ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หวานใจพี่รหัส

    ลำดับตอนที่ #7 : จะเอายังไงก็ว่ามา!

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.91K
      168
      27 มิ.ย. 65

     

    เด็กหญิงหันขวับมาทางต้นเสียง

    “พี่ยนตร์!”

    “รออยู่นี่”  พูดจบเขากระโดดลงน้ำทันที   ด้วยความเป็นเด็กผู้ชายที่แข็งแรง  ทั้งยังเป็นนักกีฬา  เป็นแชมป์ว่ายน้ำของจังหวัด  เขาช่วยเด็กคนนั้นขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย

    หลังจากช่วยกันปฐมพยาบาลแล้ว  จึงรีบพาส่งสถานีอนามัยในหมู่บ้าน   ทั้งครู  ทั้งพ่อแม่  และเหล่าเครือญาติทั้งหลาย  ต่างพากันวุ่นวาย  กลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมา  ทุกคนต่างรุมต่อว่าปารเป็นคนก่อเรื่อง  ตัดสินเธอเป็นต้นเหตุ  เป็นคนผิด  โดยไม่มีใครซักคนที่จะถามไถ่ถึงสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร  คนที่อยู่ในเหตุการณ์จริง ๆ ต่างเงียบอย่างกลัวความผิด ไม่ยอมพูดความจริง

    ===============

    เด็กหญิงนั่งเงียบพิงกองฟาง อยู่ที่ปลายนา  ยังคงมีเศษซากของร่องรอยการถูกไฟไหม้หลงเหลืออยู่บ้าง  ยกแขนเสื้อป้ายน้ำตาเป็นระยะ จนแขนเสื้อเปียกและชื้น  เธอเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  แม้จะพยายามบอกทุกคนว่า  เธอไม่ได้ตั้งใจ  มันเป็นอุบัติเหตุ  แต่ไม่มีใครเชื่อ  ไม่มีใครให้อภัยเธอ  สิ่งที่เสียใจที่สุดก็คือ  เธอทำให้พ่ออันเป็นที่รัก  ต้องถูกผู้คนประนามว่า  สอนเธอไม่ดี  เธอทำให้พ่อของเธอถูกใครต่อใครตำหนิ  ถูกเพื่อนบ้านพากันดูถูก  ถูกต่อว่าในทางเสียหายต่าง ๆ นา ๆ  ทั้ง ๆ  ที่พ่อของเธอดีกับทุกคน  แต่เวลาโกรธ ไม่พอใจขึ้นมา  ก็ไม่มีใครนึกถึงความดีที่พ่อเคยมีน้ำใจ  คอยช่วยเหลือทุกคนตลอดมาเลย

    ลมหนาวพัดโชยมาเบา ๆ มากับความแห้งแล้ง  และเฉียบเย็น  แต่ไม่หนาวเหน็บเท่าความรู้สึกอ้างว้างในหัวใจ  ที่มัวแต่คิดว่าไม่มีใครยอมรับและเข้าใจ  เต็มไปด้วยความคิดที่ตอกย้ำซ้ำเติมตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า  วกวนเวียนอยู่อย่างนั้น

    เด็กหนุ่มยืนมองอาการของเด็กหญิงอยู่ครู่หนึ่ง  เขานึกไว้แล้ว ว่าเธอต้องอยู่ที่นี่  หลังจากไปหาเธอที่บ้านแล้วไม่พบ  ที่นี่เต็มไปด้วยความทรงจำ  เป็นสถานที่ที่พ่อของเธอรัก  เขาสาวเท้าเข้าไปหาเด็กหญิง แล้วนั่งลงข้าง ๆ

    เด็กหญิงหันใบหน้าเปื้อนน้ำตามามอง  พลางเช็ดน้ำตาข้างแก้มให้เหือดแห้ง

    “พี่ยนตร์รู้ได้ไงคะ  ว่าปารอยู่ที่นี่”

    “พี่ฉลาดน่ะ”  เขาพยายามพูดเล่นเพื่อคลี่คลายบรรยากาศ

    เธออยากจะร้องแหวะ  อย่างทุกทีแต่มันพูดไม่ออก

    “พี่รู้ทุกเรื่องล่ะ  ที่เกี่ยวกับปาร  เก่งมั้ย”

    เธอหันมามองหน้าเด็กหนุ่ม  อยากจะร้องยี้….แล้วบอกเขาว่า  ขี้โม้ชะมัด  แต่ยังไม่มีอารมณ์จะพูด

    เขาดึงผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้เธอ

    “เอ้า!!  นี่เช็ดขี้มูกซะ!  ไหลเข้าไปในปากแล้ว  อร่อยป่ะ” พลางยิ้มกวนประสาทให้อีกต่างหาก

