ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าชายหิมะ

    ลำดับตอนที่ #11 : ขัดขวางพิธีเซค์อันศักดิ์สิทธิ์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 94
      0
      31 ก.ค. 63

     

    เจ้าชายแรร์เน็สได้แต่ยืนมองเจ้าหญิงเฟรนลี่เดินจากไป  เมื่อเธอพยายามบอกความต้องการของตนเองว่าควรแยกทางกันตรงนี้  เขาเข้าใจผิดหรือเปล่า?  อยากให้เป็นเพียงการเข้าใจผิดเท่านั้น  

     

    เจ้าชายผมเทาไม่เคยเรียนภาษาเบนติคซึ่งเป็นภาษาของอาณาจักรเบเนดิคเลย  เพราะตั้งแต่ท่านพ่อของเจ้าชายเสียชีวิตในสนามรบก็ไม่มีใครสนใจการเล่าเรียน  หรือความเป็นอยู่ของเจ้าชายแรร์เน็สว่าเป็นเช่นไร  ไม่มีใครกล่าวถึงคู่หมั้นของเจ้าชายอีกเลย  และเจ้าชายเองก็ไม่สนใจหรือให้ความสำคัญใด ๆ เกี่ยวกับคู่หมั้นเช่นกัน  แม้แต่ชื่ออะไร  ก็หาได้ใส่ใจจำไม่  ประกอบกับเจ้าชายแรร์เน็สมีความสนใจในการฝึกดาบมากกว่าสิ่งอื่นใด  ด้วยมีภารกิจจะต้องออกไปร่วมรบอยู่เป็นประจำ จึงทำให้แทบลืมไปว่า  ตนเองนั้นเป็นคนมีคู่หมั้นหมายแล้ว 

     

     

     

    ก่อนหน้านี้ราชาแห่งเบเนดิคได้ให้บีวาห์นำสารขอคำปรึกษาเรื่องพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าชายเรียว  แรร์เน็ส  อเมนิท  กับเจ้าหญิงเบสเฟลโล่ เฟรนลี่ ลิเบอร่า มาปรึกษาราชาแห่งเรียวแล้วก็ตาม  แต่เจ้าชายแรร์เน็สก็หาทราบไม่ เพราะได้นำกำลังออกไปปราบกบฏริกเกอร์ที่ป่าเคนาฟ  และไม่ได้กลับไปที่เรคคันน่า เมืองหลวงแห่งเรียวอีกเลย

     

    ถึงแม้เจ้าชายแห่งเรียวจะไม่เข้าใจภาษาเบนติค  แต่เมื่อเจ้าหญิงเฟรนลี่ได้พยายามยืนยันความต้องการของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยภาษาใบ้ ว่าต้องการแยกทางกันตรงนี้ ความรู้สึกหนึ่งบอกตัวเองว่า  เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะรั้งเธอไว้   เกิดคำถามขึ้นในใจมากมาย  ไม่เข้าใจตัวเอง  ทำไมถึงรู้สึกไม่อยากให้เธอจากไปอย่างนี้เลย  แต่ไม่อาจพูดถ้อยคำเพื่อรั้งให้เธออยู่และเดินทางไปด้วยกันอย่างที่ใจคิด จนด้วยภาษาที่จะบอกเธอ   สิ่งที่ทำได้คือ  การหันหลังเดินจากเธอมา  ตามที่เธอต้องการ  

     

    บุรุษผมเทารู้สึกเป็นทุกข์ใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้  ไม่เข้าใจตัวเองเลย  ว่า  มันคืออะไร  แต่รู้สึกดี  รู้สึกสบายใจ  ที่ได้อยู่ใกล้เธอ   ความรู้สึกนี้นับวันจะค่อย ก่อร่างสร้างตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อย เมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกับเจ้าหญิงดวงตาสีเขียวสดใส   ด้วยเกรงว่าอาจจะไม่สามารถควบคุมความรู้สึกนี้ได้  ความรู้สึกที่ว่า  ไม่อยากให้เธอจากไป  มันรู้สึกแย่ในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก  จึงตัดใจให้เธอเดินจากไป…  และเจ้าชายเองก็สำนึกว่าตนนั้นเป็นคนมีคู่หมั้นแล้ว  การสนใจหญิงอื่นนอกจากคู่หมั้นนั้นมันผิดจารีตประเพณีโบราณแห่งเรียว

     

    เจ้ามีหน้าที่ต้องคอยดูแล  และปกป้องคน ๆ หนึ่ง”  เสียงของบิดาดังขึ้นมาในหัวสมอง

     

    นั่นสิเจ้าเป็นผู้อ่านคาถา  หากถูกฝ่ายมืดจับตัวไป  ความหายนะ  การบาดเจ็บล้มตายของผู้คนจะต้องอุบัติขึ้นในไม่ช้า  ทำไมข้าถึงลืมคิดถึงข้อนี้นะ 

     

    อีกความคิดหนึ่งเริ่มให้เหตุผล  ที่ควรแก่การยอมรับอย่างรวดเร็ว  อันที่จริงแล้ว   เขาต้องฆ่าผู้อ่านคาถา  เป็นความผิดของเขา  ที่ไม่อาจตัดใจฆ่าเธอได้ลง  เขาต้องรับผิดชอบหากสิ่งใดจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ไป  เจ้าชายแรร์เน็สหันหลังกลับทันที 

     

    แรร์เน็ส………………..” 

     

    เจ้าชายผมเทารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของเจ้าหญิงเฟรนรี่จากที่ไหนสักแห่ง   เงยหน้ามองท้องฟ้ากว้าง  หันซ้ายหันขวา  ราวกับจะค้นหาแหล่งที่มาของเสียง  แม้จะรู้ดีว่าขณะนี้เขาและเธออยู่ห่างไกลกันไม่น้อยเลย   แต่ทว่าทำไมถึงได้ยินเสียงของเธอ  และสัมผัสได้ถึงคลื่นเสียงนั้นบ่งบอกความตกใจกลัว  และต้องการความช่วยเหลือจากเขา 

     

    สมองยังไม่ทันสั่งการใด ๆ  เท้ากลับไวกว่าความคิด  เจ้าชายผมเทารีบวิ่งไปอย่างรวดเร็วราวสายลมกรด  มุ่งหน้าไปตามความรู้สึกที่สัมผัสได้ว่าเธออยู่ที่ไหน  ต้นไม้สองข้างทางลู่เอนไปทางเดียวกันตามการเคลื่อนที่ของเจ้าชายแรร์เน็ส  ที่รวดเร็วรุนแรงราวกับลมพายุ

     

    แรร์เน็สช่วยข้าด้วย!!” เสียงเจ้าหญิงยังคงร้องตะโกนให้ได้ยิน  ยิ่งทำให้หัวใจของเจ้าชายร้อนรนเป็นทวีคูณ

     

    ===========================

     

     

    องค์หญิง!  ข้าขอเชิญพระองค์กลับเบเนดิค  ยอมไปกับข้าแต่โดยดี! อย่าให้ข้าต้องใช้กำลังล่วงเกินท่านเลย

     

    หัวหน้านายทหารใหญ่แห่งเบเนดิคกล่าว  ซึ่งมาพร้อมกับทหารกว่าสิบนายยืนขวางหน้าเจ้าหญิงเฟรนลี่ หลังจากที่วิ่งไล่กวดตามมาจนทัน  แล้วกระจายกำลังล้อมตัวเจ้าหญิงเฟรนลี่ไว้ทุกทิศทุกทาง

     

    ใครสั่งพวกเจ้ามา”  เจ้าหญิงแห่งเบเนดิคถามเสียงเครียด 

    ราชาแห่งเบเนดิค  หัวหน้านายทหารใหญ่พูดชัดถ้อยชัดคำ

    ใคร! คือ ราชาแห่งเบเนดิค เจ้าหญิงเฟรนลี่เน้นเสียงเข้มขึ้นกว่าเดิม  พยายามสะกดอารมณ์โกรธเกรี้ยวที่ลุกโชนขึ้นในจิตใจ  แม้จะรู้ดีว่ามันต้องเป็นเช่นนี้

    จะเป็นใครไปได้  นอกจากขุนพลเร็บเบล  องค์หญิงเชิญ!!” แล้วพยักหน้าสั่งให้ทหารสองนายเข้าประชิดตัวเจ้าหญิงทันที 

