คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : องครักษ์แห่งเบเนดิคกับการตามหาเจ้าหญิง
หลังจากที่องครักษ์ของเจ้าหญิงแห่งเบเนดิคช่วยเจ้าหญิงเฟรนลี่ฝ่าวงล้อมของเหล่ากบฏที่ยึดอำนาจราชบัลลังก์ หนีออกมาจากปราสาทเบนติน่าได้สำเร็จ เขาพาเจ้าหญิงมาหลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งของป่าเคนาฟด้านทิศตะวันออก
ซึ่งเป็นแนวป่าดงดิบที่กั้นเขตแดนระหว่างอาณาจักรเบเนดิคที่ปกครองดินแดนทั้งหมดทางตอนใต้ ซึ่งมีภูมิอากาศร้อนชื้น กับอาณาจักรเรียวนั้นปกครองดินแดนทั้งหมดทางตอนเหนือ
มีภูมิอากาศหนาวเย็น
บนเทือกเขาอันสลับซับซ้อนเรียงตัวทอดยาวนั้นถูกปกคลุมด้วยหิมะ โดยมีแม่น้ำทอลกั้นเป็นเส้นเขตแดน อีกด้านหนึ่งของแม่น้ำทอล เป็นช่องแคบ
มีแนวโขดหินน้อยใหญ่เรียงตัวขวางลำน้ำอยู่ สามารถข้ามฝั่งไปอีกด้านหนึ่งได้ ซึ่งจะเข้าสู่เขตดินแดนของอาณาจักรเรียว
องครักษ์หนุ่มในชุดสีน้ำตาลเข้มวิ่งมาหยุดหอบอยู่ริมฝั่งแม่น้ำทอล
ผมหยักโศกสีทองถูกรวบไว้ด้านทางหลังมัดด้วยเชือกป่าน ลมจากแม่น้ำพัดปอยผมด้านหน้าลู่ไปทางด้านหลัง
เผยให้เห็นสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงกังวล เมื่อเจ้าหญิงแห่งเบเนดิคหายตัวออกไปจากถ้ำในวันที่ผู้อ่านคาถาจะปรากฏตัวตามคำทำนาย เขาออกตามหาเจ้าหญิงเฟรนลี่มาตลอดเจ็ดวันแล้ว แต่ยังไม่พบเธอ รู้สึกโกรธตัวเองนักที่ดันมาป่วยไข้เอาตอนนี้ แม้จะยังไม่หายป่วยดี แต่เขาจะมัวนอนป่วยต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
ดวงตาสีอำพันของบุรุษผมทองจ้องมองปลอกรัดข้อมือโลหะสีเงินบนข้อมือซ้าย
ยกขึ้นต้องแสงแดดยามสาย
เกิดแสงสะท้อนเลื่อมเงาวาววับเป็นประกาย
ทำให้เขาผ่อนคลายความกังวลใจลงเล็กน้อย
นั่นหมายถึงสัญณาณบ่งบอกว่าเจ้าหญิงแห่งเบเนดิคยังมีชีวิตอยู่ แต่ทว่าเม็ดทับทิมสีเลือดที่ประดับบนปลอกรัดข้อมือยังหม่นหมองอับแสงอยู่
ไม่เป็นประกายเจิดจรัสเหมือนตอนที่เจ้าหญิงเฟรนลี่อยู่ใกล้ ๆ แสดงว่า
เจ้าหญิงอยู่ไกลเกินไป
จนปลอกรัดข้อมือสีเงินไม่อาจรับสัญญาณจากกำไลเงินของเจ้าหญิงได้ เขาวิ่งตามหาเจ้าหญิงจนทั่วป่าเคนาฟ แต่เม็ดทับทิมสีเลือดก็ไม่เคยเปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นเลยซักครั้ง
‘หรือว่าเจ้าหญิงทำกำไลเงินหล่นหายไป จึงไม่สามารถรับสัญญาณได้’ องครักษ์หนุ่มพยายามครุ่นคิดถึงสาเหตุ แล้วส่ายศีรษะไปมา มันเป็นไปไม่ได้อยู่ดี เพราะกำไลเงินของเจ้าหญิงเฟรนลี่นั้นถูกลงคาถาเวทย์มนต์เอาไว้ เมื่อใส่แล้วจะไม่มีทางถอดออกได้
บีวาร์ตัดสินใจเดินข้ามโขดหินน้อยใหญ่ที่วางเรียงรายขวางลำน้ำผ่านช่องแคบของแม่น้ำทอล เข้าเขตป่าเคนาฟของอาณาจักรเรียว
ซึ่งเป็นที่ซ่องสุ่มกำลังของพวกโจรกบฏริกเกอร์
