คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 6 แดนพุทธ
ตอนที่ 6
คนที่นั่งรออยู่แล้วลุกขึ้นต้อนรับ ทักทายอย่างเป็นกันเอง นารารินจ้องใบหน้านั้นไม่วางตา ไม่ใช่แค่เพราะเขามีจมูกโด่งรับกับแสงตาอ่อนโยนที่ฉายส่องมา หรือแค่เพราะริมฝีปากเรียบและหยักลึกอิ่มเต็มนั่นหรอก แต่ด้วยท่าทางสุภาพและผิวสองสีแบบที่ชินตานั่นต่างหาก
ผิวพรรณลักษณะอย่างนั้นบ่งบอกว่าไม่ใช่คนเกาหลี แต่เป็นคนไทยเหมือนกับเธอ
“คุณคงเป็นนาราริน”
เสียงเรียกถามอย่างเป็นมิตรปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์
หญิงสาวรับคำสั้น ๆ แล้วหอมจันทน์ก็ทำให้ความกังขาของเธอกระจ่างขึ้น
“นี่คุณแดนพุทธ
เขากำลังเรียนปริญญาเอกอยู่ แล้วก็ทำงานเป็นนักวิจัยอยู่ที่นี่ ใช่มั้ยจ๊ะคุณแดน”
ประโยคหลังหันไปถามอีกคน
“ครับน้าหอม แต่เรื่องงานวิจัยนี่เพิ่งตกลงสัญญากันได้นะครับ คงเริ่มทำได้อาทิตย์หน้า” ประโยคถัดมาหันมาหาหญิงสาว
“คุณนารารินจะเรียกผมว่าพี่ก็ได้นะครับ” เสียงทุ้มนุ่มลึกนั่นเหมือนจะหยอกเอินเธอให้เผลอไปกับสำเนียงสุภาพและนุ่มหวาน
“จะให้รินเรียกก็ได้ค่ะ แต่ ‘พี่แดน’ ก็ต้องเรียกรินว่า ‘น้อง’ เฉย ๆ ด้วยนะคะ”
“ยินดีครับน้องริน”
ชายหนุ่มตอบรับแฝงรอยขบขันไว้เต็มที่
“ทำไมต้องขำรินด้วยล่ะคะ”
“ก็ผมไม่เคยเรียกใครว่าน้องมาก่อนน่ะสิครับ”
“งั้นก็ได้เรียกแล้วล่ะ
คุณ เอ้ย พี่แดนไม่มีน้องเลยเหรอคะ”
“ไม่มีครับ มีแต่พี่ชาย เขาก็ทำร้านอาหารไทยอยู่ในโซลนี่แหละ”
นารารินนัยน์ตาพราว เธอพบแหล่ง ‘ฝากท้อง’ ของเธอแล้ว อาหารเกาหลีที่น่ากินอย่างนี้ คงกินอร่อยได้ไม่นานหรอก ชะรอยว่าเธอจะเรียกร้องหา ‘ต้มโคล้งปลากรอบ’ ที่เธอชอบตั้งแต่สัปดาห์แรกเสียก็ไม่รู้
“จริงเหรอคะ อย่างงี้เสร็จรินแน่ ๆ จะไปถล่มให้ราบเลยค่ะ”
ยิ้มที่ดวงตาเปิดเผยและจริงใจนัก แต่ประโยคที่เขาถามกลับมากลับทำให้ความสดใสที่ฝากไว้ในแววตานั้นสั่นไหว
“แล้วรินมีพี่น้องหรือเปล่าล่ะครับ”
“มีจ้ะ รู้สึกจะชื่อไอซ์ใช่มั้ยริน
กำลังโตเป็นสาวเลยค่ะ แม่เขาเคยส่งรูปมาให้ดู” หอมจันทน์ตอบแทน
แววเศร้าเร้าอยู่ที่ดวงหน้ามนสวย ชายหนุ่มสงสัยเหลือเกิน หากจะถามไถ่ให้ได้ความก็เกรงว่าจะไปกระตุกต่อมใจเธอให้ยิ่งสลดขึ้นไปอีก เขาจึงนิ่งเสีย แต่ในใจกลับรู้สึกประหลาดวาบขึ้นมาเหมือนเป็นความสงสารต่อหญิงสาวที่เพิ่งพบปะกันได้ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