    “บ้า!!!   พี่ยนตร์บ้า!!  ล้อปารอยู่ได้!  คนเขายิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่”เด็กหญิงยกมือมาตบผลัวะที่หน้าขาของเด็กหนุ่ม  ก่อนกระชากผ้าเช็ดหน้าของเขามาเช็ดน้ำมูกใส ๆ ที่ไหลยืดยาดออกมา

    ยนตร์ยิ้ม  วิธีกวนประสาทของเขาได้ผล  ทำให้เธอเปลี่ยนอารมณ์จากเศร้าหมองมาเป็นหมั่นไส้ หรือเริ่มโมโหนิด ๆ ได้แล้ว  เขายกมือโอบไหล่เธอไว้ แล้วตบแรง ๆ

    “ไม่เอาน่า…คิดเรื่องเมื่อตอนเย็นอยู่หรอ  อย่าคิดมากเลยนะ”

    “เขาว่าพ่อของปาร  ปารเป็นเด็กไม่ดี  ทำให้พ่อถูกคนอื่นต่อว่า  ทำให้คนอื่นดูถูกพ่อ  ปาร…เสีย…ใจ”  น้ำตาไหลซึมออกมาอีกแล้ว  เสียงพาลสั่นเครือ…

    “เด็กโง่!!  พ่อของปานเป็นคนดี   ไม่ว่าใครจะพูดยังไง  พ่อของปารก็ยังเป็นคนดีเสมอ  ไม่เคยเปลี่ยนไปตามคำพูดของใครไม่ใช่เหรอ   แม้แต่ตัวของปารเองก็ตาม  ความจริงย่อมเป็นความจริงอยู่แล้ว  ว่าใครทำอะไร  ใครตั้งใจ  ใครจงใจ  อย่าไปสนใจเลยนะ  กับแค่คำพูดของคนน่ะ”

    เขาโครงหัวเด็กหญิงเข้ามาใกล้

    “ให้ตัวเราเข้าใจตัวเราก็พอ  อย่าไปเรียกร้องความเข้าใจจากคนอื่น  บางทีมันเป็นเรื่องที่ยากและต้องใช้ระยะเวลานาน”

    “พี่ยนตร์   ทำไมคนเราชอบใช้คำพูดที่ไม่ดีทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียใจ  ช้ำใจ  เจ็บปวดทรมานด้วยละคะ  ยิ่งทำให้คนฟังเจ็บเท่าไหร่  ก็ยิ่งสะใจเขา  ยิ่งทำให้เขามีความสุขหรอคะ”  หันไปจ้องหน้าเด็กหนุ่ม  น้ำตาไหวระริกคลออยู่ในดวงตา

    “ปาร…ชอบกินทุเรียนไหม”  เขารู้ดีว่าเธอไม่ชอบเลย

    ปารส่ายหัว

    “เวลามีคนเอาทุเรียนมาให้  ปารทำยังไงล่ะ”

    “ก็ไม่กินสิคะ”  เธอหันมาทำหน้าฉงน  ว่าเรื่องที่เธอถาม  มันเกี่ยวอะไรกับทุเรียนด้วยฟะ!

    “คำพูดของคนอื่นก็เหมือนกัน  เมื่อมันไม่ดี  ไม่อร่อย  ก็อย่าไปกิน  อย่าไปฟัง  อย่าไปใส่ใจ”  เธอจำได้แล้ว  พ่อของเธอเคยเล่าเป็นนิทานสอนเธอและเขาพร้อมกัน  เวลาทำงานช่วยพ่ออยู่ในสวน  แต่เวลานี้เธอกลับนึกไม่ออกเอาเสียเลย

    “เป็นไง  กินเข้าไปเยอะล่ะสิ  อร่อยมั้ยล่ะ  แล้วใครให้กินเข้าไป  บื้ออออจริง ๆ”  เขาเขกหัวเธอ

    เด็กหญิงร้องเสียงแหลมอยู่ในลำคอ  

    “พี่ยนตร์อ่ะ   เดี๋ยวเหอะ  แกล้งปารหรอ”  น้ำเสียงของเธอ  ทำให้เขารู้ว่า  เธอหายเศร้าแล้ว

    “ทำไมไม่มีใครเข้าใจปารเลย  ปารขอโทษ  แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจทำให้ยัยอ้วนตกน้ำด้วย”

    “อืม…การเสียใจกับสิ่งที่เราทำ  การขอโทษ  เป็นสิ่งที่ดีแล้วนะ  พี่เข้าใจปารนะ  และจะคอยให้โอกาสปารเสมอ  ที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่   แต่ปารต้องให้โอกาสตัวเองด้วยนะ  อย่ามัวจมกับสิ่งที่ทำให้เราเสียใจ  อย่ามัวทำร้ายตัวเองด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตครั้งแล้วครั้งเล่า  ปารอย่าลืมให้โอกาสตัวเองด้วยนะ”