    อย่าแตะต้องตัวข้า  พวกเจ้าเป็นแค่พวกกบฏทรราชเท่านั้นดวงตาสีมรกตปรายสายตามองทหารที่เข้ามายืนขนาบข้างซ้ายขวาตามคำสั่งนายทหารใหญ่

     

    นายทหารใหญ่ส่งเสียงหัวเราะลั่น

    กบฏนั้น!  ใช้สำหรับผู้พ่ายแพ้ และกระทำการไม่สำเร็จเท่านั้น เจ้าหญิงเฟรนลี่ 

     

    หัวหน้านายทหารใหญ่ยิ้มเยาะที่มุมปาก  เขาอยากจะบอกความจริงบางอย่างที่เจ้าหญิงไม่รู้มาก่อน  และหลงคิดว่าตัวเองนั้นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของราชาองค์ก่อนเสียจริง  เพราะเธอนั้นเป็นเพียงลูกติดมากับหญิงสาวที่ราชาแห่งเบเนดิคได้หลงรักทันทีที่พบกันเธอเป็นหญิงสาวที่แสนโชคดี  ได้สถาปนาขึ้นเป็นถึงราชินีแห่งเบเนดิค  เนื่องจากราชาแห่งเบเนดิคนั้นไม่สามารถมีบุตรได้  เจ้าหญิงเฟรนลี่จึงเป็นที่รักปานดวงใจ และเป็นที่โปรดปรานขององค์ราชาแห่งเบเนดิคอย่างมาก   

     

    แต่ทว่านายทหารใหญ่ยังไม่อยากบอกความจริงให้เจ้าหญิงเฟรนลี่ได้รู้ในตอนนี้  แล้วออกคำสั่งให้ทหารล็อคตัวเจ้าหญิงและนำตัวไปทันที 

     

    ยังไม่ทันที่ทหารสองนายจะล็อคตัวเจ้าหญิงเฟรนลี่ กลับถูกกระชากตัวกระเด็นออกไปอย่างเร็วจนมองแทบไม่ทัน เหมือนอยู่ ๆ กลับมีลมกรรโชกพัดเข้ามาในฉับพลันทันที  จนพวกทหารต้องยกมือขึ้นป้องใบหน้าเนื่องจากฝุ่นและขี้ดินรวมทั้งใบไม้ฟุ้งกระจายว่อนไปในอากาศ   ทหารสองนายนั้นล้มลงไปกองอยู่กับพื้น ทั้งคู่นอนกุมมือที่เต็มไปด้วยเลือดแดงฉานอย่างเจ็บปวด  มีบาดแผลยาวจากการถูกฟัน  และเป็นมือข้างที่กำลังจะล็อคตัวเจ้าหญิงเฟรนลี่ 

     

    เมื่อลมกรรโชกแรงนั้นสงบลง  ร่างของบุรุษผมเทาปรากฏอยู่เบื้องหน้าของเจ้าหญิงแห่งเบเนดิค   สีหน้าเย็นชาเวลานี้ขมึงตึงด้วยความโกรธจัดที่นายทหารชั้นต่ำกล้าแตะต้องเจ้าหญิงเฟรนลี่  ดวงตาสีสนิมเหล็กจ้องมองฝ่ายตรงข้ามด้วยไฟโทสะราวกับจะแผดเผาฝ่ายตรงข้ามให้เป็นจุนในทันที   ดาบสีเงินในมือกระชับแน่นสะท้อนแสงแดดเป็นประกายยื่นมาตรงหน้าขนานกับพื้นดิน

     

     “แรร์เน็ส!!”  เจ้าหญิงเฟรนลี่อุทานด้วยความดีใจเมื่อเห็นเจ้าชายแห่งเรียวปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า  รีบรุดเข้าไปยืนใกล้ ๆ เจ้าชายผมเทา  ในขณะเดียวกันก็อดตกใจไม่ได้ที่เห็นมือของทหารสองคนนั้นอาบด้วยเลือดสีแดงเข้ม  เจ้าหญิงเอื้อมมือไปแตะมือของเจ้าชายที่จับดาบสีเงินแน่น 

     

    เจ้าอย่าฆ่าพวกเขานะ  อย่าให้ข้าเป็นสาเหตุของการบาดเจ็บล้มตายของใครอีกเลย

     

    น้ำเสียงของเธอนั้นเศร้าสร้อยเหลือเกิน  จนเจ้าชายแรร์เน็สต้องหันมามองหน้าเจ้าหญิง ซึ่งเหมือนกับตอนที่เธอห้ามเขาฆ่าเจ้าตะขาบยักษ์ตัวนั้นไม่มีผิด  ทำให้เจ้าชายแห่งเรียวรู้สึกหนักใจอย่างมากในการต่อสู้ที่ต้องไม่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บล้มตายอย่างที่เธอขอร้อง   ครูฝึกดาบให้เจ้าชายเคยบอกว่า  ศิลปะการต่อสู้ชั้นสูงสุดคือ การต่อสู้โดยไม่ต้องการให้อีกฝ่ายบาดเจ็บหรือล้มตาย  เพราะการ ฆ่า นั้นมันง่ายกว่ามาก 

     

    หัวหน้านายทหารใหญ่หรี่ตามองบุรุษผมเทาอย่างพิจารณา  ชายผู้นี้หาใช่บีวาร์องครักษ์ประจำตัวของเจ้าหญิงไม่  เขาสัมผัสได้ว่า บุรุษผมเทาที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นไม่ใช่คนปกติธรรมดา  และรู้ตัวเองดีว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของบุรุษผู้นี้ แต่การกลับไปมือเปล่า โดยปราศจากเจ้าหญิงเฟรนลี่  หัวของเขาคงต้องหลุดออกจากบ่า   เพราะการก่อกบฏเข้ายึดอำนาจของขุนพลใหญ่แห่งเบเนดิคครั้งนี้  มีเป้าหมายเพื่อแย่งชิงตัวผู้อ่านคาถาก่อนอาณาจักรใดๆ เพื่อภารกิจในการค้นหาดาบทองสีรุ้ง  ซึ่งราชาองค์ก่อนไม่สนใจเรื่องดาบทองสีรุ้ง     และเก็บงำความลับเกี่ยวกับเจ้าหญิงเฟรนลี่ที่แท้จริงนั้นคือ ผู้อ่านคาถา ตามคำทำนาย

     

    การจะจับตัวเจ้าหญิงกลับไปยังเบเนดิคนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิดเสียแล้ว  อย่างไรก็ตามเขาตัดสินใจบุกเข้าจู่โจมทันที     เจ้าชายผมเทาผลักเจ้าหญิงเฟรนลี่หลบไป  ดาบต่อดาบกระทบกันไฟแลบแปลบปลาบ  เจ้าชายแรร์เน็สสามารถรับดาบที่ฟาดฟันลงมาอย่างรวดเร็วได้ทุกดาบอย่างคล่องแคล่วว่องไว  หลบหลีกได้อย่างมีชั้นเชิง  ก่อนจะได้จังหวะถีบฝ่ายตรงข้ามกระเด็นไปโดนพวกเดียวกัน  ที่ยืนดาหน้าอยู่จนล้มไม่เป็นท่าไปทั้งแถบ

     

     

    บุรุษผมเทารีบหันมาคว้ามือเจ้าหญิงเฟรนลี่พาวิ่งหนีไปอย่างเร็วที่สุด  ด้วยคิดถ้าว่าการปะทะกันต่อไปเขาอาจพลั้งมือทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายได้   ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับเขาเลย  ที่จะเอาชนะทหารชั้นต่ำเหล่านั้น  แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสาวน้อยคนนี้  ไม่รู้ทำไมกลับรู้สึกไม่อยากประหัตถ์ประหารชีวิตของใครหากไม่จำเป็น

     

    วิ่งมาได้ซักพักใหญ่  เมื่อเหลียวหลังยังเห็นเหล่าทหารกบฎยังวิ่งตามมาอย่างไม่ลดละ   แต่หนทางหนีเริ่มลาดชันขึ้นเรื่อย เนื่องจากเป็นทางขึ้นเขา เจ้าหญิงรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน  ขาแข้งหมดแรงจนวิ่งต่อไปไม่ไหว

     