เรื่องใดหนอมาทำให้ใจเธอต้องหมองเศร้า
“ไอซ์เป็น ‘ลูกรัก’ ของแม่ทีเดียวล่ะค่ะ” หญิงสาวเน้นคำ
คำย้ำนั้นไม่ได้สะกิดหอมจันทน์ซึ่งนั่งจัดอาหารที่ทยอยมาส่งให้ได้คิด แต่คำนั้นก็ทำให้แดนพุทธมั่นใจตัวเองว่า ภายใต้ใบหน้าสะสวยได้รูปและร่างระหงโปร่งบางอย่างคนไทย ติดจะคล้ายคนเกาหลีนั้น หญิงสาวผู้นี้ยังแบกรับเอาทุกข์ชนิดใดไว้ที่เธอด้วย บ่าที่ผึ่งผายเมื่อครู่จึงค้อมลงอย่างเห็นได้ชัด
“กินกันดีกว่าค่ะ น้าย่างหมูไว้ให้แล้ว
ดงอูทานสิ เดี๋ยวหอมตัด ‘ซัมคยอบซาล’ ให้นะคะ”
หอมจันทน์ดึงความสนใจไปเสีย ใช้คีมเหล็กคีบหมูสามชั้นที่เรียกว่า ‘ซัมคยอบซาล’ ขึ้นมาตัดแล้ววางย่างใหม่ คีบชิ้นที่สุกแล้วให้มินดาเรและสามี
นารารินลืมเรื่องราวเมื่อครู่แล้วตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ที่ได้พบเจอ ราวเด็กน้อยเห็นของเล่นที่ถูกใจ
“วิธีกินต้องทำอย่างนี้นะครับ”
ดงอูสาธิต เขาหยิบผักกาดเกาหลีที่มีใบสีเขียวเข้มแกมน้ำตาลแดงที่โคนก้านขึ้นมา ใส่ชิ้นหมูที่จิ้มกับน้ำพริกซึ่งเรียกว่า ‘โค๊ตชูจัง’ วางต้นหอมหั่นฝอยลงตรงกลางแล้วห่อยื่นให้เธอ หญิงสาวทำท่าปฏิเสธ แต่ดงอูก็ยังคะยั้นคะยอ
“รับห่อซัมคยอบซาลนั่นเถอะครับ คนเกาหลีถือว่านี่คือการให้เกียรติ” แดนพุทธบอก
นารารินจึงรับมาโดยดี แต่ห่อเจ้ากรรมมันก็ดันใหญ่เกินกว่าปากน้อย ๆ ของเธอจะรับได้ จึงต้องเคี้ยวโดยเอามือปิดปาก ยิ้มขอบคุณทางดวงตาแทน
ไวเท่าความคิด หญิงสาวจึงห่อหมูสามชั้นย่างไฟอ่อนกลิ่นหอมนั้นให้ดงอูบ้าง เขาขอบคุณและใส่ปากเคี้ยวอย่างมีความสุข
“อร่อยมั้ยริน
”
หอมจันทน์ถาม แต่อารามที่ยังเคี้ยวอยู่ในปากจึงตอบไม่ได้ ได้แต่พยักหน้า
“ต้องตามด้วยอันนี้นะครับ”
แดนพุทธยื่นจานเครื่องเคียงจานหนึ่งที่วางเรียงรายอยู่นับสิบส่งให้ มันคือ ‘กิมจิ’ นั่นเอง
“กิมจิเหรอคะ ไม่ล่ะค่ะ รินทานไม่เป็น”
“กินแล้วจะติดใจนะ” คนเป็นน้าคะยั้นคะยอ
“ลองดูเถอะครับ ผมมาแรก ๆ ก็ไม่กล้ากินเหมือน เห็นเขาบอกว่าเผ็ด เพราะดองพริก แต่เอาเข้าจริง ๆ กินไปกินมากลับอร่อยอย่าบอกใคร ขาดไม่ได้เชียวแหละครับ”
