คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 5 ตาบ้าบนเครื่องบิน
ตอนที่ 5
เครื่องบินครางเบา ๆ ราวอุทธรณ์กับการเดินทางอันยาวไกล ฟังดูน่ารำคาญสำหรับบางคน แต่กับนาราริน เสียงนั้นเหมือนเพลงเห่กล่อมบทเลิศ อาจเพราะด้วยอาหารบนเครื่องชุดโตที่เสิร์ฟมาพร้อมน้ำผลไม้ชั้นเยี่ยม จึงทำให้เปลือกตาของเธอหนักอึ้ง แล้วผล็อยหลับในที่สุด
ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไร หญิงสาวก็ถูกเรียกปลุกเบา ๆ จากพนักงานคนเดิม ยิ้มใสให้แล้วก็ยื่นใบขอเข้าประเทศให้เธอกรอก
หญิงสาวยืดแข้งขาบิดตัวไล่ความเมื่อยขบ แล้วหาวออกมาเต็มวงปากที่อ้าเปิด ตาเหลือบไปมองด้านข้างแล้วก็ต้องรีบเอามือปิดปาก เพราะรู้ว่าถูกจ้องในอากัปกิริยาที่น่าขัน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร หญิงสาวจึงเสกลบด้วยการมองเมิน
แต่มันดันดูคล้ายกับว่า เธอส่งค้อนวงใหญ่ให้ชายหนุ่มเกาหลีคนนั้นเสียต่างหาก
นารารินให้ความสนใจกับกระดาษสีเหลืองอ่อนใบเล็กตรงหน้า กำลังงงอยู่ว่าเขียนยังไง จู่ ๆ ก็มีเสียงเรียกถามเบา ๆ ขึ้น
“คุณมีปากกาให้ผมยืมหน่อยไหม ของผมหมึกมันหมด” คนพูดทำท่าสลัดให้ดูว่าทำอย่างไรเจ้าหมึกแสนดื้อก็ไม่ยอมออกมาสักที
“มีแท่งเดียวรอก่อน”
พูดแล้วเธอก็นึกว่าคำเมื่อครู่ช่างห้วนสิ้นดี ภาษาเกาหลีมีหลายระดับ ทั้งยกย่อง ทั้งสุภาพ และพื้น ๆ โดยจะเปลี่ยนคำลงท้ายให้เป็นไปตามต้องการของผู้พูด เธอเลือกใช้คำลงท้ายที่เป็นกันเองมาก ๆ อย่างที่ใช้ไว้พูดในหมู่เพื่อนที่สนิทกัน เพราะรำคาญสายตาขี้เล่นนั้นเหลือทน
ชอบเล่นจริงนะตาคู่นั้น ตาเขา ‘เล่น’ กับเธอบ่อยเกินไปแล้ว
“ก็ได้”
ห้วนพอกัน หญิงสาวนึก
ร้ายไม่เบา เห็นเธอใช้ประโยคกันเองก็เลยใช้ตอบกลับมา ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องคิดศัพท์แสงให้ปวดหัว ก็พวกคำสุภาพนั่นมันใช้ยากจะตาย คำศัพท์ที่อาจารย์สอนมาก็เหมือนจะส่งคืนไปเกือบหมด นี่ก็หวังว่าจะมารื้อฟื้นที่นี่แหละ
เขียน ๆ ไปสักพัก หญิงสาวก็รู้สึกถูกแอบมอง
แก้แค้นฉันหรือไง แอบมองฉันเพื่อเป็นการเอาคืนงั้นเหรอ
แต่ไม่ทันที่ความสงสัยเธอจะมีไปมากกว่านั้น เสียงทุ้ม ๆ ของเขาก็ดังขึ้นไขข้อกังขานั้นเสียก่อน
“คุณชื่อนารารินเหรอ เพราะดีนะ แปลว่าอะไร”
คนฟังขมวดคิ้ว แล้วแลไปทางใบกลับเข้าประเทศของเขาบ้าง
“คุณก็ชื่อ พัก แทยัง แปลว่าอะไรล่ะ”
“ผมถามคุณก่อนนะ...”
เอ๊ะ ชักจะยังไง
หญิงสาวคิดในใจ
“แปลว่าลำแสงเจิดจรัส...”
