ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เป็นได้เพียง...

    ลำดับตอนที่ #2 : กลืน

    • อัปเดตล่าสุด 28 ธ.ค. 63




         “อะ ชาดำเย็น”

         “ขอบใจจ้ะ” ฉันตอบพร้อมรับแก้วลงวางข้างจานข้าว

         “เย็นนี้โค้ชเรียกรวมตัวทุกคนน่ะ คงไปส่งไม่ได้นะ” อีกฝ่ายบอกพลางนั่งลงข้างๆ แล้วก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารที่วางตรงหน้า

         “โอเค ฉันจะได้ไปกับพวกยัยกิ๊บ เห็นชวนกันไปร้านเค้กเปิดใหม่ที่ห้างน่ะ” ฉันบอกก่อนเริ่มขยับมือคิดจัดการข้าวไก่ทอดครีมซอสมะนาวตรงหน้า

         “พี่ตินคะ” เสียงหวานดังขึ้นพร้อมจานผลไม้หลากสีถูกยื่นส่งมาตรงหน้าคนข้างๆ ฉันเหลือบมองเจ้าของมือขาวที่ยืนอมยิ้มเขินอายแล้วหันมาสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแทน

         “อะไรครับน้องขวัญ?”

         “ได้ยินเพื่อนๆ พี่เขาบอกว่าพี่ชอบทานผลไม้ ขวัญก็เลยซื้อมาฝาก” ไม่ต้องหันไปมองก็รับรู้ได้ถึงสายตาไม่ประสงค์ดีที่ส่งมาให้ฉันโดยเฉพาะ “ทานให้อร่อยนะคะพี่ติน” พูดจบน้องขวัญคนสวยก็เดินจากไปนั่งรวมกับกลุ่มเพื่อนก่อนจะหัวเราะคิกคักกันด้วยเสียงไม่เบานัก

         “กินด้วยกันมั้ย?” คนข้างตัวเลื่อนจานผลไม้มาใกล้ๆ จานข้าว

         “เขาให้นายกิน ไม่ได้ให้ฉันกิน ขืนกินไปได้ติดคอตาย” ฉันตอบแล้วเลื่อนจานผลไม้ออก

         “แหม หึงก็บอก จะได้ไม่กิน” ตินยื่นหน้ามาใกล้พลางยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย

         “นี่แน่ะ! พูดดีนัก” ฉันหยิบชิ้นมะม่วงมันในจานยัดใส่ปากคนพูดมากแต่คนถูกมะม่วงยัดปากดันจับมือฉันไว้แน่นแล้วค่อยๆ เคี้ยวสิ่งที่อยู่ในปากด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย

         “อยากป้อนก็ป้อนดีๆ ไม่เห็นต้องรุนแรงเลย”

         “อยากได้อีกสักชิ้นมั้ยล่ะ?” ฉันสวนกลับพลางจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างมาดร้าย แต่ก่อนจะได้มีการป้อนดีๆ เกิดขึ้นเสียงถอนหายใจก็มาพร้อมเงาร่างที่ทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามเต็มแรง

         “เฮ้อ...”

         “อ้าว เต้...นึกว่าไปกินข้าวกับมิ้นท์ซะอีก” ฉันทักคนตรงข้ามที่มีสีหน้าหมดอาลัยตายอยากพลางดึงมือกลับจากการกอบกุม

         “เปล่า...” เต้ตอบก่อนยิ้มเจื่อนๆ ส่งมาให้

         “จะไปกินข้าวด้วยกันได้ไง ก็เลิกกันแล้ว” เป็นตินที่ตอบคำถามอย่างชัดเจน

         “ห๊ะ? นายว่าไงนะ?”

         “โดนเขาบอกเลิกเพราะจับได้ว่าแอบคุยกับผู้ชายอื่น พออกหักเสียใจเลยลาออกจากทีม...แล้วมึงมานั่งทำหน้าหมาหงอยอะไรตรงนี้วะไอ้เต้ เรียกร้องความสงสารเหรอ? กูไม่มีให้หรอกนะ” ฉันนั่งอึ้งกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน

         “...กูไปก็ได้...” เต้หน้าหมองลงกว่าเดิมก่อนยันตัวลุกขึ้นแล้วรีบเดินจากไป ฉันลุกขึ้นหวังตามไปคุยให้เข้าใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่กลับถูกมือหนาของตินคว้าข้อมือไว้แน่น