เขามั่นใจว่าเจ้าหญิงจะต้องข้ามฝั่งเข้าสู่เขตแดนอาณาจักรเรียวแล้ว แม้ว่าตอนนี้เม็ดทับทิมสีเลือดบนปลอกรัดข้อมือโลหะสีเงินจะยังคงอับแสงอยู่ก็ตาม
แวบหนึ่งที่ความรู้สึกโกรธพุ่งขึ้นมาในจิตใจขององครักษ์แห่งเบเนดิค รู้สึกอยากจะโกรธเจ้าหญิงเฟรนลี่จริง ๆ แม้ว่าเขาจะเคยทั้งขอร้อง ทั้งห้ามปราม
ทั้งขู่เข็น ว่าตลอดเจ็ดวัน ที่ฝนกำลังตกหนักเจ็ดวันเจ็ดคืนนั้น ห้ามเจ้าหญิงออกมาจากถ้ำเด็ดขาด ขอให้รอจนกว่าฝนจะหยุดตกแล้ว
อีกห้าวันค่อยออกจากถ้ำ แต่เจ้าหญิงก็ไม่เคยเชื่อ ทั้ง ๆ ที่รับปากรับคำเป็นอย่างดี แอบหนีออกมาเที่ยวเล่นจนได้ เหมือนตอนเด็ก ๆ ไม่มีผิด องครักษ์อย่างเขาต้องคอยตามหาตัวเจ้าหญิงตั้งแต่เล็กจนโต ถึงแม้ว่าเขาจะหาตัวเจ้าหญิงเจอทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ผ่านมาเจ็ดวันเข้าไปแล้ว เขากลับยังหาเจ้าหญิงไม่พบ มันทำให้เขาไม่สบายใจและเครียดหนัก เพราะเหตุการณ์ก่อกบฏที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ รวมทั้งการปรากฏตัวของผู้อ่านคาถาตามคำทำนาย รอบตัวเจ้าหญิงจึงเต็มไปด้วยภยันอันตราย
องครักษ์แห่งเบเนดิคยื่นมือเด็ดดอกไม้ริมแม่น้ำทอลขึ้นมาเพื่อดูดกินน้ำหวานจากดอกไม้นั้น มันช่วยให้เขารู้สึกมีพละกำลัง ทั้งยังรักษาอาการเจ็บป่วยได้ดี คิดแล้วเขาก็โกรธเจ้าหญิงไม่ลง
เป็นเพราะเขาป่วยแท้ ๆ
เจ้าหญิงจึงต้องออกไปหาอาหารด้วยตนเอง
หาดอกไม้มาเป็นอาหารสำหรับเขา เพื่อรักษาอาการป่วยและบาดเจ็บข้างในที่ยังไม่หายดี
ก่อนที่เจ้าหญิงเฟรนลี่จะออกไปจากถ้ำครั้งสุดท้ายเหมือนได้ยินเสียงของเธอ
“บีวาร์ ข้าจะออกไปหาดอกไม้มาให้เจ้า ขอโทษที่ต้องผิดสัญญา
แต่ข้าจะทนเห็นเจ้านอนป่วยโดยไม่ทำอะไรเลยไม่ได้ ดอกไม้แถวนี้ข้าก็เก็บจนหมดแล้ว ข้าจะรีบกลับมา เจ้าดูแลข้ามาตลอดตั้งแต่เล็ก ขอให้ข้าได้ทำเพื่อเจ้า ได้ดูแลเจ้าบ้าง"
วันที่ผู้อ่านคาถาจะปรากฏตัวตามคำทำนาย
เขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงร้องตะโกนของเจ้าหญิงเรียกชื่อของเขา เหมือนกำลังได้รับอันตรายจนเขาสะดุ้งตื่น องครักษ์หนุ่มรีบลุกขึ้นเพื่อออกตามหาเจ้าหญิงเฟรนลี่ทันที แต่ทว่าพยายามจะก้าวเท้าวิ่งออกไป แต่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว ร่างของเขาก็ทรุดฮวบลงสลบหมดสติ หมดเรี่ยวแรงอยู่ตรงหน้าถ้ำนั้นเอง
มดน้อยสีแดงไต่มาตามลำแขนแข็งแรงขององครักษ์แห่งเบเนดิค ดวงตาสีอำพันจ้องมองมดน้อยตัวนั้นอย่างช่างใจ ก่อนเอานิ้วปัดมันออกอย่างแผ่วเบา แม้เขาจะไม่ชอบมดเอาเสียเลย และต้องฆ่ามดทุกครั้งที่ได้เจอ แต่ในป่าแห่งนี้ หากเขาฆ่าสัตว์ตัวใดตายลง ความอาฆาตพยาบาทของสัตว์นั้น ๆ จะก่อร่างสร้างตัว
เกิดการแบ่งตัวขยายตัวใหญ่ขึ้นมีพละกำลังมหาศาลตามอำนาจของความอาฆาตแค้น ผูกพยาบาทจนไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้นหากเขาต้องการอยู่อย่างสงบ เขาไม่ควรทำร้ายหรือฆ่าสัตว์ตัวไหนในป่าต้องคำสาปแห่งนี้