    แรร์เน็ส…”  เจ้าหญิงรั้งมือเจ้าชายไว้  ก้มตัวลงต่ำพลางหอบหายใจถี่ มือข้างหนึ่งจับหัวเข่าของตัวเองไว้แน่น ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความเหน็ดเหนื่อย 

     

    ข้าไปไม่ไหวแล้ว…”  เจ้าหญิงพูดสลับกับการหายใจหอบอย่างแรง

     

    บุรุษผมเทาหันกลับมามองอาการเหนื่อยล้าของเจ้าหญิง  รู้ดีว่าเธอคงไปไม่ไหวอีกแล้ว  หันกลับไปมองพวกโจร  ซึ่งยังได้ยินเสียงเอะอะโวยวายไล่ตามมาอยู่ไม่ไกลนัก  หันซ้ายหันขวามองหามุมหลบภัย  มองเห็นพุ่มไม้ใบหนาข้างหน้าผา  น่าจะเป็นมุมหลบภัยที่ไม่เลว  พวกโจรคงไม่สังเกตเห็นและต้องวิ่งเลยไปอย่างแน่นอน  คิดดังนั้นแล้ว  จึงรีบจูงเจ้าหญิงเข้าไปหลบในพุ่มไม้ใบหนานั้น 

     

    ทุกย่างก้าวต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง  เนื่องจากเป็นเพียงไหล่เขาแคบ ริมหน้าผาสูงเท่านั้น  หากพลาดพลั้งต้องตกหน้าผาตายสถานเดียว  บริเวณนั้นยังระเกะระกะรกรุงรังด้วยเถาวัลย์เรื้อยระโยงระยางอย่างยุ่งเหยิง  เจ้าชายแรร์เน็สเลือกยึดจับเถาวัลย์ที่ดูมั่นคงแข็งแรงและเหนียวแน่น  เมื่อได้ที่เหมาะแล้วจึงนั่งลงซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ใบไม้หนานั้น  มือของเจ้าหญิงจับท่อนแขนของเจ้าชายแน่นด้วยความกลัวความสูง  ไม่กล้ามองลงไปเบื้องล่างของหน้าผาสูงลิบ

     

    เสียงฝีเท้าทหารกบฎแห่งเบเนดิคดังใกล้เข้ามาอยู่ทุกขณะ  ทั้งคู่ต่างนิ่งงันอยู่ในความเงียบ  และช่วยกันภาวนาให้เหล่าศัตรูวิ่งผ่านเลยไปด้วยเถิด  โชคเข้าข้างทำให้พวกทหารกบฎวิ่งเลยไปอย่างที่เจ้าชายคาดการณ์ไว้   เจ้าชายแห่งเรียวรอจนเสียงฝีเท้าทหารกบฏวิ่งไกลออกไปจนไม่ได้ยิน  รอจนแน่ใจจึงหันมามองเจ้าหญิงเฟรนลี่  พยักหน้าให้เตรียมตัวออกจากที่ซ่อน

     

     

    ก่อนเจ้าหญิงเฟรนลี่จะลุกขึ้น  สายตาเธอเหลือบไปเห็นต้นเมิสซ์ขึ้นอยู่ริมหน้าผา  ลำต้นนั้นใสดุจแก้วจารนัย  กิ่งก้านใบนั้นเรืองแสงสีขาวระยิบระยับราวอัญมณีเปล่งแสงสว่างเจิดจ้า  เจ้าหญิงแห่งเบเนดิคมั่นใจว่า ต้นไม้นี้คือ ต้นเมิสซ์ไม่ผิดแน่ ในตำราโบราณที่เธอเคยอ่านเจอ  ต้นไม้ชนิดนี้เป็นต้นไม้วิเศษ มีคุณสมบัติสามารถขอพรได้สามข้อ ซึ่งต้องเป็นการขอเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น  ป้องกันภูตผีปีศาจ  สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วได้ไกลกว่าการวิ่งปกติธรรมดา รักษาบาดแผลและถอนพิษได้ทุกชนิดไม่ว่าจะมาจากมนุษย์หรือปิศาจ  แต่มีข้อแม้ว่า  ผู้ที่ครอบครองอยู่ต้องทำความดีให้มากพอจนต้นเมิสซ์แตกกิ่งใหม่  จึงจะขอพรได้   เมื่อต้นไม้นี้ปรากฏอยู่ต่อหน้าผู้ใด  ผู้นั้นคือเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว  จะเปลี่ยนเจ้าของไม่ได้

     

    เจ้าเลือกข้าเป็นเจ้าของใช่หรือไม่  เจ้าหญิงเอื้อมมือไปแตะใบของต้นเมิสซ์ที่คล้ายรูปหัวใจเบา ๆ  ต้นไม้วิเศษก็ถอนรากตัวเองขึ้นจากพื้นดิน  แล้วลอยเข้ามาอยู่ในมือเจ้าหญิงทันที

     

    เจ้าชายแรร์เน็สโน้มตัวเข้าไปใกล้   จ้องมองหญิงสาวข้างตัวอย่างสงสัย  ว่าเธอกำลังเฝ้ามองดูอะไรอยู่ 

     

    แรร์เน็ส!  สวยมั้ย?  เจ้าหญิงดวงตาสีมรกตหันมายิ้มร่าชูต้นไม้วิเศษให้เจ้าชายผมเทาดู  ใบหน้าสวยนั้นเกือบจะชนกับใบหน้าอันเยือกเย็นของชายหนุ่มข้างตัว  ดีที่ต้นเมิสซ์นั้นอยู่ระหว่างใบหน้าของทั้งคู่  ต่างคนต่างนิ่งอึ้งไปชั่วขณะจิต  เมื่อมีสติทั้งคู่รีบขยับใบหน้าถอยห่างออกมา  บุรุษผมเทาส่งสัญญาณให้เตรียมตัวลุกออกจากที่ซ่อนได้แล้ว  หญิงสาวจึงรีบเก็บต้นไม้วิเศษไว้ในถุงผ้าที่ผูกอยู่กับเอวของตนเอง  แล้วขยับตัวเตรียมลุกขึ้น

     

     

    เจ้าหญิงแห่งเบเนดิคยกเท้าก้าวข้ามรากไม้และเถาวัลย์ที่พันกันยุ่งเหยิงบนพื้นดินข้างไหล่เขาแคบนั้น  แต่ทว่าแทนที่ก้าวข้ามรากไม้ไปข้างหน้ากลับก้าวไม่พ้น  ดันสะดุดจนเสียหลักลื่นไถลออกจากไหล่เขาแคบนั้น ด้วยสัญชาตญาตเจ้าหญิงเฟรนลี่คว้าสิ่งที่อยู่ใกล้ที่สุดคือเจ้าชายแรร์เน็ส  ทั้งคู่จึงตกจากหน้าผาไปด้วยกันทันที 

     

    มือข้างหนึ่งของเจ้าชายคว้าเถาวัลย์ไว้ได้ทัน  ส่วนมืออีกข้างหนึ่งนั้นคว้าคอเสื้อของเจ้าหญิงไว้  ส่วนเจ้าหญิงเฟรนลี่กอดเอวของเจ้าชายผมเทาไว้แน่น   ทั้งคู่จึงยังไม่ดิ่งพสุธาลงสู่เบื้องล่าง  แต่ห้อยโหนอยู่กลางอากาศ  เจ้าชายแรร์เน็สพยายามยื่นเท้าไปแตะแหง่นหินที่ยื่นออกมาตามหน้าผาไว้   เพื่อผ่อนน้ำหนักตัวอันหนักอึ้งของทั้งคู่ที่ต้องแบกรับไว้  มือข้างหนึ่งที่จับเถาวัลย์ไว้กำลังค่อย ๆ เลื่อนลง  และไม่แน่ว่ามันจะขาดลงเมื่อไหร่

     

    เจ้าห้ามปล่อยมือนะ  เฟรนลี่  จับข้าไว้ให้แน่น นะ”  บุรุษหนุ่มจ้องหน้าหญิงสาวที่กำลังกอดเอวของตนเองอยู่  แล้วปล่อยมือข้างที่เหลือจากคอเสื้อเจ้าหญิงดวงตาสีมรกต  เพื่อดึงเถาวัลย์มาคล้องรอบตัวหญิงสาวกับตัวเอง เพราะดูท่าทางแล้วเจ้าหญิงจะกอดเอวเขาอยู่ได้ไม่นาน

