คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ขอกวนใจเธอหน่อย
รับคำท้าฯ
ตอนที่ 9
ปัถยารีบขยับตัวถอยออกห่างจากสามีด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงนั้น เธอมองหน้าหนุ่มผมยาวที่ยืนอยู่ด้วยความประหลาดใจ เพราะใบหน้านั้นคล้ายอดีตภรรยาของสามีเธออย่างมาก ตอนดูคลิปเขาประกวดร้องเพลงยังเห็นไม่ค่อยชัดเจนเท่าในเวลานี้
“ต้องขอโทษด้วยที่เข้ามาขัดจังหวะพอดี แหม...โชคดีจริง ๆ ได้ดูหนังรักโรแมนติคมาก....” เขาแกล้งพูดประชดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“สวัสดีแม่ใหม่ของแกเสียสิ” หมอหนุ่มใหญ่ออกคำสั่งให้ลูกชายคนเดียวทำความเคารพต่อภรรยาใหม่ของเขา
ลูกชายคนเดียวกำมือแน่นขึ้นด้วยความโกรธ แต่พยายามกดข่มมันเอาไว้ หายใจเข้าลึก ๆ ออกยาว ๆ แล้วขยับตัวเดินเข้าไปใกล้ภรรยาคนใหม่ของบิดา ผู้หญิงคนนี้เองที่ทำให้พ่อสั่งปลดรูปแม่ของเขาในบ้านจนหมดไม่มีเหลือก่อนถึงวันแต่งงาน
“สวัสดีคร้าบ.......คุณป้า..................” เขาก้มหัวโค้งลงไปถึงเข่าของตัวเองก่อนจะผงกศีรษะขึ้นมา
ปัถยาอึ้งเล็กน้อยที่เด็กหนุ่มตรงหน้าเรียกเธอว่าป้าเลย ทั้งที่เธออายุอ่อนกว่าแม่ของเขาหลายปี แต่ก็ไม่ถือสา พยายามจะเป็นมิตรกับเขา พ่อของเขา เธอยังเอาชนะใจที่แข็งเหมือนศิลามาได้เลย ลูกชายของเขาก็เช่นกัน เธอจะเอาชนะใจให้ได้
“สวัสดีจ้ะ ได้ดูคลิปเธอประกวดร้องเพลง เธอร้องเพลงเพราะมากนะ”
“เรียกว่า คุณแม่ เขาจะมาเป็นแม่ใหม่ของแก” บิดาออกคำสั่งต่อไปอย่างอารมณ์เสียเมื่อเห็นปฏิกิริยากวนประสาทของลูกชาย
“คุณพ่อคร้าบ...ผมยังความจำไม่เสื่อมนะครับ แม่ของผมมีคนเดียว ชื่อปาริชาติ นะครับ” คนเป็นลูกยังตอบลอยหน้าลอยตากวนโมโหคนเป็นพ่อต่อไป
ปัถยาบีบแขนสามีเป็นเชิงขอร้องให้หยุดต่อล้อต่อเถียงกับลูกชาย
“พ่อบอกแล้วใช่มั้ย? ไม่ให้แกไปประกวดร้องเพลงไร้สาระ” เขายังหัวเสียไม่หายที่รู้ว่าลูกชายขัดคำสั่ง
ปฏิการนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว ปกติพ่อไม่เคยดูรายการพวกนี้เลย วัน ๆ เอาแต่ทำงาน มีเคสทั้งผ่าตัดหัวใจ ทั้งบายพาส ไหนจะบอลลูนอีก ไม่เว้นแต่ละวัน คนเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้นตลอด พ่อจะรู้ได้ยังไงว่าเขาไปประกวดร้องเพลง ถ้าเธอไม่สารแนไปบอกพ่อของเขา
“ผมชอบร้องเพลงมันผิดตรงไหนคร้าบ...” เขาพยายามฉีกยิ้มกว้างให้เหมือนว่าไม่แคร์ ไม่รู้สึกอะไรกับคำด่าของพ่อ
“มันจะไม่ผิดเลย ถ้าแกไม่ติดเอฟ แกทำให้ฉันต้องอับอายขายหน้าแค่ไหน รู้บ้างหรือเปล่า?” นายแพทย์ใหญ่พูดเสียงดังลั่นอย่างเหลืออด โยนเอกสารสีขาวลงบนโต๊ะตรงหน้าอย่างแรง สมัยเรียนเขาเป็นนายแพทย์ที่มีคะแนนสูงสุดของคณะ แต่ลูกชายคนเดียวของเขากลับไม่เอาไหนเลย
“คุณพ่อคร้าบ...อย่าลืมสิ! พ่อเป็นคนขอร้องให้ผมเรียนหมอนะ ผมก็เรียนให้แล้ว ผมบอกแล้วว่า ผมไม่อยากเรียน ผมไม่อยากเป็นหมอ...”
