คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ป่าเคนาฟ ป่าเคนาฟที่ส่องสุมของโจรกบฏ
ไอเย็นจาง
ๆ แผ่กระจายออกมาจากผิวหนังทุกส่วนของเจ้าชายผมเทา เจ้าหญิงเฟรนลี่เริ่มรู้สึกหนาวขึ้นมาอย่างจับขั้วหัวใจ เกร็ดน้ำแข็งก่อตัวขึ้นบริเวณที่ร่างของเจ้าหญิงสัมผัสกับร่างของเจ้าชายแห่งเรียว ทำให้เหมือนถูกล็อคจนขยับตัวไม่ได้
“เกิดอะไรขึ้น!
เจ้าเป็นน้ำแข็งอีกแล้วเหรอ?”
เจ้าหญิงจำได้ว่า
เคยเกิดเหตุการณ์อย่างนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง
เหมือนร่างกายของบุรุษผมเทาจะมีเกราะคุ้มกันเป็นความเย็น ราวกับว่าถ้ามีสิ่งมีชีวิตเข้าใกล้เกราะคุ้มกันจะเริ่มทำงาน
เพื่อปกป้องร่างของเจ้าชาย เจ้าหญิงจ้องมองใบหน้าของเจ้าชายผมเทา วันนี้สีหน้าดูดีกว่าทุกวันที่ผ่านมา สีเทาเข้มบนใบหน้า ขอบตา
และริมฝีปากจางหายไปหมดแล้ว สีหน้าเริ่มมีสีเลือดกลับมาเป็นปกติ เจ้าหญิงเฟรนลี่พยายามขยับตัวครั้งแล้วครั้งเล่า
ก็ยังไม่สามารถขยับส่วนไหนของร่างกายออกจากตัวเจ้าชายได้เลย ที่สำคัญเจ้าหญิงเริ่มปวดคอและเมื่อยล้าเหลือเกินที่ต้องผงกหัวมองหน้าเจ้าชายอยู่อย่างนี้นานแล้ว
จะก้มหน้าลงก็ทำไม่ได้เด็ดขาด เมื่อมองเห็นใบหน้าของบุรุษผมเทาอยู่เบื้องหน้าขณะนี้
“ข้าของสั่งให้เจ้าหันหน้าไปทางอื่นเดี๋ยวนี้!!” เจ้าหญิงออกเสียงสั่งกับร่างชายหนุ่มที่หมดสติ
แต่ร่างนั้นก็หาทำตามคำสั่งไม่
“โอ๊ย!! ข้าจะไม่ไหวแล้วนะ
ข้าเป็นถึงเจ้าหญิงแห่งเบเนดิค จะให้ข้ามา.....กับเจ้าได้ยังไง เราเป็นอะไรกันมิทราบ!’
เจ้าหญิงบ่นกระปอดกระแปดอยู่คนเดียว
มองใบหน้าเย็นชาของเจ้าชายผมเทา
ช่างไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว
ไม่รู้อะไรบ้างเลย ความปวดและเมื่อยล้าต้นคออย่างมากกดใบหน้าของเจ้าหญิงให้ต้องก้มต่ำลงอย่างยอมจำนน
“ไม่...........................!!!”
เสี้ยววินาทีนั้น!!
เจ้าหญิงเฟรนลี่พยายามหันหน้าหลบให้พ้นใบหน้าของเจ้าชายแห่งเรียวให้มากที่สุด
แทบหยุดหายใจ ครู่หนึ่งหญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาสีมรกตขึ้นอย่างช้า ๆ
รีบสำรวจว่า บริเวณนั้นที่ใบหน้าของเธอซบอยู่คือส่วนไหนของบุรุษผมเทากันแน่
เจ้าหญิงหายใจออกยาว
ๆ อย่างโล่งอกไปที เมื่อมองเห็นบ่ากว้างของเจ้าชายอยู่ประชิดใบหน้าในขณะนี้ ในที่สุดก็ผ่านนาทีวิกฤตนั้นมาได้ ยังได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นโครมครามอยู่ข้างใน
เจ้าหญิงแห่งเบเนดิคพยายามขยับแขน ขยับมือ
พยายามจะขยับตัวจะลุกขึ้น แต่ไม่มีส่วนไหนที่ขยับหรือเคลื่อนไหวได้เลย กลุ้มใจกับสภาพร่างกายของตัวเองที่ตัวยังต้องติดกันกับเจ้าชายอยู่อย่างนี้ สมองคิดวุ่นวายอย่างสับสนอลม่านไปต่าง ๆ นานา
‘หรือว่าเจ้ากำลังจะฟื้นแล้ว?’