     

    เจ้าหญิงแหงนหน้ามองหน้าเจ้าชายแห่งเรียว

     

    “….ข้าสร้างปัญหาให้กับเจ้าอีกแล้ว…” 

     

    นี่เป็นเหตุผลอีกข้อหนึ่งที่เจ้าหญิงคิดแยกทางกับเจ้าชายก่อนหน้านี้ รู้สึกตัวเองว่า  อยู่ที่ไหนก็จะทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน  น้ำตารื้นขึ้นมาคลอดวงตาคู่งามนั้น  มองมือของเจ้าชายที่เกร็งยึดเถาวัลย์เอาไว้แน่นจนเห็นเส้นขึ้นปูดโปนไปหมด  เลือดสีแดงค่อย ๆ ไหลรินหยดมาตามฝ่ามือที่เต็มไปด้วยบาดแผลจากเถาวัลย์  แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากที่ต้องห้อยโหนอยู่สองคนเช่นนี้  และสองมือของเธอที่กอดเอวเจ้าชายไว้มันก็เลื่อนลงทุกขณะ รู้ตัวเองดีว่า  จะกอดเจ้าชายไว้แบบนี้ได้อีกไม่นาน

     

    เฟรนลี่เจ้าอย่าคิดโง่ นะ” 

     

    เจ้าชายมองดวงตาของเจ้าหญิงราวกับรู้สิ่งที่เจ้าหญิงคิดจะทำ  แต่ยังไม่ทันคิดอะไรต่อ  เพราะเถาวัลย์ที่เจ้าชายจับไว้ดังกล่าวกลับขาดผึง!ลงทันที เพราะไม่อาจต้านทานน้ำหนักของทั้งคู่ได้   ทั้งสองร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว ดิ่งลงสู่ก้นหุบเหว  แต่ทว่าครู่หนึ่งกลับหยุดลงกลางอากาศ เนื่องจากเถาวัลย์มีความคดเคี้ยวพันกันยุ่งเหยิงกับเถาวัลย์เส้นอื่นที่ไม่เป็นอิสระจากกันอย่างเด็ดขาด  ทำให้ทั้งคู่ค้างอยู่กลางเวหาอีกครั้ง

     

    ทั้งสองคนแทบหยุดหายใจ  หัวใจเกือบหยุดเต้นกับนาทีวิกฤตก่อนหน้านี้  แล้วหายใจออกเบา อย่างโล่งอก  พักเหตุการณ์น่าหัวใจวายไว้ก่อนชั่วระยะเวลาหนึ่ง  ค่อยรู้สึกหายใจได้ทั่วท้องขึ้น

     

    ถ้าเจ้าเพียงคนเดียวคงเอาชีวิตรอดได้  ข้าไม่อาจเป็นตัวถ่วงของเจ้าอีกต่อไป  ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง  ข้าจะไม่ลืมเจ้าเลย  แรร์เน็ส…”

     

    มือสองข้างของเจ้าหญิงเริ่มหมดกำลังลงเรื่อย   ล้าจนกอดเจ้าชายไว้ไม่ไหวอีกแล้ว

     

    เจ้าชายผมเทาใช้มือข้างหนึ่งยึดเถาวัลย์ที่พันกันยุ่งเหยิงไว้ให้มั่น   มืออีกข้างพยายามดึงเถาวัลย์ที่เขาพยายามคล้องรอบตัวเจ้าหญิงกับตัวเองไว้ก่อนหน้านี้ ให้แน่นขึ้น  แต่มันก็เกือบจะขาดเต็มทีเมื่อต้องรั้งกับน้ำหนักของคนสองคนบวกกับแรงเสียดทานของการเคลื่อนที่ดิ่งพสุธาลงอย่างรวดเร็ว

     

    เฟรนลี่!!  เจ้าต้องไม่ปล่อยมือนะ!!”  เจ้าชายตะโกนลั่น  แต่ไม่ทันขาดคำ  มือทั้งสองข้างของเจ้าหญิงปล่อยมือจากร่างของเจ้าชาย  ดิ่งลงสู่เบื้องล่างตามแรงดึงดูดของโลกทันที  เจ้าชายพยายามดึงกระตุกเถาวัลย์ที่คล้องกับตัวเจ้าหญิงไว้แต่มันกลับยิ่งขาดเร็วขึ้น

     

    เฟรนลี่.....!!”  เสียงเจ้าชายตะโกนจนสุดเสียงกึกก้องไปทั่วหุบเขา

     

    รวดเร็วกว่าความคิดนึก   เสี้ยววินาทีนั้น  เจ้าชายปล่อยมือจากการยึดเถาวัลย์ที่พันกันยุ่งเหยิงทันทีเช่นกัน  รีบกระโจนตามลงไป  ชั่วพริบตาคว้าร่างบางนั้นไว้ได้ทัน  กอดร่างในอ้อมแขนแน่น  เอาตัวเองกันร่างของหญิงสาวเอาไว้  หากต้องปะทะชนกับสิ่งใด  หรือกระแทกกับอะไรก็ตาม  ร่างของเขาจะคอยเป็นเสมือนเกราะที่คอยปกป้องคุ้มครองจากอันตราย

     

    แทบหยุดหายใจไปชั่วระยะเวลาหนึ่งของการดิ่งพสุธาลงสู่พื้นโลก  เหมือนไร้ตัวตน  ไร้ความรู้สึก  ไร้ความคิดนึก  ร่างของเจ้าชายและเจ้าหญิงปะทะกับกิ่งก้านสาขาของต้นไม้สูงใหญ่ที่เป็นป่ารกครึ้มด้านล่าง  ผ่อนแรงการเสียดทานของแรงโน้มถ่วงของโลก 

     

    เจ้าชายมีสติตื่นเต็มตลอดเวลา  พยายามปกป้องร่างในอ้อมแขนให้เกิดการบาดเจ็บน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้  ทั้งคู่ชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่เต็มแรง แล้วกระเด็นไปชนเข้ากับต้นไม้อื่น ๆ อีกหลายต้น  ก่อนดิ่งลงสู่พื้นดิน  โชคดีด้านล่างปกคลุมด้วยหญ้าอันอ่อนนุ่มที่ขึ้นหนาทึบในบริเวณนั้น  ทำให้แรงกระแทกลดลง  ทุกอย่างจึงสงบนิ่งหยุดการเคลื่อนไหว

     

    สักพักใหญ่มือของเจ้าหญิงเฟรนลี่ขยับ เมื่อเริ่มรู้สึกตัวขึ้นอย่างช้า  

     

    ข้าอยู่ที่ไหน….ข้าตายหรือยัง….ถ้าตายแล้วท่านพ่อท่านแม่อยู่ที่ไหนได้โปรดมารับข้าด้วย….ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน…’

     

    ความรู้สึกของเจ้าหญิงรู้สึกสับสน

     

    เปลือกตาของเจ้าหญิงค่อย ลืมขึ้น  แล้วขยับใบหน้าขึ้นจากแผ่นอกกว้างของเจ้าชาย  มองซ้ายขวาหน้าหลังอย่างงุนงง  ยกมือจับหน้าตาตัวเองและส่วนต่าง ของร่างกาย  สัมผัสได้ถึงลมหายใจของความมีชีวิต  หยิกตัวเองยังเจ็บอยู่

     

    ข้ายังไม่ตายนี่…” 

     

    เจ้าหญิงเฟรนลี่รีบก้มลงมองเจ้าชายที่นอนแน่นิ่งอยู่เบื้องหน้า  เสื้อผ้าของเจ้าชายขาดวิ่นแทบไม่มีชิ้นดี  เนื่องจากปะทะทั้งกิ่งไม้น้อยใหญ่  ทั้งครูดไปกับเปลือกไม้  เสี้ยนไม้หนามแหลมคมจากต้นไม้นานาชนิดจนถลอกปอกเปิดไปหมด  ตามเนื้อตัวมีแต่บาดแผลจนนับไม่ถ้วน

     

    แรร์เน็ส!!”  เจ้าหญิงเขย่าตัวชายหนุ่ม  พลางส่งเสียงเรียกชื่อเจ้าชายครั้งแล้วครั้งเล่า

     