‘....เหมือนพ่อ...’ เขาพูดต่อในใจไม่กล้าพูดออกไป ที่เขายอมเรียนเพราะแม่ขอร้อง แต่ตอนนี้แม่เลิกกับพ่อแล้ว พ่อยังไปแต่งงานใหม่อีก เขาไม่จำเป็นต้องเรียนเพื่อพ่ออีกแล้ว
“แกรีบไปให้พ้นจากหน้าฉันเลย” ปัณณวัตร์ชี้หน้าลูกชายจอมกวนอย่างโมโห เขารู้สึกเจ็บเสียดที่หน้าอกขึ้นมา ซึ่งเป็นมาระยะหนึ่งแล้ว เขารู้ดี มันคืออาการเบื้องต้นของโรคหัวใจขาดเลือด เพราะเขาเป็นศัลยแพทย์หัวใจมือหนึ่งแนวหน้าของเมืองไทย ผ่าตัดคนไข้มามากกว่าสองพันราย เขากำลังจะกลายเป็นโรคหัวใจเสียเองแล้ว
“คุณ...เป็นอะไรคะ” เธอมองหน้าหนุ่มใหญ่ที่ดูซีดผิดปกติ มองเห็นเขาเอนตัวพิงกับโซฟาทันทีที่ลูกชายลับสายตาออกไป มือข้างหนึ่งจับที่หน้าอกด้านซ้าย พยายามหายใจเข้าลึกออกยาวเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ตรึงเครียด
***********************
ปฏิการเปิดประตูเข้ามาในห้องของเขาอย่างไม่พอใจ ก่อนจะปิดประตูเสียงดัง เงยศีรษะกระแทกตัวเองพิงกับประตูห้อง เหมือนน้ำตารื้นขึ้นมาคลออยู่ที่ขอบตา เขาไม่รู้จะทำอย่างไรกับตัวเองดี ถ้าทำตามที่พ่อต้องการ เขาคงมีชีวิตที่ไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต ตั้งแต่เล็ก สิ่งที่เขาชอบ ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง การเล่นดนตรี การเล่นกีฬา บาสเก็ตบอลเป็นกีฬาที่เขาชอบมากที่สุด แต่ทุกสิ่งที่เขาชอบพ่อไม่เคยเห็นด้วยแม้แต่อย่างเดียว สิ่งพ่อต้องการคือ ต้องเรียนเก่ง ได้คะแนนดีเท่านั้น พ่อไม่เคยถามเขาซักคำว่า ชอบอะไรไม่ชอบอะไร มีแต่กำหนดให้ต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้มาตลอด พ่อจะแต่งงานใหม่ จะเอาใครไม่รู้มาอยู่ในบ้าน พ่อยังไม่เคยถามเขาซักคำเลย แต่ก่อนยังมีแม่ที่คอยสนับสนุนให้ทำสิ่งที่เขาอยากทำ ในสิ่งที่เขารักบ้าง แม่จะคอยปลอบประโลมเป็นที่พักพิงหัวใจให้กับเขาเสมอ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว....เขารู้สึกคิดถึงแม่มาก.... อยากกอดแม่เหลือเกิน...แต่ไม่รู้จะไปหาแม่ได้ที่ไหน...
