คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : จุดอ่อนของพลังเย็น
สายน้ำไหลเอื่อยระเรื่อยรินไปตามลำธาร มีความสูงแค่ระดับหน้าแข้งเท่านั้น และใสจนมองเห็นหินใหญ่น้อยด้านล่าง หรือแม้แต่ตะไคร่น้ำ ปลาน้อยตัวจิ๋วกำลังว่ายทวนน้ำอยู่ด้วยความเพียรพยายาม ใบไม้ ดอกไม้ปลิดปลิวล่วงหล่นจากต้น ล่องลอยไปตามลำน้ำ บรรยากาศยามบ่ายคล้อยไม่ร้อนจนเกินไปนัก เพราะได้ร่มไม้จากทิวป่าสองข้างทาง และไอความเย็นของลำธารใส ซีนิธเลือกเดินทางด้วยการลัดเลาะไปตามลำธาร เพื่อให้รอดพ้นปลอดภัยจากสมุนโจรที่ตอนนี้คงออกตรวจตรากันอย่างเข้มงวด
แดนเทียน์มองบุตรชายหัวหน้าโจรฝ่ายขวาที่เอาแต่ลุยน้ำ เดินนำลิ่วอยู่เบื้องหน้าโดยไม่หันมามอง หรือสนใจเธอเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่ออกเดินทางมา ชายหนุ่มยังไม่พูดกับเธอซักคำ เดินมานานจนรู้สึกทั้งเหนื่อยทั้งอ่อนเพลีย ยิ่งเขาทำไม่สนใจใยดีอย่างนี้ ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นภาระให้เขาเสียเหลือเกิน คิดในใจว่าซีนิธคงโกรธที่โดนเธอตบหน้า แถมต่อว่าต่อขานเขามากมาย เด็กสาวเพิ่งคิดออกว่าต้องเป็นเขาที่ให้พลังชีวิตกับเธอ ไม่งั้นชีวิตและลมหายใจที่มีอยู่คงจะสลายไปนานแล้ว เธอพยายามไตร่ตรองว่า หมอหนุ่มทำอะไรเธอมากกว่านั้นหรือไม่ เสื้อผ้าของเธอก็ปกติดี ก็แล้วทำไมเขาต้องมานอนทับตัวเธอด้วย เธอไม่เข้าใจ สาวน้อยพยายามลำดับเหตุการณ์ และทบทวนถึงสาเหตุของการกระทำของชายหนุ่ม มีแต่เธอที่เอาแต่โวยวาย แล้วก็...หันหน้าไปชนกับ...หน้าของเขาเอง คิดแล้วยังเคืองตัวเองไม่หาย
หญิงสาวหยุดพักเหนื่อยนั่งบนก้อนหินใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างลำธาร โดยไม่ได้ขออนุญาตคนที่เดินนำหน้าไปก่อนแล้ว มองสายน้ำที่ไหลไป เสียงน้ำเพราะเหมือนเสียงดนตรี ปลาตัวน้อยยังคงแหวกว่ายทวนกระแสน้ำอยู่ ความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในหัวสมอง เธอไม่อยากอยู่ใต้การดูแลของเขาอีกต่อไปแล้ว เด็กสาวอย่างเธอก็เติบโตมากับป่าเหมือนกัน ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาชายผู้นี้เลย แต่ยังคิดไม่ถึงไหน เสียงห้วน ๆ ก็ดังขึ้นข้างตัว
“เจ้าหยุดเดินทำไม แล้วทำไมไม่บอกข้าก่อน”
“ก็เจ้าเล่นเดินลิ่ว ๆ ไปอย่างนั้น คิดว่ามีข้าเดินมากับเจ้าอยู่หรือเปล่า” เด็กสาวเถียงเสียงแข็ง ความรู้สึกผิดเมื่อครู่หายกระเจิดกระเจิงไปจนหมดสิ้น เมื่อได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดจากชายหนุ่ม
“ออกเดินทางต่อได้แล้ว อย่ามัวโอ้เอ้ ไม่ได้ให้มานั่งชมนกชมไม้นะ หรือว่าอยากโดนท่านริกเกอร์จับตัวไปดูดพลังอีก” พูดจบคนพูดก็เดินนำหน้าไปทันที ทิ้งให้เด็กสาวต้องรีบลุกขึ้นกระวีกระวาดเดินตามไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง
เสียงน้ำแตกกระจายอย่างดัง ทำให้ชายหนุ่มที่เดินนำหน้าต้องหันไปมองคนที่เดินตามหลัง เห็นเธอหกล้มคะมำอยู่ในน้ำ เข่าคงกระแทกกับหินใต้น้ำเข้าแล้ว สีหน้านั้นบ่งบอกว่าคงเจ็บไม่น้อยเลย ซีนิธเดินเข้าไปหา พลางส่งมือให้เธอจับเพื่อพยุงตัวเองลุกขึ้น แต่กลับเจอค้อนวงใหญ่จากสายตาสาวน้อยแทน แดนเทียน์พยายามลุกขึ้นด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว ปฏิเสธความช่วยเหลือจากเขา ด้วยอาการประชดประชัน ทำให้ขาดการระมัดระวังเท่าที่ควร จึงเซลื่นหงายหลัง ชายหนุ่มรีบเข้าไปประคองไว้ได้ทันก่อนที่สาวเจ้าอารมณ์จะลงไปก้นกระแทกหินเปียกโชกอีกครั้ง
“ไม่ต้องเรียกร้องความสนใจจากข้าด้วยวิธีนี้ก็ได้น่า…” ซีนิธยิ้มแกล้งยั่วโมโห มองหญิงสาวซึ่งหงายหลังอยู่ในวงแขน ก่อนประคองเธอให้ยืนตามปกติ
“บ้า!! หยุดพูดจาบ้า ๆ นะ” เธอขึ้นเสียงเขียวอย่างอารมณ์เสียแว้ดใส่เขาทันที สองมือรีบผละออกจากกายหนุ่มขี้แกล้ง แต่ถูกเขารั้งตัวไว้ในอ้อมแขน
“สงบสติอารมณ์ซะก่อน แล้วข้าจะปล่อยเจ้า ขืนปล่อยตอนนี้ เดี๋ยวก็ได้ลงไปแช่น้ำอีกหรอก”
แดนเทียน์กัดริมฝีปากแน่น จ้องเขาด้วยสายตาโกรธขึง ทำอะไรเขาไม่ได้สักอย่าง
ตั้งแต่เธอฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง หมอหนุ่มแห่งค่ายริกเกอร์เพิ่งมีโอกาสพิจารณาใบหน้าของหญิงสาวเต็มตาในระยะใกล้วันนี้เอง ผิวพรรณผ่องใส มีน้ำมีนวลกว่าที่เคยพบเธอในตอนแรก ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นขาวใสอมชมพู ดวงตากลมคู่นั้นแฝงความดื้อรั้นและเด็ดเดี่ยวอยู่ข้างในเป็นประกายแห่งความมีชีวิต
“ปล่อยข้าได้รึยัง!”
