คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : หมายความว่าอะไร
“ขอบใจที่มาส่ง” ฉันพูดพลางลงจากรถมอเตอร์ไซค์มายืนหน้าบ้านก่อนส่งยิ้มให้อย่างเคย
“...อืม...” แต่รอยยิ้มของอีกฝ่ายกลับไม่เหมือนเดิมจนรู้สึกแปลก เหมือนมีอะไรมากมายอยู่ในนั้น
“อ่า...ขับรถกลับบ้านดีๆ ล่ะ” ฉันโบกมือลาก่อนหมุนตัวไปเปิดประตูรั้วแต่ก็ต้องชะงักเพราะถูกเต้ดึงแขนไว้จนต้องหันกลับมา สายตาที่จ้องมองมาทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะอีกรอบ
“เธอ...” เต้พูดแล้วยื่นมือมาใกล้หน้าฉัน หัวใจยิ่งเพิ่มจังหวะความเร็วเมื่อนิ้วมืออุ่นแตะถูกพวงแก้มและเลื่อนลงปลายคาง
“ทำอะไร?” เสียงที่ถามออกไปทั้งเบาหวิวและสั่นพร่า
แกร๊ก!
“เธอลืมถอดหมวกกันน๊อคน่ะ” เต้พูดยิ้มๆ ก่อนถอดหมวกกันน๊อคออกจากหัวฉันแล้วเอาวางไว้หน้าตะกร้า
“ก...ก็รีบบอกเซ่!” ฉันแว้ดเสียงดังแล้วหันหลังเปิดประตูวิ่งเข้าบ้านทันทียังได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาเบาๆ
ฉันวิ่งตึงตังขึ้นชั้นสองก่อนพุ่งเข้าห้องด้วยความไวแสงไม่สนใจแม้กระทั่งแม่ที่ออกมาร้องถามตรงหัวบันได ใจสั่นระรัวเป็นกลองไม่รู้ด้วยความอายหรือความเหนื่อย ฉันฟุบหน้าลงกับหมอนก่อนกรีดร้องออกมาเสียงดังเพื่อไล่ความอึดอัดใจออกไป
สายน้ำเย็นจากฝักบัวเรียกเอาสติที่เตลิดไปตั้งแต่ช่วงเย็นกลับมา คำพูดต้นเหตุกลับมาวนเวียนในหัวอีกครั้ง
'ถ้าตอนนั้นฉันไม่ได้ชอบมิ้นท์ ฉันคงขอเธอเป็นแฟนไปแล้ว'
ฉันคาดเดาไม่ได้เลยว่าหากตอนนั้นไม่มีคนเดินเข้ามาในห้องเต้จะพูดอะไรต่อ เพราะหลังจากนั้นเราต่างก็เงียบและชวนกันกลับบ้านโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ระหว่างทาง
ฉันไม่รู้...ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเต้หมายความว่าอะไร แต่ทั้งคำพูดทั้งสายตาที่มองมารวมถึงการกระทำแปลกๆ มันทำให้ฉันคิดไปไกลจนกลัวว่าจะรั้งหัวใจไว้ไม่ไหว กลัวที่จะรู้สึกไปเองมากกว่าเดิม และที่กลัวที่สุดคือความผิดหวังถ้าทั้งหมดที่คิดและรู้สึกนั้นมันเป็นเพียงสิ่งที่ฉันคิดเข้าข้างตัวเองคนเดียว
ฉันทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะเขียนหนังสือก่อนเปิดโน้ตบุ๊กขึ้นมาอัพเดตข่าวสารในโลกโซเชียลอย่างที่เคยทำ บางทีการนั่งเลื่อนดูเฟสบุ๊กเพื่อนๆ ก็ทำให้คลายเครียดได้อย่างน่าประหลาด
ตึ๊ง!