หนุ่มผมยาวเดินมานั่งลงที่เตียงนอน พลางถอนหายใจยาว กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ตามผนังห้องเต็มไปด้วยรูปของคนที่เขารักที่สุด เขาโกรธและเสียใจมากที่พ่อปลดรูปของแม่ในบ้านทุกรูปออกจนหมด จึงนำมาติดไว้ในห้องของเขาแทน ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบรูปของคนที่เขาแสนคิดถึงขึ้นมาดู ไล่นิ้วมือเบา ๆ ไปตามใบหน้าของแม่ที่กำลังยิ้มหวานอยู่ในรูป หลายคนบอกว่า เขายิ้มหวานเหมือนแม่มาก
อดถามตัวเองซ้ำ ๆ ไม่ได้เลย พ่อกับแม่เลิกกันเพราะอะไร? ทำไมแม่ถึงไม่มาหาเขาบ้าง ทำไมไม่เคยโทรมาหาเขาเลย ทำไมแม่ต้องเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ทำไมติดต่อแม่ไม่ได้ เป็นคำถามที่ได้แต่วนถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่มีคำตอบ ถ้าไปถามพ่อ พ่อจะโกรธมากและตวาดใส่เขาว่า อย่ามาถามและเอ่ยถึงแม่ให้ได้ยินอีก พ่อกับแม่โกรธกันเรื่องอะไรจนถึงทำให้เลิกกันได้ ทำไมพ่อที่เคยรักแม่ถึงโกรธแม่ได้มากขนาดนี้
เขาวางรูปแม่ไว้ที่เดิม แล้วเอื้อมหยิบกีต้าร์โปร่งตัวโปรดที่ตั้งพิงไว้กับโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาวางไว้ในอ้อมแขน กล้ามเนื้อบริเวณเหนือข้อศอกยังรู้สึกตึง ๆ จนต้องมองดูบาดแผลที่กำลังตกสะเก็ด ‘ยัยตัวแสบเอ๊ย!’ ใบหน้าของคนที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ลอยขึ้นมาในห้วงนึก เขาลองดีดกีต้าร์ดู มันมีผลทำให้การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อแขนไม่คล่องเท่าที่ควร แต่ไม่ถึงกับทำให้เป็นปัญหาอะไรมากนัก
กีต้าร์ตัวนี้เขารักมาก แม่บอกว่าถ้าอยากได้ ให้เก็บเงินซื้อเอง เขาใช้เวลาเป็นปีกว่าจะได้เป็นเจ้าของในราคาสองหมื่นกว่าบาท มันเหมือนเพื่อนที่อยู่กับเขาเสมอในวันที่ยิ้ม หัวเราะ หรือมีความสุข และในวันที่มีความทุกข์ ท้อ เศร้า เบื่อ ผิดหวังและเสียใจ เขาวางนิ้วยาวเรียวกรีดลงบนสายกีต้าร์เบา ๆ เพื่อนและใครต่อใครบอกว่า เขาเล่นกีต้าร์ได้ดีมากราวกับหลับตาเล่นก็ยังได้ ยกเว้นพ่อคนเดียวที่ไม่เคยชม และดูไม่พอใจทุกครั้งที่เขาเล่นดนตรี ในสายตาของพ่อมันเป็นเรื่องไร้สาระ