เมื่อได้รับคำชวนอีกรอบ นารารินจึงหยิบตะเกียบเหล็กคู่ยาวและแบนเป็นระนาบเดียวกันแบบเฉพาะของเกาหลีขึ้นมาคีบเอาใบผักกาดสีแดง ๆ ส้ม ๆ เข้าปาก รสแรกที่สัมผัสคือความเปรี้ยวตามมาติด ๆ ด้วยความเผ็ดที่ปลายลิ้น หญิงสาวเรียกหาน้ำทันทีที่บังคับตัวเองให้กินเข้าไปทั้งชิ้น
แดนพุทธยื่นแก้วเหล็กใส่น้ำที่ดูน่าจะเรียกว่า ‘จอก’ มากกว่าให้ เมื่อได้น้ำดับรสประหลาดเธอจึงรู้สึกดีขึ้น ร่าเริงถามชายหนุ่มออกไปบ้างเมื่อเริ่มมีของตกถึงท้อง
“พี่แดนเรียนต่อที่นี่นานแล้วเหรอคะ”
“ก็มาตั้งแต่ปริญญาตรีน่ะครับ”
“โห อย่างนี้ก็พูดเกาหลีคล่องน่ะสิคะ”
“ก็จำเป็นน่ะครับ แรก ๆ ก็เล่นเอาพี่อ่วมไปเลย เพราะไวยากรณ์ยากมาก ๆ”
นารารินพยักหน้า ก็เท่าที่เธอสัมผัสมาก่อนที่จะมาดินแดนต้นกำเนิดภาษาที่เธอเรียน เรื่องไวยากรณ์เป็นเรื่องปราบเซียนที่สุด
“แล้วพี่แดนไม่คิดถึงบ้านที่เมืองไทยบ้างเหรอคะ”
“ไม่มีใครอยู่ให้คิดถึงแล้วนี่ครับ”
“พ่อแม่ของคุณแดนเขาเสียตั้งนานแล้วล่ะจ้ะ” หอมจันทน์แทรกขึ้น
“โธ่ รินขอโทษนะคะ รินไม่ได้ตั้งใจ”
เขาให้อภัยเบา ๆ พร้อมยิ้มให้ ดวงตาบอกว่าไม่เป็นไร แล้วขอตัวไปห้องน้ำ
หอมจันทน์เองก็ขอตัวออกมาบ้าง ทิ้งให้นารารินลิ้มรสอาหารอย่างเพลิดเพลินอยู่กับดงอูกับมินดาเร
“คุณแดนคะ น้ามีเรื่องจะรบกวน
เรื่องยายรินน่ะค่ะ”
“ครับน้าหอม ว่ามาสิครับ” รู้สึกกระตือรือร้นอยากช่วยเต็มที่
“น้าฝากให้คุณช่วยดูแลยายรินด้วยนะคะ น้าไม่รู้ว่าจะขอเกินไปหรือเปล่า ตัวน้าเองก็ยุ่ง ๆ กับร้านพิซซ่าอยู่ คงดูแลรินไม่ได้ทั่วถึงนัก ยังไงคุณแดนช่วยน้าอีกแรงนะคะ ถือว่าเป็นคนไทยด้วยกันเถอะค่ะ พอดีน้าเห็นว่าสถาบันวิจัยฯ ของคุณก็อยู่เมืองเดียวกันกับที่แกจะไปเรียน ‘แทจอน’ ใช่ไหมคะ”
ชายหนุ่มอยากจะรีบบอกไปในนาทีนั้นว่าถึงหอมจันทน์จะไม่ออกปาก เขาเองก็อยากเสนอตัวเองด้วยซ้ำ อารมณ์ใดเขาก็สุดจะตอบตัวเองได้ รู้แต่เพียงว่า ใบหน้าที่ดูรวม ๆ แล้วถึงจะสวยสะแต่ก็ไม่ได้มีอะไรเด่นสะดุดตาชวนให้หลงใหลได้เพ้อนั้น กลับละม้ายคล้าย ‘ใครบางคน’ ที่เขาผูกพันรักแนบดวงใจ
“แม่เขาฝากมาน่ะค่ะ เด็กเขาดื้อ เข้ากับแม่ไม่ค่อยได้ แล้วการที่ยายรินมาที่นี่ ก็ไม่ใช่เฉพาะว่าแกจะมาเรียนแลกเปลี่ยนอย่างเดียวหรอกค่ะ แต่แกต้องได้ ‘รู้’ ความจริงบางอย่างด้วย”
แดนพุทธขมวดคิ้ว
เรื่องอะไรหนอ ที่ทำให้สาวน้อยผู้นั้นมีแสงตาพร่าหม่น หมดแววสดใสลงเมื่อครู่ คงเพราะเรื่องนี้เองน่ะหรือ