กรี้ดดดดดดดดดดดดด!!
‘ไม่ได้นะ!’ หญิงสาวกดเปลือกตาตัวเองแน่น
‘ห้ามฟื้นขึ้นมาตอนนี้เด็ดขาด! เจ้าจะฟื้นขึ้นมาตอนนี้ไม่ได้นะ!’
‘แรร์เน็ส...เจ้าต้องหลับต่อไปอีกหน่อย อย่าเพิ่งฟื้นขึ้นมาตอนนี้เลยนะ’
หญิงสาวคิดไม่ตกจริง ๆ รับตัวเองไม่ได้เลย
ถ้าบุรุษผมเทาเกิดฟื้นขึ้นมาเจอเธอในสภาพเช่นนี้ จะเป็นเช่นไร
ครู่หนึ่งร่างกายของเจ้าชายผมเทาจึงค่อย ๆ อุ่นขึ้นเป็นลำดับ เกล็ดน้ำแข็งที่ก่อตัวยึดร่างของเจ้าหญิงไว้ค่อย ๆ ระเหิดกลายเป็นควันไปจนหมด เจ้าหญิงเฟรนลี่จึงเริ่มขยับตัวได้ รีบขยับใบหน้าขึ้นจากบ่าของบุรุษผมเทาทันที รีบดึงแขนของเจ้าชายให้พ้นออกไปจากตัวได้สำเร็จ ยันตัวเองลุกขึ้นจากร่างของชายหนุ่ม เจ้าหญิงลุกขึ้นนั่ง รีบถอยตัวออกห่างจากร่างเจ้าชายแรร์เน็ส พลางถอนหายใจออกอย่างโล่งใจ แทบจะบ้าตาย เกือบไปแล้ว ยกมือจับใบหน้าตนเองที่ยังร้อนผ่าวอยู่เลย อดค้อนให้เจ้าชายผมเทาไม่ได้ ได้แต่มองเจ้าของใบหน้าเรียบเฉยนั้น จะโกรธคนที่หมดสติก็โกรธไม่ลง เจ้าหญิงเฟรนลี่รู้สึกอุ่นใจเมื่อเห็นอาการของบุรุษผมเทาดูดีขึ้น แล้วเลื่อนผ้าห่ม ๆ ให้เจ้าชายอีกครั้ง
แสงแดดยามเช้าเคลื่อนตัวสูงขึ้นตามอำนาจของดวงตะวันสีทอง เปล่งแสงรัศมีแรงกล้าสาดส่องผ่านหน้าต่างกระท่อมเข้ามากระทบดาบเงินที่วางอยู่ข้างตัวเจ้าชายผมเทา เกิดแสงสะท้อนเลื่อมเงาวาววับ เจ้าหญิงเฟรนลี่หยีตามองดาบนั้น ก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้
มือเรียวแตะดาบเงินเบา ๆ เกิดแสงวาบขึ้น ราวกับรู้ว่าผู้ที่มาสัมผัสดาบนี้ไม่ใช่เจ้าของ เจ้าหญิงผงะถอยหลังเล็กน้อย อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ที่วันนี้ดาบเงินอาวุธคู่กายของเจ้าชายแรร์เน็สเปล่งประกายเจิดจ้าเป็นพิเศษ ราวกับการมีชีวิตอยู่หรือแตกดับ สุขหรือทุกข์ ผูกพันกับเจ้าของดาบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ ดาบเงินจะดูหม่นหมอง เหมือนมีเขม่าควันดำจับอยู่ตามคมดาบ
‘ดาบนี้ไม่ใช่ดาบของคนธรรมดาแน่’ เจ้าหญิงพิจารณาลวดลายของดาบเงินตรงหน้า ด้ามจับมีลวดลายคดเคี้ยวสลักด้วยโลหะทองเส้นบางดูแปลกตา เพชรหกเหลี่ยมประดับบนดาบรูปร่างเหมือนผลึกน้ำแข็ง พลิกดาบอีกด้านหนึ่ง มีอักษรโบราณปรากฏอยู่
นิ้วเรียวลูบบนอักษรโบราณเบา ๆ มองตัวอักษรลักษณะเป็นแท่ง
ๆ ตรง ๆ มองปราดเดียวก็รู้ว่าตัวอักษรแบบนี้ต้องเป็นของแคว้นทางเหนือแน่นอน รู้สึกคุ้นตากับตัวอักษรนั้นเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แล้วนึกถึงดาบของบีวาร์องครักษ์ประจำตัว ดาบของเขาทำด้วยโลหะเนื้อดี ด้ามจับปรากฎลวดลายเป็นตารางคล้ายตาข่าย มีพลอยสีอำพันประดับอยู่มีรูปร่างคล้ายปีกของแมลงผึ้ง
‘คนที่มีดาบแบบนี้ได้ ต้องเป็นนายทหารชั้นสูง หรือไม่ก็เป็นเจ้าชาย หรือราชาครองเมืองอะไรซักอย่าง’ เจ้าหญิงมองหน้าเจ้าชายแรร์เน็สอย่างค้นหาคำตอบว่าเขาเป็นใคร?