    เจ้าเป็นไงบ้าง!!”  ยกมือตบแก้มเจ้าชายถี่ ด้วยความหวังว่าเขายังมีชีวิตอยู่  แม้จะยังกังวลใจไม่น้อยเพราะตกลงมาสูงลิบขนาดนั้น  แถมเขายังช่วยปกป้องเธอ   จากการปะทะกับกิ่งก้าน  สาขาของต้นไม้สูงใหญ่โดยตรงอีกต่างหาก

     

    แรร์เน็สเจ้าไม่เป็นไรใช่มั้ย…”  เจ้าหญิงเริ่มใจคอไม่ดีเมื่อเรียกเท่าไหร่ ร่างนิ่งงันตรงหน้าก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย

     

    เจ้าตอบข้าหน่อยแรร์เน็สอย่าเงียบแบบนี้…” หญิงสาวใจเสีย น้ำเสียงเริ่มสั่น น้ำตา เริ่มคลอสองตาคู่งามนั้น  สมองเริ่มคิดไปในทางร้าย มือสั่นเทาค่อย เคลื่อนไปที่ปลายจมูกของเจ้าชาย  แต่ไม่กล้าที่จะเลื่อนเข้าไปใกล้  กลัวเหลือเกิน….กลัวว่ามันจะปราศจากลมหายใจของการมีชีวิต

     

    เจ้าต้องไม่ตายนะ  แรร์เน็ส”   พลางโผเข้ากอดร่างบุรุษผมเทาแน่น  สัมผัสได้แต่ความเย็นจัดจากกายบุรุษ  ครู่หนึ่งเจ้าหญิงลุกขึ้นมามองหน้าเจ้าชายอีกครั้ง

     

    แรร์เน็ส….”  มือเรียวแตะแก้มของเจ้าชายแผ่วเบา  หยดน้ำใส ราวอัญมณีจากดวงตาของเจ้าหญิงร่วงผล็อย  หล่นลงกระทบใบหน้าของเจ้าชาย  แล้วปรากฏแสงสว่างเล็ก วาบหายไปใต้ผิวหน้ากร้านของบุรุษผมเทา

     

    เจ้าจากข้าไปจริง เหรอ….”  เจ้าหญิงถามร่างที่นอนแน่นิ่งนั้น ด้วยเสียงสั่นเครือ

     

    ไม่มีคำตอบใดใด  มีแต่ความเงียบงัน

     

    ไม่จริงใช่มั้ย!!  เจ้าต้องฟื้น  เจ้าตายไม่ได้นะ เจ้าแค่หลับไปเหมือนครั้งก่อนใช่มั้ย? ทำไม!!  ใคร ที่อยู่ใกล้กับข้าต้องมีอันเป็นไป  ได้โปรดเถอะ  ข้าขอร้อง!!”     เจ้าหญิงซุกหน้าลงบนแผ่นอกของเจ้าชายอีกครั้ง  พลางร้องไห้ฟูมฟายด้วยความเศร้าโศกเสียใจเป็นที่สุด

     

    ครู่หนึ่งเจ้าชายแรร์เน็สค่อย รู้สึกตัวขึ้นช้า   เนื่องจากก่อนตกลงกระแทกพื้น  ต้นคอของเขากระแทกเข้าอย่างแรงกับขอนไม้ใหญ่  ยังผลให้เจ้าชายหมดสติไปนาน

     

    ใครมาร้องไห้ฟูมฟายอะไรแถวนี้”  เจ้าชายได้ยินเสียงเหมือนคนร้องไห้คร่ำครวญ อยู่ใกล้เหลือเกิน

     

    ดวงตาสีสนิมเหล็กลืมขึ้น  กระพริบตาถี่ เพื่อปรับโฟกัสของภาพที่เห็นตรงหน้าให้ชัดเจนขึ้น  พยายามลำดับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้  มองเห็นร่างของเจ้าหญิงร้องไห้จนตัวโยน  มือสองข้างกอดตัวของเขาไว้แน่น   ใบหน้าซบอยู่บนแผ่นอกของเขา

     

    มือหนาเลื่อนมาตบแผ่นหลังของหญิงสาวที่เอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น

     

    เฟรนลี่….ข้าไม่เป็นไรแล้ว….”  พลางลูบหลังเจ้าหญิงอย่างปลอบโยน  

     

    แรร์เน็ส….!!!”  เจ้าหญิงผงกศีรษะขึ้นมามองหน้าบุรุษตรงหน้า

     

    เจ้าของดวงตาสีเขียวมรกตยังคงจ้องมองบุรุษตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

     

    เจ้าชายไม่ปล่อยให้เจ้าหญิงมองหน้าเจ้าชายอยู่ในระยะใกล้ขนาดนั้นนานนัก  รีบขยับตัว  ใช้ศอกยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง

     

    เจ้ายังไม่ตายใช่มั้ย?”   จับมือเจ้าชายบีบไว้แน่นด้วยความดีใจ

     

    ข้าไม่เป็นไรแล้ว…”   มองใบหน้าเจ้าของดวงตาสีเขียวที่เปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา

     

    หน้าเศร้า หม่นหมองของเจ้าหญิงเฟรนลี่เมื่อครู่คลายลง  มุมริมฝีปากบางอันงดงามค่อย โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มสดใสแห่งความดีใจเป็นที่สุด  พร้อมดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้นเป็นประกายแจ่มใสอีกครั้ง  รอยยิ้มแบบนี้ที่เขาอยากเห็นเหลือเกิน   เจ้าหญิงโผเข้ากอดเจ้าชายแน่นด้วยความดีใจอย่างลืมตัว

     

    ข้าดีใจเหลือเกินที่เจ้าไม่เป็นอะไรนะ  แรร์เน็ส…”

     

    บุรุษผมเทานิ่งอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก  ได้แต่ปล่อยให้เธอกอดเขาเอาไว้อย่างนั้น  หัวใจซึมซับรับรู้ความรู้สึกที่แสนดีเหล่านั้นเอาไว้จนเต็มหัวใจ

     

    =============== 

     

     

    ซีนิธเดินด้วยความระมัดระวังทุกฝีก้าว   แล้วแอบซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่   แม้ภายนอกเขาจะเป็นเพียงหมอธรรมดาที่ทำหน้าที่รักษาผู้คนในค่ายริกเกอร์เท่านั้น  แถมยังไม่เคยออกรบปล้นสะดมฆ่าฟันกับใครเลยก็ตาม   แต่ทว่าเขาได้แอบฝึกเพลงดาบ  อาวุธลับต่าง และคิดค้นสูตรยามากมาย โดยมีหญิงมีอายุคนหนึ่งคอยแอบให้คำแนะนำสั่งสอนอย่างลับ ๆ

     

    หมอหนุ่มแห่งค่ายริกเกอร์มองดูทหารโจรที่รักษาการความปลอดภัย  ยืนทะมึนเรียงกันเป็นตับมีจำนวนมากกว่าพันนายล้อมรอบผ้าสีขาวที่ขึงตึงเป็นรูปสี่เหลี่ยมเพื่อประกอบพิธีเซค์  บริเวณโดยรอบของด้านในของพิธีเซค์ไม่มีฝนตก  มีเพียงลมพัดแรง  ท้องฟ้ามืดปกคลุมด้วยเมฆเทาหนาทึบ    สายฟ้าแลบแปลบปลาบสว่างวาบขึ้นตลอดเวลา   เสียงสวดมนต์ต่ำ ดังประสานเสียงกันจากเหล่าบรรดานักพรตยังคงดังคลออยู่

     

    ชายหนุ่มหยิบถุงผ้าสีหม่นขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างตัว

     

    พวกเจ้าต้องช่วยข้านะ”  ทันทีที่เปิดปากถุงมดตัวน้อยสีม่วงหลายร้อยตัวเดินพล่านออกมาจากถุง  เป็นมดที่เขาทดลองให้กินน้ำหวานจากดอกไม้ชนิดหนึ่ง  น้ำหวานจากดอกไม้ชนิดนี้เมื่อผสมกับน้ำลายมดสีม่วง จะทำให้เกิดอาการง่วงนอนอย่างรุนแรง

     

