คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 8 เดินทางสู่ฤดูใบไม้ผลิ
ตอนที่ 8
วันนี้เป็นวันจันทร์และเป็นวันเรียนวันแรกของเธอ หญิงสาวได้อาศัยรูมเมทสาวชาวเกาหลีซึ่งบังเอิญเรียนคณะเดียวกันพอดีเป็นคนแนะนำที่ทางและพาเข้าห้องเรียน
วิชาแรกผ่านไปอย่างทุลักทุเล
นั่นเป็นคำจำกัดความที่เธอให้กับอาการฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ก็พอถูไถไปได้เวลาอาจารย์ถามอะไรเกี่ยวกับตัวเธอ หรือให้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทย
ส่วนวิชาในช่วงบ่ายเป็นวิชาประวัติศาสตร์เกาหลีเบื้องต้น และเป็นวิชาที่เธอชอบที่สุด เพราะนอกจากจะไม่มีเท็กซ์ภาษาเกาหลีที่ยาก ๆ แล้ว ยังมีนักเรียนแลกเปลี่ยนจากประเทศอื่น แต่อยู่คนละมหาวิทยาลัยมาเรียนด้วย เธอจึงได้รู้จักเพื่อนใหม่ ๆ ชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นอีกหลายคน
หลังเลิกเรียนวันแรกด้วยความอ่อนเพลีย นารารินนัดรูมเมททื่ชื่อ เช จินสุก ไว้ที่ห้องโถงหอสมุดกลาง เพื่อไปหามื้อเย็นทานกันที่หน้ามหาวิทยาลัยซึ่งมีร้านรวงมากมายขายอาหาร รูมเมทของเธอเป็นคนใจดีมาก จินสุกต้อนรับและช่วยเหลือแนะนำเธออย่างดี นอกจากจิตใจจะสวยงามแล้ว จินสุกยังมีหน้าตาน่ารัก ผมดัดเป็นลอนรับกับใบหน้ากลมป้อมได้อย่างเหมาะเจาะ เธอมีดวงตาหยีเล็กกับรอยยิ้มประดับอยู่เป็นนิจ รูปร่างแม้ว่าจะไม่เพรียวบางอย่างนาราริน แต่ก็ถือว่ามีน้ำมีนวล ไม่อวบเกินไปอย่างผู้หญิงเกาหลีหลาย ๆ คน
‘รอฉันที่โถงนะ เดี๋ยวฉันมา อาจจะช้าหน่อย เพราะอาจารย์ที่ฉันเรียนด้วยภาคบ่ายแกชอบปล่อยช้า แล้วเดี๋ยวเราไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกัน’
‘จริง ๆ นะ อร่อยแน่นะ ฉันอยากลองอะไรใหม่ ๆ จะแย่แล้ว’
‘รับรองจ๊ะ
ฉันจะทำให้เธอลืมอาหารไทยไปเลยล่ะ’
นารารินอยากจะลิ้มรสอาหารเกาหลีแปลก ๆ จะแย่อยู่แล้ว แต่คนชวนกลับไม่มาสักที
ระหว่างรอเวลาให้เพื่อนไกด์สาวพาไปหาของอร่อยกิน หญิงสาวจึงถือโอกาสนี้สำรวจบริเวณต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยซึ่งมีพื้นที่ไม่กว้างมากนัก มหาวิทยาลัยแทจอนถือว่าเป็นสถาบันการศึกษาเอกชนที่มีระดับการเรียนการสอบอยู่ในชั้นแนวหน้า นักเรียนเก่ง ๆ และมีความสามารถหลายคนจึงเลือกเรียนที่นี่แทนการเข้าไปเรียนในกรุงโซล อย่างมหาวิทยาลัยแห่งชาติเกาหลี หรือมหาวิยาลัยหญิงล้วนที่ชื่อ ‘อิฮวา’
นารารินเดินเรื่อยไปตามถนนที่ขึ้นเนินสูงไปยังจุดนัดพบ ลักษณะภูมิประเทศที่นี่เรียกได้ว่าแตกต่างจากเมืองไทยสิ้นเชิง ที่นี่จะเป็นเนินเขา พื้นที่ราบมีจำกัด จึงถูกใช้เป็นตึกเรียนอย่างพอเหมาะพอดี ข้าง ๆ ตึกเรียนที่เธอเพิ่งจากมามีสนามบาส และมีนักศึกษากำลังเล่นกันอยู่ประปราย