    เด็กหญิงมองเขาด้วยสายตาชื่นชม  เขามักโผล่เข้ามาทำให้สิ่งดีดีเกิดขึ้นกับเธอเสมอ  ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม  อยากจะกล่าวขอบคุณเขา  แต่กลับพูดไม่ออก  อยากจะเข้าไปกอดเขาอ้อนอย่างที่เคยเห็นน้องสาวของเขาทำ  อยากจะบอกเขาว่า  รักเขาที่สุดเลย  ก็ทำไม่ได้  เพราะเธอไม่ใช่คนที่มีนิสัยอย่างนั้น

    “ไป!  กลับบ้าน  แม่ปารรอกินข้าวอยู่นะ  รู้มั้ย…”  เขาฉวยมือเด็กหญิงลุกขึ้น  แต่ต้องตกใจกับความเย็นเฉียบของมือเล็ก ๆ ที่ได้สัมผัส

    “มือเย็นเจี๊ยบเลยปาร!  มือเย็นอีกแล้วหรอ”  เขากุมมือเธอไว้  ให้มือเด็กหญิงอบอุ่น  ก่อนใช้นิ้วคลึงแต่ละนิ้วของเธอไปมาตั้งแต่ปลายนิ้ว ไล่ไปจนถึงโคนนิ้วทุกนิ้ว  แล้วถูนวดครั้งแล้วครั้งเล่า  จนมือซีดขาวและเย็นเฉียบนั้น  เริ่มมีสีเลือดและอุ่นขึ้นทั้งสองมือ

    ปารมองเขานวดมือให้เธอ  เหมือนกับที่พ่อของเธอเคยทำให้เสมอ  ในช่วงอากาศเย็นอย่างนี้  เมื่อมือของเธอสัมผัสความเย็นมาก ไม่ว่าจะจากลมหรืออากาศเย็น  มือก็จะเย็น  ขาวซีด  ไม่มีสีเลือด  และอาจชาเป็นระยะ  น้ำตาพาลรื้นขึ้นมาคลอไว้อีกแล้ว…

    “พี่ยนตร์…ปารคิดถึงพ่อจังเลยค่ะ”

    เขาเข้ามาสวมกอดเด็กหญิงเอาไว้อย่างปลอบโยน

    “พ่ออยู่กับปารเสมอ  รู้สึกมั้ย  ว่าท่านอยู่ใกล้ ๆ ปาร   เพราะพ่ออยู่ในความรู้สึกที่แสนดี  อยู่ในความทรงจำของเราอย่างไม่มีวันลืมเลือน  อยู่ในตัวของปาร  ปารมีเลือดของพ่ออยู่ในตัว  พ่ออยู่กับทุกความรู้สึกดีดีของปารเสมอนะ  พ่อไม่ได้จากปารไปไหนเลย”

    ปารมองยนตร์แล้วยิ้มทั้งน้ำตา  พลางพยักหน้ารับ

    “แล้วเท้าปารเป็นอะไร  ทำไมบวมเป่งอย่างงั้นล่ะ”  เขาสังเกตเห็นเท้าของเธอก็บวมผิดปกติด้วย

    “ปารข้อเท้าพลิก  ตอนที่ทะเลาะกับยัยอ้วนน่ะ  แล้วไม่ได้สนใจ  มันคงอักเสบมั้ง  ไม่เป็นไรหรอก  เจ็บนิดหน่อยเอง”

    “เดินไหวหรือเปล่า…”  เขามองดูแล้วรู้ว่า  มันไม่ใช่นิดหน่อยเลย

    ปารพยักหน้า  แล้วเดินโขยกเขยกให้เขาดู  แม้จะรู้สึกเจ็บแปล๊บ ๆ ที่ข้อเท้า  แต่ก็พยายามอดทน  ไม่แสดงออกที่สีหน้า

    “มานี่มา…ขี่หลังพี่กลับดีกว่า  เดี๋ยวจะยิ่งอักเสบยิ่งกว่าเดิมนะ”

    “ไม่เป็นไรหรอกพี่ยนตร์”  จริง ๆ เธออยากขี่หลังเขากลับเหมือนกัน  เหมือนตอนที่เธอยังเล็ก  เขามักพาขี่หลังเดินเที่ยวเสมอ  แต่ต้องปฏิเสธไว้ก่อน  เพราะรู้สึกว่า  วันนี้เธอรบกวนเขามามากแล้ว

    “ถ้าอักเสบมากจะเดินไม่ได้เลยนะ  เดี๋ยวเกิดต้องตัดขาทิ้งไม่รู้ด้วย”  เด็กหนุ่มขู่

    เด็กหญิงทำหน้าเหยเก

    “จริงหรอ…”