    ไปเลยลูกพ่อ”   เขามองมดตัวน้อยสีม่วงเดินดาหน้าเข้าไปบริเวณที่เหล่าสมุนโจรต่างยืนรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มแข็ง แล้วลอบปล่อยมดสีม่วงตามจุดต่าง ๆ อีกหลายจุดโดยรอบ

     

     

    ===========

     

     

    กลางลานพิธีกรรมกันอันศักดิ์สิทธิ์  ชาวบ้านถูกจับมัดรวมกันไว้ประมาณสิบคน  ทุกคนต่างมองไปมารอบตัว  ด้วยความหวาดกลัว   ด้วยรู้ชะตากรรมชีวิตของตนเอง  เสียงร้องไห้คร่ำครวญ  และเสียงร้องขอชีวิตดังระงมไปทั่ว 

     

    มหาโจรกบฏริกเกอร์กำลังร่ายบริกรรมคาถาอันเชิญดวงวิญญาณของปิศาจอันชั่วร้ายลงมารับเครื่องสังเวย   ดวงตายาวรีของหนุ่มใหญ่จ้องมองกระถางไฟตรงหน้าที่ลุกโพลงพวยพุ่งขึ้นในอากาศ  ก่อนสาดแสงลงเหนือศีรษะเหล่ามนุษย์เคราะห์ร้ายที่ถูกนำมาเป็นเครื่องสังเวย  ทุกคนไม่มีโอกาสร้องขอชีวิตได้อีก  เสียงร้องไห้  เสียงร้องขอชีวิตเงียบลง ไฟในกระถางไฟเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน  มันกำลังสูบพลังชีวิตของเครื่องสังเวยทั้งหมดพร้อม ๆ กัน  จนร่างกายเหล่านั้นซูบซีด บิดเบี้ยว  แห้งลงไปเรื่อย ๆ  จนกรอบและแตกสลายหลอมละลายกับไฟสีเลือดจนหมดสิ้นไม่เหลือไว้แม้แต่เศษขี้เถ้าของกระดูก 

     

    สองมือของมหาโจรริกเกอร์ยกชูสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อรับพลังความเป็นอมตะจากปิศาจร้าย  แสงสีเพลิงจากกระถางไฟพวยพุ่งขึ้นอยู่เหนือศีรษะของมหาโจรใหญ่ เกิดแสงสีแดงหมุนเป็นเกลียวลงสู่กลางหน้าผากของขุนโจรริกเกอร์ทันทีราวกับกำลังดูดซับพลังงานอันมหาศาลจากเกลียวไฟสีแดงฉานนั้น  ครู่ใหญ่เกลียวไฟสีแดงจึงค่อยจางลง  และหายไปในหน้าผากของมหาโจรใหญ่จนหมดสิ้น  เช่นเดียวกับไฟในกระถางซึ่งมอดดับลงพร้อมกัน

     

    มหาโจรใหญ่แห่งค่ายริกเกอร์ลืมตาขึ้นด้วยแววตาอันทรงพลังอำนาจ  เขาวางมือลงเหนือเหยือกใส่หล้าองุ่น  ไอควันขมุกขมัวสีแดงพุ่งจากฝ่ามือของมหาโจรริกเกอร์ลงสู่เหยือกหล้าองุ่นนั้น  ครู่หนึ่งเขาจึงละมือนั้นออกจากเหยือกน้ำเหล้าองุ่น   แล้วรินเหล้าองุ่นที่ประกอบยันต์พิธีเรียบร้อยแล้ว  ให้เหล่าบรรดาหัวหน้าโจรระดับสูง   หากใครได้ดื่มน้ำเหล้าอันศักดิ์สิทธธิ์นี้แล้ว  จะมีพละกำลังแข็งแกร่ง  รวมถึงจะมีความเข้มแข็ง อดทนและทนทานต่อความเจ็บปวดได้อย่างเหลือเชื่อ   ราวกับจะมีชีวิตที่เป็นอมตะในช่วงเวลาหนึ่ง   น้ำนี้จะมีฤทธิ์ขลังอยู่ได้นานถึงสามปี

     

    หัวหน้าโจรทุกคน รวมทั้งหัวหน้ากบฏริกเกอร์หยือกน้ำเหล้าองุ่นุ่นมตาขึ้นด้วยแววตาอันทรงพลังอำนาจ  เขาวางมือลงบนูดซับพลังงานอันมหาศาลเกลียวไฟสีแดงฉานนั้นรษะของมหาโจรใยื่นแก้วน้ำเหล้าองุ่นอันศักดิ์สิทธิ์มาข้างหน้า   แล้วต่างยกขึ้นดื่มพร้อมกัน   ยกเว้นขุนโจรวาร์เดอร์ที่แอบเทน้ำอมฤทธิ์นั้นทิ้ง  ทั้งที่ใคร ต่างอยากได้อยากดื่มน้ำนี้เสียเหลือเกิน   และมีแต่ระดับหัวหน้าโจรเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้ดื่มน้ำอันศักดิ์สิทธิ์นี้   วาร์เดอร์ยังคงมีอาการสงบนิ่งสุขุมอย่างเคย   แต่ทว่าภายในจิตใจนั้นรุ่มร้อนยิ่งนัก  เป็นห่วงบุตรชายคนเดียวของเขาที่สุด  

     

    ท่านพ่อ  ข้าขอถาม  ท่านจะยอมให้หัวหน้ากบฏริกเกอร์เป็นอมตะ  แล้วเที่ยวปล้น ฆ่าผู้คน ชิงทรัพย์ต่อไปได้อยู่อีกหรือ  ท่านพ่อจะทนเห็นชีวิตของผู้หญิงอีกกี่คนที่มีชะตาชีวิตเช่นเดียวกับแม่ของข้า 

     

    ถ้าเราต้องตาย  แต่หยุดความชั่วร้ายเหล่านี้ได้  มันคุ้มมั้ย?

     

    คำพูดของลูกชายคนเดียวผุดขึ้นมาในหัวสมองของขุนโจรวาร์เดอร์  มันทำให้เขาต้องตัดสินใจว่าจะเลือกอะไรระหว่างบุญคุณกับความถูกต้องดีงาม

     

     

    จากนั้นหัวหน้ากบฎริกเกอร์หันไปสบตากับหญิงสาวชุดสีขาวสะอาดข้างกาย เครื่องสังเวยอันบริสุทธิ์ผุดผ่องคนสุดท้ายที่จะเติมเต็มให้พลังของเขาเป็นอมตะอย่างสมบูรณ์ เขาพาเดินเข้ากระโจมสีขาวที่หันหน้าสู่ด้านทิศตะวันออก  ทุกครั้งที่มีการทำพิธีเซค์  หญิงสาวทุกคนที่ถูกพาเข้ากระโจมสีขาวนี้  ไม่มีใครเคยกลับออกมาเลยแม้แต่คนเดียว  เธอเหล่านั้นต่างหายสาปสูญไปอย่างไร้ร่องรอย

     

    หนุ่มใหญ่พินิจความงามของสาวน้อยตรงหน้า   เหมือนคุ้นเคยเค้าหน้าของเธอ  ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน  เมื่อนานมาแล้ว  ก่อนค้อมศรีษะลงจุมพิตมือสาวน้อยแผ่วเบา

     

    เจ้าเป็นหญิงสาวในพิธีเซค์ที่งดงามที่สุดตั้งแต่ข้าเคยพบเจอมา”  สายตามองเธอด้วยความพอใจ   สองมืออันแข็งแรงสวมกอดร่างเล็กเข้ามาไว้ในอ้อมแขนเพื่อสร้างความคุ้นเคย  และปลอบโยนเธอจากความหวาดกลัว 

     

    แม้บุรุษแห่งค่ายโจรริกเกอร์จะหล่อเหลาเอาการ  และดูดีด้วยบุคลิกท่วงท่าสง่างาม  สุขุมลุ่มลึก   แต่ทว่าหญิงสาวกลับไม่รู้สึกคล้อยตามความต้องการของเขาไม่  เพียงแต่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้  ความรู้สึกนึกคิดที่เป็นตัวของตัวเองมีเหลืออยู่น้อยนิดเหลือเกินนั้น  ยากต่อการขัดขืนหรือต่อต้านการล่วงเกินของหนุ่มใหญ่

     

    แวบหนึ่งที่มหาโจรรู้สึกสงสารสาวน้อยตรงหน้า  ที่อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า  เธอจะสูญหายไปจากโลกนี้เสียแล้ว  แต่นั่นหมายถึงเธอจะหลอมอยู่ในตัวเขาเป็นนิจนิรันดร