แม้จะเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิแต่ก็ยังหนาวอยู่ แค่ลมเย็นโชยมาเบา ๆ จึงทำให้หญิงสาวกระชับเสื้อคลุมตัวบางให้แนบตัวยิ่งขึ้น เป่าลมร้อนใส่สองมือก่อนจะถูไปมาเพื่อให้ความอบอุ่นขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่มากนักหรอก เธอบอกกับตัวเองว่าต้องหาซื้อถุงมือสักคู่แล้ว
หญิงสาวสูดลมหายใจ รับเอาอากาศแห้งกับกลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกแกนารีสีเหลืองเข้าเต็มปอด แกนารีคือดอกไม้รูปทรงเหมือนระฆังน้อย ๆ ออกเรียงเป็นแถวแนวตามก้าน หญิงสาวแวะทักทายดอกไม้แรกแห่งฤดูรายทาง แล้วเดินตามเหล่านักศึกษาหลายคนที่มุ่งหน้าไปยังหอสมุด เมื่อถึงที่ห้องโถง เธอเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ ยังเหลือเวลาอีกมาก จึงคิดว่าน่าจะสำรวจห้องสมุดนี้หน่อย
จากนั้นหญิงสาวก็เดินขึ้นชั้นสอง แต่กำลังจะผ่านที่กั้นทางเข้า เสียงเข้มจากลุกยามแก่ ๆ ที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็ดังขึ้นเสียงก่อน
“อัน-ดเวโย อิรอกเค อัน-ดเวนึนเด”
จะด้วยเพราะเธอยังไม่คุ้นหูกับภาษาเกาหลีสำเนียงแท้ ๆ หรือเสียงแหบพร่าฟังยากของคุณลุงก็ไม่รู้ ที่ทำให้เธอฟังไม่ออก ได้แต่ทำหน้าเหรอหรา เงอะงะทำอะไรไม่ถูก
คุณลุงคงรำคาญเธอเหลือใจ จึงชี้ไปที่กระเป๋าสะพายใบเขื่องของเธอ แล้วพูดว่า “อิกอ อิกอ” จากนั้นก็ชี้มือไปทางล็อคเกอร์ที่มีหนุ่มสาวเกาหลีสองสามคนนั่งอยู่
ความงงงวยเมื่อครู่พลันกระจ่าง เมื่อเดาได้ว่า เธอควรฝากกระเป๋าก่อน ที่แท้เมื่อกี้นี้คุณลุงพูดว่า
ไม่ได้ ๆ อย่างงี้ ไม่ได้นะ
นารารินยิ้มขอโทษแห้ง ๆ แล้วรีบนำกระเป๋าไปฝาก แต่ไม่ลืมหยิบเอกสารที่นึกขึ้นได้ว่าต้องนำไปถ่ายเอกสารตามคำสั่งอาจารย์ แล้วเดินผ่านคุณลุงหน้าตาดุ ๆ ไป แกไม่ได้สนใจเธออีกต่อไป ตาทั้งสองข้างหันกลับไปจ้องโทรทัศน์เครื่องน้อยที่คงจะเป็นเพื่อนของแกในเวลานี้เท่านั้น
หญิงสาวเดินตามหาเครื่องถ่ายเอกสารเสียจนเหนื่อย ไป ๆ มา ๆ มันกลับซุกตัวอยู่ตรงมุมหนึ่งข้างประตูทางเข้าในแต่ละชั้นนั่นเอง ที่นี่แบ่งหนังสือเป็นหมวดหมู่ชัดเจน มานุษยวิทยาอยู่ชั้นสี่ฝั่งขวา ฝั่งซ้ายจะเป็นสังคมศาสตร์ ชั้นสามฝั่งขวาจะเป็นวิทยาศาสตร์ ฝั่งซ้ายจะเป็นพวกวารสารวิชาการ ส่วนชั้นสองที่เธอยืนอยู่นี้เป็นที่ตั้งของห้องคอมพิวเตอร์รวม นักศึกษาสามารถพิมพ์งานและพริ้นท์งานที่นี่ได้ โดยมีโควตาพริ้นท์งานขายอย่างน่าทึ่ง คือมีเครื่องซื้อโควตาและแจกรหัสในการใช้งานแต่ละครั้ง บนตู้สี่เหลี่ยมสีน้ำตาลเข้มมีป้ายเขียนชัดเจน ‘Printing Bank’
แปลกดี ‘ธนาคารพริ้นท์’ ครั้งหน้าจะลองดูบ้าง
หญิงสาวคิด
แต่ก่อนอื่นเธอต้องจัดการกับไอ้เครื่องถ่ายเอกสารแปลก ๆ นี้ก่อน ความจริงแล้วรูปลักษณ์มันก็ไม่ได้แปลกไปจากเครื่องถ่ายทั่วไปหรอก แต่ที่แปลกก็คือว่ามันต้องใช้โควตาถ่าย
โอ ทุกอย่างช่างเป็นโควตาหมดเสียจริง!
หญิงสาวยืนงงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรอยู่ครู่หนึ่ง จึงมีเสียงห้าว ๆ แสนคุ้นของใครคนหนึ่งดังขึ้น
“คุณต้องซื้อบัตรเติมเงินของห้องสมุดแล้วนำมาใส่ช่องเล็ก ๆ นั้น”
หญิงสาวยังไม่ทันได้มองคนพูด แต่หันหน้าไปตามมือที่ชี้ให้เห็นกล่องควบคุมเล็ก ๆ ตั้งอยู่ข้าง ๆ มีไฟสีแดงเป็นตัวเลขดิจิตอลวิ่งอยู่
“แล้วก็จะสามารถถ่ายได้ แผ่นละ 40 วอนน่ะ”
40 วอนก็ประมาณบาทกว่า ๆ แพงกว่าบ้านเราอีกแฮะ
หญิงสาวคิด
“โคมับซึมนิดะ
”
ขอบคุณค่ะ
แต่ทันทีที่หญิงสาวหันไปขอบคุณ สายตาที่ไม่น่าทรยศเธอก็ทำให้มองเห็นว่าคนที่มีน้ำเสียงแสนคุ้นและแนะนำเธอเมื่อครู่เป็นใคร
พัก แทยัง
ผู้ชายที่ทำเบียร์หกรดเธอบนเครื่องบิน!
ราวกับเสือป่าถูกนายพรานจ้อง แทยังหันมาทางนาราริน ยิ้มที่มุมปากก็ปรากฏขึ้น แล้วฉีกยิ้มยิ่งขึ้นอีกเมื่อเห็นเธอมองกลับมา เอ่ยเสียขี้เล่นเบา ๆ ว่า
“โลกกลมจริงนะ คุณว่ามั้ย
”
นารารินไม่ตอบ แม้ว่าจะนึกแล้วว่าเขาต้องเดินเข้ามาหา แต่ยังรู้สึกตกตะลึงไม่หาย
“ผมจำได้นะ คุณบอกว่ามาเที่ยวไม่ใช่เหรอ ทำไมมาอยู่นี่ล่ะ ผมว่ามหา’ลัยผมนี่มันไม่มีอะไรน่าเที่ยวสักหน่อย แล้วเที่ยวชมอะไรไปบ้างแล้วละฮะ”
มหา’ลัยผม
นี่ก็แสดงว่าอีตานี่เรียนอยู่ที่นี่งั้นเหรอ
“จะอะไรก็เรื่องของฉัน ฉันไม่ได้มารอ ‘เที่ยวชม’ คุณก็แล้วกัน”
แทยังจุปาก คิดในใจว่าสาวคนที่เขาพอตาพอใจนี่ร้ายไม่เบา อารมณ์อยากจะหยอกเย้าจึงเกิดขึ้น
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่นา แหม
อย่าร้อนตัวไปสิครับ”
“ฉันไม่ได้ร้อนตัว”
พูดแล้ว ก็สะบัดหน้าเดินหนี ช่างรำคาญสายตาก้อร่อก้อติกอย่างนั้นจริง ๆ
ไม่ถ่ายมันแล้วเอกสารบ้าบออะไรนี่ ดันทำให้เธอมาเจอกับเขาได้
ทว่า แทยังยังเหมือนจะเดินตามมาอีก แต่ถูกเสียงแหลมสูงของใครบางคนเรียกเขาไว้เสียก่อน
“แทยัง
อยู่นี่น่ะเอง ฉันตามหาซะแทบแย่ ปล่อยให้รออยู่ได้”
เสียงแหลมสูงของหญิงร่างระหงตวัดขึ้น แล้วหันมามองทางนารารินอย่างเอาเรื่อง
“เอ๊ะ
แม่นั่น! จำได้แล้ว เธอมาทำอะไรที่นี่ นี่มันอะไรกันคะแทยัง ไหนบอกแค่รู้จักกันผิวเผินไงคะ ทำไมพูดคุยกันสนิทสนมแบบนี้ คุณคิดจะนอกใจฉันงั้นเหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอก
โซยอน อย่าหึงผมไม่เข้าท่าสิ”
แต่สาวคนนั้นไม่ฟังคำใดแล้ว ส่งเสียงด่าทอเธออย่างโกรธเกรี้ยว นารารินเหมือนไม่รู้สึกตัว เมื่อร่างแบบบางของสาวสวยเดินมากระชากแขนเธอเพื่อให้ประจันหน้า ใจหายวาบไปทันที ถ้อยคำเกาหลีที่รัวเร็วพุ่งตรงมาที่เธอราวลูกธนูนับร้อยที่มุ่งมาหาข้าศึก เธอไม่อาจจับความใดได้ มีเพียงประโยคท้าย ๆ เท่านั้นที่ฟังแล้วทำให้ถึงกับตัวสั่นด้วยความโกรธ
