คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : กระท่อมร้างกลางสายฝน
‘เจ้าเป็นหญิงหรือชายกันแน่?’ เจ้าชายแรร์เน็สจ้องหน้าคนชุดเทาที่นอนนิ่งอยู่เบื้องหน้า ก่อนตัดสินใจพิสูจน์หาความจริง ค่อย
ๆ เอื้อมมือหนา ๆ คลำหาบางสิ่งบางอย่างที่ควรจะมี
บุรุษหนุ่มชะงัก!! แล้วถอนมือกลับทันที
“เจ้า! เป็นหญิง!” เมื่อคลำไม่พบลูกกระเดือกบริเวณลำคอของร่างที่หมดสติ
บุรุษผมเทาได้แต่มองใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษอย่างครุ่นคิด สมองคิดอะไรไม่ออก รู้สึกสับสนอยู่ภายใน
“ทำไมข้าต้องห่วงเจ้าด้วยนะ” เจ้าชายแรร์เน็สถามตัวเอง หลังจากค้นหาสาเหตุของความรู้สึกนั้นเจอ
“จริง ๆ ข้าควรจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้” แล้วกระชับดาบขึ้นมาไว้ในมือ แม้จะรู้สึกอ่อนล้าเต็มทีก็ตาม แต่ทว่าอีกความคิดหนึ่ง กลับสวนทาง ความรู้สึกขัดแย้ง ลำบากใจกำลังแทรกซึมเข้าไปในหัวใจของเจ้าชาย หากต้องปลิดชีวิตร่างที่นอนแน่นิ่งคนนี้ แม้ช่วงเวลาที่ได้รู้จักกันอาจไม่นานแต่เหตุการณ์ต่าง ๆ บ่งบอกถึงจิตใจอันเต็มเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณา และงดงาม ทุกสัมผัสของคน ๆ นี้เต็มไปด้วยความปรารถนาดีที่เจ้าชายเองก็รู้สึกและสัมผัสได้
‘แต่เจ้าเป็นผู้อ่านคาถา ข้าต้องฆ่าเจ้า!’ เจ้าชายผมสีเทาขยับดาบในมืออย่างชั่งใจ แล้วจ่อปลายดาบลงที่ลำคอของคนชุดเทา แต่อย่างไรก็ตาม ไม่อาจกล้าออกแรงตวัดปลายดาบฟันลงไปได้เลย ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ขณะกำลังต่อสู้กับมดยักษ์ที่หญิงสาวช่วยเหลืออย่างไม่คิดถึงชีวิตของตนเองเลยแม้แต่น้อยมันวนเวียนอยู่ในสมอง
ชายหนุ่มหลับตาลงอย่างคิดไม่ตก แล้วถอนหายใจแรง ๆ ก่อนตัดสินใจวางดาบลงข้างตัว
“มันต้องมีทางสิ! ทางที่ข้าไม่ต้องฆ่าเจ้า…เฟรนลี่”
ถ้าเขาไม่ฆ่าเธอตั้งแต่ตอนนี้
ต่อจากนี้ไปจะมีคนมากกมายมาแย่งชิงตัวเธอไปแน่นอน และการนองเลือดจะต้องเริ่มขึ้น แต่ทว่าที่สำคัญตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าดาบทองสีรุ้งนั้นอยู่กับใคร…?? ที่ไหน…??