     

    ผ้าคลุมสีขาวถูกเปลื้องออกกองทิ้งอยู่บนพื้น   ร่างของหญิงสาวถูกประคองให้นอนลงบนเตียงหนานุ่ม   กระดุมเสื้อสองสามเม็ดด้านบนถูกปลดออกและคอเสื้อถูกเปิดกว้างขึ้น  เผยให้เห็นผิวเนียนของวัยสาว   ขุนโจรใหญ่ก้มหน้าสบตาสาวน้อยตรงหน้า  ดวงตากลมดำสนิทคู่นั้น  มีแววดื้อรั้นและเด็ดเดี่ยวซ่อนอยู่   เขารู้สึกคุ้นกับดวงตาแบบนี้เหลือเกิน   ผิวสวยของเธอเหมือนใครคนหนึ่ง  เหมือนคนที่เขาเคยรัก 

     

     แม้เขาจะถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎ  เป็นผู้ทรยศ  แต่ด้วยความรัก   เธอคนนั้นยอมทิ้งความสูงศักดิ์ของความเป็นเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรเรียว   หนีมาร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่กับเขาที่ป่าเคนาฟแห่งนี้   แต่เพราะความมุ่งมั่นที่จะแสวงหาอำนาจและความยิ่งใหญ่  โดยเฉพาะการประกอบพิธีเซค์นี้   ทำให้เธอที่เขาแสนรักตัดสินใจออกไปจากชีวิตของเขา   ไม่ว่ามหาโจรพยายามขอร้องให้เธออยู่สักเพียงใด  แต่เธอกลับโต้ตอบเขาอย่างเด็ดเดี่ยวว่า  หากให้เธออยู่  เธอขอตายดีกว่า   แม้กฎของค่ายริกเกอร์เธอต้องถูกประหารชีวิตก็ตาม   แต่ด้วยความรัก  เขาจึงจำใจปล่อยให้เธอจากไป  

     

    มหาโจรใหญ่มองสาวน้อยตรงหน้า   เธอยิ่งทำให้เขาคิดถึงภรรยาซึ่งเคยเป็นที่รัก  คิดถึงอดีตอันแสนหวาน   กลิ่นดอกไม้หอมอ่อน  จากกายหญิงสาวโบยบินมาแตะปลายจมูกของเขาอย่างแผ่วเบา  ความต้องการบางอย่างพุ่งขึ้นมาในจิตใจจนรู้สึกยากที่ยั้บยั้งและควบคุมมันไว้ได้  นานแล้วที่เขาไม่เคยรู้สึกปรารถนาหญิงใดด้วยความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย   และก่อนที่เขากำลังจะตกเป็นทาสมัน   เขาพยายามมีสติ  เขาต้องไม่ตกเป็นทาสความรักความเสน่หาสาวน้อยคนนี้   เขาต้องอยู่เหนือมันให้ได้   แม้ผู้หญิงทุกคนที่ผ่านพิธีเซค์จะต้องสูญเสียความบริสุทธิ์ให้กับมหาโจรอย่างเขา  แต่ทว่าครั้งนี้เขาตัดสินใจที่จะไม่ล่วงเกินเธอ  เพราะรู้ว่าเธอ  คือจุดอ่อนอันบอบบางในจิตใจ  พิธีเซค์ของเขาอาจไม่สำเร็จหากเขาเผลอใจไปมากกว่านี้

     

    เขาเคยคิดว่า  เขาลืมได้หมดแล้ว  ลืมอดีต  ลืมความรัก  ลืมภรรยาที่เขารักที่สุดได้  วันเวลาผ่านไปนานกว่า สามสิบปี  ถึงเวลานี้  เขาเพิ่งรู้ใจตัวเองว่า  ในเบื้องลึกของจิตใจ  เขายังคงคิดถึงเธออยู่  และเสี้ยวหนึ่งของหัวใจยังคงรู้สึกผิด  ที่เขาเลือกทางเดินแห่งอำนาจ  มากกว่าที่จะจงรักภักดีต่อความรัก

     

    ขุนโจรริกเกอร์หายใจเข้าออกยาว   อยู่ครู่หนึ่ง  พยายามปลดปล่อยตัวเองออกจากพันธนาการในอดีต  เมื่อจิตใจผ่อนคลายลง  และเข้มแข็งมากขึ้น   จึงเริ่มพิธีเซค์ต่อไป เขาหายใจเข้าลึกที่สุดก่อนจะหายใจออกพร้อมกับเปล่งเสียงคำว่า

     

    เซ........เขาเป่าหน้าผากหญิงสาวแผ่วเบา บนหน้าผากนั้นปรากฏแสงเป็นรูปเหรียญวงกลมสีทองกำลังไหวระริก

     

    ขอพลังของเจ้าจงอยู่กับข้า.....

     

     

    ใบหน้าอันหล่อเหลาก้มเข้าไปใกล้ใบหน้าของสาวน้อย  จนหน้าผากชนกับหน้าผากของฝ่ายหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่      เขาไม่เลือกที่จะดูดวิญญาณของเธอจากริมฝีปากอย่างที่ผ่านมา  แต่กลับเลือกที่จะดูดพลังชีวิตของเธอจากลมหายใจของเธอแทน  ทันทีที่หน้าผากของทั้งคู่ชนกันเกิดพลังดึงดูดราวกับแม่เหล็ก  เขาค่อย เผยอริมฝีปากให้กว้างขึ้น  บรรจงดูดพลังชีวิตจากลมหายใจของเธอทีละน้อยอย่างช้า   ไม่เร่าร้อนและรุนแรงเหมือนแต่ก่อน  อาจจะเป็นด้วยวัยที่เพิ่มมากขึ้น  ทำให้เขาควบคุมตัวเองได้ดี  และที่สำคัญเขาไม่ต้องการให้เธอเจ็บปวด   เหมือนหญิงสาวคนอื่นที่ผ่านมา 

     

    แดนเทียร์รู้สึกอ่อนแรงลงเรื่อย   ผิวอันเปล่งปลั่งเริ่มซีดลงอย่างเห็นได้ชัด  ความเป็นรู้สึกเป็นตัวของตัวเองค่อย คืนกลับมาจนครบบริบูรณ์  ขณะที่เขาดูดพลังชีวิตจากเธอนั้น   เขาจะไม่สามารถควบคุมหรือบงการความรู้สึกนึกคิดของเธอได้อีก   แต่เธอก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะขัดขืนการกระทำของเขา  ก่อนความรู้สึกสุดท้ายจะดับสูญ  เธอพยายามมีสติและอดทน  รวบรวมกำลังครั้งสุดท้าย  หยิบอาวุธแหลมคมสามอันที่หมอหนุ่มแห่งค่ายโจรให้ไว้จากผ้าหนังสัตว์ที่รัดข้อมือ  แล้วตัดสินใจแทงลงตรงท้ายทอยของมหาโจรใหญ่พร้อม กันทั้งสามอันจนจมมิด

     

    วินาทีนั้น!   พลังงานมากมายที่ถูกดูดจากตัวเธอเข้าสู่กายบุรุษ   กลับไหลย้อนพุ่งทะลักออกมาทางปากไหลกลับเข้าไปในร่างกายของเธอทางจมูกอย่างมหาศาล  เพราะเธอแทงถูกจุดเปิดพลังงานชีวิตโดยบังเอิญ พลังงานชีวิตจากร่างหนุ่มใหญ่ไหลเทเข้าสู่ร่างกายของหญิงสาวอย่างต่อเนื่อง  และรวดเร็ว

     

    ผู้เป็นใหญ่แห่งค่ายริกเกอร์สะดุ้งสุดตัว  เมื่อถูกอาวุธลับแทงเข้าที่ท้ายทอย  แล้วรีบผงกศรีษะขึ้นจากหน้าผากของหญิงสาวทันที ก่อนที่พลังชีวิตของเขาจะไหลเข้าสู่ร่างกายเธอจนหมดอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือยักษ์ตบเข้าที่ใบหน้าของหญิงสาวจนหันไปตามแรงฝ่ามือ หมอบคว่ำลง กับพื้นเตียง

     