“
เป็นผู้หญิงอย่างว่าหรือเปล่า
เธอน่ะ มหา’ลัยแท้ ๆ หากินไม่เลือกที่เลยนะ”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ โซยอน” แทยังหน้าตึงขึ้นทันที ไม่นึกว่าสาวที่เขาคั่วอยู่จะพูดแรงขนาดนี้
นารารินจับต้นชนปลายไม่ติด จึงยืนเซ่อให้ด่าเหมือนลูกแมวตัวน้อยถูกข่มด้วยสุนัขตัวใหญ่
“นี่คุณ จะปกป้องแม่นั่นไปทำไมคะ”
“คุณว่าเขาเสียหายขนาดนั้นจะไม่ให้ผมห้ามได้ยังไง”
“เสียหายตรงไหน”
“ก็เขาไม่ได้เป็นอย่างที่เธอว่าน่ะสิ”
นารารินยืนหน้าชา ตัวแข็งทื่อ ราวกับถูกกระหน่ำด้วยค้อนด้ามใหญ่ ตาก็ลาย หูก็อื้อ อาจเพราะไม่สามารถคิดหาคำโต้ตอบกลับเป็นภาษาเกาหลีได้ดังใจ จึงทำให้เธอหลุดปาก ตะโกนออกไปเพียงว่า
“หยุดนะ หยุดทั้งสองคนนั่นแหละ”
เสร็จแล้วหญิงสาวก็วิ่งผละออกมา ไม่ได้มองทางจนชนเข้ากับจินสุกที่รีบเดินมายังที่เกิดเหตุ
“เกิดอะไรขึ้นริน
.ใครทำอะไรเธอ”
“เปล่าหรอก..”
แม้ว่าปากจะว่าเปล่า แต่ปลายเสียงสั่นไหวและหัวใจของเธอก็สะท้านไปหมดแล้วด้วยความตระหนก
“ตายจริง เป็นอะไรมากหรือเปล่าริน ดูสิ ตัวสั่นเลย พวกนั้นน่ะเอง ร้ายกาจนัก ขอโทษนะที่ฉันมาช้า เธอนี่แจ็คพ็อตจริง ๆ เลย เจอกับใครไม่เจอมาเจอกับอันธพาลประจำมหา’ลัยได้”
“ฉันไม่เป็นไรจริง ๆ” ตอบไปเพื่อไม่ให้เพื่อนต้องเป็นห่วง
หญิงสาวค่อยสะกดอาการสั่นไว้ได้แล้ว พอมีเพื่อนอยู่ข้าง ๆ ก็ค่อยยังชั่วขึ้นมาก หันไปมองคนต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องโกรธถึงปานนี้ จึงพบว่าร่างบาง ๆ ของผู้หญิงที่ชื่อโซยอนกึ่งลากกึ่งจูงแทยังออกไปอีกทางแล้ว แต่เขายังหันมาทางเธอพร้อมส่งสายตาสำนึกผิดมาขอโทษ
“เขาว่าอะไรเธอล่ะ”
นารารินเล่าความเท่าที่อาการตื่นตกใจในขณะนั้นจะอำนวยให้เธอจำเรื่องราวได้
“แย่มาก แย่จริง ๆ เธออย่าไปใส่ใจกับคำพูดของพวกพาล ๆ อย่างนั้นเลยนะริน ถือว่าปล่อยให้หมามันเห่าไปเถอะ แม่นั่นร้ายมาก เฮ้อ ดูท่าคู่นี้เหมาะกันแล้วล่ะ ร้ายทั้งคู่ ไม่รู้ว่าใครช่างจับคู่ได้ดีจริง”
“เขาเป็นใครเหรอ จินสุก”
“อีตานั่นน่ะหรือ”
“อืม
ฉันเคยเจอเขาบนเครื่องบินขามา”
“หา
เธอนี่โชคร้ายสุด ๆ ไปเลย โลกนี้มีคนตั้งมากมายไม่เจอ ดันมาเจอตัวร้ายอย่างแทยังได้
พาโบ-คัตเท
คนบ้าแท้ ๆ”
“เขาร้ายยังไงเหรอ”