แดนเทียน์พยายามพูดเสียงอ่อนลง เริ่มเรียนรู้ว่า การใช้อารมณ์มีแต่ผลเสีย ที่สำคัญอีกฝ่ายนิ่งจ้องเอา ๆ จนรู้สึกหน้าชาอย่างบอกไม่ถูก เป็นครั้งแรกที่ต้องสู้สายตาคมคู่นั้นใกล้ขนาดนี้ ได้แต่ยืนตัวลีบอยู่ในอ้อมแขนของคนหนุ่ม ตั้งแต่เขาได้รับถ่ายเทพลังชีวิต ใบหน้าของเขากลับดูหนุ่มขึ้น และหล่อเหลากว่าเดิม เนื่องจากพลังชีวิตที่เธอและเขาได้รับจากท่านริกเกอร์นั้น มีพลังชีวิตจากหญิงสาวบริสุทธิ์มากมายที่ต้องสังเวยชีวิตในพิธีเซค์รวมอยู่ด้วย พลังชีวิตเมื่อถูกถ่ายเทอยู่ในร่างกายของผู้ใด จะเกิดการหลอมรวมกับพลังชีวิตเดิมของร่างกายผู้นั้น เขาและเธอจึงได้รับพลังชีวิตที่ผสมผสานพลังชีวิตของกันและกันโดยปริยาย
เมื่อเห็นเธอสงบนิ่งลง บุตรชายหัวหน้าโจรใหญ่จึงปล่อยให้สาวน้อยเป็นอิสระ
“ไปกันต่อได้แล้ว” ซีนิธพูดพลางหันตัวกลับไป แต่คว้ามือสาวน้อยไปด้วย
“นี่!! ปล่อยนะ!” มือที่เหลือพยายามทุบแขนเขาให้ปล่อยมือเธอ
“ไม่ปล่อย! เกิดเจ้าเดินหนีหายไปอีก ข้าจะทำยังไง ข้าก็เสียพลังฟรีสิ ข้าไม่อยากให้พลังชีวิตเจ้าอีกเป็นครั้งที่สองหรอกนะ” เขาดึงเธอให้เดินตามไปทันทีอย่างไม่สนใจ
เสียงฝีเท้าม้าดังอยู่ใกล้เข้ามา ทำให้ซีนิธชะงักฝีเท้า รีบดึงเธอหลบเข้าข้างต้นไม้ใหญ่ริมธาร และเฝ้ามองอย่างระแวดระวังภัย เห็นเหล่าสมุนโจรหยุดพักเหนื่อย พากันลงมาดื่มน้ำที่ลำธารใสแห่งนี้
แดนเทียน์พลอยตื่นเต้นตกใจไปด้วย นั่งนิ่งเงียบกริบด้วยความกลัว สมุนโจรนายหนึ่งดันเดินมาใกล้บริเวณที่ทั้งสองกำลังนั่งหลบซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล หมอหนุ่มรีบโอบร่างหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกายให้ก้มตัวลงต่ำทันที เพื่อให้ต้นหญ้าที่ขึ้นบริเวณนั้นช่วยอำพรางสายตา สองคนต่างนั่งใจหายใจคว่ำไปตาม ๆ กัน สมุนโจรคนนั้นทำกิจของตนเสร็จอย่างสบายใจแล้ว จึงเดินกลับไป
บุตรชายคนเดียวของหัวหน้าโจรใหญ่ปล่อยมือที่โอบตัวเธอไว้กลับมา ให้หญิงสาวนั่งตามสบาย แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อสาวน้อยข้างตัวกลับคว้าแขนของเขาไว้แน่นอันเป็นสัญชาตญาณแห่งความกลัว เขารีบหันไปมอง พบสีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เธอยกมือปิดปากตัวเองแน่นด้วยความตกใจสุดขีด อยากจะกรีดร้องก็ทำไม่ได้ เพราะกลัวพวกโจรจะแห่กันมา แล้วพยายามกระซิบกระซาบบอกเขาด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนเต็มที่ ว่ามีอะไรบางอย่างเกาะอยู่ที่หน้าแข้ง เธอรู้สึกขยะแขยงจนไม่กล้าแม้แต่จะหันไปดูด้วยซ้ำ
หมอหนุ่มก้มลงมองหน้าแข้งของหญิงสาว พบสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งสีดำอมเทา ลำตัวยาวประมาณสองนิ้ว มีลักษณะแบนเหนียวหนืดติดหนึบอยู่กับขาของเด็กสาว และมันกำลังดูดเลือดของเธออยู่
หญิงสาวไม่กล้าแม้แต่จะดูเขาทำอย่างไรกับเจ้าตัวหนืด ได้แต่ซบหน้ากับต้นแขนชายหนุ่มแน่นอย่างลืมตัวด้วยความกลัว
“เอามันออกไปเร็วเข้า!” ปากก็เอาแต่พร่ำบอกให้เขารีบจัดการกับมันให้เร็วที่สุด
ซีนิธหยิบตลับผงสมุนไพรฉุนออกมาจากถุงย่ามสะพายข้างตัว ป้ายยาสมุนไพรที่เจ้าตัวหนืด ไม่นานมันก็หงายเก๋งหลุดออกไปอย่างง่ายดาย รีบกดแผลไว้เพื่อห้ามเลือดแล้วทายาสมานแผลให้ หมอหนุ่มหันกลับมามองหน้าคนรั้นที่ตอนนี้หมดฤทธิ์ซบหน้ากับต้นแขนของเขาอยู่
“มันไปแล้ว…” เขากระซิบบอกเบา ๆ “ดูเหมือนปลิงจะเป็นตัวผู้ด้วยนะ เดี๋ยวมันจะอิจฉาข้าที่มีเจ้ากอดแขนข้าแน่นขนาดนี้” หมอหนุ่มแกล้งยั่วโทสะอีกตามเคย และรู้ว่ายั่วเธอขึ้นซะด้วย กลับยิ่งสนุก
แดนเทียน์รีบผละออกมาจากต้นแขนชายหนุ่มอย่างด่วนที่สุด พร้อมกับสีหน้าโกรธจัดจนหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก
“บ้า!!! พูดบ้า ๆ นะ” เห็นหน้าระรื่นของคนหนุ่มที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วมันเจ็บใจนัก
“เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ยังมีหน้ามาล้อเล่น กวนประสาทอีก คอยดูนะ จะต้องเอาคืนให้ได้” เธอได้แต่เข่นเขี้ยวเขาอยู่ในใจ
ทั้งคู่นั่งหลบอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่อยู่นานมาก เพราะพวกโจรเหล่านั้นกลับหยุดพักนอนค้างคืนที่นี่ด้วย
“บ้าจริง!” ซีนิธแค่นเสียงในลำคอ เมื่อเห็นพวกมันเริ่มทำเพลิงที่พัก เขาตัดสินใจรอจนมืดค่ำก่อนถึงจะออกเดินทางอีกครั้ง
บุตรชายของหัวหน้าโจรใหญ่หันกลับมามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกาย ตอนนี้เธอกำลังหลับผล็อยไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย ศีรษะเอนมาพิงพักอยู่ที่ต้นแขนของเขาอย่างไม่ตั้งใจ อดสงสารเธอไม่ได้ ทั้งที่จริงเธอเพิ่งฟื้นควรจะได้รับการพักผ่อนก่อนออกเดินทางไกลอย่างนี้ หลังจากให้พลังชีวิตกับเธอราวกับการชุบชีวิตเธอขึ้นมาใหม่ทั้งชีวิต
มันทำให้เขาสูญเสียพลังชีวิตที่ได้มาไปเกือบหมด ทั้งยังไม่ได้นอนหลับพักผ่อนที่วิ่งติดต่อกันมาทั้งวันทั้งคืน
ทำให้ตัวเขาเองยังรู้สึกอ่อนเพลียไม่น้อย
“แดนเทียน์…ข้าขอโทษ…” เขากระซิบบอกสาวน้อยเบา ๆ
“ข้าสัญญา…ว่าเจ้าจะต้องปลอดภัย”
หมอหนุ่มหลับตาลงพักเอาแรงก่อนออกเดินทางคืนนี้อีกครั้ง
=================
แสงสุดท้ายใกล้ลับเหลี่ยมขุนเขาเข้าไปทุกขณะ บรรยากาศรอบตัวเริ่มมืดลง สองเท้าที่วิ่งกึ่งเดินเพื่อเร่งฝีเท้าไปให้ถึงจุดหมายก่อนค่ำ แต่แล้วกลับลดความเร็วลง เมื่อเบื้องหน้าปรากฏชายฉกรรจ์สวมชุดดำสนิทโพกผ้าปิดหน้าปิดตานับสิบคนยืนประจันหน้าขวางทางอยู่ เมแลนซ์กวาดสายตามองปราดเดียวแล้วรู้ว่า พวกมันคือ “นักฆ่า” สมองพยายามคิดว่าจะปกป้องหญิงสาวตามคำสั่งเจ้าชายแรร์เน็ส ให้ปลอดภัยได้อย่างไร เวลาคิดของเขาหมดลง เมื่อฝ่ายตรงข้ามบุกเข้าจู่โจมพร้อมกันทุกทิศทาง
“ผู้หญิงจับเป็น! ผู้ชาย ฆ่า! อย่าให้หนีรอดไปได้!” หัวหน้าชายชุดดำทมิฬสั่งเสียงกร้าวดังลั่น
อดีตนายทหารหนุ่มหลบคมดาบที่ฟันลงมาพร้อมกันทั้งซ้ายและขวา
ก่อนจับแขนนักฆ่าชุดดำข้างหนึ่งรับดาบที่ฟันลงมาจากด้านหน้า แล้วถีบอย่างแรงจนโจรผู้นั้นกระเด็นไป
เขาบิดแขนศัตรูแย่งดาบมาไว้ในมือ รีบพุ่งตัวเข้าขวางวายร้ายอีกคน
ที่กำลังจะจับตัวเจ้าหญิงเฟรนลี่ไปได้อย่างทันท่วงที
หญิงสาวรีบคว้าท่อนไม้ดุ้นเขื่องมาไว้ในมือเพื่อช่วยเขาอีกแรง
เจ้าหญิงแห่งเบเนดิกยกท่อนไม้เข้าขวางคมดาบ ที่กำลังฟันลงมาตรงกลางหลังของเมแลนซ์เอาไว้
เมื่อเห็นเขากำลังพลาดท่าเสียทีเหล่าโจรทมิฬ
ก่อนที่เมแลนซ์จะหันมาเหวี่ยงเท้าเตะจนอีกฝ่ายกระเด็นไปกระแทกพวกเดียวกันล้มระเนระนาด
ชายหนุ่มหันไปมองเจ้าหญิงเฟรนลี่ด้วยความขอบคุณในความใจกล้า
ที่เข้ามาช่วยเขาอย่างไม่กลัวอันตราย ทั้งที่เธอเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ
ไม่รู้เรื่องอาวุธ และวิธีการต่อสู้ด้วยซ้ำ หญิงสาวผู้นี้ต้องเป็นคนสำคัญ
ไม่ใช่แค่คนธรรมดาแน่ เจ้าชายแรร์น็สถึงได้เป็นห่วงเป็นใย
และคอยปกป้องเธอขนาดนี้
พวกนักฆ่ารีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
แล้วกระโจนเข้าหาเมแลนซ์พร้อมกัน นายทหารหนุ่มกวัดแกว่งดาบในมืออย่างรวดเร็ว
บุกตะลุยจนชายชุดดำที่ดาหน้าเข้ามาล้มไม่เป็นท่า แต่พวกมันก็ยังไม่ละความพยายาม
ตีวงโอบล้อมเหยื่อเอาไว้ หวังปลิดชีวิตเขาให้จงได้
ขณะที่นายทหารกล้ากำลังยกดาบฟาดฟันศัตรูอยู่นั้น
เสียงกรีดร้องของเจ้าหญิงดวงตาสีมรกตทำให้เมแลนซ์รีบหันขวับไปดู
เจ้าหญิงเฟรนลี่กำลังถูกจับตัวไป วินาทีนั้นทำให้ฝ่ายตรงข้ามฟันดาบเข้ากลางลำตัว