“เพราะจัง”
ชายหนุ่มทำท่าเคลิ้มฝัน พริ้มตาแล้วยิ้มเยื้อน ราวจะประทับนามนั้นไว้ในหัวใจ
“ชื่อผมแปลว่าพระอาทิตย์ เพราะผมเป็นลูกคนโต พ่อก็เลยอยากให้ผมเป็นเหมือนกับพระอาทิตย์ ส่องนำทางครอบครัวต่อไป”
แต่อารมณ์ของหญิงสาวช่างต่างจากเขาสิ้นเชิง รำคาญนิด ๆ หงุดหงิดหน่อย ๆ เสียมากกว่า พลอยคิดไปว่า สงสัยอีตานี่ท่าจะบ้า มาเล่าเรื่องส่วนตัวให้เธอฟังทำไม
“ชื่อเราต่างก็มีส่วนของคำว่าแสงเหมือนกันเลยนะ...”
แน่ะ
ยังจะหาจุดเชื่อมให้อีก
นารารินทำเป็นไม่สนใจ หันมากรอกข้อมูลในช่องที่ว่างอยู่ต่อไป
“ชื่อเมืองอินชอน น่าจะเขียนอย่างงี้มากกว่านะ”
ยังไม่วายหายป่วน เขาก็ดึงกระดาษและปากกาไปเขียนให้อีก ไม่นานลายมือภาษาอังกฤษตัวอ้วนกลมน่ารัก ๆ ก็ปรากฏบนแผ่นกระดาษเจ้ากรรมนั้น
Incheon International Airport
แต่ด้วยความสงสัยและงุนงงกับที่เขียนไว้แล้วมากกว่า จึงทำให้อารมณ์รำคาญหายซาไปบ้าง แล้วมองคำเก่าที่เธอเขียนไว้
Inchon
เขาอธิบายให้นักเรียนจำเป็นอย่างเธอฟังว่า รัฐบาลเกาหลีได้เปลี่ยนแปลงระบบการเขียนตัวอักษรทับศัพท์เป็นภาษาอังกฤษแล้ว อย่างชื่อเมือง Pusan ที่ที่จัดกีฬาเอเชี่ยนเกมส์เมื่อหลายปีที่ผ่านมาก็เปลี่ยนให้เขียนว่า Busan
อาศัยจังหวะที่เธอกำลังสับสนกับระบบการเขียนใหม่ แทยังก็แอบมองเสี้ยวหน้าใสนั้นอีกครั้ง คิ้วเรียวโค้งงอได้รูป รับกับดวงตาอิ่มประกายใส จมูกโด่งแต่น้อย ไม่โด่งมากอย่างพวกตะวันตกที่เขาเคยพบพาน พุ่งปลายเนื้อนวลลงเข้าหาริมฝีปากเรียบที่เจือสีชมพูอ่อน สดสะอาดอย่างธรรมชาติสร้างสรรค์ ไม่ได้มีการปรุงแต่งด้วยเครื่องประทินผิวราคาแพงแต่อย่างใด
ชายหนุ่มได้รู้แต่วินาทีนั้นเองว่า
ความงามแบบต้องตาต้องใจนั้นเป็นอย่างไร
อารมณ์ชมชอบ และพอตาพอใจกับสาววัยใสตรงหน้าผลักดันให้เขาอยากจะพูดคุยต่อบทสนทนาไปเรื่อย ๆ จึงเอ่ยถามมายังนารารินที่กำลังง่วนอยู่กับใบขอเข้าเมือง
“มาทำอะไรหรือ”
“มาเที่ยว” นารารินปรายตามอง พลางคิดว่าเขาจะเอาอะไรกับเธออีก จึงตอบออกไปส่ง ๆ ไม่ได้บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงของตัว
“หาไกด์นำเที่ยวได้หรือยังล่ะ”
เขายักคิ้วข้างเดียวขึ้นเป็นเชิงถาม
“มีแล้ว เพื่อนของแม่ฉันเขาทำงานอยู่ที่นั่น”
แทยังพยักหน้ารับรู้