เสียงแชทดังขึ้นพร้อมเด้งรูปโปรไฟล์คนคุ้นตา
‘ทำไรอยู่’
ฉันค้างไปนิดนึงก่อนเปิดอ่านแล้วจู่ๆ อีกฝ่ายก็วีดิโอคอลมาหาทันที ฉันตกใจเผลอกดรับโดยลืมไปว่าตัวเองอยู่ในชุดนอนที่ค่อนข้างไม่เรียบร้อยเท่าไหร่
“ทำไมรับช้าจัง คุยกับใครอยู่รึเปล่าเนี่ย?” เสียงทุ้มดังสวนขึ้นมาก่อนเงียบไปพักนึง
“ว่าไง มีอะไรเหรอ?” ฉันตอบกลับพลางสังเกตเห็นอาการและสีหน้าแปลกๆ ของเต้
“นี่เธอกำลังอ่อยฉันอยู่รึเปล่าเนี่ย? ทำไมแต่งตัวเซ็กซี่จัง?” รอยยิ้มมุมปากกับสายตากะลิ้มกะเหลี่ยทำให้รู้ตัวทันที ฉันพับโน้ตบุ้กลงก่อนเดินไปหยิบเสื้อมาคลุมไหล่แล้วกลับมานั่งเปิดโน้ตบุ๊กคุยต่อ
“ทะลึ่ง! ก็คนกำลังจะนอนจะให้ใส่ชุดวอร์มรึไง?”
“ฮะฮะ ก็เห็นใส่สายเดี่ยวโชว์ไหล่โชว์อกไอ้เราก็คิดไปไกล” เสียงหัวเราะชอบใจจากอีกฝ่ายเริ่มทำให้มีน้ำโห
“อีตาบ้า...ตกลงนี่โทรมาทำไมเนี่ย?”
“ก็คิดถึง อยากเห็นหน้า” คำหวานกับสายตาออดอ้อนที่ส่งมาทำเอาไปต่อไม่ถูก
“บ้าบอ...ถ้าจะกวนก็ไปอ่านหนังสือทวนซะไป ฉันจะนอนแล้ว” ฉันรีบตอบปัดๆ เพราะกลัวความคิดและความรู้สึกจะพลุ่งพล่านเพิ่มมากกว่าเดิม
“จะรีบหนีไปคุยกับคนอื่นก็บอกกันดีๆ ก็ได้ไม่เห็นต้องไล่เลย น้อยใจนะเนี่ย” เต้เบ้ปากก่อนทำหน้าน่าสงสารพร้อมส่งเสียงกระซิกราวกับคนเสียใจอย่างหนัก
“จะให้คุยกับใครที่ไหนล่ะยะ” ฉันตอบกลับไปพลางทำหน้าเอือม
“ก็นึกว่าคุยกับ...” เต้เงียบไปแค่นั้นแต่ฉันก็รับรู้ได้ทันทีว่าเต้หมายถึงใคร เราต่างก็เงียบใส่กันอยู่พักนึงก่อนที่เต้จะเป็นฝ่ายบอกลาแล้ววางสายไป
ฉันถอนหายใจออกมาแล้วเลื่อนหาแชทของติน ครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันคือวันก่อนที่เราจะทะเลาะกัน ข้อความสุดท้ายจากตินยังคงรับรู้ได้ถึงความรู้สึกดีๆ ที่อีกฝ่ายมีให้เต็มร้อย ‘ฝันดีนะครับ รัก’ ตามด้วยอิโมจิรูปหัวใจมากมายจนนับไม่ถ้วน แต่หลังจากที่ฉันวิ่งหนีจากตินมาและอีกฝ่ายพูดคำว่าเลิกออกมานับจากนั้นก็ไม่มีข้อความใดๆ จากตินอีกเลย
ทั้งที่น่าจะเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันกลับโล่งใจจนรู้สึกละอายตัวเองที่ทำให้คำว่ารักของตินกลายเป็นของไร้ค่า ฉันมันแค่คนเห็นแก่ตัวที่ตอบรับความรู้สึกดีเพียงเพราะไม่อยากให้เต้เสียหน้า ทำตัวเป็นแฟนที่ดีเพียงเพราะอยากให้เต้หันมองฉันในมุมนั้นบ้าง ทั้งหมดทั้งสิ้นเพียงเพื่อคนคนหนึ่งที่เรียกฉันว่าเพื่อนสนิทเท่านั้น
..............................................................
“ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะบ้าตาย” เต้พูดขึ้นทันทีที่นั่งลงข้างฉัน มือเลื่อนจานข้าวออกห่างตัวก่อนเท้าแขนสองข้างกับโต๊ะพลางมองไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย
“แค่อ่านหนังสือเยอะไม่ทำให้บ้าตายหรอกน่ะ” ฉันพูดยิ้มๆ ก่อนหยิบช็อกโกแลตในถุงผ้าใบเล็กยื่นให้ “กินอะไรหวานๆ จะได้ช่วยผ่อนคลาย”
“งั้น...” เต้หันมาสบตาก่อนยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วยกมือขึ้นแตะแก้มฉัน “กินเธอแทนได้มั้ยล่ะ น่าจะหวานไม่ต่างกัน”
โป๊ก!
“ทะลึ่ง!” ฉันถลึงตาใส่อีกฝ่ายที่กุมหัวหลังจากโดนมะเหงกข้อหาลามปาม
“อูย...แหย่นิดแหย่หน่อยไม่ได้เลยนะ” เต้ลูบหัวตัวเองพลางพูดต่อ “ช่วงนี้ดุเป็นหมีตกมันเชียว”
“ใครใช้ให้ลามปามล่ะ ไม่ตบหน้าก็บุญแล้ว” พูดจบก็เลิกใส่ใจคนข้างๆ
“ก็เวลาเธอโกรธมันน่ารักดีน่ะ...ฉันชอบ” มือที่กำลังยกแก้วน้ำชะงักกึก เสียงหัวใจเริ่มดังผิดจังหวะอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจทำเป็นไม่ได้ยินแล้วรีบลุกเดินไปเก็บจาน
ฉันรีบเดินออกห่างจากโต๊ะโดยไม่สนใจเสียงเรียกของเต้ที่ดังตามมา สมองที่สับสนวุ่นวายกับคำพูดและการกระทำของเต้มาตั้งแต่เมื่อวานทำให้ฉันไม่ทันมองทางจนชนเข้ากับใครคนหนึ่งตรงหัวมุมชั้นวางจาน
“ว้าย!” ฉันร้องออกมาด้วยความตกใจก่อนมือหนาจะคว้าแขนฉันไว้ “ขอโทษนะ...” เมื่อฉันเงยหน้ามองเจ้าของร่างตรงหน้าก็อึ้งไปเล็กน้อยด้วยไม่คิดว่าจะเป็นติน
“......” ตินมองหน้าฉันนิ่งอย่างไร้คำพูด มือยังคงจับแขนฉันไว้ไม่ปล่อยจนฉันต้องเป็นฝ่ายถอยและดึงแขนกลับมา
“พี่ตินอะ ไม่รอขวัญเลยนะคะ” เสียงหวานดังขึ้นจากด้านหลังของตินพร้อมมือขาวคล้องเข้าที่แขนอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ
“......” ฉันมองภาพตรงหน้าอย่างเงียบๆ
“อ้าวพี่ควีน มาแสดงความยินดีกับขวัญเหรอคะ?” รอยยิ้มหวานปะปนความเย้ยหยันส่งตรงมา ฉันทำได้แค่ยิ้มให้แล้วเดินออกไปจากตรงนี้อย่างไร้คำพูด ไม่ทันรู้ตัวก็ถูกมือหนาดึงข้อมือให้เดินตามไป ฉันได้แต่มองแผ่นหลังชื้นเหงื่อของเต้ด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ไม่ได้เสียใจไม่ได้เสียดาย...ไม่รู้สึกอะไรเลย
“เสาร์นี้เราไปทะเลกัน” เต้พูดขึ้นทันทีที่ถึงห้องเรียน ฉันเดินเข้าที่นั่งประจำข้างหน้าต่าง
“ทำไมล่ะ?” ฉันถามโดยไม่มองหน้าแต่ก็รู้สึกได้ว่าเต้นั่งลงข้างๆ แล้วลากเก้าอี้เข้ามาใกล้กว่าทุกที
“อยากไปเที่ยวต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ?” น้ำเสียงออดอ้อนเหมือนเด็กทำให้ฉันต้องหันกลับไปมองเต้ที่เท้าคางมองฉันอยู่ก่อนแล้ว
“นายกำลังปลอบใจฉันเหรอ?” ฉันเลิกคิ้วถามกลับ
“ฉันไม่อยากเห็นเธอเศร้า” เต้มองหน้าฉันนานก่อนยกมือลูบหัวฉันเบาๆ
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
“เธอไม่จำเป็นต้องโกหกความรู้สึกตัวเองเวลาอยู่กับฉันก็ได้” พูดจบก็ดึงตัวฉันเข้าซบไหล่ “ฉันเคยบอกแล้วนี่ว่าอ้อนฉันบ้างก็ได้น่ะ”
“......” ฉันควรที่จะรู้สึกละอายใจที่ไร้ซึ่งความเสียใจที่เห็นภาพของตินกับน้องขวัญ ควรที่จะรู้สึกละอายใจที่ใช้ความเข้าใจผิดกอบโกยความสำคัญจากเต้ ควรที่จะรู้สึกอะไรอย่างนั้นไม่ใช่ภายในใจพองฟูเต็มไปด้วยความสุขแบบนี้...มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้แต่ฉันก็ห้ามมันไม่ได้จริงๆ
.............................................................
