คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 7 เมืองแทจอน
ตอนที่ 7
นารารินจองตั๋วรถไฟไปแทจอนแล้ว แต่จำต้องเลื่อนการเดินทางออกไปก่อน เพราะเกิดพายุหิมะหนัก ข่าวทางโทรทัศน์ถึงกับรายงานว่าเป็นหิมะที่ตกหนักที่สุดในรอบร้อยปีของเกาหลีเลยทีเดียว
“ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่น้ายังไม่เคยเห็นหิมะตกหนักอย่างนี้เลยนะ” พูดแล้วก็ยื่นถ้วยโกโก้ควันฉุยให้หลานสาว
“แหม
อย่างนี้ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้ายนะคะที่มาเจอตอนพายุหิมะพอดี โชคดีที่มีบุญได้เห็น โชคร้ายที่ต้องมาติดแหงกอยู่ที่โซลจนไปไม่ทันวันเปิดเรียนวันแรกแบบนี้” พูดพลางค่อยประคองยกถ้วยโกโก้ร้อนที่หอมจันทน์เพิ่งส่งให้ขึ้นจิบ
“ตกหนักอย่างนี้เขาก็คงไม่เป็นอันเรียนกันหรอก” คนเป็นน้าปลอบ
“เฮ้อ
จริง ๆ แล้วรินอยากไปก่อนมหา’ลัยเปิดสักหนึ่งอาทิตย์นะคะ จะได้ปรับตัวให้เข้าที่เข้าทาง แถมต้องปรับใจกับเรื่องการเรียนด้วยแน่ ๆ เลย ระบบการศึกษาก็เคยได้ยินว่าต่างจากบ้านเรามาก”
ที่หญิงสาวว่าต่างคือ ที่นี่เปิดเรียนกันในเดือนมีนาคมหรือ Spring Semester เทอมเรียนภาคฤดูใบไม้ผลิ นอกจากนั้นการเรียนยังเน้นหนักในการค้นคว้าหาข้อมูลเองมากกว่าเมืองไทย ซึ่งอาจารย์มักจะเป็นผู้เลกเชอร์ป้อนให้ เธอจึงจำเป็นต้องปรับตัวจากความเคยชินมาก ๆ
นารารินพูด พลางมองผ่านกระจกหน้าต่างเนื้อหนาที่ยาวจรดพื้น ภายนอกเกล็ดหิมะนับแสนล้านค่อยทับถมก่อตัวเป็นน้ำแข็งพูนขาวหนาขึ้นทุกที
“เห็นเกล็ดน้ำแข็งอย่างนี้แล้วนึกถึงน้ำแข็งไสที่บ้านจังค่ะ รินชอบทาน ยิ่งอากาศร้อน ๆ นะ ชื่นใจมาก ๆ เลยค่ะ”
“อืม
เกาหลีก็มีนะ เขาเรียกกันว่า ‘พับปิงซู’
มินดาเรก็ชอบ เอ
คุณแดนเขาก็ชอบด้วยซินะ”
หอมจันทน์พูดแล้วก็ลอบมองนาราริน เมื่อเห็นอาการชะงักถ้วยโกโก้ที่กำลังจ่ออยู่ริมฝีปาก จึงยิ้มออกมา
“หน้าร้อนปีที่แล้ว น้าทำน้ำแข็งไสกินกันที่บ้านนี่แหละ คุณแดนล่อซะตั้งหลายถ้วย กินดุจริง ๆ จะกลับไปท้องเสียหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ชายซื่อ ๆ คนนั้นชอบกินน้ำแข็งไสด้วย เหมือนเด็กเลย
แต่ไม่ทันที่นารารินจะคิดต่อ น้ำเสียงที่แปร่งไปจากเดิมของคนเป็นน้าทำให้เธอไหวตัว พยายามเก็บอาการ ‘สะดุดใจ’ เมื่อครู่เสีย เฉไฉถามไปเรื่องอื่น แต่ก็ยังคงเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับแดนพุทธอยู่ดี น้าหอมจันทน์จะได้เข้าใจว่าอาการเมื่อครู่คือการ ‘สะดุดใจ’ ในเรื่องที่ถามต่างหากไม่ใช่เรื่องอื่น
“พูดถึงคุณแดนของน้าหอม รินว่าเขาน่าสงสารนะคะ”
“สงสารเหรอจ๊ะ?”