         “ไม่ต้องไปสนใจมันหรอกควีน เดี๋ยวมันก็หายบ้า” ตินบอกพลางออกแรงฉุดให้นั่งลง

         “ไม่สนได้ไงนั่นเพื่อนฉันนะ” ฉันสะบัดข้อมือออก

         “แต่แฟนเธอกำลังบอกว่าอย่าไปนะ” สายตาของตินที่มองมามันน่ากลัวจนใจชาไปวูบนึงแต่ฉันก็ยังคงยืนยันคำตอบเดิม

         “ขอโทษนะติน ฉันทิ้งเต้ไว้แบบนี้ไม่ได้” ฉันพูดจบก็รีบเดินตามเต้ไปโดยไม่หันไปมองตินอีกเลย



    ..............................................................



         ฉันเดินตามหาจนเจอเต้ที่กำลังนั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้ริมสนามบอล

         “ไหนเล่าสิว่าเรื่องมันเป็นยังไง?” ฉันพูดพลางนั่งลงด้านข้างแล้วกุมมือเขาไว้หลวมๆ

         “ควีน...” เต้หันมองหน้าฉันก่อนเปลี่ยนมากุมมือฉันแน่น สีหน้าหมองหม่นเต็มไปด้วยความโศกเศร้า “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามิ้นท์จะทำแบบนี้กับฉันจริงๆ” ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งสั่น

         “ใจเย็นๆ เล่าให้ฉันฟังสิว่าเกิดอะไรขึ้น” ฉันบีบมือเขาตอบอย่างให้กำลังใจ

         “...ฉัน...” เต้หันมาสบตาด้วยแววตาสั่นระริก “ฉันถูกทิ้งแล้วควีน...” พูดจบก็ปิดตาเบือนหน้าหนีเหมือนจะเจ็บปวดที่ต้องนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

         “...ไม่เป็นไรนะ...ฉันอยู่ตรงนี้กับนาย ถ้าอยากพูดอะไรก็พูดกับฉันได้...ฉันไม่ทิ้งนายไปไหนแน่นอน” เต้ลืมตามองฉันอีกครั้งด้วยดวงตาแดงก่ำเหมือนคนจะร้องไห้

         “จริงๆ นะควีน เธอจะไม่ทิ้งฉันไปอีกคนใช่มั้ย?”

         “ฉันไม่ทิ้งนายไปไหนแน่นอน...ฉันสัญญา” ไม่ทันตั้งตัวอีกฝ่ายก็ดึงฉันเข้าไปกอดพลางละล่ำละลักพูดขอบคุณไม่หยุด ฉันทำได้แค่ตบไหล่ตบหลังปลอบใจเขาเบาๆ ทั้งที่ความจริงแล้วอยากทำมากกว่านั้น

         ฉันอยากกอดให้แน่นพอๆ กับความรู้สึกที่มีในหัวใจ ฉันอยากบอกให้รับรู้ถึงความรักที่มากเกินกว่าที่เพื่อนควรจะมีให้กันเหลือเกิน

         แต่ถึงอยากทำมากแค่ไหนก็ทำไม่ได้ เพราะคำว่าเพื่อนมันค้ำคอจนพูดไม่ออก และตอกย้ำชัดถึงระดับความสำคัญของตัวเอง

         ไม่ว่าจะอยู่ใกล้มากแค่ไหนก็เป็นได้แค่คนที่อยู่ข้างๆ เป็นแค่คนที่ถูกมองข้ามในเวลาที่มีความสุขแต่จะคิดถึงและต้องการในเวลาที่เสียใจ คนที่ถูกให้ความสำคัญแค่เพื่อนสนิทที่ไม่อาจมีความสำคัญมากกว่านั้น

         สำหรับเขาแล้ว...ฉันคงเป็นได้แค่นั้น

         “โอเคแล้วนะ?” ฉันดันตัวเต้ออกพลางสังเกตสีหน้าที่เหมือนจะดีขึ้นกว่าเดิม

         “อืม ดีขึ้นหน่อย” เต้ยิ้มอายๆ แล้วค่อยขยับตัวออกห่าง “ขอโทษที่กอดเธอนะ ถ้าไอ้ตินมาเห็นเข้าคงเอาฉันตาย” เจ้าตัวพูดขำๆ แต่ก็ยังคงเป็นการพยายามขำที่ไม่สามารถกลบความเศร้าได้

         “ช่างเถอะ...แล้วตกลงนายลาออกจากทีมจริงเหรอ?”