    ยนตร์พยักหน้า “มาเร็วเข้า  มืดแล้ว  ปารเดินเองเมื่อไหร่จะถึง”  พลางย่อตัวลงให้เธอขึ้นขี่หลัง

    เด็กหญิงยิ้มร่ารีบเข้าไปกอดคอเขาเอาไว้ให้เขาพาเธอกลับบ้าน

    “พี่ยนตร์ใจดีที่สุดเลย”

    “ไม่ต้องมาประจบเลย  ว่าแต่เราอ่ะ  ไปผลักยัยอ้วนเขาตกน้ำได้ไง  เขาตัวเบ้อเร่อขนาดนั้น”

    “โธ่…!!  แค่ปารผลักเบา ๆ เอง  ยัยอ้วนก็เสียหลักตกน้ำไปเองอ่ะ  ปารไม่ได้ออกแรงอะไรซักหน่อย”

    “เว่อร์ ๆ ใหญ่แล้ว”

    ทั้งคู่ส่งเสียงหัวเราะรื่นเริงไปตลอดทาง

    ================

    รอยยิ้มระบายอยู่ในสีหน้าของปาร  เมื่อนึกถึงเหตุการณ์วัยเด็กที่เธอมีเขาคอยดูแลและช่วยเหลือตลอดมา  จำได้ว่า ตอนนั้นเธอเพิ่งอายุเก้าขวบ   ตั้งแต่จำความได้  ก็มีเขาที่คอยดูแลราวกับเป็นพี่ชายแท้ ๆ  จนนึกอิจฉานภาที่มีพี่ชายที่แสนใจดีอย่าง  “พี่ยนตร์”   เวลามีเรื่องทุกข์ท้อไม่สบายใจ  เธอสามารถพูด  สามารถบ่นให้เขาฟังได้ทุกเรื่อง  เขาจะคอยรับฟัง และใส่ใจเรื่องราวของเธอเสมอ   เขาสามารถทำให้เธอรู้สึกสบายใจ  มีความสุข  และยิ้มได้ทุกครั้งที่พบเจอเรื่องราวหนักใจ

    ปารพยายามคิดถึงเรื่องราวดีดีเกี่ยวกับเขา  เพื่อให้รู้สึกมีกำลังใจในการตามง้อเขามากขึ้น  เพราะตามไปง้อเขามาสี่วันแล้ว  เขาก็ยังไม่ยอมหายโกรธ  เจอหน้าก็ไม่ยอมพูดด้วย  นึกแปลกใจอย่างมาก  เพราะเขาไม่เคยโกรธเธอนานขนาดนี้เลย  อย่างมากไม่เกินสามวัน  เขาจะต้องหายโกรธแล้ว

    “ผู้หญิงคนนั้น  มีความสำคัญกับพี่ยนตร์มากขนาดนี้เชียวเหรอ”     ปารพูดกับตัวเอง    พาลนึกน้อยใจ   ที่เขามาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ หกปี  ไม่เคยติดต่อกับเธอเลย  แถมยังไปตามจีบสาวสวยอีก   ไหนบอกจะดูแลเธออย่างที่เคยรับปากกับพ่อของเธอไว้  เขายังเป็นคนเดิมอยู่หรือเปล่า  เธอเริ่มไม่แน่ใจกับวันเวลาที่ผ่านมานาน   เธออาจไม่ใช่คนที่เขาต้องคอยดูแลอีกแล้ว…เด็กสาวคิดไปเรื่อยเปื่อย

    “ยัยบ้า!!  คิดอะไรเหลวไหล”  เธอรีบสลัดความรู้สึกน้อยใจ และความคิดไร้สาระออกไปจากสมอง  ที่สำคัญเธอคิดว่า  การจะขอโทษใคร  ไม่ใช่เพราะเราต้องเป็นคนผิดเสมอหากรู้ว่า   ทำให้ใครไม่สบายใจ แม้ว่าเธอ    จะไม่ใช่คนผิดก็ตาม  ก็ควรจะไปขอโทษอีกฝ่ายหนึ่งก่อนได้    ที่สำคัญอยากทำให้เขายิ้มได้  เหมือนที่เขาทำให้เธอยิ้มได้ตลอดมา

    ปารสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกความมั่นใจกลับคืนมา

    “บางที…พรุ่งนี้พี่ยนตร์อาจจะหายโกรธก็ได้  พรุ่งนี้พี่ยนตร์จะต้องอึ้งเมื่อได้ทานกับข้าวฝีมือปารแน่นอน”