“ต้องมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองอย่างนี้ คงคิดถึงเมืองไทยแย่”
“น้าก็อยู่ที่นี่นานแล้ว ไม่คิดบ้างเหรอว่าน้าก็อาจคิดถึงเมืองไทยเหมือนกัน”
“อย่างน้าหอมรินรู้ว่าคงไม่เหงาหรอกค่ะ ก็อยู่กับน้าดงอู แถมมีเจ้าตัวน้อยอยู่อีกคน” ทั้งสองคนมองไปทางมินดาเรที่นั่งหน้าจอทีวีหัวเราะสนุกสนานไปกับตัวการ์ตูนที่โยกเต้นไปมาบนจอแก้ว
“แต่พี่แดนเขาต้องมาอยู่อย่างนี้ แถมพ่อแม่ก็เสียหมดแล้ว”
“ญาติพี่น้องที่โน่นก็ไม่มีเหลือเลยจ้ะ”
นารารินมองหน้าหอมจันทน์ที่พยักหน้าให้ เน้นย้ำคำพูดว่านั่นคือความจริง
“พอพ่อแม่คุณแดนเสียแล้ว ญาติพี่น้องทางเมืองไทยก็ไม่มีใครแยแส ไม่ได้ติดต่อกัน เลยห่าง ๆ กันไปละน้าว่า เป็นอย่างนี้แล้วเขาก็คงจะปักหลักกันอยู่ที่นี่ทั้งคู่ ทั้งคุณแดนและคุณถิ่น พี่ชายน้องชายนั่นแหละ”
หอมจันทน์หมายถึงถิ่นธรรม พี่ชายของแดนพุทธที่ทำงานเปิดร้านขายอาหารไทยอยู่ในกรุงโซลนี้เอง
“ไว้วันหลังเวลารินปิดเรียนแล้ว น้าจะพาไปเยี่ยมคุณถิ่น เผื่อมีอะไรให้ช่วยเหลือกัน”
ใจจริงแล้วหอมจันทน์อยากให้คนเป็นน้องดูแลมากกว่า ถิ่นธรรมคงไม่มีเวลาว่างมากมายมาดูแลนารารินได้ เพราะไหนจะกิจการร้านอาหารไทยที่กำลังไปได้สวย ไหนจะระยะทางที่ห่างไกลกันอย่างแทจอนกับกรุงโซล ดังนั้น คนที่หอมจันทน์คิดว่าเหมาะสมที่สุดแล้วที่จะคอยประคองแก้วใสจากเมืองไทยนี้คือแดนพุทธ
“อีกไม่กี่วันรินก็ต้องไปแทจอนแล้วสินะ
” คนเป็นน้ารำพึง
“ค่ะ เสียดายจังที่น้าหอมไปส่งรินไม่ได้” หญิงสาวทำหน้าม่อย “รินคงตื่นเต้นแน่ ๆ เลยค่ะ ไม่รู้ว่าจะหลงทางหรือเปล่า”
หอมจันทน์หัวเราะให้กับท่าทางเป็นเด็กของหลานสาว
เด็กยังไงก็คือเด็ก แม้ว่าจะทำท่าทีอวดใคร ๆ ก็ตาม โดยเฉพาะแม่ตัวเอง ว่าโตแล้ว เก่งแล้ว สามารถดูแลตัวเองได้ แต่เมื่อต้องเจอสิ่งแปลกใหม่ ไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องนั้นมาก่อน ก็ทำให้หัวใจเด็ดเดี่ยวนั้น ‘ฝ่อ’ ลงได้เหมือนกัน
“น้าขอโทษที่ไปไม่ได้ ร้านพิซซ่าที่เพิ่งเปิดใหม่ยังไม่ลงตัวในหลาย ๆ อย่าง” พูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง แล้วจึงหันมาทางคนอ่อนกว่า
“แต่อย่างรินน่ะเหรอจะหลงทาง น้าไม่เชื่อหรอก เห็นแม่เกษบอกว่าเราน่ะ เก่งจะตาย
”