เขารู้สึกคิดถึงเจ้าหญิงแห่งเบเนดิคเหลือเกิน หากอยู่ต่อหน้าเจ้าหญิง เขาจะไม่กล้าฆ่าสัตว์ใด ๆ โดยเด็ดขาด
เพราะเจ้าหญิงจะโกรธ
และต้องห้ามปรามทุกครั้งไป
“ท่านพ่อ ข้าไม่รู้เจ้าหญิงหายตัวไปไหน ข้าหาจนทั่วป่าแล้วก็ไม่พบ ข้าขอโทษ
โปรดช่วยนำทางข้าด้วย” บีวาร์นึกถึงบิดาผู้มีอำนาจหยั่งรู้ทำนายโชคชะตาฟ้าดิน
คำสั่งของบิดา ที่คอยบอกเขาเสมอว่า เขามีหน้าที่ปกป้องคุ้มครอง ดูแลเจ้าหญิงเบสเฟลโล่ เฟรนลี่
ลิเบอร่า ด้วยชีวิต โดยเฉพาะกลางเดือนหกของปีนี้ ห้ามเจ้าหญิงเดินทางเข้าป่าไปทางทิศตะวันออกเด็ดขาด
เพราะเป็นสถานที่ที่ผู้อ่านคาถาจะปรากฏตัวตามคำทำทาย แต่เมื่อเกิดการก่อกบฏขึ้น มันสุดวิสัยจนเขาต้องพาเจ้าหญิงหนีไปหลบซ่อนตัวในป่าทางทิศตะวันออกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมีเพียงป่าต้องคำสาปแห่งนี้เท่านั้นที่ปลอดภัยที่สุด เหล่าทหารกบฏจะไม่กล้าย่างกรายเข้ามาที่นี่ หรือมันเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตแล้ว ให้เจ้าหญิงเฟรนลี่ต้องปรากฏตัวตามคำทำนายในฐานะผู้อ่านคาถา
องค์ราชาแห่งเบเนดิคกลุ้มใจอย่างมากเมื่อได้รู้คำทำนายถึงอนาคตของเจ้าหญิงเฟรนลี่ จะกลายเป็นผู้อ่านคาถา จึงสั่งปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ห้ามมิให้ผู้ใดล่วงรู้โดยเด็ดขาด หรือแม้แต่เจ้าหญิงเฟรนลี่ก็ให้รู้ไม่ได้ รวมถึงคำสั่งให้เก็บหนังสือภาษาโบราณต่าง ๆ
ไว้ในห้องคำคีร์แล้วล็อคกุญแจอย่างแน่นหนา ห้ามผู้ใดเข้าออกโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเคร่งครัด
แต่กระนั้นเจ้าหญิงเฟรนลี่กลับสนใจตัวอักษรโบราณตามโบราณสถานและโบราณวัตถุแทน บีวาร์อดแปลกใจไม่ได้ที่เหล่าขุนพลทหารใหญ่กล้ากระทำการก่อกบฏอย่างอุกอาจเช่นนี้ หรือว่ามีคนล่วงรู้ความลับเกี่ยวกับเจ้าหญิงเฟรนลี่เป็นผู้อ่านคาถาตามคำทำนาย จึงทำการก่อกบฏเพื่อหวังแย่งชิงตัวเจ้าหญิงไป
ด้วยความรักขององค์ราชาแห่งเบเนดิคที่มีต่อเจ้าหญิงเฟรนลี่ พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องเจ้าหญิง
จึงตัดสินใจให้เจ้าหญิงเฟรนลี่หมั้นหมายกับเจ้าชายแห่งเรียวตั้งแต่เยาว์วัย เพราะได้ตรวจดูดวงชะตาของเจ้าชายเรียว แรร์เน็ส
อเมนิท มีดวงชะตาที่คอยปกปักษ์รักษาดวงชะตาของเจ้าหญิงเฟรนลี่ ถ้าหากไม่เกิดกบฏขึ้นเสียก่อน พิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าหญิงเบสเฟลโล่ เฟลนรี่
ลิเบอร่า กับเจ้าชายแห่งเรียว แรร์เน็ส อเมนิท
จะต้องเกิดขึ้นก่อนผู้อ่านคาถาจะปรากฏตัวตามคำทำนายอย่างแน่นอน
บีวาร์ได้รับคำสั่งให้รีบนำสารไปส่งองค์ราชาแห่งเรียวถึงการจัดงานพิธีอภิเษกสมรส มีโอกาสได้เห็นเจ้าชาย