เหมือนจะไม่อยากคุยด้วยงั้นแหละ แต่มีหรือว่าชายหนุ่มพราวเสน่ห์อย่างเขาจะยอมแพ้ จึงคิดพยายามจะชวนคุยต่อ แต่ก็มีเสียงประกาศเรียกให้รัดเข็มขัดนั่งนิ่งอยู่กับที่ก่อนเครื่องจะร่อนลงจอด
แต่ก่อนที่จะพ้นออกจากตัวเครื่อง เขาช่วยเธอยกสัมภาระที่อยู่บนช่องเหนือหัวแล้วก็เอ่ยขึ้น พร้อมส่งประกายตาคมมายังเธออย่างหมายมาด
“คงได้เจอกันอีกนะ แล้วเจอกัน
”
คนฟังไม่ทันได้คิดหรอกว่า เธอกับเขาจะได้เจอกันเร็วเกินคาด
//////////////////////////////////////////////////////
ท่าอากาศยานนานาชาติอินชอนอันได้ชื่อว่าทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก กล่าวต้อนรับเธอด้วยเสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้โดยสารขาเข้าที่ต่างเดินทางกลับจากเที่ยวเมืองไทย บางคนที่ไปตีกอล์ฟก็แบกถุงไม้กอล์ฟอันใหญ่กันเป็นแถว พวกที่ไปช็อปปิ้งก็หอบหิ้วถุงที่มีตราว่าผลิตในประเทศไทยกันมากมาย
ทันทีที่เธอเดินออกมาจากประตูเลื่อนอัตโนมัติ หลังจากรับกระเป๋าเดินทางเสร็จเรียบร้อย เสียงภาษาไทยคุ้นหูเรียกชื่อจึงดังขึ้น
“หลานรินใช่มั้ยคะ”
เมื่อเห็นหอมจันทน์แล้ว นารารินจึงเดินเข้าไปประนมมือไว้ เธอมองคนมารับอย่างทึ่งจัด ผู้หญิงผิวออกเหลืองนวลอยู่ในเสื้อกระโปรงสบายๆ แต่เรียบหรู ผอมบางจนดูเหมือนจะปลิวลมคนนี้ ดูยังสวยและสาวนัก จนไม่น่าจะมีเด็กตัวเล็กๆ เดินตามมาให้คนคิดว่าเป็นลูกได้
“เป็นไงเดินทางเหนื่อยมั้ย นี่ลูกสาวน้าจ้ะ ชื่อมินดาเร” คนพูดผายมือไปทางเด็กน้อยท่าทางขี้อายยืนดูดนิ้วโป้ง มองนารารินตาแป๋ว มือข้างหนึ่งถือรั้งแขนตุ๊กตาหมีตัวป้อมเอาไว้
แล้วเธอก็ทายถูกว่าเด็กหญิงคนนี้เป็นลูกของหอมจันทน์
“มินดาเร
ชื่อดอกไม้นี่คะ แหม
สวยน่ารักสมชื่อจริง ๆ นะ” เธอยิ้มให้กับเด็กน้อยผู้มีใบหน้าอวบอูม แสดงถึงพลานามัยที่สมบูรณ์ตามวัย
“อันยง
มินดาเร”
เด็กหญิงตัวเล็กมองงง ๆ คงด้วยไม่คุ้นกับคนแปลกหน้า
“อันยง...” เจ้าตัวเล็กตอบมาอย่างขลาด ๆ
“มยอจ-ซาล อี นิ?” เธอถามอายุ เลือกใช้คำที่แสดงความเอ็นดูเป็นพิเศษ
“ยอซอส” เจ้าเด็กมองหน้าเธอไม่วางวายทีเดียว
“หกขวบแล้วเหรอคะ น่ารักจัง”
นารารินหันมาพูดกับมารดาเด็ก
“ที่บ้านสวนของยายก็มีเด็ก ๆ แถวบ้านอายุแปดเก้าขวบอย่างนี้แหละค่ะ กำลังซนเลย แต่ดูท่าน้องมินดาเร จะไม่ซนเลยนะคะ”
“น้อยไปสิจ๊ะ เห็นว่ามาที่แปลก ๆ เจอคนใหม่ ๆ หรอก แต่อย่าให้สนิท หรืออยู่ที่บ้านนะ ซนยังกับลิง”
“ลิงลูกครึ่งด้วยสิคะ...”
