คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : อยากเป็นที่รัก...ไม่ใช่เพื่อนรัก
“ควีน...เธอรู้อะไรมั้ย...”
“หืม?” ฉันหันมองคนพูด เต้หันกลับมาสบตาฉันก่อนจะบีบมือฉันแน่นกว่าเดิม
“ถ้าเป็นฉัน...ฉันจะไม่ทำให้เธอต้องเสียใจ” สายตาจริงจังที่จ้องมองมาทำให้หัวใจสั่นไหวจนต้องเบนหน้าหนี
“...อืม...” ฉันตอบรับเบาๆ ก่อนที่เราจะเงียบไปอีกครั้ง ฉันไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยอะไรมากไปกว่านั้นด้วยกลัวว่าความรู้สึกข้างในจะพรั่งพรูออกมาให้อีกฝ่ายได้ยิน ถึงใจลึกๆ อยากจะถามออกไปให้ชัดเจนว่าคิดกับฉันยังไงแต่ความกลัวก็มีมากกว่าความกล้า...กลัวเหลือเกินที่จะเสียเขาไป
“วันนี้ขอบใจนะที่พาไปเที่ยว” ฉันโบกมือลาก่อนหมุนตัวเปิดประตูรั้วบ้าน
“ควีน...” เสียงเรียกทำให้ฉันหันกลับไป
“ว่า?”
“...ฝันดีนะครับ...” รอยยิ้มหวานละมุนกว่าทุกครั้งถูกส่งมาให้ก่อนเจ้าตัวจะขับรถจากไปทิ้งให้ฉันยืนละเมอกับคำพูดธรรมดาที่ไม่ธรรมดาอยู่อย่างนั้นสักพัก
ฉันทิ้งตัวลงนอนบนเตียงพลางทบทวนการกระทำของเต้หลังจากที่เราต่างก็กลับมาโสดอีกครั้ง ถึงพยายามจะคิดว่าเป็นเพียงการปลอบใจซึ่งกันและกันแต่การกระทำสีหน้าแววตาคำพูดมันชวนให้ฉันคิดไปไกลกว่านั้น...
ไกลจนเริ่มเข้าข้างตัวเอง...และคาดหวัง
“เฮ้อ...ตกลงนายคิดอะไรกันแน่นะ”
..............................................................
“ควีน...เธอเป็นแฟนกับเต้เหรอ?” คำถามถูกถามขึ้นด้วยท่าทีคุกคามจากการถูกประกบหน้าหลังเมื่อฉันเดินออกจากห้องเรียนเพื่อเอาขยะไปทิ้งหลังเลิกเรียน
“ห๊ะ?” ถึงจะได้ยินชัดแต่ก็ยังไม่เข้าใจ
“เธอมาคุยกับฉันหน่อย” ไม่ว่าเปล่าเจ้าตัวและผองเพื่อนก็ลากฉันออกจากห้องท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมห้องที่มองมาอย่างสงสัย
“มีอะไร?” ฉันถามขึ้นทันทีที่อีกฝ่ายปล่อยแขนฉันออกแล้วยืนประจันหน้าพร้อมเพื่อนสองคนที่ยืนคุมเชิงอยู่ข้างๆ
“เมื่อวานเพื่อนฉันเห็นพวกเธอไปทะเลกันสองคน” พูดจบก็พยักพเยิดไปทางเพื่อนหมายเลขหนึ่งฝั่งซ้ายมือ
“ใช่ ฉันเห็นพวกเธอกะหนุงกะหนิงกันเหมือนไม่ใช่แค่เพื่อนแต่เป็นมากกว่านั้น”
“นั่นสิ ไหนว่าเป็นแค่เพื่อนกันไง ทำไมถึงได้จี๋จ๋าหวานแหววกันขนาดนั้น” เพื่อนหมายเลขสองฝั่งขวามือเสริมทับ
“เดี๋ยวนะ...” ฉันมองคนซ้ายทีขวาทีแล้วมองคนที่ยืนตรงกลางด้วยความไม่เข้าใจ “ก็เธอเลิกกับเต้แล้วนี่มิ้นท์ เธอจะทำแบบนี้เพื่ออะไร?”
