คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : กลืน
“อะ ชาดำเย็น”
“ขอบใจจ้ะ” ฉันตอบพร้อมรับแก้วลงวางข้างจานข้าว
“เย็นนี้โค้ชเรียกรวมตัวทุกคนน่ะ คงไปส่งไม่ได้นะ” อีกฝ่ายบอกพลางนั่งลงข้างๆ แล้วก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารที่วางตรงหน้า
“โอเค ฉันจะได้ไปกับพวกยัยกิ๊บ เห็นชวนกันไปร้านเค้กเปิดใหม่ที่ห้างน่ะ” ฉันบอกก่อนเริ่มขยับมือคิดจัดการข้าวไก่ทอดครีมซอสมะนาวตรงหน้า
“พี่ตินคะ” เสียงหวานดังขึ้นพร้อมจานผลไม้หลากสีถูกยื่นส่งมาตรงหน้าคนข้างๆ ฉันเหลือบมองเจ้าของมือขาวที่ยืนอมยิ้มเขินอายแล้วหันมาสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแทน
“อะไรครับน้องขวัญ?”
“ได้ยินเพื่อนๆ พี่เขาบอกว่าพี่ชอบทานผลไม้ ขวัญก็เลยซื้อมาฝาก” ไม่ต้องหันไปมองก็รับรู้ได้ถึงสายตาไม่ประสงค์ดีที่ส่งมาให้ฉันโดยเฉพาะ “ทานให้อร่อยนะคะพี่ติน” พูดจบน้องขวัญคนสวยก็เดินจากไปนั่งรวมกับกลุ่มเพื่อนก่อนจะหัวเราะคิกคักกันด้วยเสียงไม่เบานัก
“กินด้วยกันมั้ย?” คนข้างตัวเลื่อนจานผลไม้มาใกล้ๆ จานข้าว
“เขาให้นายกิน ไม่ได้ให้ฉันกิน ขืนกินไปได้ติดคอตาย” ฉันตอบแล้วเลื่อนจานผลไม้ออก
“แหม หึงก็บอก จะได้ไม่กิน” ตินยื่นหน้ามาใกล้พลางยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย
“นี่แน่ะ! พูดดีนัก” ฉันหยิบชิ้นมะม่วงมันในจานยัดใส่ปากคนพูดมากแต่คนถูกมะม่วงยัดปากดันจับมือฉันไว้แน่นแล้วค่อยๆ เคี้ยวสิ่งที่อยู่ในปากด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย
“อยากป้อนก็ป้อนดีๆ ไม่เห็นต้องรุนแรงเลย”
“อยากได้อีกสักชิ้นมั้ยล่ะ?” ฉันสวนกลับพลางจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างมาดร้าย แต่ก่อนจะได้มีการป้อนดีๆ เกิดขึ้นเสียงถอนหายใจก็มาพร้อมเงาร่างที่ทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามเต็มแรง
“เฮ้อ...”
“อ้าว เต้...นึกว่าไปกินข้าวกับมิ้นท์ซะอีก” ฉันทักคนตรงข้ามที่มีสีหน้าหมดอาลัยตายอยากพลางดึงมือกลับจากการกอบกุม
“เปล่า...” เต้ตอบก่อนยิ้มเจื่อนๆ ส่งมาให้
“จะไปกินข้าวด้วยกันได้ไง ก็เลิกกันแล้ว” เป็นตินที่ตอบคำถามอย่างชัดเจน
“ห๊ะ? นายว่าไงนะ?”
“โดนเขาบอกเลิกเพราะจับได้ว่าแอบคุยกับผู้ชายอื่น พออกหักเสียใจเลยลาออกจากทีม...แล้วมึงมานั่งทำหน้าหมาหงอยอะไรตรงนี้วะไอ้เต้ เรียกร้องความสงสารเหรอ? กูไม่มีให้หรอกนะ” ฉันนั่งอึ้งกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
“...กูไปก็ได้...” เต้หน้าหมองลงกว่าเดิมก่อนยันตัวลุกขึ้นแล้วรีบเดินจากไป ฉันลุกขึ้นหวังตามไปคุยให้เข้าใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่กลับถูกมือหนาของตินคว้าข้อมือไว้แน่น
“ไม่ต้องไปสนใจมันหรอกควีน เดี๋ยวมันก็หายบ้า” ตินบอกพลางออกแรงฉุดให้นั่งลง
“ไม่สนได้ไงนั่นเพื่อนฉันนะ” ฉันสะบัดข้อมือออก
“แต่แฟนเธอกำลังบอกว่าอย่าไปนะ” สายตาของตินที่มองมามันน่ากลัวจนใจชาไปวูบนึงแต่ฉันก็ยังคงยืนยันคำตอบเดิม
“ขอโทษนะติน ฉันทิ้งเต้ไว้แบบนี้ไม่ได้” ฉันพูดจบก็รีบเดินตามเต้ไปโดยไม่หันไปมองตินอีกเลย
..............................................................
