คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ขัดขวางพิธีเซค์อันศักดิ์สิทธิ์
เจ้าชายแรร์เน็สได้แต่ยืนมองเจ้าหญิงเฟรนลี่เดินจากไป เมื่อเธอพยายามบอกความต้องการของตนเองว่าควรแยกทางกันตรงนี้ เขาเข้าใจผิดหรือเปล่า…? อยากให้เป็นเพียงการเข้าใจผิดเท่านั้น
เจ้าชายผมเทาไม่เคยเรียนภาษาเบนติคซึ่งเป็นภาษาของอาณาจักรเบเนดิคเลย
เพราะตั้งแต่ท่านพ่อของเจ้าชายเสียชีวิตในสนามรบก็ไม่มีใครสนใจการเล่าเรียน
หรือความเป็นอยู่ของเจ้าชายแรร์เน็สว่าเป็นเช่นไร ไม่มีใครกล่าวถึงคู่หมั้นของเจ้าชายอีกเลย และเจ้าชายเองก็ไม่สนใจหรือให้ความสำคัญใด ๆ
เกี่ยวกับคู่หมั้นเช่นกัน
แม้แต่ชื่ออะไร ก็หาได้ใส่ใจจำไม่ ประกอบกับเจ้าชายแรร์เน็สมีความสนใจในการฝึกดาบมากกว่าสิ่งอื่นใด ด้วยมีภารกิจจะต้องออกไปร่วมรบอยู่เป็นประจำ จึงทำให้แทบลืมไปว่า ตนเองนั้นเป็นคนมีคู่หมั้นหมายแล้ว
ก่อนหน้านี้ราชาแห่งเบเนดิคได้ให้บีวาห์นำสารขอคำปรึกษาเรื่องพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายเรียว แรร์เน็ส
อเมนิท กับเจ้าหญิงเบสเฟลโล่
เฟรนลี่ ลิเบอร่า มาปรึกษาราชาแห่งเรียวแล้วก็ตาม
แต่เจ้าชายแรร์เน็สก็หาทราบไม่
เพราะได้นำกำลังออกไปปราบกบฏริกเกอร์ที่ป่าเคนาฟ
และไม่ได้กลับไปที่เรคคันน่า เมืองหลวงแห่งเรียวอีกเลย
ถึงแม้เจ้าชายแห่งเรียวจะไม่เข้าใจภาษาเบนติค แต่เมื่อเจ้าหญิงเฟรนลี่ได้พยายามยืนยันความต้องการของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยภาษาใบ้ ว่าต้องการแยกทางกันตรงนี้ ความรู้สึกหนึ่งบอกตัวเองว่า เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะรั้งเธอไว้ เกิดคำถามขึ้นในใจมากมาย ไม่เข้าใจตัวเอง ทำไมถึงรู้สึกไม่อยากให้เธอจากไปอย่างนี้เลย แต่ไม่อาจพูดถ้อยคำเพื่อรั้งให้เธออยู่…และเดินทางไปด้วยกันอย่างที่ใจคิด จนด้วยภาษาที่จะบอกเธอ สิ่งที่ทำได้คือ การหันหลังเดินจากเธอมา ตามที่เธอต้องการ
บุรุษผมเทารู้สึกเป็นทุกข์ใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ ไม่เข้าใจตัวเองเลย ว่า
มันคืออะไร
แต่รู้สึกดี รู้สึกสบายใจ ที่ได้อยู่ใกล้เธอ ความรู้สึกนี้นับวันจะค่อย ๆ ก่อร่างสร้างตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกับเจ้าหญิงดวงตาสีเขียวสดใส ด้วยเกรงว่าอาจจะไม่สามารถควบคุมความรู้สึกนี้ได้ ความรู้สึกที่ว่า ไม่อยากให้เธอจากไป มันรู้สึกแย่ในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก จึงตัดใจให้เธอเดินจากไป… และเจ้าชายเองก็สำนึกว่าตนนั้นเป็นคนมีคู่หมั้นแล้ว
การสนใจหญิงอื่นนอกจากคู่หมั้นนั้นมันผิดจารีตประเพณีโบราณแห่งเรียว
“เจ้ามีหน้าที่ต้องคอยดูแล และปกป้องคน ๆ หนึ่ง”
เสียงของบิดาดังขึ้นมาในหัวสมอง
‘นั่นสิ!
เจ้าเป็นผู้อ่านคาถา หากถูกฝ่ายมืดจับตัวไป ความหายนะ การบาดเจ็บล้มตายของผู้คนจะต้องอุบัติขึ้นในไม่ช้า ทำไมข้าถึงลืมคิดถึงข้อนี้นะ’
อีกความคิดหนึ่งเริ่มให้เหตุผล
ที่ควรแก่การยอมรับอย่างรวดเร็ว
อันที่จริงแล้ว เขาต้องฆ่าผู้อ่านคาถา เป็นความผิดของเขา ที่ไม่อาจตัดใจฆ่าเธอได้ลง เขาต้องรับผิดชอบหากสิ่งใดจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ไป เจ้าชายแรร์เน็สหันหลังกลับทันที
“แรร์เน็ส………………..”
เจ้าชายผมเทารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของเจ้าหญิงเฟรนรี่จากที่ไหนสักแห่ง เงยหน้ามองท้องฟ้ากว้าง หันซ้ายหันขวา ราวกับจะค้นหาแหล่งที่มาของเสียง แม้จะรู้ดีว่าขณะนี้เขาและเธออยู่ห่างไกลกันไม่น้อยเลย แต่ทว่า…ทำไมถึงได้ยินเสียงของเธอ และสัมผัสได้ถึงคลื่นเสียงนั้นบ่งบอกความตกใจกลัว และต้องการความช่วยเหลือจากเขา
สมองยังไม่ทันสั่งการใด
ๆ เท้ากลับไวกว่าความคิด เจ้าชายผมเทารีบวิ่งไปอย่างรวดเร็วราวสายลมกรด มุ่งหน้าไปตามความรู้สึกที่สัมผัสได้ว่าเธออยู่ที่ไหน ต้นไม้สองข้างทางลู่เอนไปทางเดียวกันตามการเคลื่อนที่ของเจ้าชายแรร์เน็ส ที่รวดเร็วรุนแรงราวกับลมพายุ
“แรร์เน็สช่วยข้าด้วย!!” เสียงเจ้าหญิงยังคงร้องตะโกนให้ได้ยิน ยิ่งทำให้หัวใจของเจ้าชายร้อนรนเป็นทวีคูณ
===========================
“องค์หญิง!
ข้าขอเชิญพระองค์กลับเบเนดิค
ยอมไปกับข้าแต่โดยดี!
อย่าให้ข้าต้องใช้กำลังล่วงเกินท่านเลย”
หัวหน้านายทหารใหญ่แห่งเบเนดิคกล่าว
ซึ่งมาพร้อมกับทหารกว่าสิบนายยืนขวางหน้าเจ้าหญิงเฟรนลี่ หลังจากที่วิ่งไล่กวดตามมาจนทัน แล้วกระจายกำลังล้อมตัวเจ้าหญิงเฟรนลี่ไว้ทุกทิศทุกทาง
“ใครสั่งพวกเจ้ามา” เจ้าหญิงแห่งเบเนดิคถามเสียงเครียด
“ราชาแห่งเบเนดิค” หัวหน้านายทหารใหญ่พูดชัดถ้อยชัดคำ
“ใคร! คือ ราชาแห่งเบเนดิค”
เจ้าหญิงเฟรนลี่เน้นเสียงเข้มขึ้นกว่าเดิม
พยายามสะกดอารมณ์โกรธเกรี้ยวที่ลุกโชนขึ้นในจิตใจ แม้จะรู้ดีว่ามันต้องเป็นเช่นนี้
“จะเป็นใครไปได้
นอกจากขุนพลเร็บเบล องค์หญิงเชิญ!!” แล้วพยักหน้าสั่งให้ทหารสองนายเข้าประชิดตัวเจ้าหญิงทันที
“อย่าแตะต้องตัวข้า
พวกเจ้าเป็นแค่พวกกบฏทรราชเท่านั้น” ดวงตาสีมรกตปรายสายตามองทหารที่เข้ามายืนขนาบข้างซ้ายขวาตามคำสั่งนายทหารใหญ่
นายทหารใหญ่ส่งเสียงหัวเราะลั่น
“กบฏนั้น!