         “อืม ถึงอยู่ไปมันก็ไม่มีความหมายอะไรแล้วนี่ ถึงอยากจะเล่นแต่ก็คงไม่มีอารมณ์จะเล่นหรอก อยู่ไปก็เป็นตัวถ่วงเปล่าๆ สู้ลาออกมาแล้วใช้ชีวิตเด็กม.ปลายให้เต็มที่ไม่ดีกว่าเหรอ” ? รอยยิ้มเจื่อนๆ ที่ส่งมาไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ดีสักเท่าไหร่

         “แต่นายกำลังจะได้โควตานักกีฬาจากมหา’ ลัยKไม่ใช่รึไง?”

         “แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรอีกล่ะ ที่ฉันต้องการโควตาก็เพราะมิ้นท์จะสอบเข้าที่นั่น ในเมื่อสุดท้ายเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว...ฉันคิดว่ามันคงไม่จำเป็น”

         “โอ๊ยยย อีตาโง่นี่ เลิกกันแล้วมันทำไมยะ มหา’ ลัยไม่ได้แคบเหมือนสมองนายสักหน่อยถึงจะได้เจอกันง่ายขนาดนั้น แล้วนายคิดว่าสละสิทธิ์เหมือนพระเอกแบบนี้ระดับมันสมองอย่างนายจะมาอ่านหนังสือเตรียมสอบตอนนี้มันจะทันมั้ยยะ อีกไม่กี่เดือนก็สอบแล้วเนี่ย”

         “อ้าว อยู่ดีๆ มาว่ากันทำไมล่ะ” ยิ่งเห็นหน้าตางงงวยที่ส่งมาให้ยิ่งทำให้หงุดหงิด

         “ถ้าแค่เลิกกันแล้วไม่ทิ้งโควตาฉันก็จะไม่ว่านายหรอก แต่นี่อะไรทำตัวเป็นพระเอกโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงระดับความโง่ในสมองเลย คิดว่าการสอบเข้ามหา’ ลัยมันง่ายขนาดนั้นรึไงยะ” พูดจบก็ฟาดมือเข้าที่ต้นแขนด้วยความโมโห

         “โอ๊ย แล้วตีทำไมเนี่ย รู้แล้วว่าโง่แต่ไม่ต้องตีก็ได้” เต้พูดพลางพยายามคว้าจับมือฉันที่กำลังประทุษร้ายร่างกาย

         “ก็มันน่าตีมั้ยล่ะ คิดได้ไงทิ้งโควตาเพราะถูกสาวทิ้ง” มือฉันถูกรวบจับไว้แน่นก่อนถูกกระชากเข้าใกล้คนจับ

         “งั้นคงมีทางเดียวคือต้องให้เธอติวให้ฉันแล้วล่ะ” รอยยิ้มสดใสอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวถูกส่งมาทำลายความโมโหที่มีจนหมดสิ้น ฉันขืนตัวออกมาทั้งๆ ที่มือยังถูกรวบจับแน่น

         “ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น” ฉันเบือนหน้าไปทางอื่นพยายามทำเหมือนเบื่อหน่ายคนตรงหน้าเพื่อกลบเกลื่อนเสียงหัวใจที่ดังโครมคราม

         “แต่ตอนนี้...ปลอบฉันก่อนนะควีน” พูดจบเจ้าตัวก็ทิ้งตัวลงนอนบนตักฉันหน้าตาเฉย มือที่เพิ่งถูกปล่อยเป็นอิสระลอยเคว้งไม่มีจุดหมาย “ขออ้อนหน่อยนะ...ไม่นานหรอก”

         นานกว่านี้...หรือตลอดไป ฉันก็ยินดี

         ฉันได้แต่เก็บงำคำพูดและความรู้สึกไว้ส่วนลึกของใจทำเพียงถอนหายใจแล้วลูบผมคนบนตักเบาๆ อย่างที่ควรจะเป็น...แค่นั้น



    ...............................................................



