คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : อย่าให้ฉันคิด
“ปล่อยเถอะ...” ฉันพยายามข่มกลั้นก้อนสะอื้นพลางดึงมือกลับแต่ไม่เป็นผล
“ฉันปล่อยเธอไปไม่ได้ควีน” น้ำเสียงจริงจังหนักแน่นทำลายกำแพงความแข็งขืนในใจจนหมดสิ้น น้ำตาฉันไหลช้าๆ อย่างเงียบงัน “เธอเป็นเพื่อนรักฉันนะควีน ให้ฉันไม่สนใจไม่เป็นห่วงเธอไม่ได้จริงๆ” รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังฉันก็รับความอบอุ่นจากการยืนประชิดตัว
ฉันบอกให้ตัวเองเลิกพยายามรั้งความรู้สึกข้างในแล้วปลดปล่อยออกมาตามที่ใจต้องการ ฉันทิ้งน้ำหนักไปข้างหลังเหมือนคนหมดแรงรับรู้เพียงการประคองจากเต้ น้ำตายังคงไหลออกมาเงียบๆ ไร้ซึ่งเสียงปลอบโยนหรือเสียงใดๆ มีเพียงความอบอุ่นจากแผ่นหลังและมือที่ประคองอยู่ที่บ่าเท่านั้นที่ทำให้รู้สึกถึงการมีอยู่ของเขา
“มาทำอะไรกันตรงนี้คะนักเรียน?” คำถามดังขึ้นจากด้านหลัง “นี่ยังอยู่ในเวลาเรียนนะคะ บอกชื่อกับห้องมาค่ะ” น้ำเสียงแสดงความเข้มงวดทำให้ฉันรีบปาดน้ำตาทิ้งแบบลวกๆ แล้วหันไปตอบ
“ขอโทษค่ะครูพิไล หนูปวดท้องมากน่ะค่ะเลยให้เพื่อนพามาส่งห้องพยาบาล” ฉันพยายามทำหน้าเหมือนคนป่วยให้มากที่สุด “ใช่มั้ยเต้” ฉันสะกิดคนที่ยืนเงียบให้ตอบรับตามที่ฉันพูด
“ครับ! ใช่ครับครูพิไล แต่พอดีผมปวดฉี่เลยแวะเข้าห้องน้ำน่ะครับ” เหมือนจะได้ผลถ้าเต้จะไม่อธิบายต่อ
“โอ๊ย! ขอตัวก่อนนะคะครูพิไล” ฉันรีบเอามือกุมท้องก่อนยกมือไหว้แล้วเดินนำเต้ผ่านครูพิไลไปทางห้องพยาบาลอย่างรวดเร็ว
“เธอปวดท้องเหรอควีน?” เสียงเต้ที่เดินตามหลังมาถามหลังจากเรามาหยุดยืนอยู่หน้าห้องพยาบาล ฉันมองหน้าเต้แล้วถอนหายใจให้กับความซื่อของเขาก่อนจะเปิดประตูเข้าไป
“ขออนุญาตค่ะ ครูนุชบาอยู่มั้ยคะ?” ฉันพูดพลางชะเง้อมองเข้าไปในโซนเตียงพักเมื่อไม่เห็นใครอยู่ในห้อง
“ไปพบผอ.น่ะ” เต้ชี้ให้ดูป้ายบนโต๊ะข้างสมุดลงชื่อ ฉันพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปเลือกเตียงในสุดที่ติดกับหน้าต่างก่อนจะนั่งลง
“นายช่วยเขียนชื่อให้ฉันหน่อยลงว่ามีอาการปวดท้องประจำเดือนนะ”
“เธอปวดท้องจริงๆ ใช่มั้ย? แล้วต้องกินยาอะไรรึเปล่า?” เต้ดูจริงจังขึ้นอีกจนฉันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ
“เปล่าหรอกเต้ ฉันไม่ได้ปวดท้อง...แค่ยังไม่อยากกลับห้องน่ะ” คนฟังยังทำหน้างงแสดงชัดว่าไม่เข้าใจแต่ก็ยังเขียนลงไปในสมุดตามที่บอกแล้วเดินมานั่งบนเตียงฝั่งตรงข้าม
“แล้วเธอจะบอกได้รึยังว่ากับไอ้ตินมันเกิดอะไรขึ้น?” ฉันก้มหน้าหลบสายตาจริงจังที่มองมาพยายามจะลืมว่าเมื่อกี้ได้เผลอปล่อยตัวปล่อยใจอ้อนคนตรงหน้าไปแล้ว
“ก็ทะเลาะกันนิดหน่อย ไม่มีอะไรหรอก”