เขารีบถอยหลังหลบคมมีดแต่ไม่พ้น ปลายดาบฟันเข้ากลางหน้าอกของชายหนุ่ม
แล้วฟันซ้ำอีกครั้ง ก่อนถูกถีบจนเซเสียหลัก หงายหลังล้มลงกระแทกพื้น
เหล่าหมาหมู่ชุดดำรีบประเคนดาบเข้าไปหาผู้ที่ล้มกลิ้งอยู่กับพื้นทันที
ผิวดินกระจุยกระจายครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อดาบที่ฟันลงไปหาได้ถูกตัวคนไม่
เมแลนด์พยายามกลิ้งตัวหลบคมดาบเป็นพัลวัน แล้วยกดาบขึ้นรับดาบของศัตรูที่ฟันลงมาหวังตัดคอเขาให้จงได้ โจรร้ายที่อยู่ด้านบนพยายามออกแรงกดคมดาบลงไปด้วยกำลังของคนที่อยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบกว่า
อดีตนายทหารเรียวกัดฟันแน่น มองคมดาบที่กดลงใกล้เข้ามาทุกขณะ
ในที่สุดเขาตัดสินใจ
พลิกดาบอย่างเร็วให้น้ำหนัก ที่กดลงมาเทไปอีกข้างหนึ่ง ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียหลักล้มไปกระแทกพื้น เมแลนซ์ได้โอกาสยกเท้าถีบเจ้าโจรร้ายออกไปจากตัว
แล้วดีดตัวลุกขึ้นยืน แต่ทว่าบรรดาผู้มุ่งร้ายที่ยืนรออยู่ก่อนนั้น
พร้อมกันแทงดาบเข้าไปหาเขา
“ไม่..................................!!”
เจ้าหญิงดวงตาสีเขียวมรกตกรีดร้องจนสุดเสียง
หลับตาแล้วเบือนหน้าหนีกับภาพความโหดร้ายนั้น เธอถูกชายชุดดำสองคนล็อคแขนสองข้างเอาไว้
แล้วถูกลากตัวไป ร่างบอบบางพยายามดิ้นรนออกจากการจับกุม
แต่ไม่เป็นผล
“ฉึก!!”
เสียงของมีคมแทงทะลุผิวหนังของมนุษย์ แล้วทุกอย่างกลับเงียบงันลง
นักฆ่าชุดดำปล่อยมือที่ล็อคแขนเจ้าหญิงไว้ทั้งสองข้าง
หญิงสาวลืมตาขึ้น ภาพเบื้องหน้าที่เห็นกลับตาลปัดไปหมด เหล่าโจรนักฆ่าทมิฬทั้งหมดล้มลงไปนอนกองอยู่กับพื้นดิน
แม้แต่คนที่ล็อคแขนของเธอเมื่อครู่นี้ด้วย
เมแลนซ์เงยหน้าขึ้นกวาดสายตาไปมารอบตัวด้วยความงุนงงสุดขีด
ที่เขารอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด หัวใจตัวเองยังเต้นไม่เป็นส่ำอยู่เลย
แล้วนึกทบทวนวินาทีวิกฤตที่ผ่านมา ภาพหมาหมู่พุ่งดาบเข้ามาแทงเขาพร้อมกัน ทันใดนั้น
เหมือนมีอะไรบางอย่างพุ่งด้วยความเร็วออกมาจากที่ไหนสักแห่ง
แล้วแตกกระจายออกในอากาศ ดิ่งตรงเข้าใส่เหล่าโจรร้ายทันทีอย่างแม่นยำ
มันเร็วมากจนเขามองไม่ทัน หลังจากนั้น
นักฆ่าชุดดำกลับยืนนิ่งแข็งทื่ออยู่กับที่ แค่ผลักเบา ๆ
ก็ล้มลงไปกองอยู่กับพื้นแล้ว ที่หน้าผากของแต่ละคนล้วนมีเข็มเล็ก
ๆ เล่มหนึ่ง ปักอยู่
ใบหน้าของเหล่าโจรร้ายนั้นบวมแดงราวกับถูกผึ้งหรือต่อรุมต่อยเอาทั้งฝูง
เจ้าหญิงเฟรนลี่รีบวิ่งเข้าไปหาเมแลนซ์ จับแขนนายทหารหนุ่มบีบไว้แน่นด้วยความเป็นห่วง ดวงตาสีมรตกคู่นั้นจ้องมองบุรุษตรงหน้า
สำรวจตรวจตราตามร่างกายเนื้อตัวของเขาว่ามีบาดแผลอะไรหรือไม่
“เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า
ได้รับบาดเจ็บตรงไหนมั้ย”
“ข้าขอบคุณเจ้ามากนะ
ที่ช่วยข้าไว้” เจ้าหญิงก้มศีรษะ และค้อมตัวลง
ทหารผู้น้อยตรงหน้าเจ้าหญิงนิ่งงันไปชั่วขณะ แม้ว่าจะแปลคำพูดที่ได้ยินไม่ออก
แต่ท่าทางที่เจ้าหญิงเฟรนลี่แสดงออกมานั้น เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
เกรงว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บหรืออันตราย เขากลับสัมผัสคำขอบคุณนั้นได้ด้วยหัวใจของตัวเอง
“ข้าไม่เป็นไร ขอบคุณที่เป็นห่วงข้า”
ผู้รอดชีวิตยังอดแปลกใจไม่ได้ว่าเขาผ่านวินาทีถึงฆาตมาได้อย่างไร? ต้องมีคนที่ช่วยเขาเอาไว้แน่ จะเป็นใครไปไม่ได้เลย
นอกจากบุรุษผมทองในชุดสีน้ำตาลเข้ม ที่ยืนนิ่งอยู่ไม่ไกล
และสายตาสีอำพันคู่นั้นกำลังมองตรงมาที่หญิงสาว
เจ้าหญิงเฟรนลี่มองตามเมแลนซ์ไปหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มท่าทางองอาจผู้นั้น
เธอเพิ่งเห็นว่า มีบุรุษผู้นี้ยืนอยู่ ดวงตาสีมรกตเบิกกว้าง
แล้วตะโกนโพล่งออกไป
“บีวาร์!!”