พวกเหล่าทรราชจึงถือโอกาสช่วงที่องครักษ์ของเจ้าหญิงไม่อยู่
ทำการก่อกบฏยึดอำนาจจากองค์ราชาแห่งเบเนดิค หากเขากลับมาช้ากว่านี้
คงไม่อาจช่วยเจ้าหญิงเฟรนลี่หนีรอดออกมาได้
บีวาร์ส่ายศรีษะไปมา
อย่างคิดไม่ตก พลางถอนหายใจ ไม่อยากจะเชื่อเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นตามคำทำนายไว้แล้วไม่มีผิด ทำไมเจ้าหญิงเฟรนลี่ผู้อ่อนโยน จิตใจดี มีเมตตาจะต้องกลายเป็นผู้อ่านคาถาตามคำทำนายไปได้ แม้ว่าในวัยเยาว์นั้น
หากเจ้าหญิงไม่แอบไปเที่ยวเล่นซุกซนที่ไหน
ก็จะชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ
โดยเฉพาะภาษาโบราณต่าง ๆ ที่หลงใหลเป็นพิเศษ ต่อไปนี้ชีวิตของเจ้าหญิงเบสเฟลโล่
เฟรนลี่ ลิเบอร่า จะเป็นเช่นไร
จะต้องพบเจอกับอะไร
เพราะดาบทองสีรุ้ง ดาบวิเศษในตำนาน
ที่เหล่านักรบผู้ปกครองแคว้นทั้งหลายต่างอยากได้เสียเหลือเกิน ส่งสายสืบออกค้นหา และตามหาดาบทองสีรุ้งอย่างลับ
ๆ มาตลอด
‘หรือว่า...เจ้าหญิงเฟรนลี่
จะเดินทางไปพบพระคู่หมั้นเพื่อขอความช่วยเหลือ’
เขาเคยแนะนำเจ้าหญิงอย่างนั้น แต่ทว่าเจ้าหญิงเฟรนลี่ปฏิเสธ และไม่เห็นด้วย เพราะไม่คุ้นเคยกับพระคู่หมั้น เหมือนคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำไป อยู่ ๆ จะให้ไปขอความช่วยเหลือได้อย่างไร องครักษ์หนุ่มถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีกอย่างกลัดกลุ้ม มันจึงไม่น่าจะเป็นไปได้ เรื่องสำคัญอย่างนี้เจ้าหญิงไม่น่าตัดสินใจหุนหันไปเพียงลำพังคนเดียว รวมทั้งไม่เคยถามถึงพระคู่หมั้นเลย แม้แต่ชื่อพระคู่หมั้นก็ยังจำไม่ได้ อย่าได้ถามถึงพระคู่หมั้นเด็ดขาด เพราะเจ้าหญิงเฟรนลี่จะไม่พอใจอย่างมาก
ที่ตัวเองต้องถูกบังคับให้หมั้นหมายตั้งแต่ยังเด็ก ไม่อาจเลือกคู่ชีวิตด้วยตนเองได้ ที่สำคัญไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องรีบจัดพิธีอภิเษกอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้
บีวาร์กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้สูงใหญ่เมื่อสัมผัสได้ว่า มีคนจำนวนหลายคนกำลังเดินตรงมาในระยะใกล้ ครู่หนึ่งสมุนโจรริกเกอร์ห้าหกคนกำลังเดินผ่านมา องครักษ์แห่งเบเนดิคยังไม่อยากปะทะกับใครโดยไม่จำเป็น
เนื่องจากอาการบาดเจ็บภายในยังต้องพักฟื้นอีกระยะหนึ่ง
“ตรวจตราให้ดี ใกล้วันพิธีเซค์เข้าไปทุกทีแล้ว”
หัวหน้าโจรสั่งสมุนโจรเดินดาหน้าตรวจตราทุกพื้นที่ของป่าเคนาฟอย่างเข้มงวด เนื่องจากใกล้วันประกอบพิธีสำคัญ แม้ว่าบริเวณนี้จะเป็นชายป่าด้านนอกของป่าเคนาฟ ซึ่งยังไม่เข้าเขตพื้นที่ของค่ายโจรกบฏริเกอร์ก็ตาม
องครักษ์หนุ่มอดสงสัยไม่ได้ว่า