เมื่อได้ยินชื่อของแม่ นารารินถึงกับนั่งตัวตรง คอแข็งขึ้นมาทันที
“แต่น้าก็ว่ารินอาจจะงง ๆ กับสถานที่ได้ น้าเลยวานคุณแดนให้ไปส่งรินน่ะจ้ะ
”
คนฟังสะดุดใจอีกรอบ ครั้งนี้แถมสะดุ้งเบา ๆ ด้วย และนั่นก็ไม่พ้นสายตาอันแหลมคมของหอมจันทน์ไปได้ เธอจึงยิ้มออกมา แต่สำหรับนารารินแล้ว เธอไม่รู้หรอกว่ารอยยิ้มนั้นเป็นเครื่องหมายของความเป็นห่วง หรือพอใจกับอาการของเธอกันแน่
//////////////////////////////////////////////////////////
แดนพุทธมาพาเธอเดินทางไปยังแทจอนตามที่หอมจันทน์บอกจริง ๆ รถยนต์ยี่ห้อแดวูสีขาวที่ใช้กันเกลื่อนเมืองของชายหนุ่มเป็นพาหนะขนของได้อย่างดี แม้ว่าของจำเป็นในการอยู่หอพักจะยังไม่ได้จัดการซื้อมากมายก็ตาม แต่รถยนต์คันเล็กนี้ก็แน่นไปด้วยสัมภาระจากเมืองไทยและของที่ไปจับจ่ายเมื่อวันก่อน
ตอนแรกแดนพุทธอาสาจะขับรถไปส่งเธอถึงมหาวิทยาลัย แต่นารารินกลับปฏิเสธ เพราะอยากลองนั่งรถไฟเกาหลี และเพื่อความปลอดภัยอีกด้วย ถนนที่ยังคงเปียกด้วยหิมะละลายใหม่ ๆ นั้นสามารถลื่นแฉลบจนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
วันนี้ สถานีรถไฟ Seoul Station อันเป็นชุมทางหลัก ดูแน่นขนัดด้วยผู้คนเป็นพิเศษ อาจเพราะทางการทำการเดินรถอีกครั้งหลังจากต้องหยุดชะงักไปเพราะพายุหิมะ นารารินมองทั่วสถานีอย่างทึ่งจัด ที่นี่ทั้งสะอาดและกว้างขวาง ดูทันสมัยทั้งโครงสร้างและการตกแต่ง เรียกได้ว่าหัวลำโพงที่เมืองไทยชิดซ้ายไปเลยทีเดียว
มัวแต่เพลินกับการชมสถานที่ ทำให้นารารินไม่ทันได้ยินประกาศเรียกให้ผู้โดยสารขึ้นรถเป็นครั้งที่ 2 แต่โชคดีที่แดนพุทธฟังทัน จึงสะกิดเตือนเธอ
“พี่ว่าเราต้องขึ้นรถไฟกันได้แล้วนะครับ”
“ตายจริง เรียกแล้วเหรอคะ รินไม่ได้ยินเลย หูคงยังไม่ชินกับภาษาเกาหลีแน่ ๆ”
รถไฟรางที่เธอโดยสารจวนเจียนจะออกจากชานชาลาแล้ว เมื่อเธอและเขาไปถึงทางเข้า ทั้งคู่จึงต้องวิ่งแบกสัมภาระประดามีผ่านประตูกั้นเพื่อขึ้นโบกี้รถอย่างรีบเร่ง แล้วก็มานั่งหอบกันที่เบาะนุ่มสบาย
“หวาดเสียว กลัวว่าจะไม่ทันซะแล้วสิคะ พี่แดน”
“ไม่น่าเชื่อว่ารินนี่ติดเทอร์โบได้จริง ๆ นะ ยามคับขันอย่างนี้”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ตกรถไฟละแย่ รินยังไม่อยากมีประสบการณ์แปลก ๆ ตั้งแต่มาถึงหรอกค่ะ”