แล้ววันเสาร์ก็มาถึง ฉันตื่นนอนแต่เช้าเตรียมของแต่งตัวไม่นานเต้ก็โทรเข้ามาบอกว่าถึงหน้าบ้านแล้ว
“ทำไมแต่งเต็มยศจัง” เต้ทักทันทีที่เห็นฉัน ฉันเลิกคิ้วมองตัวเองขึ้นลงหาความเต็มยศที่เต้พูดถึง
“อะไรคือเต็มยศ?”
“ก็เสื้อแขนยาวกางเกงขายาว...ไม่เห็นเหมือนคนจะไปทะเลเลย” พูดจบก็ทำหน้าเหมือนเสียดายที่ฉันแต่งตัวแบบนี้
“จะให้ใส่กางเกงขาสั้นเสื้อกล้ามนั่งรถมอเตอร์ไซค์ครึ่งชั่วโมงท่ามกลางแดดร้อนกับฝุ่นไปทะเลรึไงยะ ได้เกรียมตายก่อนถึงแน่นอน แล้วว่าแต่ฉันนายเองก็เถอะไอ้แจ๊คเก็ตยีนกับกางเกงยีนขาลีบเนี่ยเหรอชุดไปทะเลของนาย”
“ฮะฮะ นี่แร็ปด่าเหรอ? หายใจทางไหนเนี่ย?” เต้ดูจะชอบใจที่ฉันเริ่มหงุดหงิด
“จะไปไม่ไป? ถ้ายังไม่ไปจะเข้าบ้านแล้วนะ ร้อน!”
“ฮะฮะ งั้นก็ขึ้นมาสิครับจะได้รีบไป” เต้พูดยิ้มๆ ก่อนยื่นหมวกกันน๊อคให้ ฉันรับมาใส่ก่อนขึ้นนั่งอย่างเคย “กอดเอวแน่นๆ หน่อย ขับทางไกลเดี๋ยวตกไปแย่เลย” พูดจบก็เอื้อมมือมาข้างหลังเพื่อจับแขนฉันดึงเข้าหาตัวทำให้ตัวฉันติดกับหลังของเต้อย่างน่าอาย
“ใกล้ไป! มันร้อน!” ฉันดึงแขนกลับแล้วขยับตัวออกมา
“ทำไม? กลัวนมโดนหลังเหรอ? ไม่ต้องกลัวหรอกนะ...” เต้หันมาสบตาก่อนยิ้มกรุ้มกริ่ม “เพราะถึงโดนไปก็ไม่รู้สึกอยู่ดี”
ป้าบ!