ฉันเดินตามหาจนเจอเต้ที่กำลังนั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้ริมสนามบอล
“ไหนเล่าสิว่าเรื่องมันเป็นยังไง?” ฉันพูดพลางนั่งลงด้านข้างแล้วกุมมือเขาไว้หลวมๆ
“ควีน...” เต้หันมองหน้าฉันก่อนเปลี่ยนมากุมมือฉันแน่น สีหน้าหมองหม่นเต็มไปด้วยความโศกเศร้า “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามิ้นท์จะทำแบบนี้กับฉันจริงๆ” ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งสั่น
“ใจเย็นๆ เล่าให้ฉันฟังสิว่าเกิดอะไรขึ้น” ฉันบีบมือเขาตอบอย่างให้กำลังใจ
“...ฉัน...” เต้หันมาสบตาด้วยแววตาสั่นระริก “ฉันถูกทิ้งแล้วควีน...” พูดจบก็ปิดตาเบือนหน้าหนีเหมือนจะเจ็บปวดที่ต้องนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
“...ไม่เป็นไรนะ...ฉันอยู่ตรงนี้กับนาย ถ้าอยากพูดอะไรก็พูดกับฉันได้...ฉันไม่ทิ้งนายไปไหนแน่นอน” เต้ลืมตามองฉันอีกครั้งด้วยดวงตาแดงก่ำเหมือนคนจะร้องไห้
“จริงๆ นะควีน เธอจะไม่ทิ้งฉันไปอีกคนใช่มั้ย?”
“ฉันไม่ทิ้งนายไปไหนแน่นอน...ฉันสัญญา” ไม่ทันตั้งตัวอีกฝ่ายก็ดึงฉันเข้าไปกอดพลางละล่ำละลักพูดขอบคุณไม่หยุด ฉันทำได้แค่ตบไหล่ตบหลังปลอบใจเขาเบาๆ ทั้งที่ความจริงแล้วอยากทำมากกว่านั้น
ฉันอยากกอดให้แน่นพอๆ กับความรู้สึกที่มีในหัวใจ ฉันอยากบอกให้รับรู้ถึงความรักที่มากเกินกว่าที่เพื่อนควรจะมีให้กันเหลือเกิน
แต่ถึงอยากทำมากแค่ไหนก็ทำไม่ได้ เพราะคำว่าเพื่อนมันค้ำคอจนพูดไม่ออก และตอกย้ำชัดถึงระดับความสำคัญของตัวเอง
ไม่ว่าจะอยู่ใกล้มากแค่ไหนก็เป็นได้แค่คนที่อยู่ข้างๆ เป็นแค่คนที่ถูกมองข้ามในเวลาที่มีความสุขแต่จะคิดถึงและต้องการในเวลาที่เสียใจ คนที่ถูกให้ความสำคัญแค่เพื่อนสนิทที่ไม่อาจมีความสำคัญมากกว่านั้น
สำหรับเขาแล้ว...ฉันคงเป็นได้แค่นั้น
“โอเคแล้วนะ?” ฉันดันตัวเต้ออกพลางสังเกตสีหน้าที่เหมือนจะดีขึ้นกว่าเดิม
“อืม ดีขึ้นหน่อย” เต้ยิ้มอายๆ แล้วค่อยขยับตัวออกห่าง “ขอโทษที่กอดเธอนะ ถ้าไอ้ตินมาเห็นเข้าคงเอาฉันตาย” เจ้าตัวพูดขำๆ แต่ก็ยังคงเป็นการพยายามขำที่ไม่สามารถกลบความเศร้าได้
“ช่างเถอะ...แล้วตกลงนายลาออกจากทีมจริงเหรอ?”