“เต้ปฏิเสธฉันเพราะเธอใช่มั้ย? เธอมายุ่งกับเขาทำไม? เป็นแค่เพื่อนก็อยู่แค่นั้นสิ!” พูดจบมิ้นท์ก็ผลักไหล่ฉันเหมือนจะเอาเรื่อง
“เธอพูดอะไร?” ถึงจะรู้สึกเหมือนโดนหาเรื่องแต่ใจก็ยังอยากจะเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า
“เหอะ! ยังจะมาทำหน้าไม่รู้เรื่องอีกเหรอ!” ความเกรี้ยวกราดที่ถูกสาดมาให้พร้อมกับฝ่ามือที่เงื้อขึ้นพร้อมปะทะทำให้ตัดสินใจผลักอกมิ้นท์เต็มแรงจนอีกฝ่ายเกือบหงายหลังล้มถ้าไม่ได้เพื่อนช่วยจับไว้
“งี่เง่า...” ฉันมองภาพความทุลักทุเลตรงหน้าพลางเบ้ปากแล้วเดินออกจากตรงนั้นก่อนชนเข้ากับร่างสูงที่ยืนหลบมุมอยู่ข้างตึก
“ขอโทษนะ...” เสียงทุ้มคุ้นหูพูดเบาๆ “ขอโทษที่ลากเข้ามาเกี่ยวด้วย” พูดจบก็โอบไหล่ฉันไว้ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงกรีดร้องที่ดังมาจากด้านหลัง
“อีควีน!”
“พอเถอะมิ้นท์ เธอเป็นคนขอเลิกเองแท้ๆ แล้วจะให้มาคืนดีในวันที่ฉันมีแฟนใหม่แล้วเนี่ยนะ เธอหลงตัวเองไปรึเปล่า? หรือว่าโดนไอ้หน้าหล่อนั่นทิ้งมาล่ะถึงได้วกกลับมาหาฉันน่ะ?”
“เต้! ทำไมนายพูดแบบนั้น...ฉันยังรักนายนะเต้ นายเคยรักฉันมากไม่ใช่เหรอ?” น้ำเสียงสั่นพร่ากับดวงตาคลอน้ำทำให้ใบหน้าสวยหวานของมิ้นท์ดูน่าสงสารเป็นที่สุด
“ใช่...ฉันเคยรักเธอมาก แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้รักเธอแล้ว” เต้พูดจบก็หันมองฉันด้วยแววตาหวานซึ้งซึ่งต่างจากมิ้นท์ที่แทบจะฆ่าฉันตายด้วยสายตาคู่นั้น
“เพราะแกคนเดียว!” ร่างบางที่พุ่งเข้าใส่ด้วยความเดือดดาลถูกเต้สกัดไว้ก่อนถึงตัวฉัน
“ลองเธอแตะควีนอีกครั้งสิ ฉันจะทำให้เธอรู้เลยความเจ็บจริงๆ มันเป็นยังไง” ท่าทีข่มขู่ของเต้ทำเอาฉันกลัวไปด้วย มิ้นท์ที่ถูกเต้จับไหล่สองข้างไว้เบ้หน้าเหมือนเจ็บก่อนทรุดตัวนั่งร้องไห้ทันทีเมื่อเต้ปล่อยมือ
“เต้...พอเถอะ” ฉันสะกิดเต้เบาๆ เมื่ออีกฝ่ายยังทำหน้าถมึงทึงน่ากลัวเหมือนจะทำตามที่พูดจริงๆ
“......” เขาหันมองหน้าฉันเงียบๆ ก่อนจูงมือฉันเดินออกมาโดยไร้ซึ่งคำพูด ฉันได้แต่เดินตามพลางหันมองมิ้นท์ที่ร้องไห้โฮเหมือนเด็กโดยมีเพื่อนคอยปลอบอยู่ข้างๆ ด้วยความสงสาร
“นายไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ?” เต้หยุดเดินทันทีที่ฉันพูดจบ
“แต่มิ้นท์เขาจะทำร้ายเธอนะควีน เธอจะให้ฉันยืนดูเฉยๆ โดยไม่ปกป้องเธอเหรอ?” สีหน้าจริงจังของคนพูดทำเอาความรู้สึกดีพองโตในหัวใจ
“อ่า...แล้วตกลงมันเรื่องอะไรกัน” ฉันเบนหน้าหลบสายตาจริงจังก่อนเปลี่ยนเรื่อง
“เฮ้อออ...” เต้ถอนหายใจยาวด้วยท่าทีเบื่อหน่ายก่อนชักชวนฉันไปนั่งคุยที่โต๊ะม้าหินอ่อนใกล้ๆ
“ว่าแต่นายรู้ได้ไงว่าฉันออกมากับมิ้นท์” ฉันถามพลางนั่งลงก่อนที่เต้จะนั่งลงข้างๆ กันโดยที่ยังไม่ปล่อยมือที่จับไว้
“พีบอกน่ะ...” เขาหยุดไปพักนึงเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ “เธอโกรธรึเปล่าที่ฉันบอกมิ้นท์ไปแบบนั้น”
“เรื่องอะไร?”