ใช้สำหรับผู้พ่ายแพ้ และกระทำการไม่สำเร็จเท่านั้น เจ้าหญิงเฟรนลี่”
หัวหน้านายทหารใหญ่ยิ้มเยาะที่มุมปาก
เขาอยากจะบอกความจริงบางอย่างที่เจ้าหญิงไม่รู้มาก่อน และหลงคิดว่าตัวเองนั้นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของราชาองค์ก่อนเสียจริง
เพราะเธอนั้นเป็นเพียงลูกติดมากับหญิงสาวที่ราชาแห่งเบเนดิคได้หลงรักทันทีที่พบกันเธอเป็นหญิงสาวที่แสนโชคดี ได้สถาปนาขึ้นเป็นถึงราชินีแห่งเบเนดิค
เนื่องจากราชาแห่งเบเนดิคนั้นไม่สามารถมีบุตรได้ เจ้าหญิงเฟรนลี่จึงเป็นที่รักปานดวงใจ
และเป็นที่โปรดปรานขององค์ราชาแห่งเบเนดิคอย่างมาก
แต่ทว่านายทหารใหญ่ยังไม่อยากบอกความจริงให้เจ้าหญิงเฟรนลี่ได้รู้ในตอนนี้ แล้วออกคำสั่งให้ทหารล็อคตัวเจ้าหญิงและนำตัวไปทันที
ยังไม่ทันที่ทหารสองนายจะล็อคตัวเจ้าหญิงเฟรนลี่
กลับถูกกระชากตัวกระเด็นออกไปอย่างเร็วจนมองแทบไม่ทัน เหมือนอยู่ ๆ กลับมีลมกรรโชกพัดเข้ามาในฉับพลันทันที จนพวกทหารต้องยกมือขึ้นป้องใบหน้าเนื่องจากฝุ่นและขี้ดินรวมทั้งใบไม้ฟุ้งกระจายว่อนไปในอากาศ ทหารสองนายนั้นล้มลงไปกองอยู่กับพื้น
ทั้งคู่นอนกุมมือที่เต็มไปด้วยเลือดแดงฉานอย่างเจ็บปวด มีบาดแผลยาวจากการถูกฟัน และเป็นมือข้างที่กำลังจะล็อคตัวเจ้าหญิงเฟรนลี่
เมื่อลมกรรโชกแรงนั้นสงบลง ร่างของบุรุษผมเทาปรากฏอยู่เบื้องหน้าของเจ้าหญิงแห่งเบเนดิค
สีหน้าเย็นชาเวลานี้ขมึงตึงด้วยความโกรธจัดที่นายทหารชั้นต่ำกล้าแตะต้องเจ้าหญิงเฟรนลี่ ดวงตาสีสนิมเหล็กจ้องมองฝ่ายตรงข้ามด้วยไฟโทสะราวกับจะแผดเผาฝ่ายตรงข้ามให้เป็นจุนในทันที ดาบสีเงินในมือกระชับแน่นสะท้อนแสงแดดเป็นประกายยื่นมาตรงหน้าขนานกับพื้นดิน
“แรร์เน็ส!!” เจ้าหญิงเฟรนลี่อุทานด้วยความดีใจเมื่อเห็นเจ้าชายแห่งเรียวปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า รีบรุดเข้าไปยืนใกล้ ๆ เจ้าชายผมเทา ในขณะเดียวกันก็อดตกใจไม่ได้ที่เห็นมือของทหารสองคนนั้นอาบด้วยเลือดสีแดงเข้ม เจ้าหญิงเอื้อมมือไปแตะมือของเจ้าชายที่จับดาบสีเงินแน่น
“เจ้าอย่าฆ่าพวกเขานะ
อย่าให้ข้าเป็นสาเหตุของการบาดเจ็บล้มตายของใครอีกเลย”
น้ำเสียงของเธอนั้นเศร้าสร้อยเหลือเกิน จนเจ้าชายแรร์เน็สต้องหันมามองหน้าเจ้าหญิง
ซึ่งเหมือนกับตอนที่เธอห้ามเขาฆ่าเจ้าตะขาบยักษ์ตัวนั้นไม่มีผิด
ทำให้เจ้าชายแห่งเรียวรู้สึกหนักใจอย่างมากในการต่อสู้ที่ต้องไม่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บล้มตายอย่างที่เธอขอร้อง
ครูฝึกดาบให้เจ้าชายเคยบอกว่า ศิลปะการต่อสู้ชั้นสูงสุดคือ
การต่อสู้โดยไม่ต้องการให้อีกฝ่ายบาดเจ็บหรือล้มตาย เพราะการ “ฆ่า” นั้นมันง่ายกว่ามาก
หัวหน้านายทหารใหญ่หรี่ตามองบุรุษผมเทาอย่างพิจารณา
ชายผู้นี้หาใช่บีวาร์องครักษ์ประจำตัวของเจ้าหญิงไม่ เขาสัมผัสได้ว่า บุรุษผมเทาที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นไม่ใช่คนปกติธรรมดา
และรู้ตัวเองดีว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของบุรุษผู้นี้
แต่การกลับไปมือเปล่า โดยปราศจากเจ้าหญิงเฟรนลี่
หัวของเขาคงต้องหลุดออกจากบ่า เพราะการก่อกบฏเข้ายึดอำนาจของขุนพลใหญ่แห่งเบเนดิคครั้งนี้
มีเป้าหมายเพื่อแย่งชิงตัวผู้อ่านคาถาก่อนอาณาจักรใดๆ เพื่อภารกิจในการค้นหาดาบทองสีรุ้ง ซึ่งราชาองค์ก่อนไม่สนใจเรื่องดาบทองสีรุ้ง และเก็บงำความลับเกี่ยวกับเจ้าหญิงเฟรนลี่ที่แท้จริงนั้นคือ
ผู้อ่านคาถา ตามคำทำนาย
การจะจับตัวเจ้าหญิงกลับไปยังเบเนดิคนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิดเสียแล้ว อย่างไรก็ตามเขาตัดสินใจบุกเข้าจู่โจมทันที เจ้าชายผมเทาผลักเจ้าหญิงเฟรนลี่หลบไป ดาบต่อดาบกระทบกันไฟแลบแปลบปลาบ เจ้าชายแรร์เน็สสามารถรับดาบที่ฟาดฟันลงมาอย่างรวดเร็วได้ทุกดาบอย่างคล่องแคล่วว่องไว หลบหลีกได้อย่างมีชั้นเชิง
ก่อนจะได้จังหวะถีบฝ่ายตรงข้ามกระเด็นไปโดนพวกเดียวกัน ที่ยืนดาหน้าอยู่จนล้มไม่เป็นท่าไปทั้งแถบ
บุรุษผมเทารีบหันมาคว้ามือเจ้าหญิงเฟรนลี่พาวิ่งหนีไปอย่างเร็วที่สุด
ด้วยคิดถ้าว่าการปะทะกันต่อไปเขาอาจพลั้งมือทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายได้
ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับเขาเลย ที่จะเอาชนะทหารชั้นต่ำเหล่านั้น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสาวน้อยคนนี้ ไม่รู้ทำไม! กลับรู้สึกไม่อยากประหัตถ์ประหารชีวิตของใครหากไม่จำเป็น
วิ่งมาได้ซักพักใหญ่ เมื่อเหลียวหลังยังเห็นเหล่าทหารกบฎยังวิ่งตามมาอย่างไม่ลดละ แต่หนทางหนีเริ่มลาดชันขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากเป็นทางขึ้นเขา เจ้าหญิงรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน ขาแข้งหมดแรงจนวิ่งต่อไปไม่ไหว