เจ้าหญิงแห่งเบเนดิครีบเดินกึ่งวิ่งถลาเข้าไปหาองครักษ์หนุ่มด้วยความดีใจที่สุด
จับมือของเขาบีบไว้แน่น
“องค์หญิง! เป็นอะไรหรือเปล่า ข้าตามหาพระองค์มาตลอด ทำไมถึงไม่เชื่อคำของข้าเลย” องครักษ์หนุ่มทั้งดีใจ ทั้งโกรธ แต่ก็อดดุเจ้าหญิงเฟรนลี่ไม่ได้
ที่ไม่ยอมทำตามสัญญาว่าจะอยู่แต่ในถ้ำไม่ออกไปไหนในวันที่ฝนหยุดตก
“ข้าขอโทษนะ
เรื่องมันยาวมาก ไว้ข้าจะค่อย ๆ
เล่าให้เจ้าฟังนะ” เจ้าหญิงเฟรนลี่ตอบอย่างสำนึกในความผิดที่ต้องทำให้บุรุษผู้นี้ต้องเป็นห่วงเธอครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดมา
แม้จะยังไม่เข้าใจเหตุผลว่า
ทำไมต้องห้ามเธอไม่ให้ออกไปไหนในวันที่ฝนหยุดตกหนักแล้วเจ็ดวันเจ็ดคืนก็ตามที
“เจ้าหายดีแล้วใช่มั้ย?” เจ้าหญิงเพิ่งพินิจใบหน้าขององครักษ์คู่ใจ
“ถ้าข้าไม่ออกไปหาดอกไม้มาให้
เจ้าจะหายดีมั้ยล่ะ”
เจ้าหญิงอดค่อนแคะบุรุษผมทองไม่ได้
ถึงสาเหตุที่ทำให้เธอต้องผิดคำสัญญา
“ข้าหายดีแล้ว
ขอบคุณที่เป็นห่วงข้าเสมอ” บุรุษผมทองรู้ดีว่าองค์หญิงแห่งเบเนดิคนั้นใส่ใจและอาทรเขาเสมอ
เธอจะไม่ยอมหยุดอยู่เฉย ๆ หากเขาป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ
องครักษ์หนุ่มกำลังจะย่อตัวลงทำความเคารพเจ้าหญิงเฟรนลี่ แต่ถูกเจ้าหญิงคว้าแขนห้ามไว้ได้ทัน
“ไม่ต้องทำความเคารพข้า
เจ้าลืมข้อตกลงระหว่างเราแล้วหรือ? ตอนนี้ข้าเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น
ไม่ใช่เจ้าหญิงแห่งเบเนดิคอีกแล้ว” เธอเป็นฝ่ายทวงสัญญาจากคนตรงหน้าแทน
เมแลนซ์เดินเข้าไปหาผู้ช่วยเหลือด้วยความแปลกใจ
เมื่อเห็นคนทั้งสองจับมือกันอย่างดีอกดีใจราวกับพบเจอญาติสนิทกระนั้น แต่ก็ยังไม่อาจแปลความหมายของภาษาที่ทั้งคู่ใช้สื่อสารกันได้อยู่ดี
หญิงสาวผู้นี้ต้องไม่ใช่คนแคว้นเรียวเป็นแน่
ส่วนบุรุษผู้ช่วยเหลือเขานั้นดูองอาจแกล้วกล้ามากกว่าจะเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา
“ขอบคุณ...ที่ท่านช่วยชีวิตข้า”
อดีตนายทหารแห่งเรียวค้อมตัวลงต่ำ
บีวาร์กำลังจะหันไปตอบทหารผู้นั้น แต่ถูกเจ้าหญิงเฟรนลี่สะกิดแขน
“เจ้าจงบอกเขาว่าเราเป็นญาติกัน”
เจ้าหญิงกระซิบบอกนายทหารคู่ใจ
“เรื่องเล็กน้อย
เมื่อเจอคนได้รับอันตรายข้าต้องช่วยอยู่แล้ว” บุรุษผมทองกล่าวตอบด้วยไมตรีจิต
“ข้าชื่อเมแลนซ์” อดีตทหารแห่งเรียวแนะนำตัว
องครักษ์หนุ่มแห่งเบเนดิคหันไปตอบคู่สนธนา
“ข้าชื่อ
บีวาร์ เป็นญาติของเฟรนลี่ เราโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ๆ เรากำลังเดินทางมาเยี่ยมญาติ
แล้วเกิดพลัดหลงกัน ข้าเที่ยวตามหาอยู่หลายวัน
ขอบคุณท่านที่ช่วยดูแลเฟรนลี่ด้วยนะ” เขาอดข้องใจไม่ได้ แล้วเจ้าชายแรร์เน็สนั้นหายไปไหนทำไมถึงไม่อยู่ปกป้องพระคู่หมั้น
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เมแลนซ์มองบุรุษผมทองด้วยความแปลกใจ ที่อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยภาษาเรียน่า
“ท่านพูดภาษาเรียน่าได้”
“ข้ามีญาติเป็นพ่อค้าอยู่ที่เรคคันน่า
จึงพอพูดได้บ้าง” บีวาร์ตอบ
อาวุธลับที่ถูกยิงออกไปใส่ศัตรูเมื่อครู่
ถูกถอนขึ้นจากหน้าผากของร่างหมดสติของเหล่านักฆ่าชุดดำ วิ่งกลับมารวมเป็นหนึ่งในอากาศ เมื่อบีวาร์ร่ายคาถา เขายกข้อมือขึ้นรับอาวุธที่พร้อมจะเก็บเข้าสู่ปลอกเหล็กที่รัดข้อมือของเขา
“มันคืออะไร
เป็นอาวุธที่ท่านใช้ช่วยข้าหรือ?” เมแลนซ์จ้องมองอย่างทึ่ง
บีวาร์พยักหน้ารับ
“อาวุธนี้จะมีคาถาบังคับอยู่
เมื่อยิงออกไปหนึ่งดอก มันจะแตกออกกระจายในอากาศแล้วซัดเข้าหาศัตรูทุกคนได้อย่างรวดเร็ว
และแม่นยำไม่มีพลาด คนที่โดนจะมีอาการชาและขยับตัวไม่ได้
เพราะที่เข็มนั้นอาบยาพิษ ซึ่งสกัดมาจากพิษของผึ้งและต่อที่ร้ายกาจที่สุดเอาไว้”
เขาตั้งใจคิดอาวุธลับนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อการต่อสู้กับศัตรูต่อหน้าเจ้าหญิงแห่งเบเนดิคซึ่งไม่โปรดให้มีการรบราฆ่าฟันกันตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว
“แล้วพวกเขาจะเป็นอะไรมั้ย?”