“อืม ถึงอยู่ไปมันก็ไม่มีความหมายอะไรแล้วนี่ ถึงอยากจะเล่นแต่ก็คงไม่มีอารมณ์จะเล่นหรอก อยู่ไปก็เป็นตัวถ่วงเปล่าๆ สู้ลาออกมาแล้วใช้ชีวิตเด็กม.ปลายให้เต็มที่ไม่ดีกว่าเหรอ” ? รอยยิ้มเจื่อนๆ ที่ส่งมาไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ดีสักเท่าไหร่
“แต่นายกำลังจะได้โควตานักกีฬาจากมหา’ ลัยKไม่ใช่รึไง?”
“แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรอีกล่ะ ที่ฉันต้องการโควตาก็เพราะมิ้นท์จะสอบเข้าที่นั่น ในเมื่อสุดท้ายเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว...ฉันคิดว่ามันคงไม่จำเป็น”
“โอ๊ยยย อีตาโง่นี่ เลิกกันแล้วมันทำไมยะ มหา’ ลัยไม่ได้แคบเหมือนสมองนายสักหน่อยถึงจะได้เจอกันง่ายขนาดนั้น แล้วนายคิดว่าสละสิทธิ์เหมือนพระเอกแบบนี้ระดับมันสมองอย่างนายจะมาอ่านหนังสือเตรียมสอบตอนนี้มันจะทันมั้ยยะ อีกไม่กี่เดือนก็สอบแล้วเนี่ย”
“อ้าว อยู่ดีๆ มาว่ากันทำไมล่ะ” ยิ่งเห็นหน้าตางงงวยที่ส่งมาให้ยิ่งทำให้หงุดหงิด
“ถ้าแค่เลิกกันแล้วไม่ทิ้งโควตาฉันก็จะไม่ว่านายหรอก แต่นี่อะไรทำตัวเป็นพระเอกโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงระดับความโง่ในสมองเลย คิดว่าการสอบเข้ามหา’ ลัยมันง่ายขนาดนั้นรึไงยะ” พูดจบก็ฟาดมือเข้าที่ต้นแขนด้วยความโมโห
“โอ๊ย แล้วตีทำไมเนี่ย รู้แล้วว่าโง่แต่ไม่ต้องตีก็ได้” เต้พูดพลางพยายามคว้าจับมือฉันที่กำลังประทุษร้ายร่างกาย
“ก็มันน่าตีมั้ยล่ะ คิดได้ไงทิ้งโควตาเพราะถูกสาวทิ้ง” มือฉันถูกรวบจับไว้แน่นก่อนถูกกระชากเข้าใกล้คนจับ
“งั้นคงมีทางเดียวคือต้องให้เธอติวให้ฉันแล้วล่ะ” รอยยิ้มสดใสอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวถูกส่งมาทำลายความโมโหที่มีจนหมดสิ้น ฉันขืนตัวออกมาทั้งๆ ที่มือยังถูกรวบจับแน่น
“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น” ฉันเบือนหน้าไปทางอื่นพยายามทำเหมือนเบื่อหน่ายคนตรงหน้าเพื่อกลบเกลื่อนเสียงหัวใจที่ดังโครมคราม
“แต่ตอนนี้...ปลอบฉันก่อนนะควีน” พูดจบเจ้าตัวก็ทิ้งตัวลงนอนบนตักฉันหน้าตาเฉย มือที่เพิ่งถูกปล่อยเป็นอิสระลอยเคว้งไม่มีจุดหมาย “ขออ้อนหน่อยนะ...ไม่นานหรอก”
นานกว่านี้...หรือตลอดไป ฉันก็ยินดี
ฉันได้แต่เก็บงำคำพูดและความรู้สึกไว้ส่วนลึกของใจทำเพียงถอนหายใจแล้วลูบผมคนบนตักเบาๆ อย่างที่ควรจะเป็น...แค่นั้น
...............................................................