หันกลับไปพิจารณาอักษรโบราณบนดาบเงินอาวุธประจำกายของบุรุษผมเทาอีกครั้ง
'ตัวอักษรนี้...เคยเห็นที่ไหน?' เจ้าหญิงรู้สึกคุ้นตากับอักษรบนดาบนั้นเหลือเกิน
'มัน....เหมือนกับ....?'
เจ้าหญิงขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด เมื่อนึกออก รีบหยิบแหวนออกมาจากถุงผ้าเล็ก
ๆ จากกระเป๋าผ้าที่คาดกับเอว บนตัวเรือนของแหวนนั้น
ด้านหนึ่งปรากฏอักษรที่เหมือนกับดาบของบุรุษผมเทาคนนี้
"เรียว..."
เจ้าหญิงแห่งเบเนดิคเพ่งพิจารณาอักษรตัวแรกบนดาบนั้น
น่าจะหมายถึง อาณาจักรเรียว
เพราะอักษรตัวแรกนั้นเหมือนกับอักษรที่ปรากฏบนเรือนแหวนประดับเพชรงดงามในมือ
มองแหวนหมั้นของเจ้าชายแห่งอาณาจักรเรียวที่เคยหมั้นหมายกันไว้ตั้งแต่ยังเด็ก
บีวาร์องครักษ์คนสนิทขอให้เจ้าหญิงเดินทางไปเมืองเรคคันน่า
เมืองหลวงของอาณาจักรเรียวเพื่อขอพบพระคู่หมั้น
ขอความช่วยเหลือที่บ้านเมืองล่มสลายจากกบฏที่บุกยึดอำนาจ ซึ่งเจ้าหญิงเฟรนลี่ยังไม่ได้ตัดสินใจ ทุกอย่างอาจเปลี่ยนไปแล้ว เธอเองเคยเห็นพระคู่หมั้นเพียงตอนยังเด็กแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
ยังจำเค้าหน้าของพระคู่หมั้นไม่ได้เลย ที่สำคัญชื่ออะไรก็ยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้สนใจและใส่ใจจดจำ
ดวงตาสีเขียวมรกตหันกลับไปจ้องหน้าบุรุษผมเทา
อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาเป็นอะไรกับอาณาจักรเรียวกันแน่?