“นั่นสิ เลยทำให้ดื้อมาก ๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้”
เห็นแววเหนื่อยล้าในสายตานั้น คงมีเรื่องมาก ไม่ใช่แค่ลูก อาจเป็นงาน หรือไม่ก็คงสามี แต่นารารินภาวนาไม่อยากให้เป็นเรื่องกับแม่สามีเลย เพราะได้ข่าวว่าเรื่องแม่สามีกับลูกสะใภ้ที่นี่ทำให้อัตราการหย่าร้างสูงอย่างน่าตกใจ
“ทำไมน้าผู้ชายไม่มาด้วยล่ะคะ”
“เขายุ่งเรื่องที่ร้านน่ะจ้ะ อ้อ ลืมบอกไป น้าทำร้านพิซซ่าอยู่แห่งนึง กำลังเปิดใหม่เชียว คนก็เลยเยอะหน่อย เพราะมีโปรโมชั่นพิเศษ”
เมื่อเห็นหลานสาวเอียงหน้ามองด้วยความสงสัย หอมจันทน์จึงอธิบายต่อว่า
“คนเกาหลีไม่รู้เป็นอะไรน่ะ บ้ากินพิซซ่ากันจัง บ้านเรากินไม่ได้หรอก อาหารมีแต่แป้งอย่างนี้”
“รินก็กินไม่ค่อยได้หรอกค่ะ อาหารพวกแป้ง ไม่ไหว ขอผ่านดีกว่า”
“แต่ทำร้านนี้ก็เลยได้กินบ่อย มันก็อร่อยไปอีกแบบนะ”
“คงเพราะที่นี่อากาศหนาวหรือเปล่าคะ คนเขาก็เลยต้องกินอาหารจำพวกแป้ง แล้วก็คงเรื่องแอลกอฮอล์ด้วยมั้งคะ ดื่มแล้วคงทำให้เลือดลมดี”
พูดแล้วทำให้นึกไปถึงชายอีกคนบนเครื่องบินและก็เบียร์ที่เขาทำหกใส่เธอ แถมวาจากวนประสาทยังตามรังควานให้เธอรำคาญได้ถึงตอนนี้อีกด้วย...
เมื่อออกมานอกตัวสนามบินที่ดีไซน์ไว้อย่างสวยงาม ลมหนาวก็ปะทะหน้าอย่างจัง ควันออกปากเหมือนคนสูบบุหรี่ทีเดียว
“หนาวมากหรือจ๊ะ เสื้อแค่นี้ไม่พอหรอก อุณหภูมิแค่ 5 องศาเองนะ”
มองเสื้อผ้าที่อุตส่าห์สวมเพิ่มบนเครื่องแล้ว แต่ก็ยังทำให้ตัวสั่นอยู่ หอมจันทน์จึงยื่นเสื้อโค้ตอีกตัวที่ถือติดมาด้วยให้
“รินเตรียมมาค่ะ” คนยืนตัวสั่นด้วยความหนาวปฎิเสธ แต่ฟันยังกระทบกันเป็นจังหวะ
“แล้วจะมาค้นกระเป๋ากันตรงนี้หรือจ๊ะ เอานี่ไปก่อนเถอะ น้าเตรียมให้แล้ว”
///////////////////////////////////////////////////////////////////////
ปีนี้โซลหนาวนัก หนาวหนักหนาวจัดจนคนที่อยู่มานานแล้วอย่างหอมจันทน์ยังเอ่ยปาก ดงอูสามีของหอมจันทน์ซึ่งเป็นคนเกาหลีแท้ ๆ ยังอดบ่นไม่ได้
แต่นอกจากความหนาวเย็นจะเป็นอากาศที่ฟ้าส่งมาทรมานมนุษย์แล้ว ฟ้ายังส่งหิมะแรกในชีวิตของนารารินให้เห็นอีกด้วย หญิงสาววิ่งดีใจออกไปรับละอองเกล็ดน้ำแข็งใสที่ร่วงหล่นมาจากฟ้าหม่นเบื้องบน ความหนาวบรรเทาไปได้บ้างเมื่อสวมเสื้อโค้ตตัวโตตัวที่ทำให้เธอกลายเป็นหนอนอ้วนกลมทีเดียว หิมะจับเป็นน้ำแข็งค้างอยู่ตามกิ่งก้านต้นไม้ที่สลัดใบไปนานแล้ว ด้วยความไม่รู้ เธอไม่ได้สวมหมวกกันไว้ก่อน จึงทำให้เจ้าเกล็ดหิมะร่วงมาเกาะเป็นก้อนแข็งบนศีรษะอย่างที่จับเกาะบนคาคบไม้