“แรร์เน็ส…” เจ้าหญิงรั้งมือเจ้าชายไว้ ก้มตัวลงต่ำพลางหอบหายใจถี่ ๆ มือข้างหนึ่งจับหัวเข่าของตัวเองไว้แน่น ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความเหน็ดเหนื่อย
“ข้า…ไป…ไม่…ไหว…แล้ว…” เจ้าหญิงพูดสลับกับการหายใจหอบอย่างแรง
บุรุษผมเทาหันกลับมามองอาการเหนื่อยล้าของเจ้าหญิง รู้ดีว่าเธอคงไปไม่ไหวอีกแล้ว หันกลับไปมองพวกโจร ซึ่งยังได้ยินเสียงเอะอะโวยวายไล่ตามมาอยู่ไม่ไกลนัก หันซ้ายหันขวามองหามุมหลบภัย มองเห็นพุ่มไม้ใบหนาข้างหน้าผา น่าจะเป็นมุมหลบภัยที่ไม่เลว พวกโจรคงไม่สังเกตเห็นและต้องวิ่งเลยไปอย่างแน่นอน คิดดังนั้นแล้ว จึงรีบจูงเจ้าหญิงเข้าไปหลบในพุ่มไม้ใบหนานั้น
ทุกย่างก้าวต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นเพียงไหล่เขาแคบ ๆ ริมหน้าผาสูงเท่านั้น หากพลาดพลั้งต้องตกหน้าผาตายสถานเดียว บริเวณนั้นยังระเกะระกะรกรุงรังด้วยเถาวัลย์เรื้อยระโยงระยางอย่างยุ่งเหยิง เจ้าชายแรร์เน็สเลือกยึดจับเถาวัลย์ที่ดูมั่นคงแข็งแรงและเหนียวแน่น เมื่อได้ที่เหมาะแล้วจึงนั่งลงซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ใบไม้หนานั้น มือของเจ้าหญิงจับท่อนแขนของเจ้าชายแน่นด้วยความกลัวความสูง ไม่กล้ามองลงไปเบื้องล่างของหน้าผาสูงลิบ
เสียงฝีเท้าทหารกบฎแห่งเบเนดิคดังใกล้เข้ามาอยู่ทุกขณะ ทั้งคู่ต่างนิ่งงันอยู่ในความเงียบ และช่วยกันภาวนาให้เหล่าศัตรูวิ่งผ่านเลยไปด้วยเถิด โชคเข้าข้างทำให้พวกทหารกบฎวิ่งเลยไปอย่างที่เจ้าชายคาดการณ์ไว้ เจ้าชายแห่งเรียวรอจนเสียงฝีเท้าทหารกบฏวิ่งไกลออกไปจนไม่ได้ยิน รอจนแน่ใจจึงหันมามองเจ้าหญิงเฟรนลี่ พยักหน้าให้เตรียมตัวออกจากที่ซ่อน
ก่อนเจ้าหญิงเฟรนลี่จะลุกขึ้น สายตาเธอเหลือบไปเห็นต้นเมิสซ์ขึ้นอยู่ริมหน้าผา ลำต้นนั้นใสดุจแก้วจารนัย
กิ่งก้านใบนั้นเรืองแสงสีขาวระยิบระยับราวอัญมณีเปล่งแสงสว่างเจิดจ้า เจ้าหญิงแห่งเบเนดิคมั่นใจว่า ต้นไม้นี้คือ
ต้นเมิสซ์ไม่ผิดแน่ ในตำราโบราณที่เธอเคยอ่านเจอ
ต้นไม้ชนิดนี้เป็นต้นไม้วิเศษ มีคุณสมบัติสามารถขอพรได้สามข้อ ซึ่งต้องเป็นการขอเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
ป้องกันภูตผีปีศาจ สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วได้ไกลกว่าการวิ่งปกติธรรมดา
รักษาบาดแผลและถอนพิษได้ทุกชนิดไม่ว่าจะมาจากมนุษย์หรือปิศาจ แต่มีข้อแม้ว่า ผู้ที่ครอบครองอยู่ต้องทำความดีให้มากพอจนต้นเมิสซ์แตกกิ่งใหม่
จึงจะขอพรได้ เมื่อต้นไม้นี้ปรากฏอยู่ต่อหน้าผู้ใด ผู้นั้นคือเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว จะเปลี่ยนเจ้าของไม่ได้
“เจ้าเลือกข้าเป็นเจ้าของใช่หรือไม่”
เจ้าหญิงเอื้อมมือไปแตะใบของต้นเมิสซ์ที่คล้ายรูปหัวใจเบา ๆ ต้นไม้วิเศษก็ถอนรากตัวเองขึ้นจากพื้นดิน แล้วลอยเข้ามาอยู่ในมือเจ้าหญิงทันที
เจ้าชายแรร์เน็สโน้มตัวเข้าไปใกล้ จ้องมองหญิงสาวข้างตัวอย่างสงสัย ว่าเธอกำลังเฝ้ามองดูอะไรอยู่
“แรร์เน็ส!
สวยมั้ย?”
เจ้าหญิงดวงตาสีมรกตหันมายิ้มร่าชูต้นไม้วิเศษให้เจ้าชายผมเทาดู
ใบหน้าสวยนั้นเกือบจะชนกับใบหน้าอันเยือกเย็นของชายหนุ่มข้างตัว ดีที่ต้นเมิสซ์นั้นอยู่ระหว่างใบหน้าของทั้งคู่ ต่างคนต่างนิ่งอึ้งไปชั่วขณะจิต เมื่อมีสติทั้งคู่รีบขยับใบหน้าถอยห่างออกมา บุรุษผมเทาส่งสัญญาณให้เตรียมตัวลุกออกจากที่ซ่อนได้แล้ว หญิงสาวจึงรีบเก็บต้นไม้วิเศษไว้ในถุงผ้าที่ผูกอยู่กับเอวของตนเอง แล้วขยับตัวเตรียมลุกขึ้น
เจ้าหญิงแห่งเบเนดิคยกเท้าก้าวข้ามรากไม้และเถาวัลย์ที่พันกันยุ่งเหยิงบนพื้นดินข้างไหล่เขาแคบนั้น แต่ทว่าแทนที่ก้าวข้ามรากไม้ไปข้างหน้ากลับก้าวไม่พ้น ดันสะดุดจนเสียหลักลื่นไถลออกจากไหล่เขาแคบนั้น ด้วยสัญชาตญาตเจ้าหญิงเฟรนลี่คว้าสิ่งที่อยู่ใกล้ที่สุดคือเจ้าชายแรร์เน็ส ทั้งคู่จึงตกจากหน้าผาไปด้วยกันทันที
มือข้างหนึ่งของเจ้าชายคว้าเถาวัลย์ไว้ได้ทัน ส่วนมืออีกข้างหนึ่งนั้นคว้าคอเสื้อของเจ้าหญิงไว้ ส่วนเจ้าหญิงเฟรนลี่กอดเอวของเจ้าชายผมเทาไว้แน่น ทั้งคู่จึงยังไม่ดิ่งพสุธาลงสู่เบื้องล่าง แต่ห้อยโหนอยู่กลางอากาศ เจ้าชายแรร์เน็สพยายามยื่นเท้าไปแตะแหง่นหินที่ยื่นออกมาตามหน้าผาไว้ เพื่อผ่อนน้ำหนักตัวอันหนักอึ้งของทั้งคู่ที่ต้องแบกรับไว้ มือข้างหนึ่งที่จับเถาวัลย์ไว้กำลังค่อย ๆ
เลื่อนลง และไม่แน่ว่ามันจะขาดลงเมื่อไหร่
“เจ้าห้ามปล่อยมือนะ เฟรนลี่ จับข้าไว้ให้แน่น ๆ นะ” บุรุษหนุ่มจ้องหน้าหญิงสาวที่กำลังกอดเอวของตนเองอยู่ แล้วปล่อยมือข้างที่เหลือจากคอเสื้อเจ้าหญิงดวงตาสีมรกต เพื่อดึงเถาวัลย์มาคล้องรอบตัวหญิงสาวกับตัวเอง
เพราะดูท่าทางแล้วเจ้าหญิงจะกอดเอวเขาอยู่ได้ไม่นาน
เจ้าหญิงแหงนหน้ามองหน้าเจ้าชายแห่งเรียว
“….ข้าสร้างปัญหาให้กับเจ้าอีกแล้ว…”
นี่เป็นเหตุผลอีกข้อหนึ่งที่เจ้าหญิงคิดแยกทางกับเจ้าชาย
“เฟรนลี่…เจ้าอย่าคิดโง่ ๆ นะ”