'ช่างเถอะ
จะให้บากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากพระคู่หมั้นได้ยังไง ไม่ได้สนิท
ไม่ได้รู้จัก ไม่ได้ซี้กันซะหน่อย'
เจ้าหญิงแห่งเบเนดิคทำใจไม่ได้ที่อยู่ ๆ จะให้เดินทางไปขอความช่วยเหลือพระคู่หมั้นตามที่องครักษ์คนสนิทแนะนำ
ดวงตาสีมรกตจ้องมองดาบสีเงินตรงหน้า แล้วคิดถึงดาบในตำนาน
ว่ากันว่าดาบทองสีรุ้งนั้นเป็นสุดยอดของดาบ เคยได้ยินตำนานเล่าต่อกันมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก
เจ้าหญิงเฟรนลี่เคยถามพระบิดาว่า
"พระบิดาทรงอยากจะได้ดาบทองสีรุ้งบ้างหรือไม่"
"ความอยาก จะทำให้เกิดความทุกข์ใจ พ่อมีเจ้าเป็นความสุขที่เพียงพอแล้ว" องค์ราชาโอบกอดเจ้าหญิงตัวน้อย
"อย่าหวังอยากได้อำนาจวิเศษใด ๆ
มาช่วยเจ้า มาดลบันดาลให้กับเจ้า แต่เจ้าจงลงมือทำด้วยตัวเอง จำไว้นะ"
เจ้าหญิงจดจำคำสอนของพระบิดาได้เสมอ
แต่อย่างไรเสียหากมีโอกาสก็อยากจะยลโฉมดาบทองสีรุ้งสักครั้ง ดาบที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจและความวิเศษต่าง ๆ นานา บ้างว่า คมกริบกว่าดาบใดในปฐพี สามารถตัดโลหะได้ทุกชนิด บ้างว่ามีอำนาจทำลายล้างราวกับระเบิดเมืองได้ทั้งเมือง บ้างว่าสามารถช่วยชุบชีวิตคนตายให้กลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งได้ ล้วนแต่เล่าขานกันต่อ ๆ กันมานานแล้ว
‘แล้วใครกันนะ
จะเป็นผู้อ่านคาถาบนดาบทองสีรุ้ง’ ถ้ามีโอกาส
เจ้าหญิงก็อยากจะขอลองวิชาอ่านคาถาโบราณบนดาบทองสีรุ้งดูซักครั้ง
เจ้าหญิงนึกสนุก เอื้อมมือยกดาบสีเงินขึ้นมาด้วยมือขวา กะยืนเต๊ะท่าเท่ ๆ อย่างนักรบ แต่ทว่าดาบกลับยกไม่ขึ้น ขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย จนต้องใช้มือซ้ายอีกมือช่วยจึงยกขึ้น
“ดาบอะไรเนี่ย หนักชะมัดเลย”
เจ้าหญิงเฟรนลี่บ่นกับตัวเอง มองแขนเล็ก ๆ ของตัวเอง ทำไมมันไม่มีกำลังเอาซะเลยนะ! คิดอยู่ในใจว่า หากฝึกดาบเป็น จะได้ใช้ป้องกันตัวเอง ดูแลตัวเองได้ โดยไม่ต้องให้ใครมาลำบากคอยปกป้องอีกต่อไป แล้วพยายามประคองดาบหมุนไปทางซ้ายทีทางขวาที แบบที่เคยเห็นนายทหารคนสนิทฝึกปรืออยู่เสมอ แต่ทว่าไม่ว่าจะหมุนไปทางไหนก็เซไปตามน้ำหนักของดาบนั้นทุกที รู้สึกถึงความไม่ได้เรื่องไม่เอาไหนของตัวเอง แถมท้องเริ่มร้องขออาหารอีกแล้ว
หญิงสาววางดาบลงด้วยความเหน็ดเหนื่อย พลางยกแขนเสื้อซับเหงื่อใส ๆ ที่สะท้อนกับแสงตะวันสีทอง รู้สึกปวดแผลตะขาบยักษ์บนแขนข้างซ้าย เนื่องจากเมื่อครู่ฝืนใช้กำลังแขนมากเกินไป แล้วเดินไปที่ริมหน้าต่างของกระท่อมเพื่อหาแสงสว่าง ถลกแขนเสื้อขึ้นมาดูแผลว่าเป็นอย่างไร มองเห็นแผลตะขาบยักษ์กลายเป็นสะเก็ดค่อนข้างยาว
และเริ่มมีอาการคันยุกยิก
กระรอกตัวน้อยวิ่งปร๋อมาตามกิ่งไม้ หางฟู