“แต่เธอร้องไห้...” คำพูดสวนกลับจากเต้ทำเอาไปต่อไม่ถูก “เอาเถอะถ้าเธอไม่เล่างั้นฉันจะเล่าเรื่องของฉันกับมิ้นท์ให้ฟังเอง”
“......” ฉันเงยหน้ามองคนพูดที่ทำท่าสบายๆ เหมือนกำลังจะเล่าเรื่องคนอื่น แต่น้ำเสียงที่ใช้ยังคงเศร้าจนใจหาย
“ตอนคบกับมิ้นท์ฉันมีความสุขมาก พอเวลาผ่านไปข่าวลือเกี่ยวกับมิ้นท์ก็เริ่มเข้าหูแต่ฉันเลือกที่จะเชื่อในตัวเขา แต่ยิ่งนานการกระทำของมิ้นท์ก็ยิ่งเปลี่ยนจนฉันเริ่มไม่แน่ใจ จนในที่สุดฉันก็จับได้คาหนังคาเขาว่ามิ้นท์ไม่ได้มีแค่ฉัน” เต้หยุดแล้วมองหน้าฉันแววตาฉายแววเจ็บปวดแต่มุมปากกลับยกเป็นรอยยิ้มเหมือนตลกในสิ่งที่จะเล่า “มันตลกตรงที่ฉันกลายเป็นฝ่ายผิด ที่เขาต้องมีคนอื่นเป็นเพราะฉันดูแลเขาไม่ดี ฉันได้แต่อึ้งกับสิ่งที่รับรู้กว่าจะรู้สึกว่ามันเจ็บปวดมิ้นท์ก็เดินจากไปพร้อมคนใหม่ของเขาแล้ว”
“เต้...” ฉันเรียกชื่อเขาเบาๆ อยากจะพูดอะไรปลอบใจแต่ก็นึกไม่ออกว่าควรพูดอะไรออกไป
“แล้วมันจะผ่านไป...เป็นคำพูดที่เธอพูดเสมอเวลาฉันเศร้าใจไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ตอนนี้ฉันยังคงรู้สึกเสียใจแต่เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป และทุกๆ ครั้งฉันก็มีเธอคอยเคียงข้างและเข้าใจเสมอ มันคงไม่แปลกหากฉันอยากทำอย่างนั้นให้เธอบ้าง...เธอจะอ้อนฉันบ้างก็ได้นะควีน ต่อหน้าฉันเธอไม่ต้องพยายามทำตัวเข้มแข็งก็ได้”
“......” จู่ๆ น้ำตาร้อนก็ไหลจากหางตาช้าๆ อย่างไม่รู้ตัว เต้ลุกจากฝั่งตรงข้ามมานั่งข้างฉันแล้วโอบไหล่ฉันไว้หลวมๆ
“บางทีฉันก็อยากให้เธอทำตัวง่ายๆ เหมือนเด็กนะ สนุกก็หัวเราะ เจ็บก็ร้องไห้ ไม่ต้องเก็บทุกสิ่งทุกอย่างไว้ข้างในหรอก” พูดพลางก็ตบไหล่ฉันเบาๆ
“......” ฉันก้มหน้ากัดริมฝีปากแน่นทั้งกลัวจะส่งเสียงสะอื้นออกมาให้อีกฝ่ายสงสารทั้งกลัวจะหลุดความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดออกมาให้อีกฝ่ายรับรู้ ฉันทำได้แต่ร้องไห้เงียบๆ ในวงแขนอบอุ่นของเต้
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ รู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงกริ่งบอกเวลาหมดคาบแรก ฉันถึงขยับตัวถอยห่างออกเล็กน้อยแล้วยกมือขึ้นปาดน้ำตาก่อนจะถูกเต้ดึงตัวเข้าซบกลางอกของเขา
“ฉันไม่มีผ้าเช็ดหน้า เธอก็เช็ดเอากับเสื้อฉันก็ได้” น้ำเสียงอ่อนโยนข้างใบหูทำให้ฉันรู้สึกดีกว่าเดิมความใส่ใจในเรื่องไม่เป็นเรื่องทำให้ฉันยิ้มออก
“ไม่เอาอ่ะ สกปรก” ฉันดันตัวออกพลางส่งยิ้มให้เขา
“รังเกียจก็ไม่ต้องแสดงออกก็ได้ เสียใจนะเนี่ย” เต้ตัดพ้อ
“เต้...ฉันเลิกกับตินแล้วนะ” จบคำพูดเราต่างก็เงียบ เงียบจนได้ยินเสียงคุยกันไกลๆ แว่วมา
“เพราะฉันรึเปล่า?”