หอมจันทน์เรียกเตือนด้วยความเอ็นดู เมื่อเห็นหลานสาวเล่น ‘นุน-ซาอุม’ หรือสงครามปาหิมะใส่กันกับมินดาเรอยู่
“ระวังไม่สบายนะริน ไม่หาหมวกไปสวมเสียล่ะ”
นารารินร้องรับคำเบา ๆ แล้วเสียท่าให้กับปั้นหิมะของเจ้าหนูมินดาเรเข้าที่หน้าเต็มเปาจนเสียหลักถลาล้มลงกับกองหิมะนุ่ม
เกล็ดขาวของน้ำแข็งจากฟ้าพราวแสงตะวันเป็นประกายบนพื้นลานแคบ ๆ หน้าบ้าน ย่านที่อยู่ของหอมจันทน์กับดงอูถือว่าเป็นย่านของผู้มีอันจะกิน แต่พื้นที่ก็ยังคงอัดแน่นไปด้วยบ้านเรือนที่ปลูกสร้างติดกัน เพราะพื้นที่จำกัดของเมืองหลวงทำให้แต่ละตารางนิ้วสนนราคาแพงจนทนฟังไม่ได้ทีเดียว
“น้าหอมมาเล่นด้วยกันสิคะ กำลังสนุกเชียว” หญิงสาวร้องกวักมือเรียก แล้วก็อ้าแขนรับมินดาเรที่ถลาเข้ามาหาเต็มแรง ยิ้มจนเห็นเหงือกแดงของเด็กหญิงตามด้วยเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ ช่างทำให้เธอมีความสุขเสียจริง เด็กหญิงเองก็เข้าคู่กับเธอได้รวดเร็ว คงเป็นเพราะเธอสนิทกับเด็กๆ ได้ง่ายมาก่อนอย่างที่สนิทกับหนูแฟงและเจ้าก้างนั่นเอง
“เลิกเล่นเถอะ เราออกไปหาอะไรทานกับซื้อของใช้จำเป็นของรินกันดีกว่า” หอมจันทน์ยืนเรียกอยู่ที่หน้าประตู
“ไปเถอะก่อนที่หิมะตกลงมาแรงกว่านี้” ดงอูมาเร่งเร้าอีกคน
อุปาทานหรือเปล่าไม่รู้นะ
แต่นารารินเห็นแววสับสนและครุ่นคิดเรื่องที่คาดว่าคงหนักหนาในหน่วยตาเขา แต่รอยยิ้มละไมก็ฝังกลบมันไว้ได้อย่างมิดชิด หญิงสาวไม่ได้สนใจอะไรนัก จึงจับจูงมินดาเรตัวน้อยเข้าไปหาผู้ปกครอง
Co-ex Mall คือที่ที่ดงอูพาทุกคนไป ที่นั่นเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ใจกลางกรุงโซล แม้ว่าจะเป็นฤดูหิมะ แต่ผู้คนนับตั้งแต่วัยรุ่น ไล่ไปจนถึงวัย ‘อาจูมา’ กับ ‘อาจอชชิ’ หรือป้ากับลุง ก็เดินกันขวักไขว่เต็มไปหมด
นารารินมองตามด้วยความสนใจ แฟชั่นที่นี่ก็นำสมัยไม่แพ้แฟชั่นวัยใสของไทยที่คลั่งไคล้หนักหนา ติดแต่ว่าการแสดงออกของหนุ่มสาวที่นี้ล้ำไปสักหน่อย จนถึงขั้นที่ว่าเดินกอดกันในที่สาธารณะแบบไม่อายใครเลยทีเดียว
“น้าหอมคะ ที่นี่เขาเดินควงกันขนาดนี้เลยเหรอคะ”
“จ้ะ น้ามาแรก ๆ ก็แปลกใจเหมือนกัน
”
“อ้อ นึกออกแล้ว คงเป็นเพราะว่าที่นี่อากาศหนาวกว่าบ้านเรามาก คนเกาหลีเขาเลยกอดกันไว้ จะได้อุ่น ๆ มั้งคะ”