“ที่บอกว่าเธอเป็นแฟนฉัน...” เต้มองหน้าฉันนานจนฉันต้องหลบตาเพราะกลัวว่าเขาจะเห็นสิ่งที่ไม่ควรรู้
“ทำไมต้องโกรธล่ะ?” ฉันถามกลับโดยไม่มองหน้ารู้สึกได้ถึงแรงบีบมือที่เพิ่มมากขึ้น
“เพราะฉันแคร์เธอไงควีน ฉันกลัวว่าเธอจะเดือดร้อน...เพราะฉัน”
“อย่าคิดมากน่า ใช่ว่าฉันจะไม่เคยเดือดร้อนเพราะนายสักหน่อย” ฉันหันไปพูดยิ้มๆ แต่ก็ต้องยิ้มค้างเมื่อเห็นว่าเต้ยังคงมีสีหน้าและแววตาที่จริงจังจนไม่กล้าล้อเล่น
“ฉันพูดจริงๆ นะควีน ฉันแคร์เธอมากกว่าที่เธอคิดซะอีก”
“โอเคๆ ฉันเข้าใจแล้ว” ฉันตอบรับพลางบีบมือเต้กลับ “มิ้นท์คงมาขอคืนดีแล้วนายไม่อยากกลับไปล่ะสิถึงได้เอาฉันเป็นกันชนแบบนี้...เอาเถอะ ฉันจะยอมเป็นแฟนหลอกๆ ให้นายก็ได้” แค่พูดน่ะมันง่ายนิดเดียวแต่จะทำใจไม่ให้จริงจังไปกับความสัมพันธ์จอมปลอมแบบนั้นโดยที่มีความรู้สึกเกินเลยน่ะ...มันไม่ง่ายแม้แต่นิดเดียว
“เธอโอเคเหรอควีน? แล้ว...เรื่องไอ้ตินล่ะ?” เป็นคำถามที่ไม่อยากตอบเพราะไม่รู้จะต้องตอบยังไง
“ช่างมันเถอะ...มันจบแล้ว” คงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดที่ฉันจะมีให้เพราะในมุมฉัน...ความรู้สึกฉันไม่เคยเริ่ม
“อืม...ขอบใจนะควีน” เต้เปลี่ยนจากจับมือมาเป็นโอบไหล่ “เธอรู้มั้ยว่าเธอดีกับฉันมาก...มากจนบางครั้งฉันก็นึกอยากให้เราเป็นแฟนกันจริงๆ”
“...กลับห้องกันเถอะ...” ฉันบอกก่อนรีบลุกเดินออกมา
ภายในใจท่วมท้นด้วยความสุขจากการได้รับรู้ว่าฉันสำคัญกับเขาแค่ไหน ขณะเดียวกันก็ท่วมท้นไปด้วยความทุกข์จากการได้รับรู้ว่าฉันไม่มีทางสำคัญไปมากกว่านี้ แต่ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะอะไรฉันก็รับรู้ได้อย่างหนึ่งว่าความใส่ใจที่เขามีให้มันคือสิ่งที่มาจากใจเขาจริงๆ
..............................................................