ฉันตีเข้าที่หลังคนพูดอย่างแรงจนร้องโอ๊ยเสียงดังก่อนเอากระเป๋าเป้ที่สะพายหลังอยู่มาเป็นตัวกั้นกลางระหว่างตัวฉันและหลังของเต้
“กอดแน่นๆ ล่ะ ขืนเธอหายไปฉันคงแย่” เต้พูดอีกครั้งก่อนจะออกรถ
ชายหาดสีขาวทอดยาวสุดสายตา น้ำทะเลต้องแสงแดดเป็นประกายระยิบระยับ ท้องฟ้าสีฟ้าสดถูกแต่งแต้มด้วยปุยเมฆขาวชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย เสียงคลื่นที่ซัดสาดผืนทรายคลอเคล้าไปด้วยเสียงหัวเราะของนักท่องเที่ยวมากมาย สายลมและกลิ่นเกลือที่พัดมาทำให้สดชื่นขึ้นทันตา
“เห็นแล้วหายเหนื่อยเลยเนอะ” เสียงเต้เรียกให้ฉันที่กำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศหลุดจากภวังค์
“อืม...ขอบใจที่พามานะ” ฉันหันไปส่งยิ้มให้คนที่ยิ้มอยู่ก่อนแล้ว
“ไปเปลี่ยนเสื้อกันเถอะ” เต้รีบลากฉันเดินตรงไปยังห้องน้ำสาธารณะใกล้ๆ หลังจากฝากของและเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยเราต่างก็รีบวิ่งลงไปที่ชายหาดทันที
“มันต้องแบบนี้สิชุดมาทะเลน่ะ” ฉันรีบหันขวับไปมองก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่จะเห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มจากอีกฝ่าย
“ถ้ายังมองไม่เลิกฉันจะจิกลูกตานายออกมา” ฉันพูดเสียงเย็นพลางทำหน้าจริงจัง
“ก็นานๆ จะเห็นเธอใส่กางเกงขาสั้นขนาดนี้มันก็ต้องมองบ้างรึเปล่า เสียดายที่ไม่ใช่เสื้อกล้ามนะไม่งั้น...” ไม่รอให้จบประโยคฉันถอดรองเท้าขว้างใส่คนพูดทันที
“ถ้าพูดต่อไม่จบที่รองเท้าอีกแน่ ฉันจะถีบนายให้ตกทะเลไปเลย” ฉันชี้หน้าอย่างเอาเรื่อง
“ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งโมโหสิครับ ไปถ่ายรูปกันดีกว่าน่ะ” ว่าแล้วก็หยิบรองเท้าฉันส่งคืนก่อนเดินนำไป
หลังจากเราถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง จู่ๆ เต้ก็สั่งให้ฉันยืนหันหลังให้กล้อง
“ใช่ๆ หันหลังไว้นะแล้วชูมือขึ้น นับสามนะ หนึ่ง สอง สาม!” จบคำว่าสามตัวฉันลอยจากพื้นก่อนพุ่งลงทะเลอย่างไม่ทันตั้งตัวพร้อมเสียงหัวเราะใกล้ๆ หู
ตูม!
ร่างทั้งร่างถูกทิ้งลงน้ำอย่างกะทันหันต่อให้น้ำไม่ลึกแต่ก็ทำเอาจมไปทั้งตัว
“แคกๆ นายทำบ้าอะไร!” ฉันแว้ดออกมาทันทีที่ลุกขึ้นยืนได้ ตัวการยืนหัวเราะตัวโยนอยู่ข้างๆ จนอดไม่ได้ที่จะโถมตัวเข้าใส่ให้เสียหลักก่อนพุ่งลงน้ำไปอีกรอบพร้อมกัน
“ค่อกๆ อยากกอดก็บอกดีๆ ไม่เห็นต้องรุนแรงเลย” คนปากดีพูดขึ้นทั้งที่ยังสำลักน้ำไม่เลิก
“ตลกล่ะ ใครจะอยากกอดนายกัน หลงตัวเอง” ฉันทำท่าจะเดินขึ้นฝั่งแต่กลับถูกวงแขนแกร่งกอดรัดจากทางด้านหลังก่อนลากลงทะเลไปอีกรอบ
หลังจากโหวกเหวกโวยวายกันในทะเลจนเริ่มหิว ฉันก็ชวนเต้ขึ้นจากน้ำเพื่อไปหาอะไรกิน
“อื้อฮือ...” เสียงอุทานดังขึ้นเบาๆ จากคนเดินตามหลังจนฉันหันกลับไปมองอย่างสงสัย
“อะไร?”