เมื่อได้นั่งนิ่งผ่อนลมหายใจจากการวิ่ง นารารินจึงได้มีโอกาสมองสำรวจภายในรถ และมองวิวทิวทัศน์ภายนอกหน้าต่าง ท้องทุ่งที่ราบไม่ค่อยมีให้เห็นนักเมื่อเลยผ่านตัวเมืองมาแล้ว แต่กลับเป็นเนินเขาเล็กๆ สลับไปมา หน้านี้เป็นหน้าหนาว ต้นไม้ต่าง ๆ ก็พากันสลัดใบร่วงหล่นกันหมดแล้ว เครื่องทำความร้องครางหึ่ง ๆ อยู่ข้างตัว ให้ความอบอุ่นไม่จาง แต่เมื่อแตะที่หน้าต่างกระจก กลับต้องรีบชักมือหนีเพราะเย็บเฉียบจนตกใจ
“เป็นอะไรมั้ยครับ”
“ไม่หรอกค่ะ”
เธอยิ้มแหย ๆ ราวเด็กน้อยทำพลาดจนทำให้ผู้ใหญ่นึกขำ เพื่อแก้อาการเก้อ หญิงสาวจึงเสพูดไปเรื่องอื่น
“พี่แดนไปแทจอนบ่อยไหมคะ”
“ก็ไม่บ่อยหรอกครับ ส่วนมากก็ติดต่อเรื่องงานที่เขามีศูนย์วิจัยอยู่ที่นั่น แต่อีกไม่นานก็คงจะต้องไปประจำอยู่แหละครับ เพราะว่าพี่ตกลงรับทำงานกับเขาไว้แล้ว”
“จริงเหรอคะ ดีจัง”
แดนพุทธฟังเสียงกระตือรือร้นของคนข้าง ๆ แล้วจึงพยักหน้ารับ
เธอจะรู้หรือเปล่าหนอว่าส่วนหนึ่งของการตัดสินใจรับทำงานที่นั่น ก็เป็นเพราะเธอนั่นเองแหละ
นาราริน
“อย่างงี้ รินก็จะได้เจอกับพี่แดนบ่อย ๆ น่ะสิคะ”
คนพูดส่งยิ้มหวานและจริงใจให้ ชายหนุ่มถึงกับสะอึก แล้วรีบเตือนตนเองว่าเธอคือน้องผู้ซึ่งน้าที่เขานับถือฝากฝังให้ดูแล เขาจะต้องสะกดใจตัวเองไม่ไห้ทำอะไรที่มากเกินไปกว่าคำว่าพี่ชาย เพราะเขายังไม่อาจเปิดแผลใจให้มันอักเสบอีกหน
ไม่ได้นะ ไม่ได้เด็ดขาด ยังไม่หลาบจำอีกหรือนายแดนพุทธ
“ครับ ไม่ต้องกลัวหรอกนะว่ารินจะไม่มีใคร รินโทรฯ หาพี่ได้เสมอ มีอะไรก็ปรึกษาพี่ได้ มหา’ลัยกับที่ทำงานของพี่ก็ไม่ไกลกันหรอก ขับรถแป๊บเดียวก็ถึง”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวพนมมือไหว้
“ไม่เป็นไรครับ พี่เต็มใจ
”
นั่นเป็นการรับปากของเขาด้วยเช่นกัน
รับกับตัวเองว่า ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้แหละที่เขาจะปกป้องดูแลไม่ให้สิ่งใดมาทำร้ายเธอได้
ดวงใจใสพิสุทธิ์ดวงนี้ ไม่น่าจะต้องมีสิ่งใดมาแปดเปื้อน
ทว่า ดวงตากลมดำในหน่วยตาแคบของเธอนี้ ช่างปรากฏประกายเศร้าอยู่ไม่จาง ทำให้ชายหนุ่มคิด เธอเป็นคนสวยสะ แต่สิ่งที่ประกอบออกมาเป็นความสวยบนใบหน้าคือแววระทดท้อ แต่ก็มั่นคงไม่หวาดหวั่น