ๆ ด้านหลังชูสลอนเห็นชัดมาแต่ไกล กระรอกหนุ่มน้อยมาหยุดยืนทำจมูกฟุดฟิดกระดุ๊กกระดิ๊กอยู่ข้างหน้าต่างกระท่อมร้าง จ้องมองเจ้าหญิงแสนสวยด้วยดวงตากลมใสแจ๋ว
“อ้าว! มาแล้วหรอ มาตามข้าหรอเนี่ย…” เจ้าหญิงยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความดีใจ รี่เดินไปที่หน้าต่างอย่างเบิกบาน เอื้อมมือจับเจ้าตัวน้อยขนหนานุ่มมาอุ้มแนบอกอย่างเอ็นดู พลางลูบหัวกระรอกน้อยเบา ๆ กระรอกน้อยสีน้ำตาลขยับตัวกระดุ๊กกระดิ๊กดิ้นหลุดจากมือเจ้าหญิง กระโดดเกาะขอบหน้าต่างอย่างคล่องแคล่ว รีบไต่กลับไปตามกิ่งไม้อย่างว่องไว เป็นเชิงให้วิ่งไล่ตาม
“รอด้วยซี่…” เจ้าหญิงรีบวิ่งตามเพื่อนใหม่ออกไป เจ้ากระรอกน้อยแสนซนวิ่งมาชวนเจ้าหญิงไปวิ่งเล่นเก็บผลไม้ทุกวัน หลังจากที่เจ้าหญิงได้ช่วยมันขึ้นจากแม่น้ำที่บังเอิญพลัดตกลงไปเมื่อสามสี่วันก่อนด้วยความซุกซนและคึกคะนอง
วิ่งไปกินไปเล่นไปเที่ยวเก็บผลไม้จนเต็มตระกร้า เพลิดเพลินกับการเก็บสมุนไพรรูปร่างแปลกตาไปทำยาตามตำราที่เคยอ่านเรียนมาบ้าง เจ้าหญิงเฟรนลี่หยุดนั่งพักใต้ร่มไม้ใหญ่ มองแดดกล้าเลยศีรษะไปแล้ว ก่อนยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อ กระรอกหนุ่มน้อยวิ่งไต่ขึ้นมาตามตัวเจ้าหญิงอย่างซุกซนและคุ้นเคย แล้วหยุดอยู่ที่หัวไหล่
“บ่ายแล้วเหรอเนี่ย…” แล้วมองซ้ายมองขวา ป่าทึบต้นไม้สูงรูปร่างแปลกตา ทำให้รู้ว่าเที่ยวเล่นมาไกลเกินไปแล้ว ควรจะรีบกลับไปที่กระท่อม
“ข้าต้องกลับแล้วล่ะนะ” พลางเอียงคอหาเจ้าตัวน้อยบนหัวไหล่ กระรอกหนุ่มน้อยทำจมูกฟุดฟิดกับแก้มนุ่ม ๆ ของเจ้าหญิงเบา ๆ คล้ายแอบหอมแก้ม
“โอ๊ย! ไม่เอานะ จั๊กกะจี้” เจ้าหญิงหัวเราะรื่นเริง กับความขี้อ้อนของกระรอกน้อย แล้วใช้สองมือตะครุบตัวมาถือไว้ตรงหน้า
“นี่…แอบหอมแก้มข้าเหรอ” หญิงสาวมองเจ้าตัวน้อยด้วยรอยยิ้มสดใส
เจ้ากระรอกหนุ่มน้อยตอบเสียงแหลมที่ฟังไม่ออกว่าหมายถึงอะไร ทำหน้าบ้องแบ๊วมองเจ้าหญิงด้วยดวงตากลมใสคู่นั้น
สายตาคมเข้มเฝ้ามองร่างเล็กของหญิงสาวที่กำลังยิ้มแย้มแจ่มใส หยอกล้อกับกระรอกตัวน้อยอยู่ ช่างเป็นภาพอันน่ามองเหลือเกิน เขาแอบดูเธอมาหลายวันแล้ว แต่ทำได้เพียงมองอยู่ห่าง ๆ เพราะรู้ตัวเองดีว่าอาจนำอันตรายมาให้เธอได้ ใจหนึ่งรู้สึกเป็นห่วง ที่วันนี้หญิงสาวแสนสวยมาเที่ยวเล่นไกลถึงที่นี่
ที่นี่คือป่าเคนาฟ ป่าดงดิบที่ใหญ่ที่สุด กั้นเขตแดนของเมืองตอนใต้สุดของอาณาจักรเรียว กับอาณาจักรเบเนดิค พื้นที่ของป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยหุบเขาสูงและเทือกเขาเป็นส่วนใหญ่ มีที่ราบเพียงเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็เป็นที่ซ่องซุ่มกำลังของพวกโจรกบฏริกเกอร์ด้วยเช่นกัน