“ไหนบอกว่าเมื่อวานจะไปกับพวกยัยกิ๊บไง?” คำถามจากเสียงไม่ดังมากแต่ก็สามารถเรียกความสนใจจากคนในห้องเรียนให้หันมามองได้
“ไปคุยที่อื่นได้มั้ย?” ฉันพูดพลางลุกขึ้นจากที่นั่งริมหน้าต่างแล้วรีบเดินออกจากห้องเนื่องจากเริ่มทนกับสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนในห้องไม่ไหว
“คุยมันตรงนี้แหละ ไม่ต้องไป” มือหนากระชากข้อมือแรงจนต้องหันไปเผชิญหน้า “บอกว่าจะไปกับเพื่อนแต่ทำไมถึงกลับไปกับไอ้เต้ได้ห๊ะ?” สีหน้าของตินดูโมโหมากจนทำฉันกลัว
“ก็เต้ขอให้ฉันช่วยติวหนังสือให้ฉันเลยไปช่วยเขาเลือกหนังสือเก็งข้อสอบน่ะ” พูดพลางก็พยายามดึงมือกลับแต่ไม่เป็นผล
“ทำไมต้องไปช่วยมันด้วย เธอว่างนักรึไง?”
“กูขอร้องควีนเอง จะว่าก็มาว่ากูนี่ ไม่เกี่ยวกับควีน” เสียงเต้แทรกดังขึ้นมาจากทางด้านหลังก่อนช่วยแกะข้อมือฉันออกจากมือติน
“.......” ตินมองทุกการกระทำของเต้ด้วยแววตาน่ากลัวก่อนตวัดสายตากลับมาจ้องฉันเขม็ง
“คาบเรียนจะเริ่มแล้วนายกลับห้องไปก่อนเถอะ ค่อยคุยกัน” พูดจบก็พยายามดันหลังตินให้เดินออกจากห้องไปแต่แล้วเจ้าตัวกลับหันมาคว้าข้อมือฉันไว้แล้วออกแรงฉุดให้เดินไปด้วยกัน
“เธอมากับฉัน...” ตินบอกฉันก่อนหันไปชี้หน้าเต้ที่ทำท่าจะเข้ามาห้าม “มึงอย่าเสือก”
ตินกึ่งเดินกึ่งวิ่งลากฉันไปตามทางตรงไปยังโรงอาหารที่เริ่มร้างผู้คนเนื่องจากใกล้เวลาเข้าเรียน
“ติน...คาบเรียนจะเริ่มแล้วนะ ถ้ายังไม่ไปตอนนี้มีหวังเข้าเรียนสายแน่ๆ มีอะไรค่อยคุยกันไม่ได้เหรอ?” ฉันพยายามพูดแต่ดูเหมือนตินจะไม่ฟัง จนในที่สุดเราก็มาหยุดบริเวณม้าหินอ่อนที่อยู่กึ่งกลางระหว่างโรงอาหารกับสนามบาสที่ตอนนี้ไม่มีใครสักคนเดียว ตินทิ้งตัวลงนั่งเหมือนคนหมดแรงโดยที่ยังไม่ปล่อยข้อมือฉัน
“ติน กลับห้องเถอะ ค่อยคุยกันช่วงพักเที่ยงดีกว่ามั้ย?”
“เธอชอบฉันรึเปล่าควีน?” จู่ๆ ตินก็โพล่งคำถามนี้ขึ้นมาทำเอาฉันหน้าชาไปวูบนึงก่อนหลบสายตาจริงจังที่จ้องตรงมา
“ทำไมถามอย่างนี้ล่ะ?” ฉันถามกลับพลางนั่งลงข้างๆ เพื่อเลี่ยงการสบตา
“แล้วเธอชอบไอ้เต้รึเปล่า?” ถึงฉันจะตกใจกับคำถามที่ได้ยินแต่ฉันก็ยังรับรู้ถึงอารมณ์คนพูดผ่านคำถามนั้น ความเศร้าปะปนกับความโกรธผสมกันจนทำให้ฉันรู้สึกผิด
“เต้เกี่ยวอะไรด้วย?”