เจ้าชายมองดวงตาของเจ้าหญิงราวกับรู้สิ่งที่เจ้าหญิงคิดจะทำ แต่ยังไม่ทันคิดอะไรต่อ เพราะเถาวัลย์ที่เจ้าชายจับไว้ดังกล่าวกลับขาดผึง!ลงทันที เพราะไม่อาจต้านทานน้ำหนักของทั้งคู่ได้ ทั้งสองร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว ดิ่งลงสู่ก้นหุบเหว แต่ทว่าครู่หนึ่งกลับหยุดลงกลางอากาศ เนื่องจากเถาวัลย์มีความคดเคี้ยวพันกันยุ่งเหยิงกับเถาวัลย์เส้นอื่นที่ไม่เป็นอิสระจากกันอย่างเด็ดขาด ทำให้ทั้งคู่ค้างอยู่กลางเวหาอีกครั้ง
ทั้งสองคนแทบหยุดหายใจ หัวใจเกือบหยุดเต้นกับนาทีวิกฤตก่อนหน้านี้ แล้วหายใจออกเบา ๆ อย่างโล่งอก พักเหตุการณ์น่าหัวใจวายไว้ก่อนชั่วระยะเวลาหนึ่ง ค่อยรู้สึกหายใจได้ทั่วท้องขึ้น
“ถ้าเจ้าเพียงคนเดียวคงเอาชีวิตรอดได้ ข้า…ไม่อาจเป็นตัวถ่วงของเจ้าอีกต่อไป ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ข้าจะไม่ลืมเจ้าเลย แรร์เน็ส…”
มือสองข้างของเจ้าหญิงเริ่มหมดกำลังลงเรื่อย ๆ ล้าจนกอดเจ้าชายไว้ไม่ไหวอีกแล้ว
เจ้าชายผมเทาใช้มือข้างหนึ่งยึดเถาวัลย์ที่พันกันยุ่งเหยิงไว้ให้มั่น มืออีกข้างพยายามดึงเถาวัลย์ที่เขาพยายามคล้องรอบตัวเจ้าหญิงกับตัวเองไว้ก่อนหน้านี้
ให้แน่นขึ้น แต่มันก็เกือบจะขาดเต็มทีเมื่อต้องรั้งกับน้ำหนักของคนสองคนบวกกับแรงเสียดทานของการเคลื่อนที่ดิ่งพสุธาลงอย่างรวดเร็ว
“เฟรนลี่!! เจ้าต้องไม่ปล่อยมือนะ!!” เจ้าชายตะโกนลั่น แต่ไม่ทันขาดคำ มือทั้งสองข้างของเจ้าหญิงปล่อยมือจากร่างของเจ้าชาย ดิ่งลงสู่เบื้องล่างตามแรงดึงดูดของโลกทันที เจ้าชายพยายามดึงกระตุกเถาวัลย์ที่คล้องกับตัวเจ้าหญิงไว้แต่มันกลับยิ่งขาดเร็วขึ้น
“เฟรนลี่.....!!” เสียงเจ้าชายตะโกนจนสุดเสียงกึกก้องไปทั่วหุบเขา
รวดเร็วกว่าความคิดนึก เสี้ยววินาทีนั้น เจ้าชายปล่อยมือจากการยึดเถาวัลย์ที่พันกันยุ่งเหยิงทันทีเช่นกัน รีบกระโจนตามลงไป ชั่วพริบตาคว้าร่างบางนั้นไว้ได้ทัน กอดร่างในอ้อมแขนแน่น เอาตัวเองกันร่างของหญิงสาวเอาไว้ หากต้องปะทะชนกับสิ่งใด หรือกระแทกกับอะไรก็ตาม ร่างของเขาจะคอยเป็นเสมือนเกราะที่คอยปกป้องคุ้มครองจากอันตราย
แทบหยุดหายใจไปชั่วระยะเวลาหนึ่งของการดิ่งพสุธาลงสู่พื้นโลก เหมือนไร้ตัวตน ไร้ความรู้สึก ไร้ความคิดนึก ร่างของเจ้าชายและเจ้าหญิงปะทะกับกิ่งก้านสาขาของต้นไม้สูงใหญ่ที่เป็นป่ารกครึ้มด้านล่าง ผ่อนแรงการเสียดทานของแรงโน้มถ่วงของโลก
เจ้าชายมีสติตื่นเต็มตลอดเวลา พยายามปกป้องร่างในอ้อมแขนให้เกิดการบาดเจ็บน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งคู่ชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่เต็มแรง แล้วกระเด็นไปชนเข้ากับต้นไม้อื่น ๆ
อีกหลายต้น
ก่อนดิ่งลงสู่พื้นดิน โชคดีด้านล่างปกคลุมด้วยหญ้าอันอ่อนนุ่มที่ขึ้นหนาทึบในบริเวณนั้น ทำให้แรงกระแทกลดลง ทุกอย่างจึงสงบนิ่งหยุดการเคลื่อนไหว
สักพักใหญ่มือของเจ้าหญิงเฟรนลี่ขยับ
เมื่อเริ่มรู้สึกตัวขึ้นอย่างช้า ๆ
‘ข้าอยู่ที่ไหน….ข้าตายหรือยัง….ถ้าตายแล้ว…ท่านพ่อท่านแม่อยู่ที่ไหน…ได้โปรด…มารับข้าด้วย….ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน…’
ความรู้สึกของเจ้าหญิงรู้สึกสับสน
เปลือกตาของเจ้าหญิงค่อย ๆ ลืมขึ้น แล้วขยับใบหน้าขึ้นจากแผ่นอกกว้างของเจ้าชาย มองซ้ายขวาหน้าหลังอย่างงุนงง ยกมือจับหน้าตาตัวเองและส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย สัมผัสได้ถึงลมหายใจของความมีชีวิต หยิกตัวเองยังเจ็บอยู่
“ข้ายังไม่ตายนี่…”
เจ้าหญิงเฟรนลี่รีบก้มลงมองเจ้าชายที่นอนแน่นิ่งอยู่เบื้องหน้า เสื้อผ้าของเจ้าชายขาดวิ่นแทบไม่มีชิ้นดี เนื่องจากปะทะทั้งกิ่งไม้น้อยใหญ่ ทั้งครูดไปกับเปลือกไม้ เสี้ยนไม้หนามแหลมคมจากต้นไม้นานาชนิดจนถลอกปอกเปิดไปหมด ตามเนื้อตัวมีแต่บาดแผลจนนับไม่ถ้วน
“แรร์เน็ส!!” เจ้าหญิงเขย่าตัวชายหนุ่ม พลางส่งเสียงเรียกชื่อเจ้าชายครั้งแล้วครั้งเล่า
“เจ้าเป็นไงบ้าง!!” ยกมือตบแก้มเจ้าชายถี่ ๆ ด้วยความหวังว่าเขายังมีชีวิตอยู่ แม้จะยังกังวลใจไม่น้อยเพราะตกลงมาสูงลิบขนาดนั้น แถมเขายังช่วยปกป้องเธอ จากการปะทะกับกิ่งก้าน สาขาของต้นไม้สูงใหญ่โดยตรงอีกต่างหาก
“แรร์เน็ส…เจ้า…ไม่เป็นไรใช่มั้ย…” เจ้าหญิงเริ่มใจคอไม่ดีเมื่อเรียกเท่าไหร่ ร่างนิ่งงันตรงหน้าก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าตอบข้าหน่อย…แรร์เน็ส…อย่าเงียบแบบนี้…” หญิงสาวใจเสีย น้ำเสียงเริ่มสั่น น้ำตา เริ่มคลอสองตาคู่งามนั้น สมองเริ่มคิดไปในทางร้าย มือสั่นเทาค่อย ๆ เคลื่อนไปที่ปลายจมูกของเจ้าชาย แต่ไม่กล้าที่จะเลื่อนเข้าไปใกล้ กลัวเหลือเกิน….กลัวว่า…มันจะปราศจากลมหายใจของการมีชีวิต
“เจ้าต้องไม่ตายนะ แรร์เน็ส” พลางโผเข้ากอดร่างบุรุษผมเทาแน่น สัมผัสได้แต่ความเย็นจัดจากกายบุรุษ ครู่หนึ่งเจ้าหญิงลุกขึ้นมามองหน้าเจ้าชายอีกครั้ง