“น้าเลยอยากให้คุณแดนช่วยเท่าที่จะช่วยได้ ส่วน ‘เรื่องอื่น’ น้าว่ามันคงมีทางของมันที่จะทำให้เธอพบ ‘เรื่องนั้น’ ตามวิถีทางของมันเองล่ะค่ะ”
“อย่าห่วงเลยครับน้าหอม ผมจะดูแลน้องเขาเอง”
ไม่ใช่เพราะเธอคือคนไทย หรือได้รับการไหว้วานจากผู้ใหญ่ที่นับถือหรอก ที่ทำให้เขารับคำเป็นมั่นเหมาะ
แต่ด้วยดวงหน้าและความร่าเริงปะปนแววเศร้าที่ช่างแตกต่างกันเหลือเกินนั้นต่างหาก ที่ทำให้เขาอยากปกป้องดูแลและค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเธอ และค้นหาใจของเขาเองด้วย
(พี่แดน)
//////////////////////////////////////////////////////////////
“ใครกันคะแทยัง ผู้หญิงที่มองมาทางคุณตะกี้”
เสียงแหลมใส แหวใส่เขาทันที แต่ยังไม่ทิ้งท่าทีกระเง้ากระงอดที่เคยใช้ได้ผลทุกทียามเมื่อต้องการให้คนฟังงอนง้อ
แต่ครั้งนี้ ไม่รู้เป็นไร คนฟังรู้สึกรำคาญเหลือเกิน
ชายหนุ่มถอดหายใจ แล้วบอกส่ง ๆ ไป
“ผมไม่รู้จักหรอก แค่เคยเจอกันบนเครื่อง ตอนผมกลับจากเที่ยวเมืองไทยแบบแบคแพคนั่นไง”
สาวน้อยยังไม่ยอมเชื่อง่าย ๆ เอนตัวเบียดเข้าไปซบไหล่เขา ทั้งที่มือของคนพูดยังจับค้างอยู่ที่พวงมาลัยรถยนต์
“ไม่รู้แหละ ไม่รู้จักกันแต่ทำไมต้องจ้องคุณยังงั้นด้วยล่ะ ฉันไม่ชอบเลยนะ
ฉันหวงคุณนะคะแทยัง”
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ หัวเราะให้กับมารยาหญิงของคนข้าง ๆ หรือชอบใจกับเสน่ห์ของตนที่โปรยไปทั่วกันแน่ เขาเองก็สุดรู้
รู้แต่ว่าสุขใจกับชีวิตอันแสนสนุก มีหญิงสาวมากหน้าหลายตา เทียวมาติดพัน และถ่ายทอดความหวานแหลมของชีวิตหนุ่มสาวกับเขา แม้ว่าจะยังอยู่ในวัยเรียนกันทั้งคู่ก็ตาม
อันที่จริง จะเรียกว่าเขาอยู่ในวัยเรียนก็ไม่ถนัดนักหรอก แทยังควรจบการศึกษาระดับปริญญามานานแล้ว แต่ด้วยความเกเร และรักสนุกทำให้เขาดร็อปเรียนมาหลายปี และมหาวิทยาลัยเอกชนชั้นนำที่เขาเป็นนักศึกษาอยู่ก็ไม่สนใจหรอกว่าเขาจะหยุดเรียนไปกี่ปี ขอแค่มีเงินจำนวนมากมายมาเสียให้ทางมหาวิทยาลัยเพื่อรักษาสภาพการเป็นนักศึกษาไว้ได้เป็นพอ
แม้ว่าทางครอบครัวจะหัวเสียต่อการทำตัวไม่ดีของเขา แต่เมื่อบิดาเรียกถามด้วยความโกรธว่าเมื่อไรจะเรียนจบ เขาจะประจบด้วยการอาสาช่วยเหลือกิจการบริษัทของบิดา อย่างเช่นดูแลงานตามสาขาต่างเมือง เพียงเพื่อเป็นการเอาใจชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น