         “ไหนบอกว่าเมื่อวานจะไปกับพวกยัยกิ๊บไง?” คำถามจากเสียงไม่ดังมากแต่ก็สามารถเรียกความสนใจจากคนในห้องเรียนให้หันมามองได้

         “ไปคุยที่อื่นได้มั้ย?” ฉันพูดพลางลุกขึ้นจากที่นั่งริมหน้าต่างแล้วรีบเดินออกจากห้องเนื่องจากเริ่มทนกับสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนในห้องไม่ไหว

         “คุยมันตรงนี้แหละ ไม่ต้องไป” มือหนากระชากข้อมือแรงจนต้องหันไปเผชิญหน้า “บอกว่าจะไปกับเพื่อนแต่ทำไมถึงกลับไปกับไอ้เต้ได้ห๊ะ?” สีหน้าของตินดูโมโหมากจนทำฉันกลัว

         “ก็เต้ขอให้ฉันช่วยติวหนังสือให้ฉันเลยไปช่วยเขาเลือกหนังสือเก็งข้อสอบน่ะ” พูดพลางก็พยายามดึงมือกลับแต่ไม่เป็นผล

         “ทำไมต้องไปช่วยมันด้วย เธอว่างนักรึไง?”

         “กูขอร้องควีนเอง จะว่าก็มาว่ากูนี่ ไม่เกี่ยวกับควีน” เสียงเต้แทรกดังขึ้นมาจากทางด้านหลังก่อนช่วยแกะข้อมือฉันออกจากมือติน

         “.......” ตินมองทุกการกระทำของเต้ด้วยแววตาน่ากลัวก่อนตวัดสายตากลับมาจ้องฉันเขม็ง

         “คาบเรียนจะเริ่มแล้วนายกลับห้องไปก่อนเถอะ ค่อยคุยกัน” พูดจบก็พยายามดันหลังตินให้เดินออกจากห้องไปแต่แล้วเจ้าตัวกลับหันมาคว้าข้อมือฉันไว้แล้วออกแรงฉุดให้เดินไปด้วยกัน

         “เธอมากับฉัน...” ตินบอกฉันก่อนหันไปชี้หน้าเต้ที่ทำท่าจะเข้ามาห้าม “มึงอย่าเสือก”

         ตินกึ่งเดินกึ่งวิ่งลากฉันไปตามทางตรงไปยังโรงอาหารที่เริ่มร้างผู้คนเนื่องจากใกล้เวลาเข้าเรียน

         “ติน...คาบเรียนจะเริ่มแล้วนะ ถ้ายังไม่ไปตอนนี้มีหวังเข้าเรียนสายแน่ๆ มีอะไรค่อยคุยกันไม่ได้เหรอ?” ฉันพยายามพูดแต่ดูเหมือนตินจะไม่ฟัง จนในที่สุดเราก็มาหยุดบริเวณม้าหินอ่อนที่อยู่กึ่งกลางระหว่างโรงอาหารกับสนามบาสที่ตอนนี้ไม่มีใครสักคนเดียว ตินทิ้งตัวลงนั่งเหมือนคนหมดแรงโดยที่ยังไม่ปล่อยข้อมือฉัน

         “ติน กลับห้องเถอะ ค่อยคุยกันช่วงพักเที่ยงดีกว่ามั้ย?”

         “เธอชอบฉันรึเปล่าควีน?” จู่ๆ ตินก็โพล่งคำถามนี้ขึ้นมาทำเอาฉันหน้าชาไปวูบนึงก่อนหลบสายตาจริงจังที่จ้องตรงมา

         “ทำไมถามอย่างนี้ล่ะ?” ฉันถามกลับพลางนั่งลงข้างๆ เพื่อเลี่ยงการสบตา

         “แล้วเธอชอบไอ้เต้รึเปล่า?” ถึงฉันจะตกใจกับคำถามที่ได้ยินแต่ฉันก็ยังรับรู้ถึงอารมณ์คนพูดผ่านคำถามนั้น ความเศร้าปะปนกับความโกรธผสมกันจนทำให้ฉันรู้สึกผิด

         “เต้เกี่ยวอะไรด้วย?”