“แรร์เน็ส….” มือเรียวแตะแก้มของเจ้าชายแผ่วเบา หยดน้ำใส ๆ ราวอัญมณีจากดวงตาของเจ้าหญิงร่วงผล็อย หล่นลงกระทบใบหน้าของเจ้าชาย แล้วปรากฏแสงสว่างเล็ก ๆ วาบหายไปใต้ผิวหน้ากร้านของบุรุษผมเทา
“เจ้าจากข้าไปจริง ๆ เหรอ….” เจ้าหญิงถามร่างที่นอนแน่นิ่งนั้น ด้วยเสียงสั่นเครือ
ไม่มีคำตอบใดใด มีแต่ความเงียบงัน
“ไม่จริงใช่มั้ย!! เจ้าต้องฟื้น เจ้าตายไม่ได้นะ เจ้าแค่หลับไปเหมือนครั้งก่อนใช่มั้ย? ทำไม!! ใคร ๆ ที่อยู่ใกล้กับข้าต้องมีอันเป็นไป ได้โปรดเถอะ ข้าขอร้อง!!” เจ้าหญิงซุกหน้าลงบนแผ่นอกของเจ้าชายอีกครั้ง พลางร้องไห้ฟูมฟายด้วยความเศร้าโศกเสียใจเป็นที่สุด
ครู่หนึ่งเจ้าชายแรร์เน็สค่อย ๆ รู้สึกตัวขึ้นช้า ๆ เนื่องจากก่อนตกลงกระแทกพื้น ต้นคอของเขากระแทกเข้าอย่างแรงกับขอนไม้ใหญ่ ยังผลให้เจ้าชายหมดสติไปนาน
“ใครมาร้องไห้ฟูมฟายอะไรแถวนี้” เจ้าชายได้ยินเสียงเหมือนคนร้องไห้คร่ำครวญ
อยู่ใกล้เหลือเกิน
ดวงตาสีสนิมเหล็กลืมขึ้น กระพริบตาถี่ ๆ เพื่อปรับโฟกัสของภาพที่เห็นตรงหน้าให้ชัดเจนขึ้น พยายามลำดับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ มองเห็นร่างของเจ้าหญิงร้องไห้จนตัวโยน มือสองข้างกอดตัวของเขาไว้แน่น ใบหน้าซบอยู่บนแผ่นอกของเขา
มือหนาเลื่อนมาตบแผ่นหลังของหญิงสาวที่เอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“เฟรนลี่….ข้าไม่เป็นไรแล้ว….” พลางลูบหลังเจ้าหญิงอย่างปลอบโยน
“แรร์เน็ส….!!!” เจ้าหญิงผงกศีรษะขึ้นมามองหน้าบุรุษตรงหน้า
เจ้าของดวงตาสีเขียวมรกตยังคงจ้องมองบุรุษตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
เจ้าชายไม่ปล่อยให้เจ้าหญิงมองหน้าเจ้าชายอยู่ในระยะใกล้ขนาดนั้นนานนัก รีบขยับตัว ใช้ศอกยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง
“เจ้ายังไม่ตายใช่มั้ย?” จับมือเจ้าชายบีบไว้แน่นด้วยความดีใจ
“ข้าไม่เป็นไรแล้ว…” มองใบหน้าเจ้าของดวงตาสีเขียวที่เปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา
หน้าเศร้า ๆ หม่นหมองของเจ้าหญิงเฟรนลี่เมื่อครู่คลายลง มุมริมฝีปากบางอันงดงามค่อย ๆ โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มสดใสแห่งความดีใจเป็นที่สุด พร้อมดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้นเป็นประกายแจ่มใสอีกครั้ง รอยยิ้มแบบนี้ที่เขาอยากเห็นเหลือเกิน เจ้าหญิงโผเข้ากอดเจ้าชายแน่นด้วยความดีใจอย่างลืมตัว
“ข้าดีใจเหลือเกิน…ที่เจ้าไม่เป็นอะไรนะ แรร์เน็ส…”
บุรุษผมเทานิ่งอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ปล่อยให้เธอกอดเขาเอาไว้อย่างนั้น หัวใจซึมซับรับรู้ความรู้สึกที่แสนดีเหล่านั้นเอาไว้จนเต็มหัวใจ
===============
ซีนิธเดินด้วยความระมัดระวังทุกฝีก้าว แล้วแอบซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ แม้ภายนอกเขาจะเป็นเพียงหมอธรรมดาที่ทำหน้าที่รักษาผู้คนในค่ายริกเกอร์เท่านั้น แถมยังไม่เคยออกรบปล้นสะดมฆ่าฟันกับใครเลยก็ตาม แต่ทว่าเขาได้แอบฝึกเพลงดาบ อาวุธลับต่าง ๆ และคิดค้นสูตรยามากมาย โดยมีหญิงมีอายุคนหนึ่งคอยแอบให้คำแนะนำสั่งสอนอย่างลับ
ๆ
หมอหนุ่มแห่งค่ายริกเกอร์มองดูทหารโจรที่รักษาการความปลอดภัย ยืนทะมึนเรียงกันเป็นตับมีจำนวนมากกว่าพันนายล้อมรอบผ้าสีขาวที่ขึงตึงเป็นรูปสี่เหลี่ยมเพื่อประกอบพิธีเซค์ บริเวณโดยรอบของด้านในของพิธีเซค์ไม่มีฝนตก มีเพียงลมพัดแรง ท้องฟ้ามืดปกคลุมด้วยเมฆเทาหนาทึบ สายฟ้าแลบแปลบปลาบสว่างวาบขึ้นตลอดเวลา เสียงสวดมนต์ต่ำ ๆ ดังประสานเสียงกันจากเหล่าบรรดานักพรตยังคงดังคลออยู่
ชายหนุ่มหยิบถุงผ้าสีหม่นขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างตัว
“พวกเจ้าต้องช่วยข้านะ” ทันทีที่เปิดปากถุงมดตัวน้อยสีม่วงหลายร้อยตัวเดินพล่านออกมาจากถุง เป็นมดที่เขาทดลองให้กินน้ำหวานจากดอกไม้ชนิดหนึ่ง น้ำหวานจากดอกไม้ชนิดนี้เมื่อผสมกับน้ำลายมดสีม่วง
จะทำให้เกิดอาการง่วงนอนอย่างรุนแรง
“ไปเลยลูกพ่อ” เขามองมดตัวน้อยสีม่วงเดินดาหน้าเข้าไปบริเวณที่เหล่าสมุนโจรต่างยืนรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มแข็ง แล้วลอบปล่อยมดสีม่วงตามจุดต่าง ๆ อีกหลายจุดโดยรอบ
===========
กลางลานพิธีกรรมกันอันศักดิ์สิทธิ์ ชาวบ้านถูกจับมัดรวมกันไว้ประมาณสิบคน ทุกคนต่างมองไปมารอบตัว ด้วยความหวาดกลัว ด้วยรู้ชะตากรรมชีวิตของตนเอง เสียงร้องไห้คร่ำครวญ และเสียงร้องขอชีวิตดังระงมไปทั่ว
มหาโจรกบฏริกเกอร์กำลังร่ายบริกรรมคาถาอันเชิญดวงวิญญาณของปิศาจอันชั่วร้ายลงมารับเครื่องสังเวย ดวงตายาวรีของหนุ่มใหญ่จ้องมองกระถางไฟตรงหน้าที่ลุกโพลงพวยพุ่งขึ้นในอากาศ
ก่อนสาดแสงลงเหนือศีรษะเหล่ามนุษย์เคราะห์ร้ายที่ถูกนำมาเป็นเครื่องสังเวย ทุกคนไม่มีโอกาสร้องขอชีวิตได้อีก เสียงร้องไห้