    =============

    ไม่มีคำต่อว่าต่อขาน

    มีเพียงความร้าวรานในสายตาคู่นั้น

    ไม่พอใจหรืออย่างไรจึงเงียบงัน

    ได้โปรดเถิดบอกฉันสักคำคนดี

    อย่าเลย…อย่าให้ฉันคิดไปเอง

    เธออย่าข่มเหงทำร้ายกันด้วยวิธีนี้

    อึดอัดใจเหลือเกินกับความเฉยชาที่มี

    มากกว่าที่เธอจะโบยตีด้วยถ้อยคำ

    หมดชั่วโมงเรียนแล้ว  แต่ยนตร์ยังนั่งอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม  สายตามองผ่านแว่นสีชา  ไปยังรูปที่เขาถ่ายไว้ในโทรศัพท์มือถือ  ลายมือของปารบรรจงเขียนความรู้สึกของเธอออกมาเป็นบทกลอนอยู่บนกระดาษสีน้ำตาลอ่อน แปะอยู่หน้าถุงพลาสติกใส ด้านในใส่ขนมข้าวเหนียวปิ้งไส้เผือก  ซึ่งมาพร้อมกับถุงขนมสีน้ำตาลถุงที่สี่  

    ขนมข้างในทำให้เขาต้องคิดถึงความทรงจำสมัยเด็ก วันที่แม่ทำขนมข้าวเหนียวปิ้งไส้เผือก เขาต้องเป็นคนไปขุดเผือกในสวนกลางแดดจัด  ถึงแม้ว่าแดดจะร้อนแค่ไหน  แต่ปารมักจะมาช่วยนั่งขุดเผือกแข่งกับเขาอยู่ใกล้ ๆ เสมอ  ทำให้เรื่องขุดเผือกที่น่าเบื่อและแสนเหน็ดเหนื่อยกลายเป็นเรื่องสนุกขึ้นมาทันที    กว่าจะนั่งหลังขดหลังแข็งกวนไส้ขนมจนได้ที่ด้วยกะทะทองเหลือง  หลายครั้งที่ปารต้องถูกทำโทษเพราะช่วยกวนจนไหม้ทุกที  แล้วท้ายสุดต้องมาช่วยกันปิ้งอีก  ขณะปิ้งไปจะสนุกมาก เพราะปารจะมีเรื่องโม้ไม่หยุดจนกว่าจะปิ้งเสร็จ  นอกจากนี้ปารยังมีเมนูเด็ดคือ  เผือกทอด  แค่ทอดในน้ำมันร้อน ๆ ให้กรอบ แค่นี้ก็อร่อยแล้วตามประสาเด็กบ้านนอก

    ยนตร์กดข้อความไลน์ขึ้นมาอ่าน  เมื่อมีเสียงสัญญาณข้อความเข้า

    พี่ยนตร์เที่ยงนี้  ทานข้าวด้วยกันนะคะ

    ปารจะรอพี่ยนตร์ที่ม้าหินหน้าทางเข้าศูนย์อาหาร1 นะ ถ้าพี่ยนตร์ไม่มา ปารจะไม่ทานข้าว  จะรอจนกว่าพี่ยนตร์จะมาค่ะ

    แผงคีย์บอร์ดถูกกดขึ้นมา  ตัวอักษรหลายตัวถูกพิมพ์ลงไป  แต่แล้วเจ้าของกลับไม่ยอมกดส่ง แต่กลับกดลบข้อความที่พิมพ์ไว้ทิ้งไปเฉย ๆ  เมื่อนึกถึงวันก่อนเขาได้ยินน้องสาวโทรคุยกับปารอย่างสนุกสนาน  แถมเปิดลำโพงจนได้ยินเสียงปารตอบกลับมาอย่างชัดเจน

    “พนันกันมั้ย? พี่ยนตร์จะต้องใจอ่อนเมื่อได้ทานอาหารกลางวันฝีมือปาร”

    “โม้ชะมัดเลย ก็ได้... เอางี้นะ ถ้าปารทำให้พี่ยนตร์ยอมไปทานข้าวกลางวันด้วย  เราเลี้ยงไอติม แต่ถ้าพี่ยนตร์ไม่ใจอ่อน หายโกรธ ปารเลี้ยงนะ”

    ‘ถึงขนาดพนันกันเลยเหรอเนี่ย? คุยโวกันน่าดูเลย มั่นใจมากสินะ! คิดว่าจะใจอ่อนเหรอ? เดี๋ยวจะให้เลี้ยงไอติมกันให้เข็ดทั้งคู่เลย’  ยนตร์หงุดหงิดขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงสิ่งที่ได้ยินนั้น  ความรู้สึกที่อยากจะตอบไลน์เธอวิ่งหนีหายไปหมด ทั้ง ๆ ที่เขาเกือบจะใจอ่อนตอบเธอแล้ว

    ‘ไม่! ต้องไม่ใช่วันนี้  ใจแข็งไว้ไอ้ยนตร์’ เขาบอกตนเอง  พลางเหยียดยิ้มอย่างผู้กำชัยชนะ