“ฉันเห็นนะ...เมื่อวานน่ะ” ฉันเผลอสูดหายใจเข้าก่อนถามออกไปอย่างลืมตัว
“เห็น...เห็นอะไร?” ไม่รู้ว่าเสียงที่ถามออกไปมันสั่นบ้างรึเปล่า รู้แต่ว่ามือที่จับข้อมือฉันอยู่สั่นเบาๆ
“...ฉัน ฉันเห็นเธอ...ยิ้ม...” เหมือนเราต่างหยุดหายใจไปชั่วขณะ ฉันกลัวช่วงเวลานี้มาตลอด กลัวช่วงเวลาที่คนข้างๆ จะรู้ความจริง “ยิ้มเหมือนกำลังมีความสุขที่ได้ยินข่าวดี” ทุกคำพูดของตินมันยิ่งตอกย้ำให้ฉันยิ่งรู้สึกแย่
“นายอาจจะมองผิดไปก็ได้ ใครจะไปยินดีที่เพื่อนอกหักล่ะ” ฉันแย้งพลางกลั้วหัวเราะ “เรากลับห้องกันเถอะ” พูดจบก็ลุกขึ้นแล้วพยายามฉุดอีกคนให้ลุกตามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม...เสแสร้ง ฉันทำได้แค่นี้ ทำได้แค่โกหกต่อไป
“ตลอดมาฉันเคยสงสัยแต่ไม่เคยฉุกคิด จนกระทั่งเมื่อวานฉันถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วในใจเธอ...ไอ้เต้มันมีค่ามากกว่าฉัน” ตินพูดทั้งที่ยังไม่มองหน้ามือเริ่มบีบข้อมือฉันแน่นขึ้นจนรู้สึกเจ็บ “เธอหลอกฉันมาตลอด...ที่ผ่านมาฉันเป็นตัวอะไรในสายตาเธอห๊ะควีน!?” เสียงตะคอกทำให้ฉันตกใจเผลอถอยห่างแต่ถูกแรงกระชากจากอีกฝ่ายดึงให้ร่วงลงบนตักก่อนจะถูกโอบรัดแน่น
“ติน! ปล่อยฉัน!” ฉันพยายามสะบัดให้หลุดจากพันธนาการของวงแขนแกร่ง ตินซุกหน้าลงที่ต้นคอฉันเหมือนพยายามจะทำอะไรสักอย่าง ฉันบิดตัวหนีแต่ไม่เป็นผลความกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจจนสติแตกกระจายคิดอะไรไม่ออก ฉันดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดนั้นสักพักจนรู้สึกว่าต้นคอของตินอยู่ไม่ไกลจากปากฉันมากจึงตัดสินใจอ้าปากฝังเขี้ยวเต็มแรงจนตินต้องปล่อยฉันออก
“โอ๊ย!”
ฉันที่มีอิสระกำลังจะวิ่งหนีไปจากสถานการณ์ตรงนี้ให้เร็วที่สุดกลับถูกเสียงตะคอกของตินตรึงให้หยุดอยู่กับที่
“ถ้าเธอไปก็เท่ากับว่าเราเลิกกัน!”
“.......” ฉันหันกลับไปสบตาแดงก่ำของตินที่จ้องมา “ตามใจนายสิ” ฉันพูดแค่นั้นแล้วก็วิ่งจากมาโดยไม่หันไปมองอีก ยังได้ยินเสียงตะโกนแว่วมาเข้าหู
“เธอทิ้งฉันอีกครั้งแล้วนะ!”
ฉันวิ่งเต็มฝีเท้าเท่าที่จะทำได้ใจกลัวว่าตินจะตามมา หากเขาตามมาจริงระดับตัวจริงของทีมฟุตบอลคงจะไล่ตามฉันทันในไม่ช้า ฉันตัดสินใจวิ่งเข้าไปหลบในห้องน้ำหญิงที่อยู่ไม่ห่างจากห้องพักอาจารย์อย่างน้อยฉันก็ได้พักหายใจและหากมีอะไรฉันก็มั่นใจได้ว่าเสียงตะโกนของฉันจะต้องมีใครสักคนได้ยิน
ฉันยืนหอบอยู่หน้ากระจกบานใหญ่สักพักจนเริ่มหายเหนื่อย สติที่กระเจิดกระเจิงจากสถานการณ์ก่อนหน้านี้เริ่มเข้าที่ เมื่อฉันเงยหน้ามองสภาพตัวเองในกระจกความรู้สึกกลัวเริ่มกลับมาอีกครั้งเพราะสภาพเสื้อนักเรียนที่ยับยู่ยี่และคอเสื้อที่เปิดกว้างจนเกือบเห็นสายชั้นใน ฉันรีบรวบจัดเสื้อนักเรียนให้เข้าที่ด้วยมือสั่นเทาพลางนึกไปถึงเรี่ยวแรงของตินเมื่อครู่นี้