    เจ้ากล้ามากที่ทำแบบนี้กับข้า!!”  เขาเค้นเสียงกัดฟันกรอดด้วยความโกรธจัด

     

    ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเป็นอมตะได้เด็ดขาด!”  หญิงสาวเน้นเสียงหนักแน่น  ลุกขึ้นมามองหน้ามหาโจรใหญ่  เลือดแดงไหลซึมออกมาจากริมฝีปากบางนั้นเป็นทาง  จ้องมองเขาด้วยสายตาตายเป็นตาย

     

    มหาโจรริกเกอร์เริ่มรู้สึกชาและมึนงง  ไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง  โซเซลุกขึ้นจากเตียงพลางพยายามรีบควานหาอาวุธแหลมคมซึ่งปักอยู่ที่ท้ายทอยอย่างรวดเร็ว  แล้วพยายามถอนมันขึ้นมาได้ทั้งสามอัน  แต่ฤทธิ์ยาจากอาวุธนั้นทำให้เขาหมดความรู้สึกลงทันที  ร่างใหญ่ล้มคว่ำคะมำลงกับพื้น

     

    แดนเทียร์ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ  แต่รู้สึกร้อนรุ่มไปทั่วร่างกายเหมือนมีคนมาสุ่มไฟใส่  ราวกับมีประจุพลังงานมหาศาลไหลเวียนอยู่ในตัวเธอ  และรู้สึกเหมือนมันต้องการหาทางออก  ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดและทรมานอย่างมาก  ผิวหนังราวกับจะปริแตกเปรี๊ยะออกจากกัน  หัวร้อนจนหัวแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยง   ได้แต่ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียงไปมา

     

    ซีนิธรีบวิ่งเข้ามาในกระโจมสีขาว   หลังจากที่มดสีม่วงของเขากัดเหล่าทหารโจรจนหมดสติหลับไหลไปกันหมดแล้ว เมื่อถึงด้านในเขามองเห็นร่างของมหาโจรแห่งค่ายริกเกอร์  ล้มคว่ำอยู่ บนพื้น  หยิบมีดพกออกมาจากปอกซึ่งเหน็บอยู่ที่เอว  รีบกระโดดถาโถมกำลังพุ่งปลายมีดปักลงบนตัวของมหาโจรทันที  แต่ทว่าแรงกระแทกที่รุนแรงนั้นกลับเหมือนมีแรงกระแทกกลับอย่างรุนแรงเช่นกัน  ทำให้ร่างของหมอหนุ่มกระเด็นไปเท่ากับความแรงที่พยายามพุ่งเข้าไปหา  ราวกับร่างกายของโจรริกเกอร์มีเกราะเหล็กคุ้มกันอยู่  อาวุธใดก็ไม่สามารถทำอันตรายได้  แถมมีดพกนั้นกลับงอโค้งบิดเบี้ยว

     

    ร่างของซีนิธกระเด็นไปกระแทกเข้ากับเตียงอย่างแรง   แล้วรีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว   ตอนนี้เขารู้แล้วว่า  การฆ่าขุนโจรริกเกอร์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย   จึงหันมามองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง

     

    แดนเทียน์  เจ้าเป็นไงบ้าง”  เขามองสภาพเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยของเธอแล้ว  รีบดึงผ้าห่มคลุมกายให้หญิงสาว   

     

    ท่านมาแล้วเหรอ  ซีนิธ”  เธอมองเขาอย่างช่างใจเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง  แล้วตัดสินใจทำทันที  เธอคิดว่ามันอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับเขา  ที่สำคัญมันคงไม่เป็นประโยชน์กับเธอ   และมันกำลังทำให้เธอทรมานเหลือเกิน

     

    ข้า….มีบางอย่างจะให้เจ้า  เจ้าจงรับไว้  ขอให้เจ้าก้มลงมาจนชนหน้าผากของข้าเสียงของเธอที่เปร่งออกไปช่างแผ่วเบาราวกับจะหมดแรง

     

    หมอหนุ่มโน้มตัวลง เข้าไปฟังใกล้ ๆ ว่าเธอต้องการจะบอกอะไรกันแน่ 

     

    เซ.........................”  แดนเทียร์พยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ  แล้วเป่าลมใส่หน้าผากของหมอหนุ่ม  เกิดวงกลมรูปเหรียญสีทองบนกลางหน้าผากของชายหนุ่ม

     

    ข้าขอมอบพลังนี้ให้กับเจ้า 

     

    แดนเทียน์เอื้อมมือดึงศีรษะของชายหนุ่มลงมาชนกับหน้าผากของตนเอง ทันทีที่หน้าผากของทั้งคู่ชนกันเกิดพลังดึงดูดซึ่งกันและกัน  เธอคลายพลังชีวิตจากริมฝีปากของเธอให้เข้าสู่ทางจมูกของซีนิธ ด้วยคิดว่า เมื่อมันเข้ามาได้  มันก็ต้องออกไปได้เช่นกัน  เนื่องจากพลังงานมากมายที่ไหลทะลักเข้าสู่ตัวเธอนั้นมากมายมหาศาล  แม้จะเพียงไม่กี่วินาที  ร่างกายของเธอไม่ได้ออกกำลังอย่างหนักจึงไม่มีกล้ามเนื้อที่จะซึมซับรับพลังงานเหล่านั้นเอาไว้ได้  จึงทำให้เธอรู้สึกทรมาน   เพราะพลังงานไม่มีที่เก็บ  ไม่มีที่ไป  และมันกำลังหาทางออก

     

    ชายหนุ่มนิ่งอึ้งด้วยความตกใจชั่วขณะหนึ่ง  เธอกำลังจะทำอะไรเขากันแน่  รู้สึกได้ถึงพลังงานความร้อนบางอย่างไหลทะลักเข้ามาในตัวเขาอย่างรวดเร็ว  พยายามจะถอยตัวออกห่างกลับทำไม่ได้เลย  เหมือนยิ่งพยายามออกห่าง  กลับยิ่งเหมือนมีพลังแรงดึงดูดเพิ่มมากขึ้นหลายเท่า

     

    เจ้าทำอะไร!! เป็นบ้าไปแล้วเหรอ

     

    เขาโพล่งออกไปทันทีที่การไหลของพลังงานนั้นสิ้นสุดลง  รีบถอยออกมาจากร่างของหญิงสาว  เพราะการเอาหน้าผากชนกันนั้นเป็นข้อห้าม  เป็นประเพณีที่เคร่งครัด  ห้ามหญิงสาวชายหนุ่มเอาหน้าผากชนกันเด็ดขาดหากไม่ได้อยู่ในพิธีเลือกคู่

     

    หญิงสาวนิ่งพูดอะไรไม่ออก รู้สึกอับอายมากกว่า  เขาจะคิดจะมองเธอเป็นผู้หญิงเช่นไรกัน ไม่เคยคิดว่าอยากจะทำอะไรบ้า กับเขาแบบนี้เลย  แต่ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรได้   คิดเพียงว่า  ถ้าจะถ่ายเทพลังชีวิตที่ได้รับมาให้กับเขา  คงต้องใช้วิธีเดียวกันกับที่เธอได้รับมา   เธอรู้สึกสบายตัวมากขึ้น   หมดเวลาที่จะอธิบายซะแล้ว  เพราะแดนเทียร์มองเห็นมหาโจรริกเกอร์ฟื้นขึ้นเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ  ทั้ง ที่ความจริงแล้ว  ฤทธิ์ยานอนหลับในอาวุธลับแต่ละอันทำให้หมดสติได้นานหนึ่งชั่วโมง  และเธอแทงลงไปพร้อมกันถึงสามอัน  หัวหน้ากฏบริกเกอร์จะต้องสลบไปอย่างน้อยสามชั่วโมง  แต่นี่เขากลับฟื้นเร็วกว่าที่คิดไว้  มหาโจรใหญ่รี่เดินตรงมาทันที   หน้าของหัวหน้ากบฏริกเกอร์หม่นหมองลง  ความหนุ่มแน่นหล่อเหลาลดลงกว่าที่เคยเห็นในตอนแรกอย่างเห็นได้ชัด  เวลานี้มีแต่ความโกรธที่ปรากฏอยู่บนสีหน้าและแววตานั้น

     

    ซีนิธระวัง!”  เธอตะโกนเสียงหลง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×