ในเมื่อการทำงานเป็นสิ่งท้าทายมากกว่าการนั่งในห้องเลกเชอร์ สัปหงกฟังอาจารย์อย่างไม่รู้เรื่อง ชายหนุ่มจึงเพลิดเพลิน และหลงระเริงไปกับเกมการทำงาน จนเกือบลืมไปแล้วว่า เขายังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยอยู่
ยิ่งด้วยความยั่วยวนจากบรรดาสาว ๆ ที่ผลัดกันเข้ามาในชีวิตเขาไม่ซ้ำหน้าอย่างนี้แล้ว ยิ่งทำให้ ‘เกม’ ชีวิตนี้ น่าเล่นขึ้นเป็นล้านเท่า
“หวงผมจริง ๆ เหรอ ถ้าผมไม่เชื่อล่ะ”
พัก แทยังยิ้มกริ่ม ส่งนัยน์ตาเจ้าเล่ห์มายังคนซบอยู่ที่บ่าตน
“คุณจะให้ฉันทำยังไงล่ะคะแทยัง คุณถึงจะเชื่อฉัน” หญิงสาวปรือตาอ่อนหวานบนผิวหน้านวลขาวไปยังชายหนุ่ม เบียดร่างอวบอูมสมวัยเข้าใกล้ยิ่งขึ้นอย่างไม่กลัวว่าการกระทำของตนจะไปรบกวนสมาธิในการขับรถของเขา
“คุณไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นแหละ”
“จริงเหรอคะ แล้วคุณจะเชื่อฉันได้ยังไง” เสียงกระเส่าที่ส่งมาทำให้คนกุมพวงมาลัยอยู่ได้ใจ
“ผมจะเชื่อว่าคุณหวงผมจริง ๆ ถ้าคืนนี้คุณไปเที่ยวผับกับผม”
แต่ต่อจากนั้นจะเลยเถิดไปถึงไหน คงเดาได้ไม่ยาก
ชายหนุ่มคิด
เขาไม่ได้คำตอบรับเป็นคำพูดใด มีแต่เสียงครางในลำคอเป็นสัญญาณว่าตกลงเท่านั้น ยิ่งทำให้ชายหนุ่มยิ้มสมใจออกมาอีกรอบ
คงจะคั่วด้วยไม่นานหรอก พอต่างคนต่างเบื่อ แล้วก็คงต่างคนต่างไป
พัก แทยังบอกกับตนเองเงียบ ๆ หากใจหนึ่งกลับกระหวัดไปถึงผู้หญิงอีกคนที่เขาเพิ่งเจอมาเมื่อครู่
โลกช่างกลมเสียจริง!
วูบหนึ่งชายหนุ่มคิด หากเปลี่ยนคนที่ซบไหล่เขาอยู่นี้ได้ ให้กลายเป็นผู้หญิงคนที่มีชื่อแสนเพราะคนนั้น
นาราริน เขาจะมีความสุขมากมายขนาดไหนนะ
ความพอตาพอใจวาบจับอยู่ในความทรงจำ ติดตรึงไม่รู้เลือน
ชายหนุ่มเกาหลีสงสัย ไฉนหญิงสาวต่างชาติต่างภาษาจึงมีอิทธิพลต่อใจเขาขนาดนี้หนอ
คงได้แค่มอง คงได้แค่แอบชอบ ไม่อาจมีโอกาสเจอะเจอกันอีก แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังจะจดจารภาพผู้หญิงคนนั้นไว้ในห้วงคะนึงของเขา
บางครั้งบางคราอาจเผลอไผล เริงรมย์ไปกับสาวมากหน้าหลายตาที่รุมล้อม หากพัก แทยังไม่สามารถเข้าใจตนเองได้ ไยความรู้สึกนั้นช่างรุนแรงเพียงแค่ได้พบพานกันเพียงสองครั้งเท่านั้น!