หลังจากที่ฉันยอมรับสถานะแฟนในนามของเต้จนเวลาล่วงเลยมาครึ่งเดือนก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนอกจากสัปดาห์แรกที่ต้องทนกับสายตาอาฆาตจากมิ้นท์และผองเพื่อนที่คอยส่งมาให้ยามที่เจอกัน แต่หลังจากเข้าสัปดาห์ที่สองเรื่องทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาพเดิมเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นจนแปลกใจกับท่าทีของมิ้นท์ถึงได้ลงทุนแอบถามข่าวคราวจนรู้ว่ามิ้นท์มีคนใหม่ดามใจเรียบร้อย เมื่อฉันเล่าเรื่องนี้ให้เต้ฟังในช่วงเวลาติวของเย็นวันหนึ่งเต้กลับหัวเราะออกมา
“เพราะฉันรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ไงถึงไม่อยากกลับไป...อีกอย่างอยู่กับเธอก็สนุกกว่าด้วย” รอยยิ้มหวานที่ส่งให้กับคำพูดธรรมดากลับทำให้หัวใจสั่นไหวเบาๆ
“อ๋อเหรอ...” ฉันได้แต่ยิ้มอยู่ในใจ “ถ้างั้นแฟนปลอมๆ ก็ไม่จำเป็นแล้วสินะ” ฉันลองถามดูทั้งๆ ที่ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังที่ได้สถานะนี้มาเต้ก็ยังคงปฏิบัติกับฉันเหมือนเดิมทุกอย่าง
“ทำไมล่ะ? เธอรังเกียจเหรอ?” สายตาออดอ้อนมาพร้อมคำถามชวนคิดมาก
“อะไรของนายเนี่ย?” ฉันผลักหน้าที่เข้ามาใกล้เกินไปของเต้ให้ออกห่างแต่อีกฝ่ายกลับจับมือฉันไว้ไม่ปล่อย
“เสาร์นี้เราไปเดทกันนะครับที่รัก” ดวงตาหวานฉ่ำมองมาเหมือนมองคนรักทำให้เคลิ้มไปไกลจนถูกเบรกด้วยคำพูดถัดมา “ถึงมันจะเป็นแค่ความสัมพันธ์ปลอมๆ แต่ขอให้ฉันทำอะไรให้เธอบ้างนะควีน”
“อืม..” ฉันยิ้มรับก่อนดึงมือกลับแล้วเริ่มติวหนังสือให้อีกรอบ
มันอาจเป็นเพราะฉันรู้จักเต้ดีเกินไปถึงได้เข้าใจทุกครั้งที่เต้ทำอะไรแบบนี้
เข้าใจว่าทุกการกระทำที่ชวนให้ใจสับสนและหวั่นไหวมันไม่ได้มาจากความรู้สึกเดียวกับฉัน
เข้าใจว่าถึงเขาจะเอาใจใส่ฉันดีมากแค่ไหนมันก็ไม่มีคำว่ารักเข้ามาเกี่ยวข้อง
เข้าใจว่าต่อให้ทำดีแค่ไหนสุดท้ายฉันก็ไม่อาจก้าวข้ามเส้นที่ขีดไว้ได้เลย
แล้ววันเสาร์ที่ว่าก็มาถึง ฉันคิดอยู่นานว่าจะแต่งตัวยังไงไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าฉันรอคอยวันนี้มากแค่ไหน จนในที่สุดกางเกงยีนตัวเก่งก็ถูกจับมาใส่คู่กับเสื้อเปิดไหล่สีดำก่อนรวบผมขึ้นมัดเป็นทรงดังโงะ ขณะที่ยังยืนส่องกระจกเรียกความมั่นใจอยู่เต้ก็โทรเข้ามาพอดี
“ถึงแล้วครับที่รัก ลงมาได้แล้ว” พูดจบก็วางสายทันที ฉันมองตัวเองในกระจกอีกครั้งก่อนคว้ากระเป๋าแล้วออกจากห้องไป
“เลิกเรียกฉันว่าที่รักได้แล้วย่ะ ระคายหู” ฉันบ่นทันทีที่เห็นหน้าเต้ก่อนอึ้งไปนิดกับการแต่งหล่อของอีกฝ่าย
“มองอะไร ไม่เคยเห็นคนหล่อรึไง?” เต้แซวก่อนลงจากรถแล้วเดินเข้ามาใกล้ “ทำผมแบบนี้แล้วจะใส่หมวกกันน๊อคยังไงครับ” พูดจบก็แกะยางผูกผมออกก่อนสางผมฉันให้เข้าทรง ความใกล้ชิดทำให้หัวใจร้อนวูบวาบจนเผลอถอยหลัง
“ฉันทำเองได้ย่ะ”
“ก็อยากทำให้ที่รักอะ” น้ำเสียงออดอ้อนเหมือนเด็กบวกกับแววตาที่มองตรงมาส่งผลให้ความเขินอายเริ่มมีอิทธิพลจนน่ากลัวจะแสดงออกทางสีหน้า
“พอได้แล้ว บอกแล้วไงว่าให้เลิกเรียกแบบนั้น”
“เอาน่า...แค่วันเดียวเอง ไม่สึกหรอแน่นอน” พูดจบก็เดินกลับไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์แล้วยื่นหมวกกันน๊อคมาให้
“......” ฉันรับมาสวมเงียบๆ ก่อนนั่งซ้อนท้ายอย่างทุกทีพร้อมความหน่วงแปลกๆ ในใจ
................................................................