เจ้าหญิงเฟรนลี่เอ่ยถามอย่างสงสัย
“คนที่โดนจะเป็นอัมพาตชั่วคราวแล้วก็จะหายไปเองภายในหนึ่งวัน แต่พิษผึ้งและต่อที่ได้รับคงต้องรักษาอีกหลายวัน”
บีวาร์ตอบเจ้าหญิงแห่งเบเนดิค
“เสื้อของเจ้าขาดหมดแล้วเมแลนซ์”
ดวงตาสีมรกตสังเกตเห็นเสื้อกลางหน้าอกของเขาฉีกขาดเหมือนถูกของมีคมฟัน
แต่น่าแปลกที่กลับไม่มีบาดแผลใด ๆ
เมแลนซ์ก้มลงมองเสื้อที่ขาดวิ่นของตัวเอง จำได้ว่าเขาถูกฟัน รีบยกมือจับหน้าอกของตัวเอง
ทำไมมันจึงไม่มีบาดแผลหลงเหลืออยู่เลย
“น่าแปลกมากที่ข้าถูกฟันอย่างจังถึงสองครั้ง แต่กลับไม่เป็นอะไรเลย”
บีวาร์จึงทำหน้าที่แปลภาษาให้เจ้าหญิงเฟรนลี่เข้าใจด้วย
หญิงสาวนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วนึกถึงตำราโบราณแห่งเบเนดิคว่าด้วยเรื่องต้นไม้วิเศษ ซึ่งเคยแอบเข้าไปอ่านเจอในห้องคัมภีร์ที่ถูกสั่งปิดตายไว้โดยบังเอิญ
“คงเป็นเพราะเจ้าได้ดื่มน้ำใบของต้นเมิสซ์ไปก่อนหน้านี้
ซึ่งมีคุณสมบัติ ช่วยรักษาแผลบาดเจ็บ
และสามารถถอนพิษให้หายอย่างรวดเร็วในพริบตา
และที่สำคัญฤทธิ์ยาจะยังคงอยู่อีกยี่สิบสี่ชั่วโมง หากเกิดบาดแผลขึ้นในช่วงเวลานี้จะทำให้แผลนั้นหายสนิทได้เองอย่างรวดเร็วเช่นกัน”
องครักษ์แห่งเบเนดิคกลายเป็นล่ามที่ต้องคอยสื่อภาษาให้ทั้งคู่คุยกันรู้เรื่องเสียแล้ว
นายทหารหนุ่มไม่อยากจะเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ แล้วก้มลงมองรอยเสื้อที่ถูกฟันจนขาดวิ่น บนแผ่นอกของตัวเองอีกครั้ง มันหลงเหลือไว้เพียงแค่รอยขีดข่วนเป็นทางยาวเล็กน้อยเท่านั้น
เขารีบยกมือนับเวลา
เหลือเวลาอีกเพียงหกชั่วโมงก่อนฤทธิ์ยาแห่งต้นเมิสซ์จะหมดลง
เมแลนซ์ย่อตัวคุกเข่าลงกับพื้นดิน
“ข้าอยากจะขอใบของต้นเมิสซ์ซักใบ
เพื่อช่วยท่านแรร์เน็ส” อดีตนายทหารแห่งเรียวนึกได้ว่า
เจ้าชายนั้นได้รับบาดเจ็บด้วยพิษร้ายเช่นกัน
เจ้าหญิงเฟรนลี่มีสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมาทันที แล้วรีบหยิบต้นเมิสซ์ออกมาจากถุงผ้าในกระเป๋าที่คาดเอวอยู่
“ข้าแด่ต้นเมิส ขอหนึ่งใบเพื่อช่วยเหลือแรร์เน็สด้วยเถิด”
ต้นไม้วิเศษลอยตัวขึ้นอยู่ในอากาศแปล่งแสงสว่างสีขาวนวลตาเจิดจ้า ก่อนปลิดใบของตัวเองออกมาหนึ่งใบร่วงหล่นลงบนฝ่ามือของผู้เป็นเจ้าของต้นเมิสซ์ หญิงสาวส่งใบต้นเมิสซ์ให้เมแลนซ์พร้อมกับกระบอกไม้ไผ่
“ข้อสำคัญที่ต้องจดจำไว้
ต้นเมิสซ์จะมีประสิทธิภาพสูงสุด เจ้าจะต้องไม่ฆ่าใครเด็ดขาด”
เมแลนด์รีบยื่นมือไปรับทันที
“บีวาร์ ท่านรีบพาเฟรนลี่กลับบ้านเถอะ เราจะแยกกันตรงนี้”
องครักษ์แห่งเบเนดิคขมวดคิ้วย่น
“เจ้าผู้เดียวจะไหวหรือ”
เขาอดเป็นห่วงอดีตนายทหารเรียวที่เพิ่งเกือบตายมาไม่ได้
“หากยังมีฤทธิ์ยาของต้นเมิสซ์อยู่
ข้าไม่จำเป็นต้องกลัวสิ่งใดแล้ว คำสั่งของนายข้าคือ
คุ้มครองเฟรนลี่ให้ปลอดภัย ซึ่งข้าได้ทำเรียบร้อยแล้ว
หากข้าปฏิบัติงานนี้ไม่สำเร็จ ข้าคงหมดโอกาสที่จะได้ติดตามนายข้าอีกต่อไป
ได้โปรดเถอะ บีวาร์...ท่านรีบพาเฟรนลี่กลับบ้าน
ไปในที่ปลอดภัยด้วยเถอะ” เมแลนด์ขอร้อง
“เราจะไปด้วยกัน
ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” เจ้าหญิงเฟรนลี่ไม่ยอมเด็ดขาดที่เธอจะหนีเอาตัวรอดเพียงคนเดียว
“ไม่ได้! โจรพวกนั้นเจาะจงจับตัวท่านอยู่ ท่านก็เห็นแล้วมิใช่หรือ? อย่าให้ข้าลำบากใจเลย
แต่หากท่านอยากรอฟังข่าวดี จงไปรอข้าอยู่ที่หมู่บ้านร้าง
ข้าจะพานายข้ากลับไปเจอท่านให้จงได้” เมแลนด์พยายามอธิบายเหตุผล
“ไปเถอะ
เฟรนลี่ เราจะไปรอแรร์เน็สอยู่ที่หมู่บ้านร้างกันนะ”
สิ้นคำนั้น องครักษ์หนุ่มเป่ามนต์ใส่เจ้าหญิงเฟรนลี่ ร่างบอบบางนั้นหมดสติลงในอ้อมแขนของบุรุษผมทองทันที ด้วยรู้ดีว่า เจ้าหญิงแห่งเบเนดิคนั้นดื้อรั้นขนาดไหน ที่สำคัญเขาจำเป็นต้องห่วงความปลอดภัยของเจ้าหญิงมากกว่าอะไรทั้งหมด การเข้าใกล้ศัตรูที่รู้ดีว่าต้องการตัวเจ้าหญิงนั้นไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง
“ข้าจะให้เฟรนลี่เสี่ยงอันตรายอีกไม่ได้
เราจะรอเจ้ากลับมาพร้อมกับแรร์เน็ส อยู่ที่หมู่บ้านร้างนะ” บีวาร์แบกร่างบอบบางนั้นขึ้นบ่า
“แล้วเจอกัน!”