เจ้าหญิงเฟรนลี่เริ่มรู้สึกตัว แล้วไอถี่ ๆ สำรอกน้ำที่เข้าไปออกมา ลืมตาขึ้น แล้วมองสิ่งรอบตัวอย่างช้า ๆ เมื่อมองเห็นบุรุษผมเทานั่งอยู่เบื้องหน้า จึงค่อย
ๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นแม้จะรู้สึกปวดร้าวระบมไปทั่วทั้งตัวด้วยความอ่อนเพลียและบอบช้ำ
“เจ้าฟื้นแล้วหรอ” เจ้าชายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ความเป็นห่วงกังวลคลายลงเมื่อเห็นหญิงสาวปลอดภัย
“เจ้าถูกมดยักษ์ทำร้าย!!” ภาพอันน่ากลัวนั้นยังจำได้ติดตา เมื่อเจ้ามดยักษ์ปักเขี้ยวจมมิดลงบนหน้าอกของเจ้าชาย เลือดแดงทะลักออกมาเป็นสายธารหลาก แล้วเข้าไปจับแขนบุรุษหนุ่มเขย่าอย่างร้อนใจด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าเป็นยังไงบ้าง?” เผลอยกมือเปิดเสื้อบริเวณหน้าอกของชายหนุ่มออกอย่างลืมตัว มองบาดแผลบนแผ่นอกของเจ้าชายด้วยความรู้สึกแปลกใจ
เจ้าชายนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ที่อยู่
ๆ หญิงสาวก็โผเข้ามาหาในระยะประชิดตัวเช่นนี้
“ข้า…ไม่…เป็นไรหรอก” เสียงเจ้าชายแผ่วลงกว่าเดิม ราวกับเสียงกระซิบ ดวงตาสีสนิมเหล็กดูอ่อนระโหยโรยแรง
เจ้าหญิงมองแผลนั้นกำลังปิด และกำลังจะเลือนหายไปในที่สุด อย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่พบเห็นอยู่ตรงหน้า
“เจ้าอย่าห่วงไปเลย” บุรุษหนุ่มกระพริบตาอย่างเชื่องช้าด้วยความอ่อนล้า เปลือกตานั้นทิ้งตัวลงมาครึ่งหนึ่ง
“แผลกำลังจะหาย…” เจ้าหญิงมองอย่างไม่เชื่อสายตา แต่ก็ต้องเชื่อ ไม่ว่ามันจะหายด้วยเหตุใด วิธีไหนก็ตาม ความรู้สึกหนึ่งบอกเธอว่า บุรุษตรงหน้าคนนี้ ไม่ใช่คนธรรมดา แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เป็นอะไรก็ช่าง มันไม่สำคัญเท่ากับการที่รู้ว่าเขาปลอดภัย แล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เจ้าชายอย่างดีใจที่สุด
เจ้าชายมองรอยยิ้มแย้มบนใบหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้า ดวงตาสีเขียวสดใสคู่นั้นเป็นประกาย เป็นความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก รอยยิ้มแบบนี้ไม่เคยได้รับจากใครมานานแล้ว รอยยิ้มแสนอ่อนโยน รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี คนที่เคยยิ้มแบบนี้ให้เจ้าชายมีเพียงไม่กี่คนและต่างล้มหายตายจากโลกนี้ไปหมดแล้ว เจ้าชายนึกถามตัวเองอยู่ในใจ
‘เจ้าเป็นใครกัน ทำไมถึงเป็นห่วงข้า ทำไมถึงดีกับข้าถึงเพียงนี้ ทั้งที่เราเพิ่งรู้จักกันเท่านั้น… เจ้าช่างเต็มไปด้วยความงดงามเหลือเกิน…’
เมื่อเจ้าหญิงมีสติ รีบละมือออกจากแผ่นอกของชายหนุ่ม ปั้นสีหน้าไม่ถูก ที่เผลอไปถูกเนื้อต้องตัวบุรุษหนุ่มอย่างนั้น ได้แต่ก้มหน้าก้มตามองตัวเอง เห็นกระดุมเสื้อเม็ดบนเปิดออก รู้สึกใจหายวาบ ยกมือจับคอเสื้อไว้แน่น
“เจ้า!!” เจ้าหญิงเฟรนลี่จ้องหน้าเจ้าชายแรร์เน็สนิ่งอย่างเคร่งเครียด แล้วรีบถอยตัวออกห่างอย่างรวดเร็ว แต่กลับช้าไป
“ไม่…..!! นะ!!” หญิงสาวกรีดร้องเสียงหลง เมื่อร่างเจ้าชายโน้มตัวเข้ามาใกล้ ร่างบางถูกกดให้ล้มลงกับพื้น
“………………..!!!!!!!”