“เธอมีหนังที่อยากดูมั้ย?” เต้ถามเมื่อเดินเข้าห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่ง
“อยากดูหนังผี” ฉันตอบพลางเหลือบมองคนข้างตัวที่อึ้งไปกับคำตอบของฉัน
“มาเดททั้งทีอยากดูหนังผีเนี่ยนะ?”
“ทำไมอะ กลัวเหรอ?” ฉันตอกกลับเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยถูกกับของแบบนั้น
“เปล๊า กลัวอะไร๊ ไม่กลั๊ว” เต้ส่ายหน้าแรงจนฉันหลุดขำ
“เสียงสูงทะลุหลังคาโลกแล้วมั้งเนี่ย...ฉันล้อเล่น นายอยากดูเรื่องไหนก็เรื่องนั้นแหละ” ฉันยังคงหัวเราะเบาๆ กับท่าทีของเต้
“หนังผีก็หนังผีสิ ใครกลัวกัน” พูดจบก็จับมือฉันลากขึ้นลิฟต์ไปชั้นห้าเพื่อจองตั๋วหนังผีที่ฉันอยากดู
“แน่ใจเหรอ? เรื่องนี้เขารีวิวว่าน่ากลัวกว่าจูออนอีกนะ” ฉันถามย้ำความแน่ใจเมื่อเต้ดูตะลึงตอนเห็นโปสเตอร์หนัง
“ก็บอกว่าไม่กลัวไง...” ถึงปากจะปฏิเสธแต่เหงื่อที่ซึมไรผมทำให้รู้ว่าไม่น่าจะไหวแต่เห็นท่าทีดึงดันของเต้ก็เลยได้แต่ปล่อยไป
“งั้นไปหาอะไรกินระหว่างรอเวลาละกัน” ฉันเอ่ยปากชวนก่อนหยิบเอาบัตรส่วนลดจากกระเป๋า “ยัยบีให้มาเมื่อวานบอกให้รีบใช้เพราะมีอายุแค่สามวัน เราไปกินร้านนี้กันเหอะ”
หลังมื้ออาหารแสนอร่อยเราก็เดินเล่นกันอีกสักพักก่อนถึงเวลา
“ควีน มานี่หน่อย” เต้กวักมือเรียกฉันที่เพิ่งคุยโทรศัพท์กับแม่เสร็จให้เดินเข้าไปหาตรงซุ้มขายของจุกจิกบริเวณลานกลางห้าง
“ว่าไง?”