เจ้าชายแรร์เน็สได้นำกำลังพลมาปราบโจรกบฏริเกอร์ที่ชายแดนแล้ว เพราะเหตุใดพวกโจรจึงยังสามารถยึดพื้นที่ของป่าเคนาฟอยู่ ถึงออกตระเวนตรวจตราโดยรอบของป่าเคนาฟเช่นนี้ เจ้าชายแห่งเรียวสามารถปราบกบฏได้สำเร็จหรือไม่ มันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าชายกันแน่
เมื่อพวกโจรเดินหายลับไปไกลแล้วจึงกระโดดลงมาจากต้นไม้
รีบเดินทางต่อไปทันที
เดินทางต่อมาได้ไม่นาน
เขาสัมผัสได้ถึงความหนาแน่นของอากาศที่กำลังผิดปกติ รีบแอบซ่อนตัวเข้าหลังพุ่มไม้ใบหนาทันที
ครู่หนึ่งในอากาศเกิดควันสีม่วงอมเทาก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อควันสีม่วงอมเทานั้นจางหายไปปรากฏร่างของหญิงสาวชุดสีม่วงเข้มทรุดตัวฟุบอยู่บนพื้นดิน ร่างนั้นหายใจหอบถี่ ๆ เหมือนเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน เมื่อหญิงนั้นเงยหน้าขึ้นมองเห็นรอยเลือดแดงเข้มไหลออกมาตามมุมริมปากสีม่วงเข้มนั้น
เธอกัดริมฝีปากแน่นราวกับพยายามข่มความเจ็บปวดภายใน ก่อนจะค่อย ๆ ขยับตัวพยุงตัวเองลุกขึ้นยืน
กลุ่มควันสีน้ำเงินเข้มขมุกขมัวก่อตัวขึ้นในอากาศ แล้วจางหายไป
ปรากฏร่างของบุรุษชุดกรมท่าสีเข้มนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง มือสองข้างยกขึ้นในระดับหัวไหล่ แขนขวาทับแขนซ้าย
ศีรษะก้มลงเกือบแตะกับท่อนแขนที่ทับกันอยู่เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า
“เจ้าหญิงเทลรีน ขออภัยที่ข้ามาช้าไป ทำให้พระองค์ต้องได้รับบาดเจ็บ”
หญิงสูงศักดิ์แห่งเดเวด้าหรี่สายตาจ้องมองบุรุษที่อยู่เบื้องหน้าอย่างแปลกใจ
“วอเซน...”
“เจ้าตามข้ามาทำไม”
หญิงสาวแค่นเสียงถามด้วยน้ำเสียงต่ำ ๆ อย่างไม่ค่อยพอใจ
“ท่านแดเรนเป็นห่วงเจ้าหญิงเทลรีนมาก
จึงสั่งให้ข้าตามท่านมา” องครักษ์แห่งเดเวด้าเงยหน้าขึ้นมองเจ้าหญิง แล้วลุกขึ้นยืนก่อนโค้งคำนับอีกครั้ง สายตานิ่งงันอันเฉยชาเป็นนิสัย แต่ในเวลานี้ดูห่วงใยคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ไม่น้อย
ลิ่มเลือดปะทุขึ้นมาอีก เลือดสีแดงไหลออกมาตามมุมริมฝีปากสีม่วงเข้มนั้น
แม้เจ้าหญิงเทลรีนจะพยายามจะกดข่มความเจ็บปวดนั้นเอาไว้ พลางยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก
องครักษ์หนุ่มขยับตัวเข้าไปใกล้อย่างร้อนใจเมื่อเห็นอาการของเจ้าหญิงแห่งเดเวด้านั้นบาดเจ็บไม่น้อย แต่ทว่าเจ้าหญิงชุดสีม่วงเข้มยกมือขึ้นปรามเอาไว้
“พระองค์....พบผู้อ่านคาถาแล้วหรือ” เมื่อเห็นเจ้าหญิงเทลรีนบาดเจ็บถึงเพียงนี้ จะต้องมีการต่อสู้กันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน การจะชิงตัวผู้อ่านคาถาคงไม่ใช่เรื่องง่ายดายอย่างที่เคยคาดคิดไว้
“แรร์เน็สเป็นผู้ปกป้องผู้อ่านคาถา” เจ้าหญิงเทลรีนตอบ
คิ้วเข้มขององครักษ์หนุ่มขมวดเข้าหากันทันทีด้วยความแปลกใจเป็นที่สุด
“แรร์เน็สยังไม่ตายจากการไปปราบกบฏริกเกอร์อีกหรือ?”