หากที่นี่ไม่ใช่โรงเรียน หากเขาไม่ยอมปล่อยฉัน...อะไรมันจะเกิดขึ้น ฉันสะบัดหน้าไล่ความคิดฟุ้งซ่านพยายามกลบความกลัวด้วยการเปิดน้ำล้างหน้าหวังให้ความเย็นของน้ำช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมไม่มากก็น้อย ฉันสบตาเงาตัวเองในกระจกอีกครั้งเพื่อปลุกปลอบตัวเองให้เข้มแข็งก่อนยกมือขึ้นแกะหางม้าที่รวบอยู่จัดทรงใหม่ให้เรียบร้อย เอาล่ะ...สติมาปัญญาเกิด ฉันบอกตัวเองในกระจกอีกครั้งก่อนตัดสินใจเดินไปที่ประตูรวบรวมกำลังใจแล้วเปิดประตูพุ่งออกไปเต็มแรง
“ว้าย!” ฉันปะทะเข้ากับแผ่นหลังกว้างอย่างแรงจนเซเสียหลักเกือบหงายหลังหากเจ้าของแผ่นหลังไม่คว้าแขนฉันไว้ก่อน
“ขอโทษ!” เสียงทุ้มดังกังวานใกล้กว่าที่คิดจนฉันไม่กล้าลืมตาด้วยกลัวจะเป็นติน “เจ็บตรงไหนรึเปล่า?” เจ้าของเสียงพยายามช่วยให้ฉันกลับมายืนอย่างมั่นคงก่อนปล่อยแขนออกแล้วถามซ้ำด้วยน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วง
“เต้?” ฉันลืมตามองก็เห็นเต้กำลังมองสำรวจฉันขึ้นลงไม่หยุด “นายมาอยู่นี่ได้ไง?”
“ฉันเป็นห่วงเธอเลยแอบตามมา แล้วเห็นเธอวิ่งเข้าไปในห้องน้ำจะเรียกก็ไม่ทันเลยยืนรอแทน” น้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงชัดเจน
“น่าจะมาให้เร็วกว่านี้” ฉันพูดเบาๆ แล้วเดินห่างออกมาเพื่อปกปิดความรู้สึกมากมายข้างใน ทั้งโกรธทั้งกลัวทั้งเกลียดความรู้สึกเหล่านี้ผสมผสานจนฉันกลัวจะเก็บงำสีหน้าไว้ไม่ไหว
“เธอพูดอะไร?” เต้เดินตัดหน้ามาขวางทางฉันไว้ “หรือว่าไอ้ตินทำอะไรเธอ?”
“ถ้านายมาเร็วกว่านี้อีกนิด นายได้แสดงบทพระเอกแล้ว” ฉันรู้ตัวว่าเริ่มพาลใส่เขา “ช่างมันเถอะ ไม่มีอะไรหรอก” ฉันรีบบอกปัดก่อนมันจะกลายเป็นเรื่องไปมากกว่านี้
“ไอ้ตินทำอะไรเธอใช่มั้ย? บอกฉันสิว่ามันทำอะไรเธอ?” ยิ่งเต้คาดคั้นฉันก็ยิ่งควบคุมความรู้สึกไว้ไม่ไหวจนต้องเบี่ยงตัวออกเดินให้เร็วขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอก อย่าสนใจเลย” ฉันเดินเร็วขึ้นๆ พยายามจะทิ้งระยะห่างพลางกดเก็บความรู้สึกต่างๆ ไว้ข้างในเช่นเดิม
“ควีน...” เต้เรียกพร้อมจับข้อมือฉันไว้ ไม่แปลกถ้าระยะห่างที่ฉันพยายามสร้างถูกทำลายด้วยก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวของเขา “จะให้ไม่สนใจเรื่องของเธอฉันทำไม่ได้” ความร้อนจากมือหนาและน้ำเสียงแสดงความห่วงใยเริ่มทำลายความแข็งขืนในใจช้าๆ
“ปล่อยเถอะ...” ฉันพยายามขมกลั้นก้อนสะอื้นพลางดึงมือกลับแต่ไม่เป็นผล
“ฉันปล่อยเธอไปไม่ได้ควีน”
ความคิดเห็น