“ไม่ใช่...ไม่ใช่เพราะใครทั้งนั้น เรากลับห้องกันเถอะ”
...............................................................
“พี่ตินเลิกกับพี่แล้วใช่มั้ยคะ?” เสียงหวานถามขึ้นเมื่อเจ้าตัวเดินประชิดโต๊ะทันทีที่ฉันนั่งลง
“ไม่ไปถามพี่ตินของน้องขวัญเองล่ะ” ฉันตอบปัดๆ เพราะเสียงที่น้องขวัญคนสวยใช้ถามไม่เบานักส่งผลให้คนโต๊ะข้างๆ เริ่มหันมาสนใจบทสนทนานี้
“ก็ถามแหละค่ะ แต่พี่ตินบอกให้ขวัญมาถามพี่เอง อันที่จริงเลิกกันก็ดีแล้วล่ะค่ะ เพราะขวัญว่าพี่ก็ดูไม่ได้ชอบพี่ตินสักเท่าไหร่” ฉันจ้องหน้าคนพูดนิ่งๆ เห็นรอยยิ้มน้อยๆ มุมปากของอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่าจุดประสงค์ไม่ดีอย่างแน่นอน ฉันเลยถอนหายใจแล้วเลิกสนใจอีกฝ่าย
“เอาที่น้องขวัญคนสวยสบายใจเถอะ พี่ขอกินข้าวก่อนที่มันจะรสชาติแย่ไปมากกว่านี้”
“แหมพี่ควีน ขวัญแค่ล้อเล่นเองค่ะ...อย่าร้อนตัวสิคะ” ขณะที่กำลังคิดว่าจะเอาราดหน้าในจานราดใส่หน้าอีกฝ่ายดีรึเปล่านั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างตัว
“ถ้าน้องมีเวลาว่างขนาดมายุ่งเรื่องของเพื่อนพี่ พี่ว่าน้องเอาเวลานี้ไปทำให้พี่ตินของน้องหันมามองน้องดีกว่านะครับ” เจ้าของคำพูดนั่งลงพร้อมจานข้าว “น้องควรจะพอในตอนที่เพื่อนพี่ยังอดใจไม่เอาราดหน้าราดบนหัวน้องนะครับ”
“......” เหมือนน้องขวัญจะกลัวในคำขู่แต่ก็ยังคงไม่หยุด “ไม่ทันไรก็ควงคนใหม่ซะแล้วนะคะ มิน่าพี่ตินถึงทิ้ง”
ปัง!
ฉันตบโต๊ะเสียงดังก่อนลุกขึ้นคว้าราดหน้าขึ้นวางเหนือหัวคนพูดพลางจ้องตาอีกฝ่ายเขม็งแล้วค่อยๆ ยิ้มเมื่อเห็นว่าน้องขวัญหน้าถอดสีจนซีดขาว
“ก็คิดว่าน่าเสียดาย แต่ว่า...” ฉันเอียงจานในมือทำท่าเหมือนจะเทราดหน้าใส่หัวอีกฝ่ายจริงๆ
“กรี๊ด! พี่ควีน ขวัญขอโทษ!” เสียงร้องด้วยความหวาดกลัวพร้อมมือที่ยกขึ้นไหว้แบบเก้ๆ กังๆ ทำให้ฉันสะใจอย่างบอกไม่ถูก
“คราวนี้พี่ยังรู้สึกเสียดายของกิน แต่คราวหน้าอย่าหาว่าพี่ใจร้าย” ฉันลดมือวางจานราดหน้าลงบนโต๊ะแล้วนั่งกินเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หางตายังเห็นน้องขวัญยืนตัวสั่นไม่รู้เพราะโกรธหรือกลัวจนเพื่อนต้องมาพาตัวกลับโต๊ะไป
“ร้ายกาจมาก”
“ฉันจะถือว่าเป็นคำชม” ฉันหันไปสบตาคนข้างๆ ที่กำลังนั่งหัวเราะตัวโยน “ขอบใจที่ช่วยนะเต้”
“ถึงฉันไม่มาช่วยเธอก็น่าจะจัดการได้อยู่แล้ว” เต้หยุดหัวเราะแล้วเปลี่ยนเข้าโหมดจริงจัง “ที่เธอโกรธขนาดนี้เพราะยังเสียใจที่เลิกกับไอ้ตินใช่มั้ย?”