    นรินทร์มองใบหน้าของเพื่อนหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างสงสัย  มีรอยยิ้มแต้มอยู่ในสีหน้านั้นตลอดเวลา  พลางค่อย ๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้ทีละนิด   สายตาคอยเหล่แอบมองโทรศัพท์มือถือในมือของเพื่อนซี้ เขามองเห็นรูปปาร ปรากฏอยู่หน้าข้อความนั้น  รู้สึกอิจฉาขึ้นมาตงิด ๆ  รีบยกมือถือของตัวเองขึ้นมาดูบ้าง  ข้อความที่เขาส่งไปหาปารเมื่อวานนี้  เธอยังไม่ได้เปิดดูด้วยซ้ำ

    ‘ทำไมไม่มีข้อความจากปารบ้างนะ’

    ความรู้สึกเหงาหงอยค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาในจิตใจ  ปกติเขาไม่เคยแจกไลน์ให้กับสาวคนไหน  แต่ปารกลับเป็นข้อยกเว้น

    อยู่ ๆ มีคำว่า  อ่านแล้ว  ปรากฏขึ้นอยู่หน้าข้อความของเขาที่ส่งไปหาเธอ  ครู่หนึ่งก็มีข้อความตอบกลับมา  ริมฝีปากแดงระเรื่อของหนุ่มหน้าหล่อ ค่อย ๆ เหยียดโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม 

    พี่นรินทร์เที่ยงนี้ทานข้าวด้วยกันนะคะ

    เขาคงจะยิ้มไม่ยอมหุบ  ถ้าไม่มีข้อความถัดมา

    ช่วยพาพี่ยนตร์มาด้วย ขอบคุณพี่นรินทร์มาก ๆ เลยค่ะ ^^

    รอยยิ้มบนใบหน้าอันหล่อเหลานั้นค่อย ๆ เหือดแห้งไปในทันที  หัวใจพองโตเมื่อครู่แฟบลงอย่างห่อเหี่ยว หันไปมองยนตร์ที่ยังอมยิ้มหน้าระรื่นอยู่จนหน้าหมั่นไส้

    “ยนตร์ไปกินข้าวกันเถอะ  ปารชวนไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน”  ประโยคสุดท้ายทำให้หนุ่มแว่นต้องหันมามองหน้าเพื่อนสุดหล่อด้วยสายตาของคำถาม

    “ปารชวนแกไปกินข้าวด้วยเหรอ?”  ยนตร์นึกว่า ปารชวนแต่เขาคนเดียวซะอีก นี่คือแผนทำให้เขาต้องยอมไปกินข้าวกลางวันตามคำขอของปารล่ะสิ!

    “ถ้าข้าชวนปารไปกินข้าว แกจะว่าอะไรมั้ย”  นรินทร์ตัดสินใจถามเพื่อนให้หายข้องใจ

     ยนตร์มองหน้าเพื่อนสุดหล่ออย่างพินิจพิจารณา ปกติเขาไม่เคยเห็นเพื่อนชวนสาวคนไหนไปทานข้าวด้วยซักที  ปารจะเป็นผู้หญิงคนแรกที่นรินทร์ชวนไปทานข้าวด้วยหรือนี่!

    “ข้าเป็นแค่พี่รหัสของปาร  คงไม่มีสิทธิ์ที่จะว่าอะไรใครหรอกนะ ปารยังมีสิทธิ์เต็มที่ว่าเขาจะทำอะไรกับใคร ไปไหนกับใครคนไหนได้เสมอ  เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกคบกับใครก็ได้”  แม้ปากจะพูดออกไปอย่างนั้น  แต่ทำไมข้างในใจกลับเหมือนมีอะไรสะกิดหัวใจชอบกล  เขาเองยังไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองเลยว่ามันคืออะไรกันแน่

    นรินทร์ฟังคำตอบของยนตร์แล้วยิ้มจนแก้มบุ๋มด้วยความดีใจ ปลอดโปร่งโล่งใจไปที  เขาวางมือถือลงบนโต๊ะเลคเชอร์  เมื่อเพื่อนมาโบกมือเรียกอยู่ที่หน้าประตูห้อง  แล้วลุกขึ้นเดินไปหา

    ยนตร์รีบหยิบมือถือสีทองยี่ห้อดังของเพื่อนมาดูอย่างสงสัยสุดขีด  ปารส่งข้อความมาชวนนรินทร์ไปทานข้าวด้วยกันจริงหรือ?  หรือว่านรินทร์อำกันแน่  แต่ทว่าไม่สามารถเปิดดูได้ เพราะติดรหัสผ่าน  พยายามจะปลดล็อคแต่ดันจำรหัสผ่านไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่นรินทร์เคยบอกแล้ว  แต่ไม่เคยสนใจจดจำ  รีบวางโทรศัพท์มือถือของเพื่อนไว้ที่เดิมเมื่อเห็นเพื่อนหน้าหล่อกำลังเดินกลับมา