เสียงเพลง I JUST CALL TO SAY I LOVE YOU ดังขึ้น เขาตั้งเสียงเพลงนี้ไว้เพื่อให้เสียงโทรผ่านไลน์มีความแตกต่างจากเสียงโทรผ่านไลน์ของคนอื่น ซึ่งตอนนี้มันสามารถตั้งเสียงเรียกเข้าได้แล้ว เพลงนี้เป็นเพลงโปรดของแม่ เขาจะร้องเพลงและเล่นเพลงนี้ให้แม่ฟังเป็นประจำ หนุ่มหน้ามนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย เพื่อนที่นัดกันซ้อมร้องเพลงโทรเข้ามา
“วันนี้บ่ายสอง อย่าลืมมาซ้อมร้องเพลงด้วยล่ะ รับงานเขาไว้แล้ว มะรืนต้องไปเล่นแล้วนะ”
“ได้เลย ไม่ลืมหรอก” ปฏิการย้ำให้เพื่อนสบายใจ เขาอยากหาเรื่องออกจากบ้านอยู่แล้ว
“แล้วเจอกัน” เขากดวางสาย แล้วเหลือบดูเวลา ยังพอมีเวลาเหลือเวลาอีกไม่เกินชั่วโมงที่ต้องออกจากบ้านได้แล้ว
บนหน้าจอโทรศัพท์โชว์ไอคอนไลน์อยู่ด้านบนสุด แสดงว่ามีข้อความเข้า เพื่อนใหม่ที่ประกวดร้องเพลงด้วยกันส่งข้อความมาถามว่า รอบหน้าเขาจะร้องเพลงอะไร และจะต้องร้องเพลงคู่กับเธอด้วย
“ยังไม่ได้คิดเลยครับ” เขาตอบกลับไป ใบหน้าเพื่อนใหม่ลอยขึ้นมาในห้วงนึก เธอเป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ดูอ่อนหวาน สดใสและขี้อ้อน มีน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร น้ำเสียงของเธอหวานและใสมาก ที่สำคัญเป็นรุ่นน้องที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันเสียด้วย
“แล้วน้องปลาคิดจะร้องเพลงอะไรครับ” เขาถามกลับ
“ไม่บอกค่ะ” เธอส่งตัวการ์ตูนน่ารักกำลังส่ายหน้ามาให้ ข้อความนั้นทำให้คนอ่านต้องอมยิ้มน้อย ๆ
“ไว้พี่คิดออกแล้วจะบอกนะ ของพี่ไม่เป็นความลับหรอก”
อีกฝ่ายส่งตัวการ์ตูนเป็นรูปโอเคค่ะสีสันแสบตามาให้
หนุ่มหน้าหวานเลื่อนดูข้อความของเพื่อน ๆ แต่เขากดเลือกอ่านข้อความของปรามเป็นอันดับแรก
“ถึงบ้านหรือยัง” ปรามส่งข้อความมา
“ถึงแล้ว ร่างกายอยู่ครบสามสิบสอง” เขาตอบขำ ๆ
“คงไม่โดนพ่อแพ่นกะบาลใช่ไหม”
“เกือบแล้ว”
“อย่าลืม...พูดกับพ่อดี ๆ ด้วยนะ” เพื่อนรักมักจะคอยเตือนสติเขาเสมอ
“จะพยายามกวน” ใบหน้าหนุ่มหน้าหวานนั้นมีรอยยิ้มแต้มอยู่ขณะกดพิมพ์ข้อความ พลางส่งตัวการ์ตูนกำลังหัวเราะส่งไปให้เพื่อน