เสียงร้องขอชีวิตเงียบลง ไฟในกระถางไฟเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน มันกำลังสูบพลังชีวิตของเครื่องสังเวยทั้งหมดพร้อม ๆ กัน จนร่างกายเหล่านั้นซูบซีด บิดเบี้ยว แห้งลงไปเรื่อย ๆ จนกรอบและแตกสลายหลอมละลายกับไฟสีเลือดจนหมดสิ้นไม่เหลือไว้แม้แต่เศษขี้เถ้าของกระดูก
สองมือของมหาโจรริกเกอร์ยกชูสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อรับพลังความเป็นอมตะจากปิศาจร้าย
แสงสีเพลิงจากกระถางไฟพวยพุ่งขึ้นอยู่เหนือศีรษะของมหาโจรใหญ่
เกิดแสงสีแดงหมุนเป็นเกลียวลงสู่กลางหน้าผากของขุนโจรริกเกอร์ทันทีราวกับกำลังดูดซับพลังงานอันมหาศาลจากเกลียวไฟสีแดงฉานนั้น ครู่ใหญ่เกลียวไฟสีแดงจึงค่อยจางลง และหายไปในหน้าผากของมหาโจรใหญ่จนหมดสิ้น เช่นเดียวกับไฟในกระถางซึ่งมอดดับลงพร้อมกัน
มหาโจรใหญ่แห่งค่ายริกเกอร์ลืมตาขึ้นด้วยแววตาอันทรงพลังอำนาจ เขาวางมือลงเหนือเหยือกใส่หล้าองุ่น ไอควันขมุกขมัวสีแดงพุ่งจากฝ่ามือของมหาโจรริกเกอร์ลงสู่เหยือกหล้าองุ่นนั้น ครู่หนึ่งเขาจึงละมือนั้นออกจากเหยือกน้ำเหล้าองุ่น แล้วรินเหล้าองุ่นที่ประกอบยันต์พิธีเรียบร้อยแล้ว
ให้เหล่าบรรดาหัวหน้าโจรระดับสูง หากใครได้ดื่มน้ำเหล้าอันศักดิ์สิทธธิ์นี้แล้ว จะมีพละกำลังแข็งแกร่ง รวมถึงจะมีความเข้มแข็ง อดทนและทนทานต่อความเจ็บปวดได้อย่างเหลือเชื่อ ราวกับจะมีชีวิตที่เป็นอมตะในช่วงเวลาหนึ่ง น้ำนี้จะมีฤทธิ์ขลังอยู่ได้นานถึงสามปี
หัวหน้าโจรทุกคน รวมทั้งหัวหน้ากบฏริกเกอร์ ยื่นแก้วน้ำเหล้าองุ่นอันศักดิ์สิทธิ์มาข้างหน้าแล้วต่างยกขึ้นดื่มพร้อมกัน ยกเว้นขุนโจรวาร์เดอร์ที่แอบเทน้ำอมฤทธิ์นั้นทิ้ง ทั้งที่ใคร ๆ ต่างอยากได้อยากดื่มน้ำนี้เสียเหลือเกิน และมีแต่ระดับหัวหน้าโจรเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้ดื่มน้ำอันศักดิ์สิทธิ์นี้ วาร์เดอร์ยังคงมีอาการสงบนิ่งสุขุมอย่างเคย แต่ทว่าภายในจิตใจนั้นรุ่มร้อนยิ่งนัก เป็นห่วงบุตรชายคนเดียวของเขาที่สุด
“ท่านพ่อ ข้าขอถาม
ท่านจะยอมให้หัวหน้ากบฏริกเกอร์เป็นอมตะ
แล้วเที่ยวปล้น ฆ่าผู้คน ชิงทรัพย์ต่อไปได้อยู่อีกหรือ
ท่านพ่อจะทนเห็นชีวิตของผู้หญิงอีกกี่คนที่มีชะตาชีวิตเช่นเดียวกับแม่ของข้า”
“ถ้าเราต้องตาย แต่หยุดความชั่วร้ายเหล่านี้ได้ มันคุ้มมั้ย?”
คำพูดของลูกชายคนเดียวผุดขึ้นมาในหัวสมองของขุนโจรวาร์เดอร์ มันทำให้เขาต้องตัดสินใจว่าจะเลือกอะไรระหว่างบุญคุณกับความถูกต้องดีงาม
จากนั้นหัวหน้ากบฎริกเกอร์หันไปสบตากับหญิงสาวชุดสีขาวสะอาดข้างกาย เครื่องสังเวยอันบริสุทธิ์ผุดผ่องคนสุดท้ายที่จะเติมเต็มให้พลังของเขาเป็นอมตะอย่างสมบูรณ์ เขาพาเดินเข้ากระโจมสีขาวที่หันหน้าสู่ด้านทิศตะวันออก ทุกครั้งที่มีการทำพิธีเซค์ หญิงสาวทุกคนที่ถูกพาเข้ากระโจมสีขาวนี้ ไม่มีใครเคยกลับออกมาเลยแม้แต่คนเดียว เธอเหล่านั้นต่างหายสาปสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
หนุ่มใหญ่พินิจความงามของสาวน้อยตรงหน้า เหมือนคุ้นเคยเค้าหน้าของเธอ ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เมื่อนานมาแล้ว ก่อนค้อมศรีษะลงจุมพิตมือสาวน้อยแผ่วเบา
“เจ้าเป็นหญิงสาวในพิธีเซค์ที่งดงามที่สุดตั้งแต่ข้าเคยพบเจอมา” สายตามองเธอด้วยความพอใจ สองมืออันแข็งแรงสวมกอดร่างเล็กเข้ามาไว้ในอ้อมแขนเพื่อสร้างความคุ้นเคย และปลอบโยนเธอจากความหวาดกลัว
แม้บุรุษแห่งค่ายโจรริกเกอร์จะหล่อเหลาเอาการ และดูดีด้วยบุคลิกท่วงท่าสง่างาม สุขุมลุ่มลึก แต่ทว่าหญิงสาวกลับไม่รู้สึกคล้อยตามความต้องการของเขาไม่ เพียงแต่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ความรู้สึกนึกคิดที่เป็นตัวของตัวเองมีเหลืออยู่น้อยนิดเหลือเกินนั้น ยากต่อการขัดขืนหรือต่อต้านการล่วงเกินของหนุ่มใหญ่
แวบหนึ่งที่มหาโจรรู้สึกสงสารสาวน้อยตรงหน้า ที่อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เธอจะสูญหายไปจากโลกนี้เสียแล้ว แต่นั่นหมายถึงเธอจะหลอมอยู่ในตัวเขาเป็นนิจนิรันดร
ผ้าคลุมสีขาวถูกเปลื้องออกกองทิ้งอยู่บนพื้น ร่างของหญิงสาวถูกประคองให้นอนลงบนเตียงหนานุ่ม กระดุมเสื้อสองสามเม็ดด้านบนถูกปลดออกและคอเสื้อถูกเปิดกว้างขึ้น เผยให้เห็นผิวเนียนของวัยสาว ขุนโจรใหญ่ก้มหน้าสบตาสาวน้อยตรงหน้า ดวงตากลมดำสนิทคู่นั้น มีแววดื้อรั้นและเด็ดเดี่ยวซ่อนอยู่ เขารู้สึกคุ้นกับดวงตาแบบนี้เหลือเกิน ผิวสวยของเธอเหมือนใครคนหนึ่ง เหมือนคนที่เขาเคยรัก
