คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4 สร้อยสายใจ
ตอนที่ 4
คุณสายใจมองกิริยาถอนหายใจของหลานสาวแล้วจึงบอกไปว่า
“อย่าได้คิดน้อยเนื้อต่ำใจไปเลย ต้องขอบคุณลุงเอกเขาเสียไม่ว่า อุตส่าห์ทำให้แม่เราเขาเปลี่ยนใจได้”
คนฟังยังหน้างอ เหมือนไม่เห็นด้วย แต่ไม่โต้แย้ง
“ที่แม่เขาไม่ให้ไป เขาก็คงคิดว่าไม่ถึงเวลาละมั้ง แต่ลุงเอกเขาก็คงคิดเหมือนยายว่าคงถึงเวลาที่รินควรไป ‘เปิดหูเปิดตา’ ได้แล้ว”
นารารินมีอาการดีขึ้น นัยน์ตาพราว คำอนุญาตใดก็ไม่ทำให้โล่งใจเท่ากับคำจากคุณสายใจ
“เป็นห่วงก็แต่ยาย อยู่คนเดียวได้หรือจ๊ะ ถึงแม้จะมีแม่แจ่มอยู่ด้วยก็เถอะ”
หญิงสาวหมายถึงคนรับใช้กึ่งญาติที่ยายของเธอให้ที่อาศัย และอยู่กิน พร้อมกับมอบหน้าที่ให้ดูแลบ้านเรือนไปด้วย
“อยู่ไม่ได้ก็ต้องอยู่ อายุมากแล้วก็จริง แต่จะมาทำตัวให้เป็นภาระคนอื่นอยู่ไม่ได้หรอก ต้องพึ่งตนเอง หวังพึ่งคนอื่นก็เหมือนกับว่ากลับไปเป็นเด็กอีกทีน่ะสิ ยายอยู่ได้แหละ รินไม่ต้องเป็นห่วงหรอกลูก นี่ลูกแม่แจ่มที่ไปอยู่กับพ่อเขา ก็จะมาอยู่กับแม่ทางนี้แล้ว เห็นว่าทนรำคาญพ่อขี้เมาไม่ไหว แล้วทางพ่อเขาก็มีลูกใหม่คอยดูแลอยู่แล้ว ไปแค่อาศัยเรียน เมื่อเรียนจบแล้วก็มาอยู่กับแม่เขาทางนี้ดีกว่า”
“งั้นรินก็สบายใจไปเปลาะหนึ่งล่ะ มีผู้ชายมาอยู่ที่บ้านด้วย จะได้ปลอดภัย”
“ห่วงแต่ตัวเถอะ เป็นผู้หญิงไปตัวคนเดียว ระวังไว้นะลูก อบายมุขอย่าไปข้องเกี่ยว ผู้ชายมาเกี้ยวก็ให้ชั่งใจ”
เธอขำคำคล้องจองที่ยายมักจะพูดให้ฟังเสมอ ตั้งแต่เล็กจนโต มันก็คืออุบายคำสอนที่ทำให้เธอจดจำและเข้าใจได้ง่ายนั่นเอง
“จ้ะ ยาย ไว้ใจหลานคนนี้ได้ เรื่องเรียนมาเป็นอันดับแรกจ้ะ”
นารารินยิ้มตาหยี น่าเอ็นดูนัก
ประพิมประพายเหมือน...คุณสายใจไม่อยากคิดต่อ...
