใจที่ได้รู้ว่าตนคือที่หมายปองของบรรดาสาวๆ แม้ในยามที่เขากำลังจะผูกตัวเองไว้กับผู้หญิงคนหนึ่งอย่างถาวรเช่นนี้ และดูจะภูมิอกภูมิใจยิ่งกว่าตอนที่เห็นหนุ่มๆ ในงานหันมามองเจ้าสาวของเขาตาไม่กระพริบเสียอีก
พิธีกรเรียนเชิญญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายขึ้นมาอวยพรบ่าวสาว จากนั้นจึงเริ่มต้นสัมภาษณ์หนุ่มสาวซึ่งกำลังเป็นที่อิจฉาของคนในงานอยู่ในขณะนี้
“คิดว่าคำถามนี้คงจะตรงใจกับใครหลายๆ คนเลยทีเดียว คุณสกรรจ์บอกพวกเราหน่อยได้ไหมครับ ว่าประทับใจอะไรในตัวของเจ้าสาวคนนี้?”
“คุณรุ้งเป็นคนสวยครับ”
เสียงโห่ร้องดังมาจากโต๊ะหนุ่มโสด สกรรจ์หน้าแดงเมื่อเห็นสายตาล้อเลียนจากเพื่อนๆ ด้านล่าง เออหนอ...อายุก็เกือบจะสามสิบอยู่รอมร่อ ยังอายหน้าแดงราวกับเด็กหนุ่มริรักไปได้
ความจริงตอนที่พบหน้าปลายรุ้งเป็นครั้งแรก สกรรจ์ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่นัก ปลายรุ้งสวย แต่จืดชืดเกินไป ไม่ร้อนแรง สะดุดตา พูดง่ายๆ คือไม่ใช่สเปคของเขานั่นเอง หากวันเวลาผ่านไป สกรรจ์เรียนรู้แล้วว่า พวก ‘ของร้อน’ ทั้งหลายเหมาะสำหรับดับกระหายชั่วครั้งชั่วคราว หาก ‘ของเย็น’ อย่างปลายรุ้งนี่ต่างหาก ที่เหมาะจะยืนเคียงข้างเขาในอนาคต
“คุณรุ้งสวยทั้งข้างนอกและข้างใน เวลาผมเหนื่อยจากการทำงาน แค่เห็นรอยยิ้มน้อยๆ ของคนรุ้ง ผมก็หายเหนื่อยแล้วครับ อีกอย่าง คุณรุ้งทำให้ผมภูมิใจทุกครั้งที่เดินไปไหนมาไหนด้วยกัน คุณรุ้งให้เกียรติผมเสมอ พอๆ กับที่ผมจะให้เกียรติคุณรุ้งในฐานะภรรยาและแม่ของลูกไปตลอดชีวิตครับ”
เสียงปรบมือโห่ร้องเกรียวกราวไปทั่ว พิธีกรของงานหัวเราะเบาๆ ก่อนเปลี่ยนมาถามเจ้าสาวบ้าง
“แล้วคุณปลายรุ้งล่ะครับ ประทับใจอะไรในตัวเจ้าบ่าวคนนี้ ประทับใจที่เขาปากหวาน ช่างยั่วเย้าหรือเปล่า?”
เจ้าสาวของงานเปิดยิ้มน้อยๆ จากหญิงสาวที่ดูธรรมดาๆ ไม่มีเสน่ห์ กลับสะดุดตาชวนมองขึ้นอย่างน่าประหลาด หล่อนอ้อมแอ้มว่า
“คุณสกรรจ์เป็นคนดีค่ะ เข้าใจและใส่ใจความรู้สึกของคนรอบข้าง มีความรับผิดชอบ แล้วก็...” ปลายรุ้งพยายามนึกหาข้อดีของชายหนุ่ม ความจริงหล่อนประทับใจในตัวเขาหลายอย่าง แต่จะให้เค้นเป็นคำพูดออกมาทั้งหมดก็ช่างยากเย็นเหลือเกิน
สายตาล้อเลียนของสมาชิกโต๊ะหนุ่มโสด และสายตาอิจฉาจากแขกสาวๆ ในงานที่มองมายังหล่อน ทำให้ปลายรุ้งเริ่มประหม่า หญิงสาวขยับตัวอย่างอึดอัด สกรรจ์จึงเอื้อมมากุมมือหล่อนไว้ บีบเบาๆ อย่างให้กำลังใจ พิธีกรของงานถึงกับแซวออกมาว่า
“ดูท่าเจ้าสาวของเราจะตื่นเวทีเสียแล้วล่ะครับท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย เจ้าบ่าวของงานถึงต้องจับมือให้กำลังใจแบบนี้ คงไม่ต้องแปลกใจแล้วล่ะครับ ว่าทำไมคุณปลายรุ้งถึงตกลงที่จะแต่งงานกับคุณสกรรจ์อย่างไม่เกี่ยงงอน เพราะเจ้าบ่าวนั้นช่างแสนดีอย่างนี้นี่เอง”
อีกครั้งที่เสียงผิวปากดังมาจากเบื้องล่าง สมาชิกที่โต๊ะหนุ่มโสดตะโกนขึ้นมาพร้อมกันว่า หอมแก้ม...หอมแก้ม...หอมแก้ม แขกเหรื่อคนอื่นเลยพลอยผสมโรงไปด้วย
“ผมขอโทษนะครับรุ้ง” สกรรจ์กระซิบอย่างเกรงใจขัดกับดวงตาพราวระยับ ยิ่งเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกของว่าที่ภรรยาแล้ว ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะยิ้ม หล่อนอายได้น่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน ความภาคภูมิใจในตัวหญิงสาวเพิ่มพูนคับอก
จังหวะที่สกรรจ์โน้มหน้าเข้าไปใกล้ ปลายจมูกสันโด่งอยู่ห่างแก้มนวลที่เจือด้วยสีแดงเรื่อเพียงไม่ถึงคืบ เสียงทรงอำนาจของชายคนหนึ่งก็ดังก้องขึ้นมา
“ไอ้สกรรจ์ ไอ้หน้าตัวเมีย!”
ความคิดเห็น