         “ฉันเห็นนะ...เมื่อวานน่ะ” ฉันเผลอสูดหายใจเข้าก่อนถามออกไปอย่างลืมตัว

         “เห็น...เห็นอะไร?” ไม่รู้ว่าเสียงที่ถามออกไปมันสั่นบ้างรึเปล่า รู้แต่ว่ามือที่จับข้อมือฉันอยู่สั่นเบาๆ

         “...ฉัน ฉันเห็นเธอ...ยิ้ม...” เหมือนเราต่างหยุดหายใจไปชั่วขณะ ฉันกลัวช่วงเวลานี้มาตลอด กลัวช่วงเวลาที่คนข้างๆ จะรู้ความจริง “ยิ้มเหมือนกำลังมีความสุขที่ได้ยินข่าวดี” ทุกคำพูดของตินมันยิ่งตอกย้ำให้ฉันยิ่งรู้สึกแย่

         “นายอาจจะมองผิดไปก็ได้ ใครจะไปยินดีที่เพื่อนอกหักล่ะ” ฉันแย้งพลางกลั้วหัวเราะ “เรากลับห้องกันเถอะ” พูดจบก็ลุกขึ้นแล้วพยายามฉุดอีกคนให้ลุกตามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม...เสแสร้ง ฉันทำได้แค่นี้ ทำได้แค่โกหกต่อไป

         “ตลอดมาฉันเคยสงสัยแต่ไม่เคยฉุกคิด จนกระทั่งเมื่อวานฉันถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วในใจเธอ...ไอ้เต้มันมีค่ามากกว่าฉัน” ตินพูดทั้งที่ยังไม่มองหน้ามือเริ่มบีบข้อมือฉันแน่นขึ้นจนรู้สึกเจ็บ “เธอหลอกฉันมาตลอด...ที่ผ่านมาฉันเป็นตัวอะไรในสายตาเธอห๊ะควีน!?” เสียงตะคอกทำให้ฉันตกใจเผลอถอยห่างแต่ถูกแรงกระชากจากอีกฝ่ายดึงให้ร่วงลงบนตักก่อนจะถูกโอบรัดแน่น

         “ติน! ปล่อยฉัน!” ฉันพยายามสะบัดให้หลุดจากพันธนาการของวงแขนแกร่ง ตินซุกหน้าลงที่ต้นคอฉันเหมือนพยายามจะทำอะไรสักอย่าง ฉันบิดตัวหนีแต่ไม่เป็นผลความกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจจนสติแตกกระจายคิดอะไรไม่ออก ฉันดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดนั้นสักพักจนรู้สึกว่าต้นคอของตินอยู่ไม่ไกลจากปากฉันมากจึงตัดสินใจอ้าปากฝังเขี้ยวเต็มแรงจนตินต้องปล่อยฉันออก

         “โอ๊ย!”

         ฉันที่มีอิสระกำลังจะวิ่งหนีไปจากสถานการณ์ตรงนี้ให้เร็วที่สุดกลับถูกเสียงตะคอกของตินตรึงให้หยุดอยู่กับที่

         “ถ้าเธอไปก็เท่ากับว่าเราเลิกกัน!”

         “.......” ฉันหันกลับไปสบตาแดงก่ำของตินที่จ้องมา “ตามใจนายสิ” ฉันพูดแค่นั้นแล้วก็วิ่งจากมาโดยไม่หันไปมองอีก ยังได้ยินเสียงตะโกนแว่วมาเข้าหู

         “เธอทิ้งฉันอีกครั้งแล้วนะ!”

         ฉันวิ่งเต็มฝีเท้าเท่าที่จะทำได้ใจกลัวว่าตินจะตามมา หากเขาตามมาจริงระดับตัวจริงของทีมฟุตบอลคงจะไล่ตามฉันทันในไม่ช้า ฉันตัดสินใจวิ่งเข้าไปหลบในห้องน้ำหญิงที่อยู่ไม่ห่างจากห้องพักอาจารย์อย่างน้อยฉันก็ได้พักหายใจและหากมีอะไรฉันก็มั่นใจได้ว่าเสียงตะโกนของฉันจะต้องมีใครสักคนได้ยิน

         ฉันยืนหอบอยู่หน้ากระจกบานใหญ่สักพักจนเริ่มหายเหนื่อย สติที่กระเจิดกระเจิงจากสถานการณ์ก่อนหน้านี้เริ่มเข้าที่ เมื่อฉันเงยหน้ามองสภาพตัวเองในกระจกความรู้สึกกลัวเริ่มกลับมาอีกครั้งเพราะสภาพเสื้อนักเรียนที่ยับยู่ยี่และคอเสื้อที่เปิดกว้างจนเกือบเห็นสายชั้นใน ฉันรีบรวบจัดเสื้อนักเรียนให้เข้าที่ด้วยมือสั่นเทาพลางนึกไปถึงเรี่ยวแรงของตินเมื่อครู่นี้