แม้ว่าจะถูกทำร้ายด้วยคำพูดอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่อะไรบางอย่างทำให้เธอยังติดใจสงสัยอยู่
“ก็เป็นหัวหน้าแก๊งสเตอร์ไงล่ะ เที่ยวเป็นอันธพาลรบกวนชาวบ้านชาวช่องเขาไปทั่ว คงถือว่าบ้านรวย มีพ่อเป็นนักธุรกิจใหญ่ล่ะสิ ถึงได้วางกล้ามอวดเบ่งคนอื่น เฮ้อ
คนเราก็งี้แหละริน แต่อยู่ห่าง ๆ เขาไว้เป็นการดีที่สุด”
คำว่าแก๊งสเตอร์เรียกคำเตือนจากอาจารย์สอนพิเศษภาษาเกาหลีที่บอกกับเธอไว้ก่อนจะมาเรียนแลกเปลี่ยน
‘ระวังอย่าไปยุ่งกับพวกแก๊งสเตอร์นะริน ครูเคยเจอมาหนตอนเรียนต่อที่เกาหลี โอ๊ย
เข็ดเลยล่ะ ชาตินี้ขออย่าได้พบพานอีกเลย’
แต่ไม่น่าเชื่อว่า คำเตือนของอาจารย์จะเป็นจริงกับเธอได้รวดเร็วปานนี้
จินสุกส่ายหน้าไปมา จนผมดัดลอนได้ทรงพลิ้วไปตามแรงไหว
“พวกนี้น่ะ น่ากลัวมาก ไม่พอใจอะไรก็ทุบทิ้ง ทำลาย มีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลอยู่เป็นประจำ แต่ก็รอดพ้นมาด้วยบารมีของพ่อแม่ทั้งนั้นแหละ”
“ฉันเคยเห็นในหนัง”
“ของจริงร้ายกว่านั้นหลายเท่า รินเอ๋ย ฉันขออย่าให้เธอได้เจอะเจอกับพวกนั้นอีกเลย”
แต่จินสุกไม่รู้หรอกว่า คำขอของเธอเป็นหมันเสียแล้ว
/////////////////////////////////////////////////////////////////
เพื่อนคนไทยอีกคนหนึ่งเดินทางมาถึงในสัปดาห์ถัดมา เขาเป็นผู้ชายชื่อกถา ร่างสูง ๆ และหน้าตาท่าทางเป็นเด็กเรียนของเขาไม่น่าเข้ากันได้กับนิสัยชอบเฮฮาปาร์ตี้แม้แต่น้อย เพราะแค่มาถึงไม่นานเท่าไร ก็ทำความรู้จักสนิทสนมกับเพื่อน ๆ คนอื่นได้อย่างรวดเร็ว บรรดาเพื่อนชาวเกาหลีแทบทุกคนก็ให้ความเป็นเอง แถมในวันนี้ยังชวนทั้งกถาและนารารินมางานปาร์ตี้ที่บ้านเพื่อนคนหนึ่งหลังจากทั้งคู่เลิกเรียนในชั้นเรียนที่เลือกเรียนตรงกัน
สิ่งที่ทั้งสองคนเรียนไม่อาจจัดอยู่ในคณะใดคณะหนึ่งได้ เพราะเป็นเหมือนกับเลือกลงเรียนได้เป็นพิเศษในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยน นารารินเลือกเน้นหนักไปทางด้านภาษา แต่กถาเลือกไปทางด้านประวัติศาสตร์และการเมือง เพราะเขาสนใจเรื่องราวที่บางหมางกันระหว่างเกาหลีเหนือและใต้ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้กับคนเกาหลีทีไร กถาจะมีอาการ ‘ต่อยหอย’ ทันที คุยได้ยืดยาว มีความรู้ที่ตนได้ศึกษามาก่อนประกอบ จนเพื่อน ๆ คนเกาหลีชื่นชมเขาเป็นอันมาก
ทว่า ไม่ใช่เพื่อนทุกคนที่ชอบหน้าเขา จินสุกนั่นเองที่ดูจะรู้สึกขวาง ๆ ในท่าทางกร่างของเขาเต็มประดา แต่ก็จนใจต้องมาร่วมงานปาร์ตี้ที่จัดขึ้นร่วมกับเขา ในฐานะเพื่อนของนาราริน