“คิดว่าไง?” เต้ชี้ให้ดูสร้อยคอสายหนังสีดำที่มีจี้เป็นรูปเด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชายคล้องไว้คู่กัน
“ก็น่ารักดี”
“งั้นเอาอันนี้ครับ...แล้วก็เอาสร้อยธรรมดาเส้นนึงนะครับ” พูดจบก็จัดแจงจ่ายเงินแล้วจูงมือฉันเดินไปนั่งบนม้านั่งไม่ไกลจากตรงนั้นมากก่อนจัดการแยกจี้สองอันออกจากกันแล้วใส่ในสร้อยแต่ละเส้น
“......” ฉันได้แต่มองการกระทำของเต้ด้วยความไม่เข้าใจก่อนที่เต้จะหยิบเอาสร้อยเส้นนึงพาดเข้ากับคอฉันแล้วถือโอกาสเอื้อมมือไปด้านหลังเพื่อสวมให้ ความใกล้ชิดในท่าทางกับลมหายใจร้อนที่เป่ารดหูเบาๆ ทำให้หัวใจร้อนวูบวาบจนแทบจะทนไม่ไหว
“เข้ากับเธอมากเลย” รอยยิ้มที่อยู่ห่างจากหน้าไม่มากดูละมุนและมีความหมายมากกว่าทุกที
“ให้ฉันเหรอ?” ฉันถามเบาๆ พลางยกมือขึ้นสัมผัสสร้อยบนคอแล้วก้มลงดูเห็นเป็นจี้รูปเด็กผู้ชาย
“อืม...” เต้ยิ้มตอบก่อนนำสร้อยอีกเส้นที่เป็นจี้รูปเด็กผู้หญิงใส่เข้าที่คอ “เป็นยังไง? สร้อยคู่” เป็นคำพูดสั้นๆ ที่ส่งผลต่อหัวใจได้มากมายเหลือเกิน
“ขอบใจนะ” ฉันก้มหน้าหลบสายตาที่มองมาด้วยไม่รู้จะรับมือยังไงกับความสุขท่วมท้นในหัวใจตอนนี้
“ถึงเวลาแล้ว ไปดูหนังกันเถอะ” จบคำพูดเจ้าตัวก็คว้ามือฉันเหมือนเป็นเรื่องปกติไปแล้วก่อนเดินจับมือกันไปจนถึงโรงหนัง
“ทำไมคนน้อยจัง” เต้บ่นพึมพำให้ได้ยินขณะที่นั่งรอหนังฉาย
“ทำไม? กลัวเหรอ?” ฉันยื่นหน้าเข้าไปถามใกล้ๆ หวังได้เห็นวี่แววตกใจจากอีกฝ่าย
“แค่มีเธออยู่ข้างๆ ฉันก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้นแหละ” สายตาจริงจังที่จ้องกลับมาทำเอาเขินไม่น้อยแต่ยังไม่ทันจะหายเขินเต้ก็คว้ามือฉันเอาไปจับไว้แน่น “ยืมมือมาปิดตาทีนะ”
อุณหภูมิจากมือที่ถูกกอบกุมอยู่เปลี่ยนไปตามจังหวะความน่ากลัวของหนัง ทั้งที่ฉันน่าจะสนุกไปกับการได้ดูหนังที่ชอบกลับกลายเป็นความสนใจทั้งหมดของฉันตกไปอยู่ที่คนข้างๆ แทน
ทุกครั้งที่หนังมีฉากน่ากลัวเต้ก็จะเอามือฉันปิดตาพอจบฉากนั้นก็ค่อยๆ เอาลงเล็กน้อยเหมือนพร้อมที่จะปิดตาหนีความน่ากลัวได้ทุกเมื่อ ยิ่งระยะเวลานานขึ้นตัวของเต้ก็ค่อยๆ พิงมาทางฉันจนต้องเอาที่วางแขนขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายทิ้งตัวมาได้สะดวก
ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากให้หนังเรื่องนี้ยาวนานต่อไปอีกหน่อยเพราะระยะเวลาแค่เกือบสองชั่วโมงมันไม่พอกับความต้องการที่ถูกซ่อนอยู่ในหัวใจ
ฉันอยากใกล้ชิดเขามากกว่านี้
อยากเป็นคนสำคัญที่ดูแลหัวใจกันและกัน
อยากเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขา
แต่เมื่อหนังจบลงฉันก็ต้องเผชิญหน้ากับสถานะที่แสนเจ็บปวด สถานะที่ไม่อาจก้าวข้ามไปได้ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน
...สถานะที่ถูกเรียกว่า "เพื่อนรัก"...
ความคิดเห็น