เขาได้รับรายงานจากสายลับของเขาว่า
เจ้าชายแรร์เน็สนั้นได้จบชีวิตลงแล้วในป่าเคนาฟแห่งนี้ เมื่อนำกำลังพลบุกโจมตีค่ายโจรกบฏริกเกอร์ ด้วยหลงกลลวงของข้าศึกศัตรูที่เชี่ยวชาญสมรภูมิมากกว่า พลทหารน้อยนิดเพียงห้าร้อยคนจะต่อสู้กับเหล่าทหารโจรที่มีนับพัน ๆ คนได้อย่างไร เหมือนจงใจให้มาตายมากกว่า จึงไม่มีพลทหารคนไหนรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว
“ข้าเกือบจะพาตัวผู้อ่านคาถามาได้แล้ว เหมือนมันมีอะไรซักอย่างบีบวิญญาณของข้าให้ออกจากร่างผู้อ่านคาถา” น้ำเสียงของเจ้าหญิงนั้นเสียดายยิ่งนัก ที่การแสดงฝีมือของเธอครั้งนี้กลับล้มเหลว
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มขององครักษ์หนุ่มผู้จงรักภักดีจ้องมองเจ้าหญิงตรงหน้าอย่างห่วงใย เขารู้ดีว่าเจ้าหญิงเทลรีนนั้นดื้อดึง และใจร้อนแค่ไหน คงไม่ยอมออกจากร่างผู้อ่านคาถาง่าย ๆ จึงได้บาดเจ็บมากถึงเพียงนี้ สิ่งนั้นต้องมีพลังอำนาจไม่น้อย ถึงบีบดวงวิญญาณของเจ้าหญิงแห่งเดเวด้าออกจากร่างผู้อ่านคาถาจนได้
“เจ้าหญิงเทลรีน กลับเดเวด้าก่อนเถอะ”
เขามองใบหน้าของเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์นั้นซีดเผือดลงอย่างมาก แถมเลือดยังไหลทะลักออกมาไม่ยอมหยุด เขาไม่อาจทนดูเจ้าหญิงเทลรีนอยู่ในสภาพนี้ต่อไปได้อีกแล้ว
“ไม่!” เจ้าหญิงเทลรีนปฏิเสธด้วยน้ำเสียงแหบแห้งและแตกพร่า
“ในเมื่อพบตัวผู้อ่านคาถาแล้ว เจ้าจงไปนำตัวมาให้จงได้”
“คงไม่ใช่เวลานี้
เจ้าหญิงเทลรีน” จบคำพูดนั้น
ริมฝีปากขององครักษ์หนุ่มร่ายคาถาแห่งเวทย์มนต์แล้วเป่าใส่เจ้าหญิงชุดสีม่วงเข้มเพียงแผ่วเบา
ร่างบอบบางของเจ้าหญิงนั้นหมดสติทรุดฮวบลงในอ้อมแขนขององครักษ์แห่งเดเวด้าทันที
“ข้าต้องขออภัย เวลานี้
ข้าได้รับคำสั่งมาเพื่อปกป้องคุ้มครองพระองค์เท่านั้น และจะต้องนำพระองค์กลับไปอย่างปลอดภัย”
ควันขมุกขมัวสีน้ำเงินเข้มฟุ้งขึ้นในอากาศ ก่อนจะค่อย ๆ
จางหายไป เหลือไว้เพียงความว่างเปล่า...
“เจ้าหญิงเทลรีนแห่งเดเวด้ามาด้วยตนเองเลยหรือ”
บีวาร์กระซิบพูดกับตัวเองแผ่วเบา ไม่แปลกใจนัก
เพราะได้รับรายงานมาตลอดว่า
อาณาจักรเดเวด้าส่งคนออกค้นหาดาบทองสีรุ้ง
และติดตามหาผู้อ่านคาถามานานแล้ว
องครักษ์หนุ่มแห่งเบเนดิคขยับตัวลุกขึ้นเดินออกมาจากพุ่มไม้ใบหนานั้น รู้สึกใจชื้นขึ้น
ผ่อนคลายความวิตกกังวลใจลงอย่างมาก เมื่อได้รู้ว่า
เจ้าชายเรียว แรร์เน็ส อเมนิท ยังมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยดี และยังเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองผู้อ่านคาถาอีกด้วย ในที่สุดทั้งคู่ก็ได้พบกันเสียทีราวกับฟ้าบันดาลให้ต้องพบเจอกันจนได้ สายตาสีอำพันจ้องมองปลอกรัดข้อมือโลหะสีเงิน เม็ดทับทิมสีเลือดเรืองแสงขึ้นเล็กน้อย แสดงว่าเขามาถูกทางแล้ว เจ้าหญิงเบสเฟลโล่ เฟรนลี่