“ไม่ไปนะ ข้าไม่ไป ปล่อย! พ่อจ๋า แม่จ๋า ช่วยด้วย” เสียงนั้นเป็นเสียงของผู้หญิง กำลังร้องไห้ดังขึ้นมาจากที่ไหนซักแห่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
“ปล่อยนะ ไม่……..!!!” เสียงกรีดร้อง แตกพร่า แหลมและสูงหายไปในลำคอ บ่งบอกให้รู้ถึงการขัดขืนอะไรบางอย่างอย่างสุดกำลัง
เจ้าหญิงเฟรนลี่ก้มตัวลงต่ำหลบตามพุ่มไม้ทันที มองรอบตัวอย่างระแวดระวังภัย เสียงร้องนั้นดังบาดลึกเข้าไปในหัวใจเหลือเกิน สัมผัสได้ถึงการดิ้นรนต่อสู้ และความหวาดกลัวสุดขีด ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงกรีดร้องนั้น หัวใจของเธอรู้สึกเจ็บปวดไปด้วยเช่นกัน เจ้าหญิงพยายามมองหาที่มาของเสียง
ชายหนุ่มหน้าคมรู้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“ไม่นะ! อันตราย อย่าไป” เขาขยับตัวกระโดดลงจากต้นไม้ใหญ่ เมื่อเห็นเจ้าหญิงเดินตามหาที่มาของเสียงนั้น
เจ้าหญิงยกมือปิดปาก แล้วหลับตาแน่น เมื่อค้นหาที่มาของเสียจนพบ
“พ่อ……..!! แม่……….!! “
“อย่า…า….า….!!!” เด็กสาวกรีดร้องเสียงยาวจนสุดเสียงดังลั่นป่า
เมื่อมองเห็นพ่อแม่ของตนถูกคมดาบฟันเข้าที่คออย่างไม่ปราณี หลังจากพยายามลากทึ้งขัดขวางการนำตัวเธอจากไป
เด็กสาวช็อคจนหมดสติไปด้วยความตกใจสุดขีด
ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่โตหน้าตาถมึงทึงน่ากลัว ผิวสีดำเข้ม หนวดเครารุงรังดกหนาราวกับรังนกเล็ก ๆ สี่ห้าคน
หัวเราะเสียงดังอย่างสะใจแล้วแบกสาวน้อยใส่บ่าจากไป เลือดไหลละไปตามคมดาบลู่ลงสู่ปลายดาบ ก่อนหยดลงสู่พื้นดิน เพื่อให้ผืนแผ่นดินรับรู้ความเจ็บปวดทรมานของคนเป็นพ่อแม่ที่ปกป้องลูกสาวด้วยชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย
เปลือกตากดเข้าหากันแน่น เจ้าหญิงกัดฟันกรามแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว มือกำต้นหญ้าที่ขึ้นบริเวณนั้นไว้แน่น ได้แต่แอบดูอยู่อย่างเงียบ ๆ ภาพท่านพ่อท่านแม่ถูกฟันต่อหน้าต่อตาปรากฎขึ้นอีกครั้งในห้วงความทรงจำอันแสนเจ็บปวด
เจ้ากระรอกน้อยเอาหัวอิงคอของเจ้าหญิงราวกับคอยปลอบโยน
เมื่อมีสติ เจ้าหญิงเฟรนลี่รีบเดินเข้าไปหาชายหญิงวัยกลางคนที่ถูกฟันนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นดิน ด้วยคิดว่าหากยังมีชีวิตอยู่จะได้ช่วยเหลืออะไรได้บ้าง จับมือของหญิงวัยกลางคนขึ้นมา
“เจ้าเป็นไงบ้าง” มือฝ่ายตรงข้ามกระตุกบีบมือของเจ้าหญิงไว้แน่น
“ช่วยลูกข้า…ด้วย…ได้โปร…ด”
เสียงแผ่วเบานั้นกระท่อนกระแท่นบอกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนสิ้นใจ
หญิงสาวผ่อนลมหายใจออกเบา ๆ อย่างเหนื่อยล้าหัวใจเหลือเกิน ยกมือลูบเปลือกตาของชายหญิงทั้งสองลงเบา ๆ
เงาดำทอดยาวลงบนพื้นดิน?