“เพื่อน ๆ ที่นี่น่ารักกันทุกคนเลยนะ” กถาเอ่ยขึ้นกลางงานที่กำลังสนุก
“แหม
เฉพาะสาว ๆ เหรอเปล่าจ๊ะ” นารารินสัพยอก
“ก็พูดรวม ๆ นั่นแหละ แต่ขอยกเว้นแม่นั่นไว้คนนะ” กถาพยักพเยิดไปทางรูมเมทของเธอ
“ทำไมล่ะ จินสุกเขาก็น่ารักดีนะ”
“เราไม่ชอบสายตาเขาเลย มันดูหาเรื่องยังไงชอบกล” คนตัวโตบอก คิ้วหนา ๆ ขมวดเข้ากันอย่างไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
“ฉันว่าสายตาเธอต่างหากที่หาเรื่อง เขาอยู่ดี ๆ ของเขาแท้ ๆ ยังไปว่าเขาอีก”
“ไม่ได้ว่านะ ก็มันเรื่องจริง”
จินสุกที่นั่งเงียบอยู่ไม่ไกล รู้สึกได้ว่าบทสนทนาที่เป็นภาษาไทยนั้นต้องพูดถึงตัวเองเป็นแน่ จึงเดินเข้ามาหา ทำท่าพยักหน้าแบบกวน ๆ ถามกถาว่ามีอะไรหรือเปล่า
คนแอบนินทาแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ ยักไหล่ ไม่วายพูดกับนารารินเป็นภาษาไทยต่อหน้าจินสุก
“มีความสุขจริง ๆ เลยนะริน ได้นินทาคนอื่นระยะเผาขน โดยเขาฟังไม่รู้เรื่องอย่างนี้”
“ระวังนะ ฉันจะสอนให้จินสุกเขารู้ภาษาไทย แล้วทีนี้เขาก็จะได้รู้ว่าเธอว่าเขาว่าอะไรบ้าง”
“จ้างก็ไม่กลัว
”
ว่าแล้วก็หัวเราะออกมาเสียงดัง จินสุกเขม้นมอง ด้วยสัมผัสได้ว่าต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตน
“นี่
นายมีปัญหาอะไรก็พูดตรง ๆ กับฉันได้นะ ไม่ต้องมานินทาฉันด้วยภาษาที่ฉันไม่เข้าใจ”
“อานี้
” คนที่เพิ่งนินทาหยก ๆ ปฏิเสธว่า ‘เปล๊า’ เป็นภาษาเกาหลีเสียงสูง
“ยังมาเปล่าอีก ก็ฉันเห็นว่าเธอพูดแล้วก็มองมาทางฉัน”
นารารินเห็นว่าไม่ได้การเลยรีบพูดสวนขึ้นก่อน
“อ๋อ
ไม่มีไรหรอกจินสุก เขาแอบชมเธอว่าน่ารัก นี่นายกถา
ปฏิเสธเสียงแข็งอย่างงี้ อายล่ะสิ” ประโยคหลังหันมาทางเพื่อนคนไทย
“เฮ้ย
ถ้าอย่างนี้น่ารักก็ไปกระโดดน้ำตายได้แล้ว”
“ว่าอะไรนะ
”
นารารินหย่าศึกก่อนด้วยการกึ่งลากกึ่งจูงจินสุกไปอีกทาง
“อ้อ...ริน ไม่ต้องรอเรานะถ้าจะกลับหอก่อน เราจะไปต่อกับเพื่อน ๆ ไม่ต้องห่วงนะ แหม
ไม่อยากร่วมทางกะคนสุดแสนจะ ‘น่าร้าก’ อย่างเพื่อนของเธอหรอก กลัวจะอดใจไม่ไหว เบิ๊ดกะโหลกสาวเมืองโสมเข้าให้”
จินสุกไม่รู้หรอกว่ากถาสั่งว่าอะไร แต่เธอก็ยกกำปั้นขึ้นท้าทายกถาอย่างเดือดดาล
“แหม
เธอนี่ ยังไม่วาย ระวังตัวด้วยล่ะ แล้วอย่าดื่มให้มันมากนะ เดี๋ยวไม่สบาย อากาศก็ยังหนาวอยู่ด้วย”
“คร้าบ
คุณแม่”
///////////////////////////////////////////////////////////////////////
ความคิดเห็น