ปรามส่งรูปการ์ตูนเป็นรูปปวดกะบาลมาให้
ปฏิการหยุดพิมพ์เว้นระยะครู่หนึ่ง ก่อนจะพิมพ์ต่อแล้วกดส่ง
“ให้น้อยที่สุด”
อีกฝ่ายจึงส่งตัวการ์ตูนเป็นคำว่า สุดยอดกลับมา
“แล้วหยุดถ่ายหรือยัง”
“หยุดแล้ว ขมิ้นชันได้ผลดีเหมือนกันนะ”
ปรามส่งสติ๊กเกอร์คำว่า โอเค ก่อนจบการสนทนา
ปฏิการไล่ดูข้อความของเพื่อน ๆ ที่ส่งถึงเขาจนหมด มีอาจารย์ที่ปรึกษาส่งข้อความมาบอกว่า วิชาที่เขาติดเอ็ฟอยู่จะเปิดสอนเทอมหน้านี้ เขาถามอาจารย์ว่า ถ้าอยากย้ายสาขาไปเรียนสาขาอื่นได้ไหม อาจารย์ตอบว่า จะไปถามฝ่ายทะเบียนมาให้ เขาดร็อปการเรียนไว้หนึ่งปี ถ้าพ่อรู้คงโดนด่าแน่ ๆ แล้วเลื่อนลงไปล่างสุด เพื่อหาข้อความที่เขาส่งถึงน้องสาวของปรามซึ่งได้ขอไว้ตอนไปส่งของให้เธอ ข้อความที่เขาส่งไปนั้น นอกจากข้อความแรก ๆ ซึ่งเกี่ยวกับการส่งของให้ลูกค้าของเธอที่ปรากฏคำว่าอ่านแล้ว นอกนั้นเธอยังไม่อ่านแม้แต่ข้อความเดียว
“ยัยตัวแสบเอ๊ย” เขายกนิ้วชี้ขึ้นมากัดเล็บเบา ๆ อย่างใช้ความคิด อยากกวนประสาทเธอ แต่เล่นไม่ตอบแบบนี้ไม่สนุกเลย แล้วจะกวนประสาทเธออย่างไรเล่า.... งั้นโทรไปแกล้งดีกว่า รอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปาก สมองพยายามคิดหาข้ออ้างที่ต้องโทรไปหาให้ดูสมเหตุสมผล และสำคัญมากพอที่จะโทรไป ชายหนุ่มดีดนิ้วอย่างนึกอะไรออก ยกมือหยิบผ้าเช็ดหน้ารูปปลาโลมาสีฟ้ากำลังยิ้มออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตสีขาว เขาหาเหตุผลที่จะโทรไปหาเธอได้แล้ว รีบยกกีต้าร์ออกจากอ้อมแขนวางลงไว้ข้างเตียงเหมือนเดิม
หนุ่มหน้าหวานกดปุ่มเปิดลำโพง เมื่อกดโทรออก แล้วนั่งมองโทรศัพท์ในมือ เสียงสัญญาณโทรศัพท์กำลังต่อสายไปยังเบอร์ปลายทาง เขานั่งรอเธอรับสายอยู่นานแล้ว แต่เธอยังไม่ยอมรับสาย จึงวางโทรศัพท์ลงกับพื้นเตียง ก่อนล้มตัวลงนอนคว่ำ เงยหน้าขึ้นมา ยกมือเท้าคางรอเธอรับโทรศัพท์ สายตายังจดจ่ออยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ รอยยิ้มบนใบหน้าค่อย ๆ เลือนหายไป กลายเป็นขมวดคิ้วย่น และบูดบึ้งแทน เพราะอีกฝ่ายยังไม่ยอมรับสายเสียที
“รับสิ!”
“ทำไมไม่รับสาย!”