    “มีไรเหรอ?”  ยนตร์ไถ่ถามด้วยสีหน้าปกติ  เมื่อเห็นเพื่อนเดินกลับมาพร้อมกับกระดาษห้าหกใบในมือ

    นรินทร์ยื่นกระดาษห้าหกใบนั้นมาข้างหน้ายนตร์

    “รายการอุปกรณ์รับน้องที่เราต้องรับผิดชอบไปช่วยกันซื้อ”

    ยนตร์รับมาดูคร่าว ๆ ด้วยสายตา

    “ทำไมรายการเยอะขนาดนี้วะ”  ยนตร์มองรายการในกระดาษที่ยาวเหยียดเป็นหางว่าว  เขาไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีการรับน้องที่ไร้สาระเท่าไรนัก  แต่เมื่อเสียงส่วนใหญ่มีมติเห็นด้วย  เขาจึงต้องยอมรับโดยปริยาย

    “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ  ตอนนี้ไปกินข้าวก่อนดีกว่า” นรินทร์ตบบ่าเพื่อนเบา ๆ  อย่างเข้าใจ  เขาเองก็เห็นด้วยกับยนตร์ว่า วิธีรับน้องแบบเดิม ๆ ควรจะเปลี่ยนแปลงได้แล้ว  เราควรรับน้องอย่างสร้างสรรค์มากกว่า

    “เดี๋ยวปารจะรอนะ”  อีกใจหนึ่งอยากจะพูดขัดขวางไม่ให้ยนตร์ไปทานข้าวกับปาร  แต่ก็ทำไม่ลง  มันขัดกับความรู้สึกผิดในใจ

    “เดี๋ยวตามไปนะ ไปส่งงานก่อน เกือบลืมเลย”  ยนตร์นึกขึ้นได้ว่า มีรายงานที่ยังไม่ได้ส่งอาจารย์  ถ้าไม่ส่งก่อนเที่ยงนี้มีหวังถูกตัดคะแนนแน่

    นรินทร์รีบเก็บของเข้ากระเป๋าเป้สีดำ  แล้วสะพายขึ้นหัวไหล่  ยกข้อมือมองเวลา ขณะนั้นบอกเวลาอีกสิบห้านาทีเที่ยงตรง

    ได้เลย  แล้วเจอกันนะ

    เขาส่งข้อความไลน์กลับไปหาปาร  คนอย่างเขาจะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งชอบ หรือสนใจในตัวเขา  นั่นต้องหมายถึงความดี ความเป็นตัวตนของเขาที่จะทำให้เธอคนนั้น หันมาสนใจหรือชอบเขาได้ด้วยใจอย่างแท้จริง

    ========== 

    นรินทร์กวาดสายตาไปตามม้าหินหน้าศูนย์อาหารหนึ่ง  มองเห็นปารนั่งอยู่ที่ม้าหินใต้ต้นไทรร่มครึ้มเพียงลำพังคนเดียว  อดแปลกใจไม่ได้ที่แม่ก้างขวางคอไม่อยู่ ทั้ง ๆ ที่คู่นี้ติดกันราวกับปาท่องโก๋  เห็นปารทีไร  ก็จะต้องเห็นนภาอยู่ด้วยเสมอราวกับเงาตามตัว เขารีบสาวเท้าไปหยุดอยู่ข้างโต๊ะม้าหิน  มองเห็นปารกำลังก้มหน้าก้มตาวาดการ์ตูนอยู่  การ์ตูนที่เธอวาดทุกตัวจะต้องกำลังยิ้มเสมอ  ไม่ว่าจะยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่  ยิ้มมาก ยิ้มกว้าง  ขณะที่กำลังวาดเธอจะยิ้มไปด้วย  เหมือนกำลังมีความสุขที่ได้สร้างการ์ตูนที่กำลังแจกรอยยิ้มขึ้นมาบนโลกใบนี้

    “ปาร...ทำอะไรอยู่ครับ” 

    คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียง

    “พี่นรินทร์ หวัดดีค่ะ”  สาวน้อยทักทายด้วยน้ำเสียงแจ่มใส  ก่อนจะละสายตาจากใบหน้าขาวใสของหนุ่มหล่อ เหมือนค้นหาใครบางคนที่ควรจะเดินมาพร้อมกันกับเขา เมื่อมองไม่เห็นคน ๆ นั้นเดินมาด้วย  ใบหน้าอันอ่อนเยาว์นั้นพลันหม่นหมองลงไปถนัดตา

    “มองหาพี่ยนตร์อยู่เหรอ  เดี๋ยวตามมา ไปส่งรายงานอยู่ครับ” สิ้นเสียงของเพื่อนพี่รหัส  ใบหน้าเด็กสาวนั้นจึงคลี่ยิ้มบานออกมาได้ 

    เขาชอบรอยยิ้มของเธอจัง...