หญิงสาวพูดทีเล่นทีจริง พลอยทำให้คนฟังอดขำไม่ได้ แล้วพยักหน้ารับว่าอาจจะเป็นเรื่องจริง
แต่เรื่องจริงที่นารารินเห็นในนาทีถัดไปนี้สิ สะกิดใจเธอยิ่งนัก ก็ในบรรดาคู่ควงเพื่อคลายหนาวหลาย ๆ คู่ที่เดินจับจ่ายซื้อของในศูนย์การค้าหรูเลิศแห่งนี้ เธอได้พบใบหน้าประกอบด้วยเคราเขียวรกครึ้มที่แสนคุ้น
จะไม่ให้เธอจดจำเขาได้อย่างไรล่ะ กลิ่นเบียร์กระป๋องนั้นยังกรุ่นอยู่ใต้จมูกเธอนี่เอง
ทำไมโลกมันถึงได้กลมขนาดนี้นะ
สาวเกาหลีที่สอดมือเข้าในวงแขนเขาก็ช่างจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ปากนิดจมูกหน่อยพลอยให้นารารินอดชมไม่ได้ว่าน่ารัก เหมือนเขาจะรู้ว่าถูกมอง แทยังที่กำลังยืนเลือกซื้อซีดีเพลงก็หันหลังมา นารารินแก้เก้อด้วยการยักคิ้ว ราวจะบอกว่า ‘แล้วไง ฉันมองนายแล้วไง’
ชายหนุ่มยิ้มให้ นัยน์ตาคมนั้นมองมาพร้อมกับรอยยิ้มแบบรู้ทันอย่างเคย ทำให้หญิงสาวคนที่ควงมาด้วย ยิ่งกระชับลำแขนที่กอดอยู่เข้ากับตัวเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ นารารินยักไหล่
จะทำอะไรก็ทำไปสิ ฉันไม่เกี่ยวด้วยสักหน่อย
หญิงสาวคนนั้นทำท่าเร่งเร้า คนที่เคยทำเบียร์หกขยิบตาให้ ก่อนเดินจากไปตามคำเร่งเร้าของเพื่อนสาว นารารินมองภาพนั้นแล้วรู้สึกแปลก ๆ
ยิ้มนั้นช่างเจ้าชู้จริง ๆ ขนาดมีหญิงเดินข้าง และเขาเองก็อุทิศไหล่หนาให้สาวเจ้าซบอิง ยังจะมาส่งสายตาหมายมาดปรารถนากับเธออีก เธอไม่ใช่ไก่อ่อนสังเวียนรักหรอกนะ ถึงจะไม่รู้ว่านัยน์ตานั้นแปลความได้ว่าอะไร
“รู้จักกันเหรอ
”
“ไม่เชิงหรอกค่ะ เจอกันตอนอยู่บนเครื่อง”
หอมจันทน์พยักหน้ารับรู้ แล้วสำทับต่อว่า
“ดูสิ
ขนาดควงสาวมาด้วยยังมาทำยักคิ้วหลิ่วตาให้รินอีก ระวังไว้นะริน ผู้ชายเกาหลีน่ะ ทรี้ตเก่งจะตาย”
“ไม่งั้นจะได้สามีเกาหลีเหรอคุณ” ดงอูแก้ให้เป็นภาษาเกาหลี เขาเข้าใจภาษาไทยอยู่มากทีเดียวแม้ว่าจะพูดได้ไม่ค่อยมาก แต่ด้วยไปทำงานที่เมืองไทยอยู่นาน จึงทำให้เข้าใจศัพท์แสงต่าง ๆ อยู่พอสมควรทีเดียว
“อ็อมม่ะ
”
มินดาเรเรียก ‘แม่’ แล้วกระตุกที่ชายกระโปรงของหอมจันทน์
“แพโคบพึนเด๊ะ
หิวแล้วเหรอจ๊ะ”
เด็กหญิงพยักหน้า “เน้...นอมูแพโคบเพาะ”
ค่ะ
หิวมากแล้วด้วย
“งั้นเราไปร้านที่นัดกันไว้ดีกว่า
ป่านนี้คงมารอแล้วมั้ง”
นารารินทำหน้างงอีกรอบ
“นัดใครไว้เหรอคะ
”
คนเป็นน้าไม่ตอบแต่จูงข้อมือเธอเดินตามดงอูที่อุ้มมินดาเรเดินนำไปแล้ว
///////////////////////////////////////////////////////////
ความคิดเห็น