เมแลนซ์มั่นใจ ก้มตัวลงโค้งคำนับให้ทั้งสองคน
แล้วรีบวิ่งหายตัวไปในเงามืดของราตรีกาลแห่งป่าเคนาฟ
=============
ร่างสูงถูกโยนลงบนพื้นห้องอย่างแรงราวกับเป็นแค่สิ่งของ ไม่ใช่มนุษย์ ต้นแขนที่ถูกฟันนั้นกระแทกกับพื้นเต็ม ๆ
สร้างความเจ็บปวดให้กับบุรุษผมเทาอย่างมาก เจ้าชาย
“แรร์เน็ส...ข้าอยากบอกเจ้าอีกอย่าง
ข้าไม่ได้วางยาพิษเจ้าครั้งนี้เป็นครั้งแรกหรอกนะ” พูดจบแล้วเหยียดยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจกับสภาพเจ้าชายผมเทาที่ใกล้ตายเข้าไปทุกขณะ
“แต่น่าแปลกนะ
ที่พิษอย่างอื่นไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้ เจ้าจะแค่ท้องเสียแล้วก็หายเป็นปกติได้ทุกครั้ง
ทั้งที่เจ้าน่าจะตายไปตั้งหลายทีแล้ว แต่พิษตะขาบนี้ไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ
จุดอ่อนของเจ้ามันอยู่ที่พิษตะขาบนี่เองสินะ” เจ้าชายบิทเรย์สาธารยายการวางแผนลอบฆ่ารัชทายาทแห่งเรียวมาโดยตลอด
“แรร์เน็ส
เจ้าน่าจะดีใจนะ ที่จะได้ตายด้วยยาพิษชนิดเดียวกันกับที่พ่อของเจ้าได้รับ
ตอนไปปราบกบฏกริเกอร์” เจ้าชายบิทเรย์หัวเราะลั่นอย่างสะใจ เขาต้องการยั่วให้ญาติผู้นี้โกรธ เพื่อเร่งพิษให้เดินเร็วขึ้นอีก
“เจ้า!”
บุรุษผมเทากัดฟันกรามแน่นด้วยความโกรธสุดขีด พยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดพุ่งตัวเข้าหาบิทเรย์ แต่กลับทำได้แค่ล้มฟุบอยู่แทบเท้าของเจ้าชายชุดดำเท่านั้น ความโกรธที่ลุกโชนในจิตใจเพิ่มแรงดันในกระแสโลหิต
ทำให้พิษยิ่งเดินเข้าสู่หัวใจเร็วขึ้น จนเจ้าชายแรร์เน็สต้องกระอักออกมาเป็นเลือด
“เจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก เจ้าจะต้องเป็นเหมือนพ่อของเจ้า!! อยู่เฉย ๆ
ดีกว่าน่า...ขยับแขน ขยับมือให้ได้ก่อนเถอะ” ญาติผู้น้องของเจ้าชายแห่งเรียวระเบิดเสียงหัวเราะเยาะเย้ยก่อนเดินออกจากห้องนั้นไป
“เฝ้าให้ดี
มิเช่นนั้นหัวของเจ้าจะไม่ได้อยู่ที่เดิมอีกต่อไป” เสียงของเจ้าชายชุดดำสั่งลูกสมุนด้วยเสียงเฉียบขาด ลอดผ่านบานประตูเข้ามาในห้อง ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ
เดินกระแทกไกลออกไป
เจ้าชายรัชทายาทพยายามพลิกตัวกลับมานอนหงายอย่างยากลำบาก เจ็บกายนั้นเขายังทนได้ แต่เจ็บใจนั้นมันแทบทำให้ขาดใจตายได้ทันที
เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่า
พ่อของเขาต้องมาตายอนาถด้วยการถูกวางยาพิษเช่นนี้ เจ้าชายแรร์เน็สอดแปลกใจไม่ได้ว่า
แค่กบฏริกเกอร์พ่อของเขาจะต้องมาตายง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน
บุรุษผมเทากัดฟันแน่น กลั้นใจ พยายามบังคับแขนตัวเอง
แล้วยกแขนข้างที่ถูกฟันขึ้นมาดูบาดแผลอย่างยากลำบาก รอยแผลลึกยาวนั้นไหม้เกรียมเป็นแถบ
ดาบของเจ้าชายบิทเรย์นั้นต้องอาบยาพิษไว้แน่ ทำให้เขาได้รับพิษตะขาบเพิ่มขึ้นอีก
รอยไหม้เหมือนแผลของเจ้าหญิงเฟรนลี่ตอนที่ถูกตะขาบข่วนไม่มีผิด
ตอนนั้นเขาช่วยดูดพิษให้เธอ
แต่มีพิษเล็ดลอดเข้าไปในร่างกาย
แต่โชคดีที่หญ้าริมน้ำนั้นช่วยถอนพิษได้
แต่มันก็ยังสกัดกั้นพลังเย็นในร่างกายให้ติดขัด และฟื้นตัวได้ช้ามาก แต่ครั้งนี้เขาโดนพิษเข้าเต็ม ๆ โอกาสรอดนั้นคงเหลือน้อยเต็มที
น่าแปลกใจที่เขากลับไม่เห็นไอเย็นออกมารักษาบาดแผลเหมือนทุกครั้ง ตั้งแต่เขาได้รับพลังเย็นจากปิศาจหิมะ หลังจากการไปรบปราบกฏบริกเกอร์
เมื่อมีบาดแผลเกิดขึ้น แผลนั้นจะหายเองได้อัตโนมัติ
มองเล็บที่ฝ่ามือของเขาไม่มีกรงเล็บงอกออกมาอีกเลย ทั้ง ๆ
ที่เขากำลังโกรธจัดจนกระอักเป็นเลือด หรือนี่จะเป็นจุดจบของเขาแล้วจริง
ๆ ความรู้สึกค่อย ๆ รางเลือนลงไปทุกขณะจิต
“เฟรนลี่...เจ้าปลอดภัยดีใช่ไหม....” เสียงเจ้าชายแห่งเรียวแผ่วเบาและแหบแห้ง สิ่งเดียวที่เขารู้สึกเป็นห่วงคือ เธอ ภาพดวงหน้าหญิงสาว เจ้าของดวงตาสีเขียวสดใสคู่นั้นปรากฏขึ้นจากความทรงจำ รอยยิ้มของเธอเหมือนดอกไม้ผลิบานในหัวใจของเขา คงไม่มีโอกาสได้เห็นอีกแล้ว
“แรร์เน็ส...”