ลิเบอร่า
ต้องอยู่ไม่ไกลจากนี้
แรงกำลังที่ทำท่าจะอ่อนแรงถดถอยลง
กลับมีพละกำลังเพิ่มขึ้นมาทันทีทันใด
==========
ทุกสายตามองแผนผังงานยันต์พิธีเซค์ พิธีศักดิ์สิทธิ์ซึ่งกำลังจะมีขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า พิธีนี้จะจัดขึ้นทุกสามปี ต้องใช้หญิงสาวบริสุทธิ์ในการประกอบพิธีเพื่อเพิ่มความขลังและศักดิ์สิทธิ์ หัวหน้ากฏบริกเกอร์จะต้องทำพิธีศักดิ์สิทธิ์นี้เพื่อเพิ่มพลังอำนาจพิเศษเหนือคนปกติธรรมดาให้กับตนเอง เชื่อกันว่าหากทำพิธีนี้ติดต่อกันสิบครั้งจะมีชีวิตเป็นอมตะ และมีพละกำลังมหาศาล
ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์สี่ห้าคนระดับหัวหน้ายืนล้อมโต๊ะยาวเพื่อปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียดอีกครั้ง หลังจากได้จัดเตรียมงานพิธีสำคัญนี้มานานเป็นเดือนแล้ว ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามแผนที่วางไว้ จะเกิดความผิดพลาดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด ที่สำคัญในปีนี้พิธีเซค์จัดขึ้นเป็นครั้งที่สิบ ยิ่งต้องเพิ่มความรัดกุมระมัดระวังเป็นพิเศษ
“ใครมีปัญหาสงสัยอะไรอีกหรือไม่” เสียงมีพลังของคนที่ยืนอยู่ตรงหัวโต๊ะกวาดสายตามองไปรอบโต๊ะ เพื่อย้ำความเข้าใจอีกครั้ง
“งั้นตกลงตามนี้”
เสียงตอบรับพร้อมกันหนักแน่นดังขึ้น
“ขออนุญาติ! ท่านวาร์เดอร์” สมุนโจรเดินเข้ามาด้วยท่าทีรีบร้อน
ผู้ถูกเรียกชื่อหันไปมองต้นเสียงทันที
“เข้ามา!”
เสียงตอบรับสั้น ๆ เป็นการอนุญาติ สมุนโจรคนดังกล่าวจึงสาวเท้าเข้ามา
“เราได้พบอาวุธแบบเดิมในบริเวณที่คุมขังหญิงสาวเพื่อรอทำพิธีเซค์” ทหารโจรพูดพร้อมนำอาวุธทำจากไม้เหลาจนเรียวยาวแหลมคมมีขนาดไม่เกินสองนิ้วมามอบให้
หัวหน้าโจรหนุ่มใหญ่ขมวดคิ้วเข้มรับผ้าที่ห่ออาวุธนั้นมาพิจารณาอย่างครุ่นคิด เมื่อสองวันก่อนมีสมุนโจรสองคนโดนทำร้ายด้วยอาวุธชนิดนี้มาแล้วที่ชายป่าด้านนอกของป่าเคนาฟ แต่ครั้งนี้กลับพบในที่คุมขังหญิงสาวที่จะประกอบพิธีเซค์ สร้างความหนักใจอย่างมากให้กับหัวหน้าโจรใหญ่
“เพิ่มกำลังในการค้นหา และปิดทางเข้าออกของค่ายริกเกอร์ทุกทาง ตรวจตราอย่างเคร่งครัดทุกจุด มีอะไรคืบหน้ารีบมารายงานข้าทันที!”
“รับทราบ!” ทหารโจรรับคำหนักแน่นแล้วโค้งคำนับรีบออกไปปฏิบัติตามคำสั่ง
“พวกท่านมีความเห็นอย่างไรกันบ้าง” วาร์เดอร์หันมาถามหัวหน้าโจรด้วยกัน
“น่าแปลกใจ อาวุธชนิดนี้แค่ทำให้หมดสติไปเท่านั้น คนใช้อาวุธชนิดนี้ไม่คิดจะฆ่าพวกเรา” หนุ่มใหญ่ผิวดำเข้มเอ่ยขึ้น แววตาครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจ
“ใช่แล้ว ข้าเห็นด้วย แล้วมันจะเป็นใครกันแน่?”