ละม้ายเสือร้ายในป่าใหญ่ผลัดหลงเข้ากับดักของนายพรานชำนาญไพร
อาจเพราะเธอเป็นคนแรกที่ไม่เกิดความรู้สึกต้องตาต้องใจกับรูปกายของเขา หรือเสน่ห์แพรวพราวที่เขาหลอกกระหวัดมัดใจสาว ๆ มาแล้วมากมายนั่นก็เป็นได้ ที่ทำให้เขา ‘มอง’ เธอแผกไปจากคนอื่น เหมือนเสน่ห์ที่เคยใช้การได้หายหด
เป็นเขาเองนั่นแหละ ที่ถูกเสน่ห์ของเธอผูกรัดไว้เสียแล้ว
น่าลองสานสัมพันธ์สักที เพลย์บอยอย่างเขาทำไมจะลองของใหม่ ๆ บ้างไม่ได้ล่ะ
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คงไม่ได้เจอะหน้ากันอีกแล้ว
แต่ชายหนุ่มไม่ได้รู้เลยว่า ทั้งชะตาของเขาและเธอถูกขีดให้เข้าใกล้กันแล้ว และในไม่ช้าเขาจะได้พบความจริงนั้น
///////////////////////////////////////////////////////////////////////
“เบิร์ดจ้ะ
รินมาถึงที่นี่หลายวันแล้วนะ โทษทีที่ไม่ได้โทรฯ หาเบิร์ดเลย ทางนี้หนาวมาก หนาวจนหน้าชาหูชาไปหมด จมูกรินงี้แดงเลยนะเบิร์ด ต้องหาเสื้อโค้ตตัวโต ๆ มาสวมด้วย พวกที่เอามาด้วยใช้ไม่ได้เลย แต่น้าหอมก็บอกว่าเอาเก็บไว้ใช้หน้าอื่นที่อากาศไม่หนาวเท่าหน้านี้ก็ได้ อ้อ
รินเล่นพ่นควันออกปากด้วยนะ สนุกจัง เหมือนตอนที่เบิร์ดพ่นควันสูบบุหรี่เลยนะ อ้อ
เรื่องบุหรี่น่ะ เลิกได้หรือยัง รินขอร้องนะ
ทำไมถึงช่างเหมือนคนเกาหลีนักนะ ที่นี่น่ะ สูบกันเอาเป็นเอาตายเลย ผู้หญิงก็ไม่เว้น แถมมีบุหรี่กลิ่นอ่อนแบบต่าง ๆ ให้ผู้หญิงด้วย แต่รินไม่รินสูบหรอก แค่ที่เบิร์ดพ่นควันออกมา รินก็หายใจจะไม่ออกแล้ว
เบิร์ด เลิกเถอะนะ เพื่อสุขภาพของเบิร์ด
”
นารารินหยุด ระบายลมหายใจช้า แรง
“รินเป็นห่วงนะ เรื่องเที่ยวด้วย รินไม่อยู่ทางโน้นแล้ว อย่าออกเที่ยวกับเพื่อน ๆ ให้บ่อยนักล่ะ เดี๋ยวการเรียนจะตกอีก เทอมสุดท้ายแล้วด้วย ตั้งใจนะคะคนดี
”
หญิงสาวเงียบอีกรอบ มีเรื่องราวมากมายที่อยากถ่ายทอดให้อีกคนที่เธอโทรฯ หาได้รับฟัง แต่เมื่อไม่มีคน ‘จริง ๆ’ มาฟัง แล้วเธอจะคุยไปทำไมล่ะ
“อืม
ไม่รู้จะพูดอะไรต่อแล้ว แค่นี้นะ
ไว้วันหลังจะโทรฯ กลับไปหาใหม่”
สิ้นคำ เธอจึงวางหูลงกับแป้น พลางภาวนาในใจขอให้เขาเปิดฟังเครื่องตอบรับอัตโนมัติที่เธอฝากข้อความไว้ด้วยเถิด
///////////////////////////////////////////////////////////
ความคิดเห็น