เจ้าหญิงเฟรนลี่ตกใจสุดขีด เนื่องจากยังไม่ทันตั้งตัวบวกกับความตกใจ ล้มลงตามแรงน้ำหนักของร่างเจ้าชายที่โถมลงมาอย่างไม่ได้ยับยั้ง
“อย่านะ!! เจ้าจะทำอะไรข้า ทำแบบนี้กับข้าไม่ได้นะ ออกไปนะ ออกไป” เจ้าหญิงตะโกนโหวกเหวกโวยวายด้วยน้ำเสียงแหบพร่าอย่างอ่อนแรง
“ปล่อยข้านะ!” พยายามใช้กำลังที่มีเหลือเพียงน้อยนิดนั้นขัดขืนอย่างสุดกำลังจนเหนื่อยล้า
และหมดแรงต่อต้าน เมื่อหยุดการเคลื่อนไหว จึงรู้ว่า อีกฝ่ายหยุดการเคลื่อนไหวเช่นกัน ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวใดๆ อีกเลย และดูเหมือนจะหยุดขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวนานแล้ว
หญิงสาวค่อย ๆ ขยับตัวหันหน้าไปมองคนที่หมดสติล้มลงมาทับตัวเธอ
แทบช้อค!
เมื่อหันหน้าไปเกือบชนกับใบหน้าของบุรุษผมเทา รีบหันหน้ากลับทันทีอย่างใจหายใจคว่ำ เพราะใบหน้านั้นดำคล้ำกลายเป็นสีเทา
‘เจ้าเป็นผีดิบ
หรือคนกันแน่!’
เจ้าหญิงเฟรนลี่อดสงสัยไม่ได้ พยายามตั้งสติ แล้วรวบรวมกำลังที่มีเหลืออยู่ดันไหล่เจ้าชายผมเทาให้ออกไปจากตัวเธอ พยายามดันร่างชายหนุ่มให้พลิกกลับไปอีกด้านหนึ่ง
พยายามอยู่หลายครั้งร่างของเจ้าชายก็ยังไม่ขยับ
ต้องรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มี
ดันร่างชายหนุ่มออกไปอย่างสุดแรงเกิด
จึงพลิกตัวเจ้าชายกลับไปนอนหงายได้สำเร็จ
ซบหน้าลงกับแผ่นอกของเจ้าชายผมเทาอย่างหมดแรง หายใจหอบถี่ ๆ
กว่าจะค่อย ๆ ดันตัวเองลุกขึ้นมาจากร่างของบุรุษผมเทาจนได้ ค่อยหายใจออกอย่างโล่งอก มองร่างสูงของเจ้าชายที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น
“บ้า!!
จะสลบก็ไม่บอกกันซักคำ ใครจะไปรู้ล่ะ” นึกขำและอายตัวเองที่โหวกเหวกโวยวายอยู่คนเดียว
“เจ้าเป็นอะไรมากหรือเปล่า ทำไม…” เจ้าหญิงพึมพำเบา ๆ ใบหน้าสวยนั้นแฝงความกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด มองใบหน้าเยือกเย็นของบุรุษหนุ่ม ใบหน้านั้นคล้ำกลายเป็นสีเทา โดยเฉพาะขอบตาและริมฝีปากกลายเป็นสีเทาเข้มจัด
“ข้าจะช่วยอะไรเจ้าได้บ้าง…” เอื้อมมือจับเสื้อของเจ้าชายที่ยังเปียกชื้นอยู่ คิดว่าควรจะเปลี่ยนเสื้อให้ใหม่ก่อนที่จะป่วยไข้ไปมากกว่านี้
เจ้าหญิงเฟรนลี่เดินสำรวจกระท่อมร้าง สภาพกระท่อมเก่า ๆ รกร้าง เต็มไปด้วยฝุ่นหนา ๆ และใยแมงมุมระโยงระยาง แถมยังผุพังอีกต่างหาก มือเอื้อมไปตบฝุ่นหนาบนหีบใบใหญ่ตรงมุมกระท่อม ปาดหยากไย่สีขาวออก เมื่อหีบเหล็กถูกเปิดออกด้านในมีเสื้อผ้าเก่า ๆ อยู่ สองสามชุด มีผ้าห่มสีตุ่น ๆ อยู่ผืนหนึ่ง จึงรีบจัดการกับเสื้อผ้าเปียก ๆ ของตัวเอง แล้วนำชุดใหม่ไปเปลี่ยนให้บุรุษผมเทาที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น