“หรือว่าจะเป็นคนของอาณาจักรเรียว ส่งคนมาสอดแนมพวกเรา เรามีไส้สึกหรือเปล่า” หนุ่มร่างใหญ่ให้ความเห็น ด้วยเพราะอาณาจักรเรียวเท่านั้นที่มีกำลังเข้มแข็ง คอยส่งทหารมาปราบกบฏริเกอร์ แม้จะยังไม่เคยเอาชนะได้เลยซักครั้งก็ตาม
“หรือจะเป็นเจ้าชายแรร์เน็ส อาจจะยังไม่ตายและหนีรอดไปได้” อีกคนออกความเห็นเดาไปต่าง ๆ นา ๆ
“อืม…เราคงต้องรอดูกันต่อไป ขอบใจพวกท่านมาก แยกย้ายกันไปพักผ่อนได้”
วาร์เดอร์สรุปจบลงในที่สุด แม้การประชุมจะจบลงแล้ว แต่ในหัวสมองของหัวหน้าโจรใหญ่ยังคิดหนัก เพราะวันที่เจ้าชายแรร์เน็สนำกำลังพลเข้ามาบุกโจมตีค่ายริกเกอร์นั้น เขาเป็นคนนำกำลังสมุนโจรออกไปรบด้วยตนเองจนได้รับชัยชนะ การรบครั้งนั้นเขายังจำมันได้ดี ยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจของขุนโจรหนุ่ม เขาเองอดเลื่อมใสในความเป็นนักรบผู้กล้าแห่งเรียวของเจ้าชายแรร์เน็สไม่ได้
“วาร์เดอร์
ช่วงนี้เจ้าต้องเหนื่อยหน่อยนะ” หัวหน้าโจรกบฏริกเกอร์เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของหัวหน้าโจรฝ่ายขวา
วาร์เดอร์ค้อมตัวลงต่ำเพื่อทำความเคารพ
“ข้าฝากเจ้าช่วยดูแลการจัดเตรียมพิธีเซค์ที่กำลังจะมีขึ้นด้วยนะ มันมีความสำคัญกับข้าอย่างมาก”
หัวหน้าโจรกบฏริกเกอร์ยกมือตบต้นแขนขุนโจรหนุ่ม ดวงตาคมวาวสีนิลคู่นั้นมองวาร์เดอร์ด้วยความมั่นใจในฝีมือและสติปัญญา เป็นคนที่เขาไว้วางใจ รักใคร่เอ็นดูที่สุด
ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังแม้แต่ครั้งเดียว
“ท่านริกเกอร์ ข้าจะทำเต็มความสามารถอย่างดีที่สุด” หัวหน้าโจรฝ่ายขวาค้อมตัวลงโค้งคำนับเพื่อทำความเคารพอีกครั้ง เขาสำนึกในบุญคุณของหัวหน้ากบฏริกเกอร์เสมอ ถ้าเด็กกำพร้าที่ถูกนำมาทิ้งไว้กลางป่าเคนาฟคราวนั้น ไม่ได้บุรุษตรงหน้าคนนี้นำมาเลี้ยงดู เขาคงตายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ชีวิตนี้ของเขาจึงเป็นของหัวหน้ากบฏริกเกอร์เพียงผู้เดียว
“ขอบใจเจ้ามากวาร์เดอร์
เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
หัวหน้ากบฏริกเกอร์อดที่จะตื่นเต้นยินดีไม่ได้ สิ่งที่เขาปรารถนารอมานานกว่าสามสิบปี กำลังจะเป็นจริงในไม่ช้านี้ อีกเพียงสามวันเท่านั้น
เมื่อเขาทำพิธีเซค์จบสิ้นลง
เขาจะกลายเป็นอมตะ มีพลังมหาศาลเหนือผู้ใด
แม้แต่ปีศาจหิมะก็ไม่แน่ว่าจะสู้กับเขาชนะได้
“ปีศาจหิมะ แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ
ที่เจ้าไม่รับข้าเป็นทายาท สืบทอดพลังเย็นจากเจ้า” ริกเกอร์แค่นเสียงกราดเกรี้ยวอยู่ในลำคอ
ครั้งหนึ่งเขาเคยไปนั่งคุกเข่าอยู่หน้าถ้ำน้ำแข็งบนเทือกเขาสูงที่เต็มไปด้วยหิมะปกคลุมทั่วทุกสารทิศ แต่ไม่ว่าจะขอร้องปิศาจหิมะอย่างไร ให้เลือกเขาเป็นทายาทผู้สืบทอดพลังเย็น แต่ปิศาจหิมะยังคงยืนยันเช่นเดิม ว่าต้องเป็นแรร์เน็สเพียงคนเดียวเท่านั้น
ที่จะมาเป็นทายาทสืบทอดพลังเย็นต่อจากเขา
“แต่ตอนนี้น่าเสียดายที่แรร์เน็สตายเสียแล้ว เจ้าคงไร้ทายาทที่จะสืบทอดพลังเย็นซะแล้ว” พลางหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ
“แล้ววันหนึ่งข้าจะไปทลายถ้ำน้ำแข็งของเจ้า ปิศาจหิมะ” ริกเกอร์ยังคงแค้นปิศาจหิมะที่กล้าปฏิเสธคนอย่างเขาได้ เขาไม่เข้าใจว่า แรร์เน็สนั้นมีคุณสมบัติใดที่คนอย่างเขาไม่มี เขามีอะไรที่สู้แรร์เน็สไม่ได้ ปิศาจหิมะจึงไม่เลือกเขาเป็นทายาท เขายังคงคาใจมาถึงทุกวันนี้
ความคิดเห็น