แม้เขาจะถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎ เป็นผู้ทรยศ แต่ด้วยความรัก เธอคนนั้นยอมทิ้งความสูงศักดิ์ของความเป็นเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรเรียว หนีมาร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่กับเขาที่ป่าเคนาฟแห่งนี้ แต่เพราะความมุ่งมั่นที่จะแสวงหาอำนาจและความยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะการประกอบพิธีเซค์นี้ ทำให้เธอที่เขาแสนรักตัดสินใจออกไปจากชีวิตของเขา ไม่ว่ามหาโจรพยายามขอร้องให้เธออยู่สักเพียงใด แต่เธอกลับโต้ตอบเขาอย่างเด็ดเดี่ยวว่า หากให้เธออยู่ เธอขอตายดีกว่า แม้กฎของค่ายริกเกอร์เธอต้องถูกประหารชีวิตก็ตาม แต่ด้วยความรัก เขาจึงจำใจปล่อยให้เธอจากไป
มหาโจรใหญ่มองสาวน้อยตรงหน้า เธอยิ่งทำให้เขาคิดถึงภรรยาซึ่งเคยเป็นที่รัก คิดถึงอดีตอันแสนหวาน กลิ่นดอกไม้หอมอ่อน ๆ จากกายหญิงสาวโบยบินมาแตะปลายจมูกของเขาอย่างแผ่วเบา ความต้องการบางอย่างพุ่งขึ้นมาในจิตใจจนรู้สึกยากที่ยั้บยั้งและควบคุมมันไว้ได้ นานแล้วที่เขาไม่เคยรู้สึกปรารถนาหญิงใดด้วยความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย และก่อนที่เขากำลังจะตกเป็นทาสมัน เขาพยายามมีสติ เขาต้องไม่ตกเป็นทาสความรักความเสน่หาสาวน้อยคนนี้ เขาต้องอยู่เหนือมันให้ได้ แม้ผู้หญิงทุกคนที่ผ่านพิธีเซค์จะต้องสูญเสียความบริสุทธิ์ให้กับมหาโจรอย่างเขา แต่ทว่าครั้งนี้เขาตัดสินใจที่จะไม่ล่วงเกินเธอ เพราะรู้ว่าเธอ คือจุดอ่อนอันบอบบางในจิตใจ พิธีเซค์ของเขาอาจไม่สำเร็จหากเขาเผลอใจไปมากกว่านี้
เขาเคยคิดว่า เขาลืมได้หมดแล้ว ลืมอดีต ลืมความรัก ลืมภรรยาที่เขารักที่สุดได้ วันเวลาผ่านไปนานกว่า สามสิบปี ถึงเวลานี้ เขาเพิ่งรู้ใจตัวเองว่า ในเบื้องลึกของจิตใจ เขายังคงคิดถึงเธออยู่ และเสี้ยวหนึ่งของหัวใจยังคงรู้สึกผิด ที่เขาเลือกทางเดินแห่งอำนาจ มากกว่าที่จะจงรักภักดีต่อความรัก
ขุนโจรริกเกอร์หายใจเข้าออกยาว ๆ อยู่ครู่หนึ่ง พยายามปลดปล่อยตัวเองออกจากพันธนาการในอดีต เมื่อจิตใจผ่อนคลายลง และเข้มแข็งมากขึ้น จึงเริ่มพิธีเซค์ต่อไป เขาหายใจเข้าลึกที่สุดก่อนจะหายใจออกพร้อมกับเปล่งเสียงคำว่า
“เซ........” เขาเป่าหน้าผากหญิงสาวแผ่วเบา
บนหน้าผากนั้นปรากฏแสงเป็นรูปเหรียญวงกลมสีทองกำลังไหวระริก
“ขอพลังของเจ้าจงอยู่กับข้า.....”
ใบหน้าอันหล่อเหลาก้มเข้าไปใกล้ใบหน้าของสาวน้อย จนหน้าผากชนกับหน้าผากของฝ่ายหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่ เขาไม่เลือกที่จะดูดวิญญาณของเธอจากริมฝีปากอย่างที่ผ่านมา แต่กลับเลือกที่จะดูดพลังชีวิตของเธอจากลมหายใจของเธอแทน ทันทีที่หน้าผากของทั้งคู่ชนกันเกิดพลังดึงดูดราวกับแม่เหล็ก เขาค่อย ๆ เผยอริมฝีปากให้กว้างขึ้น บรรจงดูดพลังชีวิตจากลมหายใจของเธอทีละน้อยอย่างช้า ๆ ไม่เร่าร้อนและรุนแรงเหมือนแต่ก่อน อาจจะเป็นด้วยวัยที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เขาควบคุมตัวเองได้ดี และที่สำคัญเขาไม่ต้องการให้เธอเจ็บปวด เหมือนหญิงสาวคนอื่นที่ผ่านมา
แดนเทียร์รู้สึกอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ ผิวอันเปล่งปลั่งเริ่มซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ความเป็นรู้สึกเป็นตัวของตัวเองค่อย ๆ คืนกลับมาจนครบบริบูรณ์ ขณะที่เขาดูดพลังชีวิตจากเธอนั้น เขาจะไม่สามารถควบคุมหรือบงการความรู้สึกนึกคิดของเธอได้อีก แต่เธอก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะขัดขืนการกระทำของเขา ก่อนความรู้สึกสุดท้ายจะดับสูญ เธอพยายามมีสติและอดทน รวบรวมกำลังครั้งสุดท้าย หยิบอาวุธแหลมคมสามอันที่หมอหนุ่มแห่งค่ายโจรให้ไว้จากผ้าหนังสัตว์ที่รัดข้อมือ แล้วตัดสินใจแทงลงตรงท้ายทอยของมหาโจรใหญ่พร้อม ๆ กันทั้งสามอันจนจมมิด
วินาทีนั้น! พลังงานมากมายที่ถูกดูดจากตัวเธอเข้าสู่กายบุรุษ กลับไหลย้อนพุ่งทะลักออกมาทางปากไหลกลับเข้าไปในร่างกายของเธอทางจมูกอย่างมหาศาล เพราะเธอแทงถูกจุดเปิดพลังงานชีวิตโดยบังเอิญ พลังงานชีวิตจากร่างหนุ่มใหญ่ไหลเทเข้าสู่ร่างกายของหญิงสาวอย่างต่อเนื่อง และรวดเร็ว
ผู้เป็นใหญ่แห่งค่ายริกเกอร์สะดุ้งสุดตัว เมื่อถูกอาวุธลับแทงเข้าที่ท้ายทอย แล้วรีบผงกศรีษะขึ้นจากหน้าผากของหญิงสาวทันที
ก่อนที่พลังชีวิตของเขาจะไหลเข้าสู่ร่างกายเธอจนหมดอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือยักษ์ตบเข้าที่ใบหน้าของหญิงสาวจนหันไปตามแรงฝ่ามือ
หมอบคว่ำลง กับพื้นเตียง
“เจ้ากล้ามากที่ทำแบบนี้กับข้า!!” เขาเค้นเสียงกัดฟันกรอดด้วยความโกรธจัด
“ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเป็นอมตะได้เด็ดขาด!” หญิงสาวเน้นเสียงหนักแน่น ลุกขึ้นมามองหน้ามหาโจรใหญ่ เลือดแดงไหลซึมออกมาจากริมฝีปากบางนั้นเป็นทาง จ้องมองเขาด้วยสายตาตายเป็นตาย
มหาโจรริกเกอร์เริ่มรู้สึกชาและมึนงง ไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง โซเซลุกขึ้นจากเตียงพลางพยายามรีบควานหาอาวุธแหลมคมซึ่งปักอยู่ที่ท้ายทอยอย่างรวดเร็ว แล้วพยายามถอนมันขึ้นมาได้ทั้งสามอัน แต่ฤทธิ์ยาจากอาวุธนั้นทำให้เขาหมดความรู้สึกลงทันที ร่างใหญ่ล้มคว่ำคะมำลงกับพื้น