เขากดวางสายอย่างหงุดหงิด แล้วกดโทรใหม่อีกครั้ง ก่อนพลิกตัวนอนหงาย ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู เสียงสัญญาณโทรออกยังคงดังอยู่ แต่ไม่มีคนรับสายอยู่ดี เขาพยายามคิดถึงเหตุผลที่เธอยังไม่ยอมรับสาย เธอคงเรียนอยู่แน่เลย แล้วรีบกดวางสาย ไว้ตอนเย็นค่อยโทรไปแกล้งใหม่ก็ได้ รอยยิ้มค่อย ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากอีกครั้ง
ปฏิการมองเวลา แล้วลุกขึ้นจากเตียงได้เวลาที่ควรออกจากบ้าน หยิบกีต้าร์ตัวโปรดใส่กระเป๋าหนังสีดำ ดึงสายคล้องเข้ากับตัวเองสะพายกีต้าร์ไว้ด้านหลัง เดินออกจากห้อง ลงบันไดแล้วเดินผ่านห้องรับแขก สองเท้าของเขาชะงักเล็กน้อย ค่อย ๆ ชะโงกหน้ามองดูในห้องรับแขกไม่มีใครอยู่แล้ว ทางสะดวกเลย เขารีบเดินตรงไปที่ประตูบ้านอย่างรวดเร็ว ขณะที่นั่งลงสวมรองเท้าผ้าใบ สายตานั้นมองไม่เห็นกระถางดอกกุหลาบที่เคยตั้งอยู่ข้างชั้นวางรองเท้าหน้าบ้าน เป็นดอกไม้ที่แม่ของเขาปลูกไว้ เขาชอบมองและยิ้มให้ทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน เหมือนเป็นตัวแทนของแม่ แต่ตอนนี้มันไม่อยู่แล้ว มันหายไปไหน? ทำไมของที่เป็นตัวแทนของแม่จะต้องอันตรธานหายไปทุกอย่าง เขารู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที โกรธผู้หญิงคนนั้นที่เข้ามาแย่งทุกอย่างไปจากเขา
**************************
เมื่อรถมอร์เตอร์ไซด์จอดสนิท ปฏิการดับเครื่องแล้วดึงกุญแจรถออกมาใส่กระเป๋ากางเกงยีนสีซีด สองมือถอดหมวกกันน็อกออกวางไว้ที่หน้ารถมอร์เตอร์ไซด์ แล้วก้าวลงจากรถ ยกข้อมือขึ้นดูเวลา เขามาถึงที่นัดหมายก่อนเวลาเกือบชั่วโมง เงยหน้ามองอาคารตรงหน้า ก่อนก้าวเท้าเข้าในอาคารเดินตรงไปยังห้องชมรมดนตรี ในห้องยังว่างเปล่า ยังไม่มีใครมาซักคน แม้แต่คนนัดก็ตาม เขาดึงสายสะพายกีตาร์ออกจากตัว แล้ววางพิงไว้กับโต๊ะไม้ริมหน้าต่าง เลื่อนเก้าอี้พลาสติกสีน้ำเงินมาใกล้โต๊ะไม้ก่อนจะนั่งลง เอนหลังพิงพนักอย่างสบาย สายตามองออกไปด้านนอกมองเห็นสนามหญ้าสีเขียวสด ต้นเฟื่องฟ้ากำลังออกดอกสีชมพูสลับกับสีขาวพราวเต็มต้น เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหายัยตัวแสบเป็นค่าเวลา มืออีกข้างวางอยู่บนโต๊ะเคาะโต๊ะไม้เบา ๆ
เมื่อเสียงรอสายหยุดลง ริมฝีปากบางได้รูปนั้นโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างดีใจ เธอรับสายแล้ว
“ฮัลโหล” เสียงปลายสายตอบกลับมา หลังจากที่เธอกดวางสายไม่รู้กี่รอบ จนหงุดหงิด เขาจะโทรมาอะไรกันนักหนานะ! จึงตัดสินใจรับสาย เขาอาจจะมีเรื่องสำคัญก็ได้
“นี่! กดสายทิ้งทำไม” หนุ่มผมยาวอดต่อว่าเธอไม่ได้
“มีอะไรคะ” น้ำเสียงนั้นดูรำคาญไม่น้อย
“ไม่มีจะโทรหาเหรอ?” แม้น้ำเสียงของชายหนุ่มจะห้วนแต่สีหน้านั้นอมยิ้มตลอดเวลาที่ได้แกล้งคน
ความคิดเห็น