แดนพุทธไม่อาจรู้ เท่า ๆ กับใจของเขาก็ไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ ไยเขาจึงติดตาและตรึงใจในความสวยแบบโศก ๆ นี้นัก และอีกใจหนึ่งซึ่งทำหน้าที่ตอบสนองคำเรียกร้องของเขา ก็บังเกิดความปรารถนาจะบรรเทาแววหม่นเศร้าของเธอให้จางหายไปเสียเหลือเกิน
ตลอดทางจึงเป็นการพูดคุยกันอย่างเป็นกันเองและสนุกสนาน จนบางครั้งผู้โดยสารชาวเกาหลีต้องหันมามองนารารินที่ส่งเสียงหัวเราะระรื่นด้วยความเอ็นดู ประกายตาแจ่มใสขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากเหยียบย่างลงบนพื้นดินต่างถิ่นแห่งนี้
เมืองแทจอนต้อนรับเธอด้วยบรรยากาศสดชื่น ตัวเมืองดูไม่ใหญ่นัก แต่ก็แน่นขนัดไปด้วยยวดยานที่ติดกันเป็นแพไปตลอดแนวถนนแคบ ๆ เพราะข้างทางกำลังมีการก่อสร้างรถไฟใต้ดิน
“โอ้โห! เมืองเล็ก ๆ ขนาดนี้ยังมีรถไฟใต้ดินเลยเหรอคะ” หญิงสาวตื่นตาตื่นใจจนไม่อาจควบคุม
“ก็ไม่เล็กเท่าไหร่นะครับ เพราะแทยังถือว่าเป็นเมืองใหญ่แถวหน้า ๆ รองจากโซล พูซาน คยองจู แทกู แล้วก็แทจอนไงละครับ
เทคโนโลยีของเขาก็ล้ำหน้าอยู่แล้ว อีกอย่าง รินลองสังเกตนะ คนเกาหลีชอบทำอะไรลงไปข้างใต้ดิน ตั้งแต่รินมา เคยเห็นสะพานลอยบ้างเหรอยัง”
หญิงสาวคิดตาม ก็ยังไม่เคยเห็นจริง ๆ ด้วย
“นั่นเพราะว่า เขาขุดอุโมงค์เชื่อมเวลาข้ามถนนมากกว่า มาแรก ๆ พี่ก็นึกขำ พี่ว่าคงเพราะหนีหนาวกันแน่ ๆ แล้วบางทีนะเขาก็ทำอุโมงค์ยาว ๆ ทำเป็นที่ช็อปปิ้งขนาดย่อม ยืดยาวไปตามทางเดิน อีกด้วย ไว้วันหลังพี่จะพามาละกัน”
แดนพุทธมองดวงตาใสของนารารินที่วาววามขึ้นหลังจากได้ยินคำว่าช็อปปิ้ง ยิ้มละไมที่ส่งมาประทับลงแล้วตรงกลางใจของเขา
ละม้ายน้ำทิพย์มารินรดรักษาแผลเก่านานปีในใจ ทว่า ในชั่ววินาทีที่หญิงสาวกระตุกมือเรียก ความคิดเหล่านั้นก็พลันหาย ซุกตัวซ่อนหัวใจไว้อย่างมิดชิดที่เดิม เพื่อเจ็บกดและปวดแปลบต่อไป
“ไปกันเถอะค่ะพี่แดน เดียวไม่ทันนัดคุณคิมที่มหา’ลัยนะ”
ทั้งคู่จึงนั่งแท็กซี่ต่อไปยังมหาวิทยาลัยแทจอน ซึ่งอยู่ห่างไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจากตัวเมือง แทจอนเป็นมหาวิทยาลัยของเอกชน มีสาธารณูปโภคทางด้านการศึกษาที่ครบครัน มีโครงการพัฒนาทางวิชาการอันหลากหลาย และโครงการแลกเปลี่ยนระหว่างเกาหลีกับประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เป็นหนึ่งในผลงานวิชาการที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ริเริ่ม