แดนเทียร์ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ แต่รู้สึกร้อนรุ่มไปทั่วร่างกายเหมือนมีคนมาสุ่มไฟใส่ ราวกับมีประจุพลังงานมหาศาลไหลเวียนอยู่ในตัวเธอ และรู้สึกเหมือนมันต้องการหาทางออก ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดและทรมานอย่างมาก ผิวหนังราวกับจะปริแตกเปรี๊ยะออกจากกัน หัวร้อนจนหัวแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ ได้แต่ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียงไปมา
ซีนิธรีบวิ่งเข้ามาในกระโจมสีขาว หลังจากที่มดสีม่วงของเขากัดเหล่าทหารโจรจนหมดสติหลับไหลไปกันหมดแล้ว เมื่อถึงด้านในเขามองเห็นร่างของมหาโจรแห่งค่ายริกเกอร์ ล้มคว่ำอยู่ บนพื้น หยิบมีดพกออกมาจากปอกซึ่งเหน็บอยู่ที่เอว รีบกระโดดถาโถมกำลังพุ่งปลายมีดปักลงบนตัวของมหาโจรทันที แต่ทว่าแรงกระแทกที่รุนแรงนั้นกลับเหมือนมีแรงกระแทกกลับอย่างรุนแรงเช่นกัน ทำให้ร่างของหมอหนุ่มกระเด็นไปเท่ากับความแรงที่พยายามพุ่งเข้าไปหา ราวกับร่างกายของโจรริกเกอร์มีเกราะเหล็กคุ้มกันอยู่ อาวุธใดก็ไม่สามารถทำอันตรายได้ แถมมีดพกนั้นกลับงอโค้งบิดเบี้ยว
ร่างของซีนิธกระเด็นไปกระแทกเข้ากับเตียงอย่างแรง แล้วรีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขารู้แล้วว่า การฆ่าขุนโจรริกเกอร์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จึงหันมามองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง
“แดนเทียน์ เจ้าเป็นไงบ้าง” เขามองสภาพเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยของเธอแล้ว รีบดึงผ้าห่มคลุมกายให้หญิงสาว
“ท่านมาแล้วเหรอ ซีนิธ” เธอมองเขาอย่างช่างใจเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง แล้วตัดสินใจทำทันที เธอคิดว่ามันอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับเขา ที่สำคัญมันคงไม่เป็นประโยชน์กับเธอ และมันกำลังทำให้เธอทรมานเหลือเกิน
“ข้า….มีบางอย่างจะให้เจ้า เจ้าจงรับไว้ ขอให้เจ้าก้มลงมาจนชนหน้าผากของข้า” เสียงของเธอที่เปร่งออกไปช่างแผ่วเบาราวกับจะหมดแรง
หมอหนุ่มโน้มตัวลง
เข้าไปฟังใกล้ ๆ ว่าเธอต้องการจะบอกอะไรกันแน่
“เซ.........................”
แดนเทียร์พยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเป่าลมใส่หน้าผากของหมอหนุ่ม เกิดวงกลมรูปเหรียญสีทองบนกลางหน้าผากของชายหนุ่ม
“ข้าขอมอบพลังนี้ให้กับเจ้า”
แดนเทียน์เอื้อมมือดึงศีรษะของชายหนุ่มลงมาชนกับหน้าผากของตนเอง
ทันทีที่หน้าผากของทั้งคู่ชนกันเกิดพลังดึงดูดซึ่งกันและกัน เธอคลายพลังชีวิตจากริมฝีปากของเธอให้เข้าสู่ทางจมูกของซีนิธ ด้วยคิดว่า เมื่อมันเข้ามาได้ มันก็ต้องออกไปได้เช่นกัน เนื่องจากพลังงานมากมายที่ไหลทะลักเข้าสู่ตัวเธอนั้นมากมายมหาศาล แม้จะเพียงไม่กี่วินาที ร่างกายของเธอไม่ได้ออกกำลังอย่างหนักจึงไม่มีกล้ามเนื้อที่จะซึมซับรับพลังงานเหล่านั้นเอาไว้ได้ จึงทำให้เธอรู้สึกทรมาน เพราะพลังงานไม่มีที่เก็บ ไม่มีที่ไป และมันกำลังหาทางออก
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งด้วยความตกใจชั่วขณะหนึ่ง เธอกำลังจะทำอะไรเขากันแน่ รู้สึกได้ถึงพลังงานความร้อนบางอย่างไหลทะลักเข้ามาในตัวเขาอย่างรวดเร็ว พยายามจะถอยตัวออกห่างกลับทำไม่ได้เลย เหมือนยิ่งพยายามออกห่าง
กลับยิ่งเหมือนมีพลังแรงดึงดูดเพิ่มมากขึ้นหลายเท่า
“เจ้าทำอะไร!! เป็นบ้าไปแล้วเหรอ”
เขาโพล่งออกไปทันทีที่การไหลของพลังงานนั้นสิ้นสุดลง รีบถอยออกมาจากร่างของหญิงสาว เพราะการเอาหน้าผากชนกันนั้นเป็นข้อห้าม เป็นประเพณีที่เคร่งครัด ห้ามหญิงสาวชายหนุ่มเอาหน้าผากชนกันเด็ดขาดหากไม่ได้อยู่ในพิธีเลือกคู่
หญิงสาวนิ่งพูดอะไรไม่ออก รู้สึกอับอายมากกว่า เขาจะคิดจะมองเธอเป็นผู้หญิงเช่นไรกัน ไม่เคยคิดว่าอยากจะทำอะไรบ้า ๆ กับเขาแบบนี้เลย แต่ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรได้ คิดเพียงว่า ถ้าจะถ่ายเทพลังชีวิตที่ได้รับมาให้กับเขา คงต้องใช้วิธีเดียวกันกับที่เธอได้รับมา เธอรู้สึกสบายตัวมากขึ้น หมดเวลาที่จะอธิบายซะแล้ว เพราะแดนเทียร์มองเห็นมหาโจรริกเกอร์ฟื้นขึ้นเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้ว ฤทธิ์ยานอนหลับในอาวุธลับแต่ละอันทำให้หมดสติได้นานหนึ่งชั่วโมง และเธอแทงลงไปพร้อมกันถึงสามอัน หัวหน้ากฏบริกเกอร์จะต้องสลบไปอย่างน้อยสามชั่วโมง แต่นี่เขากลับฟื้นเร็วกว่าที่คิดไว้ มหาโจรใหญ่รี่เดินตรงมาทันที หน้าของหัวหน้ากบฏริกเกอร์หม่นหมองลง ความหนุ่มแน่นหล่อเหลาลดลงกว่าที่เคยเห็นในตอนแรกอย่างเห็นได้ชัด เวลานี้มีแต่ความโกรธที่ปรากฏอยู่บนสีหน้าและแววตานั้น
“ซีนิธ! ระวัง!” เธอตะโกนเสียงหลง
ความคิดเห็น