         หากที่นี่ไม่ใช่โรงเรียน หากเขาไม่ยอมปล่อยฉัน...อะไรมันจะเกิดขึ้น ฉันสะบัดหน้าไล่ความคิดฟุ้งซ่านพยายามกลบความกลัวด้วยการเปิดน้ำล้างหน้าหวังให้ความเย็นของน้ำช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมไม่มากก็น้อย ฉันสบตาเงาตัวเองในกระจกอีกครั้งเพื่อปลุกปลอบตัวเองให้เข้มแข็งก่อนยกมือขึ้นแกะหางม้าที่รวบอยู่จัดทรงใหม่ให้เรียบร้อย เอาล่ะ...สติมาปัญญาเกิด ฉันบอกตัวเองในกระจกอีกครั้งก่อนตัดสินใจเดินไปที่ประตูรวบรวมกำลังใจแล้วเปิดประตูพุ่งออกไปเต็มแรง

         “ว้าย!” ฉันปะทะเข้ากับแผ่นหลังกว้างอย่างแรงจนเซเสียหลักเกือบหงายหลังหากเจ้าของแผ่นหลังไม่คว้าแขนฉันไว้ก่อน

         “ขอโทษ!” เสียงทุ้มดังกังวานใกล้กว่าที่คิดจนฉันไม่กล้าลืมตาด้วยกลัวจะเป็นติน “เจ็บตรงไหนรึเปล่า?” เจ้าของเสียงพยายามช่วยให้ฉันกลับมายืนอย่างมั่นคงก่อนปล่อยแขนออกแล้วถามซ้ำด้วยน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วง

         “เต้?” ฉันลืมตามองก็เห็นเต้กำลังมองสำรวจฉันขึ้นลงไม่หยุด “นายมาอยู่นี่ได้ไง?”

         “ฉันเป็นห่วงเธอเลยแอบตามมา แล้วเห็นเธอวิ่งเข้าไปในห้องน้ำจะเรียกก็ไม่ทันเลยยืนรอแทน” น้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงชัดเจน

         “น่าจะมาให้เร็วกว่านี้” ฉันพูดเบาๆ แล้วเดินห่างออกมาเพื่อปกปิดความรู้สึกมากมายข้างใน ทั้งโกรธทั้งกลัวทั้งเกลียดความรู้สึกเหล่านี้ผสมผสานจนฉันกลัวจะเก็บงำสีหน้าไว้ไม่ไหว

         “เธอพูดอะไร?” เต้เดินตัดหน้ามาขวางทางฉันไว้ “หรือว่าไอ้ตินทำอะไรเธอ?”

         “ถ้านายมาเร็วกว่านี้อีกนิด นายได้แสดงบทพระเอกแล้ว” ฉันรู้ตัวว่าเริ่มพาลใส่เขา “ช่างมันเถอะ ไม่มีอะไรหรอก” ฉันรีบบอกปัดก่อนมันจะกลายเป็นเรื่องไปมากกว่านี้

         “ไอ้ตินทำอะไรเธอใช่มั้ย? บอกฉันสิว่ามันทำอะไรเธอ?” ยิ่งเต้คาดคั้นฉันก็ยิ่งควบคุมความรู้สึกไว้ไม่ไหวจนต้องเบี่ยงตัวออกเดินให้เร็วขึ้น

         “ไม่มีอะไรหรอก อย่าสนใจเลย” ฉันเดินเร็วขึ้นๆ พยายามจะทิ้งระยะห่างพลางกดเก็บความรู้สึกต่างๆ ไว้ข้างในเช่นเดิม

         “ควีน...” เต้เรียกพร้อมจับข้อมือฉันไว้ ไม่แปลกถ้าระยะห่างที่ฉันพยายามสร้างถูกทำลายด้วยก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวของเขา “จะให้ไม่สนใจเรื่องของเธอฉันทำไม่ได้” ความร้อนจากมือหนาและน้ำเสียงแสดงความห่วงใยเริ่มทำลายความแข็งขืนในใจช้าๆ

         “ปล่อยเถอะ...” ฉันพยายามขมกลั้นก้อนสะอื้นพลางดึงมือกลับแต่ไม่เป็นผล

         “ฉันปล่อยเธอไปไม่ได้ควีน”





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×