เจ้าชายแห่งเรียวรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้ง
หลังจากที่ความรู้สึกกำลังดิ่งหายไปในความมืดมิด เขาได้ยินเสียงของเจ้าหญิงเฟรนลี่เรียกชื่อของตน มันเป็นความจริงหรือความฝันที่นึกไปเองกันแน่
“แรเน็ส...เจ้าเป็นยังไงบ้าง”
เสียงแห่งความห่วงใยนั้นยังดังขึ้นอีก
“เจ้าปลอดภัยดีใช่มั้ย...” เสียงของเจ้าหญิงเฟรนลี่ชัดเจน มันไม่ใช่เสียงจากความทรงจำ
แต่เป็นเสียงที่เขาได้ยินจริง ๆ
เปลือกตาที่ปิดม่านของดวงตาสีสนิมเหล็กค่อย
ๆ ลืมขึ้นอย่างช้า ๆ
“เฟรนลี่...ข้า...คงไม่อาจปกป้องเจ้า...ได้อีกแล้ว...” เจ้าชายผมเทาตอบเจ้าหญิงกลับไป แม้เขาจะไม่สามารถแปลถ้อยคำที่ได้ยิน แต่หัวใจของเจ้าชายนั้นกลับสัมผัสได้ถึงความห่วงใยมาจากกระแสแห่งเสียงนั้น
“โครม!!”
เสียงประตูที่ปิดอยู่ถูกถีบเข้ามาจนประตูเปิดออก พร้อมกับร่างของชายฉกรรจ์ล้มกลิ้งเข้ามาในห้อง
“เมแลนซ์!!” เจ้าชายแห่งเรียวมองเห็นอดีตนายทหารผู้รอดชีวิตบุกเข้ามาในห้องคุมขัง กำลังต่อสู้กับลูกสมุนของเจ้าชายบิทเรย์อยู่
อดีตนายทหารแห่งเรียวหมุนตัวหลบคมดาบอย่างคล่องแคล่ว ก่อนประชิดตัวคู่ต่อสู้แล้วประเคนหมัดเข้าที่ปลายคาง หมัดเดียวลงไปนอนสลบคาที่ทันที อีกฝ่ายยังกรูกันเข้ามา เขาดึงแขนฝ่ายตรงข้ามมารับดาบของอีกคน ก่อนจะบิดแขนแย่งดาบมาได้ แล้วถีบอีกคนกระเด็นไป แต่มีดาบเล่มหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว เมแลนซ์หันตัวหลบได้ทัน แต่มีอีกดาบหนึ่งพุ่งตรงมาที่กลางลำตัว วินาทีนั้นเขารีบหันหัวไหล่รับคมดาบนั้นเพื่อปกป้องกระบอกไม้ไผ่ที่สะพายอยู่ด้านหน้า
เขารู้สึกเสียวแปล๊บเมื่อคมดาบเฉือนถูกเนื้อบริเวณหัวไหล่ไป แต่บาดแผลที่เกิดขึ้นกลับสมานเข้าหากันทันที
หลงเหลือแค่รอยขีดข่วนที่หัวไหล่เท่านั้น ก่อนจะหันไปเอาดาบแทงคู่ต่อสู้ แต่กลับยั้งมือเอาไว้ ปลายดาบจ่ออยู่ที่คอหอยของฝ่ายตรงข้าม แล้วพลิกมือกลับหันสันดาบกระแทกต้นคอของฝ่ายตรงข้ามล้มลงไปกองอยู่กับพื้น
ชายอีกสองคนพุ่งดาบเข้ามาฟันพร้อมกันเข้าที่กลางหลังของเขา
ทำให้สายสะพายกระบอกไม้ไผ่ขาดลง นายทหารหนุ่มรีบคว้ากระบอกไม้ไผ่ไว้ได้ทันก่อนมันหล่นลงกระแทกพื้น แล้วนำมาแนบไว้กับตัว ลูกสมุนอีกคนแทงดาบเข้ากับแผ่นอกของเขาขณะที่เขาเงื้อมือรับดาบของอีกคนที่ฟันลงมา คมดาบนั้นแทงทะลุผ่านฝ่ามือนายทหารหนุ่มที่จับกระบอกไม้ไผ่ไว้ ทะลุผ่านมาถึงแผ่นอกของเขา
เมแลนซ์ใจหายวาบเมื่อมองเห็นดาบนั้นแทงถูกกระบอกไม้ไผ่ในอุ้งมือ!
===================
สวัสดีค่า...ตอนนี้เขียนยากมากกกกกกกกกกก เพราะมีฉากต่อสู้หลายฉากเลย หวังว่าคงจะพอใช้ได้เนอะ แฮ่...ขอบคุณทุกท่านที่คอยติดตามค่ะ คอมเม้นท์ได้เต็มที่เหมือนเดิมนะ ^__^
ความคิดเห็น