“......” ฉันเบือนหน้ากลับมาสนใจราดหน้าในจาน ฉันไม่สนใจว่าใครจะพูดเรื่องของฉันกับตินยังไงฉันไม่แคร์แม้แต่น้อย แต่ที่ฉันทนไม่ได้คือการลากเต้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
“ฉันนึกว่าผ่านมาหลายวันแล้วเธอคงจะโอเคขึ้น แต่เธอก็ยัง...” เต้ค่อยๆ เงียบไป ฉันไม่คิดจะอธิบายในเรื่องที่เต้เข้าใจไปเองเพราะมันคงเป็นประโยชน์กับฉันมากกว่า...อย่างน้อยในตอนที่เต้ยังเข้าใจผิดแบบนี้เขาก็ให้ความสำคัญกับฉันมากกว่าใครๆ
“วันนี้ฉันจะเริ่มติวหนังสือให้นาย เตรียมตัวให้พร้อมล่ะ” ฉันเปลี่ยนเรื่องโดยไม่หันไปมองหน้าเต้
“โอเค...ขอบใจนะ”
“อืม รีบกินเหอะ เดี๋ยวหมดพักเที่ยงซะก่อน” พูดจบก็รีบจัดการราดหน้าในจานอย่างรวดเร็วแล้วปลีกตัวออกไปห้องน้ำทันที
ฉันจ้องมองเงาสะท้อนในกระจกบานใหญ่ตรงหน้าเห็นเพียงผู้หญิงเห็นแก่ตัวคนหนึ่งที่กำลังใช้ความเข้าใจผิดดึงความสำคัญมาไว้กับตัวเพื่อความสุขเพียงชั่วคราว ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ยังยินดีจะรับมันอย่างเต็มใจ
ฉันถอนลมหายใจช้าๆ แล้วพยายามปลงกับความคิดฟุ้งซ่านในหัว ในเมื่อตอนนี้เต้ยังคงให้ความสำคัญกับฉันมากกว่าใครๆ ฉันก็ขอเก็บเกี่ยวช่วงเวลานี้ไว้เท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน
กิ๊งก่อง!
ฉันรีบเดินกลับห้องเรียนทันทีที่เสียงกริ่งดัง เมื่อมุ่งไปยังโต๊ะริมหน้าต่างตัวเดิมก็สะดุดตากับแผ่นหลังของใครบางคนที่นั่งฟุบหน้าอยู่บนเก้าอี้ตัวติดกัน ฉันหันขวับไปยังโต๊ะอีกตัวที่ติดกับประตูหน้าห้องก็สบตาเข้ากับดวงตาโตที่ส่อแววอึดอัดใจผ่านกรอบแว่นสีดำของคนเคยนั่งข้างกัน
“จ้องขนาดนั้นไอ้พีได้เอาไปฝันร้ายแน่ๆ มานั่งที่ได้แล้ว” เสียงทุ้มคุ้นหูทำให้ฉันละสายตาจากพีกลับมาจ้องคนพูดแทน
“พูดยังไงถึงทำให้พีเขายอมย้ายที่ให้เนี่ย ปกติรายนั้นไม่ยอมผิดกฎห้องนะ” ฉันถามพลางนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง
“ก็พูดดีๆ นี่แหละ” เต้อมยิ้มพลางเท้าแขนมองหน้าฉัน “ไม่ดีใจเหรอที่ได้นั่งกับฉันอะ”
“น่ารำคาญสิไม่ว่า” ฉันตอบปัดทั้งที่หัวใจเต้นแรงกว่าทุกทีเพราะรอยยิ้มกับคำพูดของเขา
“โหย ใจร้ายอะ”
“นายจะรู้ว่าฉันใจร้ายได้ขนาดไหนก็ตอนที่ฉันติวหนังสือให้นายนั่นแหละ” ฉันยิ้มมุมปากก่อนหัวเราะในลำคอ
...............................................................
