คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : intro - somewhere in this world
INTRO
ผมได้แต่บอกตัวเอง คาดหวังให้ชีวิตเป็นแค่ความฝัน
หวังว่าสักวันตัวผมนั้นจะหลับไป ไม่ลืมตาตื่นขึ้นมาอีก
แต่มันก็ไม่ใช่
มันคือความจริงที่ผมต้องยอมรับ
ผมได้ยินเสียงทุกเสียงบนโลก
ผมได้ยินเสียงของเพื่อนบ้านที่กำลังพูดคุยเรื่องเกรดของลูกในเทอมนี้ เสียงทานอาหารค่ำของบ้านสักหลังที่ไกลออกไปสิบกิโลเมตร เด็กอีกเมืองที่กำลังเล่นกับเพื่อน คู่รักวัยรุ่นที่กำลังจะมีเซ็กซ์กันในตอนเที่ยงคืน เสียงคู่แต่งงานปาข้าวของพร้อมคำด่าทอมากมาย
ทุกอย่างที่ผมได้ยิน ล้วนเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากได้ยิน
มันประเดประดังเข้ามาในหัวของเด็กชายวัยสิบขวบในตอนนั้น กับคำถามที่ผมได้แต่ถามตัวเองว่าทำไม
และเสียงที่ผมไม่ต้องการที่จะฟังมากที่สุด คือเสียงทะเลาะกันของพ่อกับแม่ แต่ผมก็หยุดมันไม่ได้ และผมก็บอกความลับนี้กับใครไม่ได้ด้วย ไม่ใช่ว่าไม่เคยพยายาม แต่หลายครั้ง ที่ความพยายามของผมกลายเป็นบัตรคิวเข้าพบจิตแพทย์ไปหลายปี มันเป็นช่วงเวลาที่ทรมาน กับการที่ไม่มีใครเข้าใจ และเป็นเรื่องที่ผมหมดหวังแล้วว่าจะมีใครมาเข้าใจมัน
ผมโตมาแบบนั้น ในแบบที่มีแค่สวนหลังบ้าน ที่พอจะเป็นที่พักพิงให้ผมได้ เพราะเมื่อผมทิ้งตัวนั่งบนผืนหญ้าแล้ว มีเพียงเสียงลมและใบไม้เสียดสีกัน มีแต่เสียงของธรรมชาติเท่านั้นที่แว่วเข้ามา
ผมในวัยสิบสองปี กับยาในมือเป็นกำ
ผมในวัยสิบสี่ปี กับการสิ้นความไว้เนื้อเชื่อใจต่อใคร หลังจากจบมิตรภาพครั้งแรกไป
ผมในวัยสิบเจ็ดปี กับการควบคุมตัวเองและทำตัวปกติได้สำเร็จ
ผมในวัยสิบเก้าปี ที่สอบชิงทุนไปเรียนต่อที่เกาหลีได้สำเร็จ
มันมีแววผิดหวังอยู่ในตาของแม่คู่นั้น คนที่ผมคิดว่าเธอสิ้นหวังกับความเป็นผมไปแล้วหลังจากที่ผมกลายเป็นคนเก็บตัวเมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองควรยืนอยู่บนจุดไหนบนโลกใบนี้ ผมอยากบอกเธอว่าผมเองก็เสียใจที่เป็นในแบบที่เธออยากให้เป็นไม่ได้, ในแบบที่เด็กวัยเดียวกับผมเขาเป็นกัน แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะให้ผมเป็นแบบนั้น ในเมื่อเธอยังไม่แม้แต่จะลองเข้ามาหาผมสักนิด เธอเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่หล่อหลอมให้ผมเป็นผมทุกวันนี้ เป็นในแบบที่เธอไม่อยากให้เป็น
ผมบอกลาเธอในวันนั้น ด้วยรอยยิ้มที่คนรอบตัวเห็นไม่บ่อยนัก
มันเป็นเวลาสามปีแล้วกับการจากบ้านเกิดมาโดยไม่แม้แต่จะย้อนกลับไป ไร้การติดต่อจากคนที่บ้าน เพราะเป็นผมเองที่เปลี่ยนทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเบอร์โทร ช่องทางการติดต่อ ผมไม่มีใครอีกแล้ว ทั้งที่ที่ผมจากมาและต่างแดนผมกำลังอยู่ ไม่แม้แต่คนเดียว และผมไม่คิดเสียใจ
ผมแค่ยืนในมุมอับๆ ของผมคนเดียวอยู่แบบนี้
เฝ้าหาความเงียบที่เป็นของตัวเอง
เป็นวันที่แสนวุ่นวายอีกวันสำหรับการเริ่มต้นในเดือนพฤศจิกายน
ผมกระชับเป้และเสื้อคลุมแน่นขึ้น อากาศในวันนี้หนาวกว่าทุกวัน พร้อมทั้งเร่งเพลงใน mp3 ให้ดังกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าเสียงพูดคุยของคนบนถนนสายนี้ดูจะเข้าหูผมมากเกินไปแล้ว แต่นั่นมันก็เกิดจากการที่ผมไม่มีสมาธิพอจะควบคุมมันได้ นั่นเพราะเวลานี้ มันดูจะช้าไปสำหรับรถเมล์สายที่ผมต้องขึ้นกลับหอ ผมอยากจะรีบนะ แต่เอาเข้าจริงแล้วการกลับไปอุดอู้ในห้องพักแคบๆ นั่นก็ดูจะไม่ต่างจากตอนนี้สักเท่าไหร่ เสียงที่ผมต้องกำจัดมันออกจากหัวในแต่ละวัน แต่ละสถานที่นั้น ไม่ได้ต่างระดับกันมากนัก มีบ้างที่คิดรำคาญเวลาที่มันประดังเข้ามามากๆ แต่ก็... ผมจะทำอะไรกับมันได้ ทุกวันนี้ที่ไม่สติแตกไปซะก่อนก็นับว่าเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่งแล้ว