หญิงสาวเสียวสันหลังวาบทันที เมื่อรู้ว่ามีคนยืนอยู่ข้างหลังจากเงาที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ใจคอเริ่มสั่น ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นราวกับกลองรบ สมองกำลังคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น เจ้าหญิงเฟรนลี่พยายามมีสติ สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วตัดสินใจลุกขึ้นหันไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเงา
“ไปซะ! รีบไปจากที่นี่ เดี๋ยวนี้!” เสียงเข้มของชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าของเขาอ่อนโยนแม้ขณะนี้จะดูดุดัน
ดวงตาสีเขียวมรกตจ้องคนตรงหน้าด้วยคำถาม
“ที่นี่อันตราย จงรีบไปจากที่นี่ เดี๋ยวนี้!” ชายหนุ่มแปลกหน้าเน้นคำอีกครั้ง
คิ้วเรียวหมวดเข้าหากัน ถ้อยคำของฝ่ายตรงข้ามทำให้รู้ว่า บุรุษที่อยู่ตรงหน้าขณะนี้ปรารถนาดี
“เจ้าพูดภาษาข้าได้” เจ้าหญิงอดดีใจไม่ได้ที่เจอคนพูดกันรู้เรื่องซักที
“เจ้าเห็นใช่มั้ย เมื่อกี๊เกิดอะไรขึ้น เขาจะนำเด็กคนนั้นไปไหน” รีบยิงคำถามแห่งความสงสัยนั้น
“บอกให้รีบไปจากที่นี่ไง แล้วอย่ามาที่นี่อีก” เสียงหนุ่มมาดเข้มตรงหน้าดังขึ้นจนเหมือนตะคอกใส่
“ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจนะ” แล้วสาวเท้าเดินเข้าไปหาพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย แขนอันแข็งแรงตั้งใจคว้าร่างบางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน
เจ้าหญิงตกใจ ย่อตัวลงต่ำ รอดพ้นจากตะครุบตัวของชายหนุ่มไปได้ แล้วรีบวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้าจะหนีไปไหนเล่า…” ชายหนุ่มแกล้งวิ่งเหยาะ ๆ ตามไปช้า ๆ พลางตะโกนไล่หลัง ก่อนจะหยุดฝีเท้าลง เมื่อเห็นเธอวิ่งหนีไปไกลโขแล้ว
กระรอกน้อยไต่ขึ้นมายืนอยู่บนไหล่ของเจ้านาย
“คีพเป็นความผิดของเจ้านะ ที่พาเธอมาไกลถึงที่นี่ ข้าเคยบอกแล้วใช่มั้ย?” ชายหนุ่มดุกระรอกน้อยเพื่อนยากบนหัวไหล่ เจ้าตัวน้อยก้มหน้าราวกับสำนึกผิด
“เอาเถอะ นี่เป็นความผิดครั้งแรก ข้าจะยังไม่ทำโทษเจ้าหรอก” รู้ดีว่า เจ้ากระรอกน้อยอยากให้เจ้านายได้เจอกับเพื่อนใหม่ของมันบ่อย ๆ
กระรอกน้อยสีน้ำตาลเอาหัวซุกลำคอของชายหนุ่มอย่างประจบประแจง ก่อนจะรีบไต่ลงไปยืนบนพื้นดินเหมือนคิดอะไรบางอย่างออก แล้ววิ่งนำไปข้างหน้า ทิศทางเดียวกับที่เจ้าหญิงวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไปเมื่อครู่นี้
“อะไร? คีพ เจ้าจะบอกอะไรข้า”
กระรอกหนุ่มวิ่งไปข้างหน้าแล้วหยุด แล้ววิ่งกลับมาหาชายหนุ่ม แล้ววิ่งไปข้างหน้าใหม่อยู่อย่างนั้น กลับไปกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า
“เจ้าอยากให้ข้าตามเธอไปเหรอ กลัวระหว่างทางจะมีอันตรายใช่มั้ย?” เขาเข้าใจความหมายของกระรอกเพื่อนยาก
ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ
“เจ้าก็รู้…ข้าเป็นใคร ถ้าเธอเกิดถูกจับตัวได้ ข้าจะช่วยอะไรได้เล่า ข้ามันแค่ลูกหัวหน้าโจร ถึงท่านพ่อจะเป็นคนสนิทของท่านริกเกอร์ก็เถอะนะ” ชายหนุ่มอ่อนใจ แต่ก็ยังคงเป็นห่วงสาวน้อย
เจ้ากระรอกพลอยทำหน้าหงอยไปด้วย
“เอาเถอะ ข้าจะตามไปห่าง ๆ ก็แล้วกัน บางทีหากเกิดเหตุร้ายกับเธอ อาจจะพอช่วยอะไรได้บ้าง”
กระรอกน้อยส่งเสียงแหลมด้วยความดีอกดีใจ วิ่งหางชี้ตั้งเป็นเส้นตรงไปมา
==============
ความคิดเห็น