“ถามจริงเคยโดนลูกบอลกระแทกหัวบ่อยเหรอ? ทำไมความจำปลาทองขนาดนี้ห๊ะ? อันนี้เพิ่งเรียนเมื่อเดือนที่แล้วเองนะยะ จะโง่ก็ให้มันมีขอบเขตบ้าง!” ฉันปาปากกาทิ้งอย่างเหลืออด
“โอ๊ยยย...ก็มันจำไม่ได้จริงๆ นี่นา ไม่ได้แกล้งซะหน่อย” เต้บ่นกลับพลางทำหน้ามุ่ย “ไม่เอาแล้ว วันนี้พอแค่นี้เหอะ หัวสมองจะระเบิดอยู่แล้ว” พูดจบก็เอาหน้าแนบกับโต๊ะก่อนช้อนตามองหน้าฉัน
“มองอะไรยะ?”
“มองคนขี้บ่น...แต่ก็ขอบใจนะที่อุตส่าห์สละเวลามาช่วยฉันติว” รอยยิ้มที่ส่งมาทำเอาความหงุดหงิดกระจายหายไปในพริบตา
“สำนึกไว้ซะล่ะ” ฉันเชิดหน้าขึ้นพยายามหลบสายตาที่ยังจ้องมองมา
“งั้นเดี๋ยวซื้อน้ำให้ขวดนึง ชาเขียวเหมือนเดิมนะ” ความเอาใจใส่กับคำพูดธรรมดากลับทำให้หัวใจเต้นแรงกว่าปกติ มือหนาวางไม่เบานักบนไหล่ฉันก่อนออกแรงบีบเบาๆ “เดี๋ยวมานะ”
“อย่าช้าล่ะ ขี้เกียจรอ” ฉันตอบปัดๆ พลางทำหน้าเบื่อหน่าย
“จะรีบไปรีบมาครับผม”
“โอ๊ย ทำบ้าอะไรของนาย!” ฉันร้องออกมาเมื่อถูกเต้หยิกแก้มด้วยแรงที่เรียกได้ว่าไม่เบานัก
“มันเขี้ยว” พูดเสร็จก็เดินตัวปลิวออกจากห้องไปทิ้งให้ฉันนั่งลูบแก้มไปพร้อมกับความรู้สึกมากมายในหัวใจ
ระหว่างรอเต้กลับมาฉันได้แต่นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างห้องเรียน เสียงพูดคุยเสียงหัวเราะแว่วมาตามทางเดินให้ได้ยินตลอดเวลา ฉันเผลอนึกย้อนกลับไปตอนที่ฉันยังไม่ได้คิดอะไรกับเต้ มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขและสนุกมาก ทุกๆ วันมีแต่เสียงหัวเราะไม่มีวันไหนที่ฉันจะมานั่งเศร้าหรือทุกข์ใจเพราะเรื่องของคนคนเดียว บางทีฉันก็อยากให้เวลานั้นย้อนคืนกลับมาแต่แม้จะพยายามเลิกคิดสักเท่าไหร่...ใจฉันก็ทำไม่ได้สักที
“ว้าย!” ฉันร้องพร้อมสะดุ้งสุดตัวเมื่อสัมผัสถึงความเย็นที่ต้นคอ
“ฮะฮะ ตกใจขนาดนั้นเชียว” ตัวการนั่งลงข้างๆ ก่อนยื่นขวดชาเขียวเย็นฉ่ำมาให้
“ก็คิดอะไรเพลินไปหน่อย” ฉันรับมาแล้วเปิดฝาดื่มทันที ความเย็นและความหวานทำให้รู้สึกสดชื่นทั้งร่างกายและหัวใจ
“คิดอะไรอยู่?”