ลิบ ๆ อยู่ทางด้านทิศเหนือคือทิวเขาสลับซับซ้อน ห่มคลุมด้วยสีน้ำตาลของต้นไม้ยืนต้นแห้งแกร็นที่สลัดปุยหิมะที่เคยเกาะเต็มให้หล่นลงและละลายหายไปหมดแล้ว เมื่อเข้าสู่อาณาบริเวณของมหาวิทยาลัย ตัวตึกและอาคารก็เรียกความสนใจของนารารินได้มาก เพราะตัวตึกต่าง ๆ ตั้งลดหลั่นกันไปตามเนินเขาสูงต่ำสลับสล้าง ทอดตัวไปตามแนวเขาที่เธอเห็นเมื่อครู่
“โห
พี่แดน แปลกจังค่ะ มหา’ลัยมีภูเขาด้วย
”
“ใช่ครับ คงจะเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อลักษณะทางภูมิประเทศของเกาหลีเป็นเนินเขาแทบทั้งนั้น ทีนี้รินก็ต้องเรียนบนเขาละนะ”
“ดีสิคะ แต่หวังว่าคงไม่ใช่พวกหลังเขาหรอกนะ
” หัวเราะออกมาอย่างร่าเริง
แดนพุทธเป็นธุระนำทางและถามหาสำนักงานวิเทศสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัย ซึ่งอยู่บนชั้นบนสุดของตัวตึกห้องสมุด เมื่อรายงานตัวเสร็จเรียบร้อย มิสเตอร์คิม กอนโม เจ้าหน้าที่ดูแลนักเรียนแลกเปลี่ยนจึงนำเธอไปยังหอพักนักศึกษาที่อยู่ภายในอาณาบริเวณนั้นเอง
“ถ้ายังไงพี่ขอตัวกลับก่อนนะครับ ต้องไปติดต่อกับทางศูนย์วิจัยด้วย
อยู่คนเดียวได้นะ”
“ค่ะ พี่แดนไม่ต้องเป็นห่วงรินหรอก”
ยิ้มละไม เพื่อให้เขาสบายใจ
ชายหนุ่มรู้
แต่แววหวาด ๆ ที่ถูกกลบทับด้วยความตื่นตากับสิ่งใหม่ ๆ ไม่อาจหลบเลี่ยงจากสายตาเขาได้ เขาจึงฝากฝังกับมิสเตอร์คิมอีกรอบ
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ทางมหาวิทยาลัยจะดูแลนักเรียนแลกเปลี่ยนเป็นอย่างดี”
“แล้วนักเรียนคนไทยอีกคนมาหรือยังคะ”
“ยังเลยครับ เขาส่งอีเมลมาบอกว่า ต้องรอสอบกับทำรายงานที่เมืองไทยให้เสร็จก่อน ทางเราก็ไม่ว่าอะไรหรอกครับ เพราะสัปดาห์แรก ๆ ก็ยังไม่มีอะไร”
“ดิฉันกลัวอยู่เรื่องนึงน่ะค่ะ”
“อะไรหรือริน
”
น้ำเสียงของแดนพุทธฟังได้ชัดว่าเป็นห่วง ทำให้นารารินหันมามองเขาแวบหนึ่ง ยิ้มให้ด้วยสายตาขอบคุณ แล้วหันไปพูดกับมิสเตอร์คิมเป็นภาษาอังกฤษซึ่งเธอคงยึดเป็นภาษากลางระหว่างเขากับเธอเพื่อใช้ในการสื่อสาร เพราะลำพังภาษาเกาหลีที่เธอพกติดตัวมาคงยังไม่แข็งกล้าพอจะใช้การได้มากมายนัก และนั่นก็คือสิ่งที่เธอเป็นห่วง