“ซ่อนรูปไม่เบานะเธอน่ะ” นอกจากจะพูดแล้วยังทำไม้ทำมือเป็นรูปร่างประหลาดจนเผลอก้มมองตัวเอง
เสื้อยืดที่ใส่แนบรัดไปกับตัวจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันไม่ทันที่จะอายจนต้องโวยวายใส่คนมองก็ถูกบางสิ่งสวมครอบเข้าที่หัว
“ใส่ทับไว้” คำพูดสั้นๆ ยิ่งทำให้งงจนต้องดึงกลับออกมาดูเห็นว่าเป็นเสื้อบอลตัวโคร่งที่เต้ใส่เล่นน้ำเมื่อกี้นี้ “ฉันไม่อยากให้ใครมองเธอ”
“......” ฉันสวมเสื้อที่ได้มาอย่างว่าง่าย ความใหญ่ของเสื้อคลุมยาวเลยขากางเกงจนเหมือนกำลังใส่ชุดวันพีช
“แต่งอย่างนี้ก็น่ารักดีนะ” รอยยิ้มกับแววตาเป็นประกายทำเอาเขินไม่น้อยแต่สิ่งที่ทำให้ไม่กล้าสบตากับอีกฝ่ายคือแผงอกเปลือยเปล่าท้าแดดชวนมอง
“นาย...ไม่ร้อนเหรอ?” ฉันถามพลางบอกตัวเองให้สนใจท้องฟ้าทะเลชายหาด
“ไม่นี่...ทำไมอ่ะ? เขินเหรอ?” พูดจบเจ้าตัวก็ยิ่งขยับเข้าใกล้เรื่อยๆ จนเผลอถอยหลัง
“จะขยับมาใกล้ทำไม? มันร้อน!” ถึงยังไม่หันมองตรงๆ ก็รับรู้ได้ถึงความใกล้ของแผงอกตรงหน้า
“ฉันอุตส่าห์ถอดโชว์แล้วเธอก็ช่วยมองหน่อยสิ” ไม่ว่าเปล่าเต้ก็รวบตัวฉันเข้าไปกอดก่อนวางคางบนหัวฉัน
“ปล่อยฉันนะ!” ฉันร้องออกมาแต่ไม่กล้าดันตัวออกด้วยไม่รู้จะจับตรงไหนดี หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้ว
“แหมๆๆ เธอเขินเหรอ เธอเขินจริงใช่รึเปล่า...น่ารักอะ” ยิ่งฉันแสดงออกว่าเขินมากเท่าไหร่ดูท่าอีกฝ่ายยิ่งชอบใจจนเพิ่มแรงกอดให้แน่นเข้าไปอีก
“พอ...ได้...แล้ว” ฉันกัดฟันพูดก่อนหยิกเข้าที่หลังของเต้อย่างแรง
“โอ้ยยย...ทำไมโหดจังอะ” เต้รีบปล่อยแล้วพยายามเอื้อมมือไปลูบบริเวณที่โดนฉันทำร้าย
“ใครใช้ให้แกล้งไม่เลิกล่ะ” พูดจบก็ทำท่าจะถอดเสื้อคืนเจ้าของแต่ทว่าเจ้าของเสื้อกลับยึดมือไว้
“ใส่ไว้เถอะ...ฉันหวง” ว่าแล้วก็จูงมือฉันเดินไปพร้อมกัน ฉันได้แต่อึ้งจนไม่กล้าดึงมือออกจนสุดท้ายก็ตัดสินใจปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความรู้สึกดีในหัวใจ
เสียงน้ำทะเลซัดหาดทรายดังคลอกับเสียงหัวเราะยิ่งทำให้มือที่จับกันอยู่ของเรามีความหมายมากขึ้น สำหรับเต้ฉันไม่รู้แต่สำหรับฉันวันนี้เป็นวันที่ฉันมีความสุขที่สุด
“ควีน...เธอรู้อะไรมั้ย...”
“หืม?” ฉันหันมองคนพูด เต้หันกลับมาสบตาฉันก่อนจะบีบมือฉันแน่นกว่าเดิม
“ถ้าเป็นฉัน...ฉันจะไม่ทำให้เธอต้องเสียใจ”
ความคิดเห็น