    “กำลังวาดการ์ตูนอยู่หรือครับ”  นรินทร์จ้องมองกระดาษขาวบนโต๊ะมาหิน 

    “สอนพี่บ้างสิครับ”  หนุ่มหน้าหล่อนั่งลงตรงที่ว่างข้าง ๆ สาวน้อย

    “ได้ค่ะ”  เด็กสาวยื่นกระดาษให้  เป็นภาพที่ร่างรูปการ์ตูนไว้แล้ว

    “พี่นรินทร์ลองวาดตามดูก่อนนะคะ”  หนุ่มหน้าใสรับกระดาษนั้นมา  แล้วพยายามกดดินสอวาดทับเส้นตามภาพร่างนั้น

       ปารมองตามมือของหนุ่มหล่อที่กำลังวาดตามด้วยดินสออย่างลุ้นตาม  ภาพที่ออกมาทำให้ทั้งคู่ต้องหัวเราะออกมาพร้อม ๆ กัน

    “ทำไม!  มันไม่ยอมหล่อเหมือนคนวาดเอาซะเลย”  นรินทร์ส่งเสียงกระเง้ากระงอด มองภาพการ์ตูนในมือ ที่มันบิดเบี้ยวแหยเกไปมา  หลังจากที่ใช้ความพยายามอย่างมาก กว่าจะวาดส่วนหัวเสร็จทำเอาแทบหืดขึ้นคอ

      “ปารวาดการ์ตูนให้พี่บ้างสิครับ”  เขาเงยหน้าขึ้นจากกระดาษขาว  มองหน้าสาวน้อย

    “ปารกลัวจะวาดออกมาแล้ว ไม่หล่อเหมือนตัวจริงสิคะ”  ปารจ้องมองใบหน้าของหนุ่มหล่อหน้าใสกิ๊กตรงหน้า  เพื่อดูจุดเด่นบนใบหน้าของเขามีอะไรบ้าง

    “ไม่เป็นไรหรอก  ขอแค่ปารเป็นคนวาดให้ก็พอแล้วนะ”

    “ถ้าพี่นรินทร์ ไม่กลัวว่าจะออกมาไม่หล่อ ปารก็จะวาดให้นะคะ”

    ยนตร์เดินมาถึงได้ครู่หนึ่งแล้ว   เขาหยุดยืนดูปารกับนรินทร์กำลังหัวเราะพูดคุย วาดรูปด้วยกันอย่างสนุกสนาน  เขาไม่เข้าใจตัวเองเลย  ทำไมเท้ามันไม่ยอมเดินต่อไป  ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวว่า  ปารจะรอ  ไม่ยอมกินข้าว ถ้าเขาไม่มาละก็  เขาคงจะไม่ยอมมาทานข้าวกับเธอวันนี้เด็ดขาด! 

    หนังสือเล่มโตถูกกระแทกลงตรงช่องว่างอันน้อยนิด ระหว่างปารกับนรินทร์ทำให้ทั้งคู่สะดุ้ง!!

    “ขอโทษนะคะ  ตรงนี้ที่ของฉัน  ฉันนั่งอยู่ก่อนแล้ว  ช่วยหลีกไปด้วยค่ะ”  เสียงห้วน ๆของนภาดังขึ้นอย่างไม่พอใจที่เห็นนรินทร์มานั่งอยู่ใกล้ชิดกับปารขนาดนี้ มันจะมากไปแล้ว! เธอเผลอเป็นไม่ได้เลย

    นรินทร์รีบลุกขึ้นอย่างงุนงง  มองน้องสาวเพื่อนทำตัวเป็นเจ้าที่เจ้าทาง

    “แล้วนี่ดูซิ  หนังสือของฉันยับหมดเลย”  นภาโวยวายเมื่อมองเห็นหนังสือนิยายเล่มโปรดที่วางอยู่มีรอยยับย่น

    ปารมองดูรอยยับย่นบนหนังสืออย่างกังวลใจ  เพราะนภารักหนังสือเล่มนี้มาก  คุณเธอจะต้องเอาเรื่องเอาราวกับเพื่อนพี่ชายอย่างหนักแน่

    “ขอโทษนะ นภาพี่ไม่ทันเห็นจริง ๆ”  ชายหนุ่มหน้าถอดสี เมื่อเห็นหนังสือนิยายเล่มนั้นมีรอยยับย่นจริงแต่ไม่มากมายอะไรนัก

    “ขอโทษแล้วมันหายยับมั้ย” นภายังไม่ยอมอโหสิกรรมให้ โวยวายเสียงดังต่อ

    “แล้วจะเอายังไง ก็ว่ามา”  นรินทร์เผลอกระแทกเสียงถามกลับอย่างไม่พอใจ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×