“ดิฉันเกรงว่า จะเรียนตามเพื่อน ๆ ชาวเกาหลีไม่ทันน่ะสิคะ แม้ว่าดิฉันจะมีความรู้ภาษาเกาหลีพอตัว แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดที่จะเข้าใจอะไรได้รวดเร็วนัก”
เมื่อฟังดังนั้น แดนพุทธที่ทำท่าจะกลับอยู่รอมร่อ กลับรั้งอยู่ และส่งสายตากังวลมองหน้ามิสเตอร์คิมที่ยืนยิ้มอยู่อย่างเข้าใจปัญหา
“ไม่ต้องห่วงไปหรอกครับ ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็ปรึกษาอาจารย์ประจำวิชานั้น ๆ ได้ ทุกท่านเคยมีประสบการณ์สอนนักเรียนแลกเปลี่ยนกันมาหมดแล้ว” มิสเตอร์คิมพูดแล้วเดินไปหยิบกระดาษแผ่นบางมาให้ “
อ้อ! ก่อนที่จะไปหอพัก ผมว่าคุณลองดูรายชื่อวิชาที่คุณจะต้องลงก่อนดีกว่านะครับ”
มิสเตอร์คิมยื่นกระดาษที่มีแต่ชื่อวิชาเป็นภาษาเกาหลีให้ หญิงสาวถามสองสามคำที่เธอไม่เข้าใจ พูดจาถามถึงเรื่องเรียนอยู่เกือบชั่วโมง แต่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะลงวิชาใดดี มิสเตอร์คิมจึงบอกให้เธอนำใบลงทะเบียนมาให้ในวันรุ่งขึ้นก็ได้
“ถ้ามีปัญหาอะไรเกี่ยวกับการเรียนถามพี่ได้นะ” เสียงของแดนพุทธดังขึ้นข้างตัว ปลุกให้ตกใจ
เขายังอยู่
ตายจริง! นี่เธอลืมเขาเสียสนิท มัวแต่สนทนาเรื่องเรียนอยู่กับมิสเตอร์คิม แต่เมื่อได้ยินประโยคนั้นก็ให้นึกอยากจะหยอกเขาเล่น
“พี่แดนเรียนมาทางวิศวะมาไม่ใช่เหรอคะ รินเรียนสายภาษานะ พี่แดนจะช่วยรินได้เหรอคะ”
หญิงสาวเอียงคอ ถามด้วยรอยยิ้ม
“เอ่อ
ได้สิ พี่คิดว่าได้” รับคำมั่นเหมาะ
“พี่แดนรู้เรื่องโครงสร้างภาษา เรื่องไวยากรณ์ เรื่องประวัติการใช้ภาษา เรื่อง
”
“พอเถอะ ๆ พี่คงช่วยไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ”
ชายหนุ่มยกมือยอมจำนน หัวเราะชอบใจออกมาเสียงดัง
“ล้อเล่นนะคะ ขนาดนั้น รินก็ไม่รู้หรอก ไงถ้ามีอะไรไม่เข้าใจจริง ๆ รินจะโทรฯ ไปถามนะคะ”
ให้พี่มาหาก็ได้นะ
ชายหนุ่มอยากจะพูดประโยคนี้ออกไปเสียจริง หากดวงใจที่เฝ้าย้ำเตือนทำให้ต้องเก็บมันไว้
“งั้นรินขอตัวนะคะ เดี๋ยวมิสเตอร์คิมเขาจะพาไปดูห้องพัก แล้วเจอกันนะคะ”
“ครับ ไว้พี่จะแวะมาหา”
เขามองเธอจนลับจากไปยังอีกตัวตึกหนึ่งซึ่งเป็นทางเดินลาดลงไปตามเนินเขาด้วยใจละห้อยโหย ในใจคิดว่าเขาไม่อยากจากเธอไปเลย แต่แม้ว่าใจจะโหยหามากเพียงใด เขากลับเผลอยิ้มให้กับตัวเองโดยไม่รู้ตัว
////////////////////////////////////////////////////////////
ความคิดเห็น