“คนอะไรตัวหนักชะมัด” เจ้าหญิงเฟรนลี่บ่นเบา ๆ ขณะประคองร่างไร้สติของชายหนุ่มขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนเพื่อเปลี่ยนเสื้อให้ นึกถึงตอนที่ตัวเองแบกร่างเจ้าชายหนีหมดยักษ์ แบกเข้าไปได้อย่างไร ตอนนั้นเอาเรี่ยวแรง เอาพละกำลังมาจากไหน
เสียงฝนตกดังกระหน่ำอยู่ภายนอก เสียงฟ้าคำรามเปรี้ยงป้างสนั่นหวั่นไหว สองมือต้องคอยยกขึ้นปิดหู น้ำฝนเริ่มรั่วซึมลงมาจากหลังคาซอมซ่อใกล้ผุพังเต็มที
“ตายล่ะ หลังคารั่ว!” รีบลากร่างเจ้าชายที่ไร้สติให้หลบฝนมาอีกมุมหนึ่งของกระท่อม เปลี่ยนไปหลายมุมจนพบมุมที่ฝนรั่วน้อยที่สุด
แล้วนั่งพักอย่างเหน็ดเหนื่อย
อากาศทั้งเย็นและชื้น ลมด้านนอกยิ่งโหมพัดเข้ามาให้หนาวเหน็บ รู้สึกล้าและอ่อนเพลีย เจ้าหญิงห่อตัวด้วยความหนาว ยกมือขึ้นมาถูกันไปมาและเป่ามือให้อุ่นขึ้น มือสั่นเทาและเริ่มชาหยิบผ้าห่มสีตุ่น ๆ ออกมาคลี่ พลางมองร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยความห่วงใยว่าเขาจะหนาวหรือเปล่า จะห่มคนเดียวก็กระไรอยู่ แต่จะห่มร่วมกับบุรุษ มันก็ไม่เหมาะ ไม่งาม คิดวกวนจนสับสนไปหมด จะทำอย่างไรดี เพราะผ้าห่มมีอยู่ผืนเดียว ได้แต่ถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก
“เฮ้อ…แบ่งกันก็ได้” เมื่อตัดสินใจได้แล้ว จึงแบ่งผ้าห่มบางส่วนห่มให้เจ้าชาย
“เจ้าห้ามทำอะไรข้านะ” เจ้าหญิงเฟรนลี่กำชับร่างไร้สติของชายหนุ่มข้างตัว ก่อนจะล้มตัวลงใต้ผ้าห่มสีตุ่น นอนหันหลังให้จนผล็อยหลับไปอย่างอ่อนเพลีย
=============
ณ อาณาจักร เดเวด้า ดินแดนแห่งทะเลทราย
มืออันยับย่นของชายชราขยับไปมาเหนืออ่างน้ำทองคำใบใหญ่ ริมผีปากนั้นกำลังท่องมนต์บริกรรมคาถา ครู่หนึ่ง น้ำในอ่างหมุนวนไปทางขวา ก่อนจะเริ่มหมุนช้าลงจนหยุดนิ่งสงบ ชายชราค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า..ช้า.. แล้วมองลึกลงไปในอ่างน้ำทองคำ บนผิวน้ำในอ่างปรากฏเงาเป็นควันขมุกขมัวหนาทึบ
“ท่านไวซาด ท่านมองเห็นผู้อ่านคาถาหรือไม่” ราชาแห่งอาณาจักรเดเวด้าเอ่ยถามผู้เป็นอาจารย์เจ้าแห่งเวทย์มนต์
“มองเห็นไม่ชัด เหมือนมีบางสิ่งบดบังในเวลานี้”
"ข้าได้ส่งทหารไปค้นหาผู้อ่านคาถามตามทำนายแล้ว ทำไมจึงยังไม่มีใครพบ หรือว่าอาณาจักรอื่นช่วงชิงผู้ตัวไปได้แล้ว"
นายทหารหนุ่มใหญ่คนสนิทโค้งคำนับองค์ราชาแห่งทะเลทรายก่อนกล่าวรายงานวิเคราะห์สถานการณ์