ผมเช็คมือถือระหว่างเดินไปอย่างไร้จุดหมาย พบว่ามีเพื่อนร่วมคณะส่งข้อความมาหาเรื่องงานนิดหน่อย ผมตอบกลับไปสั้นๆ ตรงข้ามกับเขาที่แทบจะเป็นเรียงความ ทุกคนที่เรียนเซคเดียวกันต่างพูดกันว่าผมเป็นคนโลกส่วนตัวสูงและเย็นชาเกินกว่าจะน่าคบหา มีแค่เพื่อนคนนี้ที่ดูจะไม่สนใจคำว่าร้ายใดๆ และเข้าหาผมด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร อย่างน้อยผมก็รู้สึกอย่างนั้น ผมชอบเขาตรงที่ว่าเขารู้ว่าควรจะทำตัวยังไงคล้ายรู้ว่าผมเป็นคนยังไง มันไม่น่ารำคาญดี ผมอยากจะแคร์เขามากกว่านี้ แต่ผมทำไม่ได้ และเหมือนเขาเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากผม ก็แค่สายสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนในคณะ ความจริงใจเท่านั้นที่ทำให้เขาต่างจากคนอื่นๆ ในสายตาผม
“คุณไม่ควรที่จะ... เฮ้ คุณทำแบบนี้กับผมไม่ได้นะ”
“ทำไมจะไม่ได้? ในเมื่อลูกฉันก็เป็นคนคลอด เขาก็ต้องมาอยู่กับฉัน เรื่องแค่นี้ คุณน่าจะคิดได้นะ”
“คุณคิดว่าคุณมีสิทธิ์…”
ผมชะงักเมื่อเสียงทะเลาะของคู่รักที่ห่างออกไปไม่ไกลแว่วเข้ามา ไม่ใช่ว่าบทสนทนามันน่าสนใจหรอก แต่ผมยอมรับว่าลึกๆ แล้วผมอ่อนไหวกับเรื่องพวกนี้ คำพูดของคนเป็นพ่อเป็นแม่ หรือการสนทนาของคนในครอบครัว มันดึงความสนใจและทำให้ผมหยุดได้ทุกครั้ง และตอนนี้ ดวงตาของผมก็เริ่มสอดส่องมองหาชายหญิงคู่นั้น ท่ามกลางคนนับร้อยบนถนนสายนี้
เพราะการที่ผมได้ยินแต่เสียง มันทำให้ผมอยากรู้ว่าสีหน้าหรือแววตาของพวกเขาเป็นอย่างไร
มันทำให้ผมชอบที่จะหยุดมองไปรอบๆ แม้สมองจะสั่งให้เลิกทำเพราะไม่อยากรับรู้ แต่ผมก็ห้ามตัวเองไปไม่ได้ตลอด
มันทำให้ผม...
ตุ้บ!
โทรศัพท์ของผมหล่นไปกองกับพื้น
รวมทั้งหูฟังที่พันกันยุ่งเหยิงก็เช่นกัน ความอยากรู้อยากเห็นของผมทำให้เกิดเรื่องอีกแล้วสิ
ผมผงกหัวเล็กน้อยแทนคำขอโทษ ก่อนจะรีบก้มตัวลงไปเก็บ แปลกใจเมื่อปลายเท้าใต้รองเท้าผ้าใบของคนตรงหน้าไม่แม้แต่ขยับไปไหน
พอยืดตัวขึ้นมาก็พบว่าคนที่ผมเดินชนเมื่อครู่ เขายังอยู่ที่เดิม
ดวงตาหลุบต่ำมองไปยังหูฟังในมือผม
“ขอโทษครับ”
ผมพูดออกไปเผื่อว่านั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขายังยืนเฉย ความสูงของผมที่อยู่แค่ช่วงคอของเขาทำให้ต้องเงยหน้าเล็กน้อย
ใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขาถูกปิดไว้ด้วยผ้าปิดปากสีเข้ม แต่ไม่สามารถกลบความสมบูรณ์แบบของเขาได้เลย
เส้นผมดำสนิทล้อมกรอบตัดกับผิวขาวซีดนั่นทำให้ผู้ชายคนนี้ดูคล้ายแวมไพร์
และทันทีที่เขาช้อนตาขึ้นมอง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมเผลอสบดวงตาคู่นั้นเข้า
ทุกเสียงที่ผมเคยได้ยิน มันหายไป
เหลือเพียงความเงียบงัน
ราวกับนี่คือความสงบ ที่ผมตามหามาแสนนาน
ตั้งใจว่าอยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องความรักธรรมดาๆ ของคนมีพลังเฉยๆ ไม่ได้จะเน้นไปที่พล็อตไซไฟมาก
เราเพิ่งหมด(สาม)สัปดาห์นรกไฟนอล
อยากมาต่อนะ ;D
ความคิดเห็น