“คิดถึงตอนที่เรารู้จักกันแรกๆ” ฉันเผลอตอบไปตามความรู้สึกจนนึกอยากตบปากตัวเองที่พูดไปแบบนี้
“ตอนป.4ใช่มั้ยที่เราเจอกันครั้งแรก?” เต้ถามพลางทำเหมือนกำลังนึกทวนความทรงจำ
“ใช่ เราอยู่ห้องเดียวกันแต่ไม่ค่อยได้คุยกันหรอกจนกระทั่งนายมาตีสนิทเพราะจะขอช่วยให้ฉันเป็นแม่สื่อให้กับอีฟ” ฉันตอบยิ้มๆ พลางนึกถึงเรื่องราวตอนนั้น
“แต่หลังจากนั้นเราก็สนิทกันจริงๆ นี่”
“สนิทจนถึงขั้นที่ไม่ว่านายจะมีแฟนกี่คนอกหักกี่หนก็เป็นฉันที่ต้องคอยเป็นที่ปรึกษาให้ตลอด” พูดจบก็ดื่มชาเขียวอึกใหญ่ให้ความหวานล้างความขมขื่นทิ้ง
“ทำไงได้ล่ะก็ฉันมีแค่เธอที่คุยทุกเรื่องได้นี่” เต้เท้าคางกับโต๊ะพลางมองหน้าฉัน “เพราะเป็นเธอหรอกนะฉันถึงคุยทุกเรื่องได้อย่างสบายใจ” รอยยิ้มสดใสที่ส่งมาให้ทำใจสั่นไหวรุนแรงจนต้องยกชาเขียวขึ้นดื่มอีกครั้ง
“พอเถอะๆ นอกเรื่องนานละ มาติวหนังสือต่อดีกว่า” ฉันเปลี่ยนเรื่องพลางเลื่อนมือไปเปิดหนังสือแต่กลับถูกเต้จับมือข้างนั้นไว้หลวมๆ
“อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องสิ” ฉันมองมือตัวเองที่ถูกจับไว้แล้วหันมองหน้าคนข้างตัวที่ยังคงใช้อีกมือเท้าคางมองหน้าฉันด้วยแววตาแปลกๆ
“มองอะไรยะ?” ฉันถามด้วยความไม่เข้าใจในการกระทำชวนคิดไปไกลแบบนี้
“ดูๆ ไปเธอก็น่ารักอยู่นะ” จู่ๆ เต้ก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “ตากลมโตจมูกนิดปากหน่อยทำให้หน้ากลมๆ ของเธอมองแล้วไม่น่าเบื่อ”
“นี่นายหลอกด่าฉันเหรอ?” ฉันขยับตัวออกห่างแต่เต้ก็ยังขยับตามเข้ามาใกล้เหมือนเดิม
“เปล่า ฉันหมายความว่าเธอเป็นคนที่มองแล้วอยากมองอีก ยิ่งมองก็ยิ่งน่ารักน่ะ” รอยยิ้มกับคำหวานในระยะประชิดทำเอาใจสั่นรัวจนร้อนไปถึงใบหน้า ฉันดึงมือที่ถูกกุมไว้ออกก่อนดันตัวเต้ให้ถอยห่าง
“พูดดีไปก็เท่านั้นแหละ ฉันไม่ลดความโหดในการติวลงหรอกนะ” ฉันพูดปัดๆ กลบเกลื่อนความเขินอายที่เริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นก่อนคนข้างๆ จะรู้สึกตัว
“เธอรู้ตัวมั้ยว่าจริงๆ มีผู้ชายหลายคนแอบมองเธออยู่นะ” ฉันหันมองเต้ที่ยังคงมองมาที่ฉันด้วยแววตาแปลกๆ เช่นเดิม
“พูดอะไร?”
“นอกจากไอ้ติน จริงๆ ก็มีอีกหลายคนที่มาขอให้ฉันแนะนำเธอให้รู้จัก...แต่ฉันไม่อยากทำ” ฉันเลิกคิ้วมองหน้าเต้ด้วยความไม่เข้าใจ
“แล้วแนะนำตินให้ฉันทำไม?”
“เพราะฉันคิดว่ารู้จักมันดีมั้งเลยคิดว่าคงไม่ทำให้เธอเสียใจแน่ๆ” เต้ยื่นมือมาเกี่ยวปอยผมที่หลุดออกทัดหูให้ฉันเบาๆ “...ที่จริงฉันไม่อยากให้เธอมีแฟนด้วยซ้ำ...”
“......” ฉันได้แต่นั่งเงียบฟังสิ่งที่เต้พูดด้วยความสับสน มือร้อนที่อยู่บริเวณใบหูค่อยๆ เลื่อนลงมาที่คางช้าๆ
“ถ้าตอนนั้นฉันไม่ได้ชอบมิ้นท์ ฉันคงขอเธอเป็นแฟนไปแล้ว”
ความคิดเห็น