"อาณาจักรใหญ่ที่สุดของทิศใต้คืออาณาจักรเบเนดิคเพิ่งมีการก่อกบฏเพื่อช่วงชิงอำนาจ คงยังไม่พร้อมที่จะส่งคนออกตามหาผู้อ่านคาถาในตอนนี้เนื่องจากต้องจัดการปัญหาภายในเสียก่อน ส่วนอาณาจักรทางทิศเหนืออย่างอาณาจักรเรียว สายของเรายังไม่มีรายงานการเคลื่อนไหวของอาณาจักรเรียวแต่อย่างใด ส่วนอาณาจักรลาคาสที่อยู่ทางทิศตะวันตกเพิ่งแพ้ศึกสงครามกับฝ่ายเรา สูญเสียยับเยิน น่าจะยังไม่มีการส่งใครมาค้นหาผู้อ่านคาถา มีเพียงเราเท่านั้นที่ดูมีความพร้อมที่สุด"
"เมื่อเราพร้อมที่สุด แล้วทำไมเราถึงยังไม่พบตัวผู้อ่านคาถาตามคำทำนายล่ะ ท่านไพร้ท์" เจ้าหญิงเทลรีนถามขึ้นอย่างสงสัยเช่นกัน หลังจากที่ยืนฟังการวิเคราะห์สถานการณ์อยู่นานแล้ว
"หากสัญลักษณ์ปานแดงรูปดาวบนต้นแขนซ้ายต้องแสงอาทิตย์หลังจากวันที่ผู้อ่านคาถาปรากฏตัวตามคำทำนายแล้วเจ็ดวันเราคงเห็นภาพผู้อ่านคาถาได้ในไม่ช้านี้ว่าอยู่ที่ใดขณะนี้เพิ่งผ่านเข้าสู่วันที่สามเท่านั้น" ชายชรากล่าวต่อไป
"ถ้ารู้ว่าผู้อ่านคาถาอยู่ที่ใด ข้าขออาสาไปจับตัวมาให้จงได้" องค์หญิงเทลรีนประกาศกร้าว
ทุกสายตาจึงหันไปหยุดอยู่ที่องค์หญิงในชุดสีม่วงเข้มในความกล้าและมั่นใจในตัวเอง
ราชาแห่งทะเลทรายจ้องมองน้องสาว
"ได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าแสดงความสามารถ เทลรีน"
แล้วหันไปถามถึงความคืบหน้าของดาบทองสีรุ้ง “การค้นหาดาบทองสีรุ้งไปถึงไหนแล้ว ท่านไพรท์”
“ข้าให้สายของเราเข้าไปแทรกซึมอยู่ทุกอาณาจักรแล้ว ในเร็ววันน่าจะได้ข่าวคราวของดาบทองสีรุ้ง”
“ดีมาก หวังว่าข้าคงได้ข่าวดีเร็ว ๆ นี้ ทุกคนไปพักผ่อนได้”
ทั้งหมดโค้งคำนับแล้วถอยตัวออกไปทางประตู เหลือเพียงเจ้าหญิงเทลรีน ที่เดินไปหยุดอยู่ข้างพี่ชาย
"เทลรีน ข้าอยากให้วอร์เซนไปกับเจ้าด้วยนะ" ราชาแดร์เรนหันมาสบตากับน้องสาว
"ท่านไม่ต้องห่วงข้าหรอก ข้าจะขอไปคนเดียว"
ราชาแดร์เรนไม่พูดอะไรอีกด้วยรู้ดีไม่อาจเปลี่ยนความคิดของน้องสาวหัวดื้อคนนี้ได้เลย
แม้ว่าเธอจะฝึกวิชาเวทมนต์อย่างแคล่วคล่องสามารถหายตัวได้ในพริบตา ฝีมือดาบก็ไม่ด้อยกว่าใครก็ตาม แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี อย่างไรก็ตามเขาจะให้วอร์เซนองครักษ์พิเศษคอยติดตามเธอไปห่าง ๆ
"ข้าจะขอเป็นคนหนึ่งที่ทำความฝันของพวกเราให้เป็นจริง" เจ้าหญิงเทลรีนพูดขึ้นด้วยสายตาที่มุ่งมั่น
"ขอบใจเจ้ามาก เทลรีน"
ทั้งคู่เดินไปหยุดอยู่ที่หน้าต่างปราสาทมองออกไปไกลสุดลูกหูลูกตาเป็นทะเลทรายอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ไพศาล
“ข้าจะทำทุกวิถีทางที่จะทำให้อาณาจักรเดเวด้าของเรายิ่งใหญ่ ประชาชนอยู่ดีกินดีเหนืออาณาจักรใด ไม่ว่าจะต้องแลกมันมาด้วยสิ่งใดก็ตาม” นั่นคือปณิธานอันสูงสุดของราชาแห่งเดเวด้า
============================
ความคิดเห็น