“อีกอย่างคนเกาหลีก็คนเอเชียเหมือนกัน เขาคงเข้าใจละว่าเรื่องชายหญิงน่ะ ต้องระมัดระวัง ไม่ใช่พวกฝรั่งที่ใจเร็วด่วนได้”
คุณสายใจคิด
แต่ก็ไม่ใช่เอเชียทุกคนหรอกน่ะ ที่จะตั้งมั่นอยู่กับจารีตอันดีงาม
“นั่นกล่องอะไรหรือจ๊ะยาย ดูเก่าจัง”
หญิงสาวเหลือบเห็นกล่องเก่า ๆ ตรงหน้าผู้เป็นยาย แล้วทักขึ้นอย่างแปลกใจ ทีแรกนึกว่าเป็นกล่องเครื่องเย็บปักที่คุณสายใจมักจะใช้ปะชุนเสื้อผ้าอยู่เป็นประจำ แต่หญิงสาวไม่เห็นเสื้อแม้สักตัวจึงสงสัยถามขึ้น
คุณสายใจไม่ตอบ แต่เปิดกล่องสังกะสีลวดลายดอกไม้ที่พันเลื้อยเกี่ยวกระหวัด ลายนั้นดูคล้ายเคยเป็นสีแดง ก่อนที่สนิมจะเกาะกินเนื้อสีให้ถลอกลอกออกมาเป็นแผ่นๆ ผู้ชรายื่นรูปใบหนึ่งซึ่งนอนนิ่งรอเวลาอย่างใจเย็นให้ หญิงสาวก็มองตามด้วยความฉงน
นารารินรับรูปขาวดำเก่าคร่ำมาพิศดู แม้จะเก็บไว้อย่างดีภายในกล่อง แต่อาจด้วยมอดตัวน้อยแฝงเร้นเข้าไปได้ จึงกัดทำลายรูปนั้นเป็นรูเล็กๆ หลายรู ผู้ชายในรูปนั้นนารารินไม่รู้จักมาก่อนแน่ เธอไม่เคยพบใครที่มีรูปหน้าอันประกอบด้วยคิ้วเรียวดกดำ จมูกเป็นสันเช่นนี้ก่อน ปากบางก็ยิ้มเยื้อนตอบรับคนดูอย่างร่าเริง เปิดเผยแฝงรอยความมั่นใจอยู่ทุกอณู และมุมปากหนึ่งก็เชิดขึ้นอย่างคนเอาแต่ใจตัวเองอยู่เป็นนิจ จากภาพชายผู้นี้หล่อเหลาเอาการทีเดียว เสื้อผ้าก็มีระดับ ตามนิยมสมสมัยในยุคนั้น
ทว่า สิ่งหนึ่งที่สะดุดตา และเป็นลักษณะเด่นที่ผสานรวมอยู่กับมาดขึงขังและนัยน์ตารวยเสน่ห์แพรวพราวก็คือความรู้สึกที่ว่า
ชายผู้นี้ไม่ใช่คนไทย
“ใครจ๊ะ ยาย?”
“ยายอยากให้รินไปตามหาคน ๆ นี้ให้หน่อย”
“ที่เกาหลีเหรอจ๊ะ?”
คุณสายใจไม่ตอบ แต่ยื่นสร้อยเงินสีหม่นที่มีจี้รูปหยดน้ำห้อยอยู่ให้อีกหนึ่งชิ้น
/////////////////////////////////////////////////////////
ผู้คนในสนามบินระหว่างประเทศวันนี้คึกคักมากเป็นพิเศษ ทั้งคนไทยที่อาศัยว่าเป็นช่วงเวลาปิดภาคเรียนก็พาลูกหลานไปเที่ยวต่างประเทศ หรือนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกที่หลบอากาศหนาวในช่วงฤดูหนาว มาเที่ยวประเทศไทยเตรียมตัวกลับบ้านเมืองตน เพื่อพร้อมที่จะผจญกับงานที่รออยู่ข้างหน้า แต่คนที่ลากกระเป๋า และอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวสีขาว และกางเกงยีนสีซีดแต่ดูทะมัดทะแมงคนนี้ กลับมีจุดมุ่งหมายสวนทางกับนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียจริง
นารารินสูดลมหายใจลึก ๆ ระงับความตื่นเต้นเอาไว้ในอก นี่เธอกำลังจะจากเมืองไทยไปถึงหนึ่งปีเชียวหรือ...จะมีอะไรร้ายดีรออยู่ข้างหน้าบ้างก็ไม่รู้ได้
คุณสายใจนั่งรถมาส่งหลังจากฝากงานไว้กับลุงธงที่ไหว้วานให้มาช่วยคุมคนในไร่ ตามมาด้วยพร้อมกันคือเจ้าก้างและหนูแฟงที่ต้องการดูสนามบิน เจ้าสองคนตื่นตาตื่นใจหนักหนาชะเง้อมองโน่นนี่จนทำให้ทุกคนขำออกมา ส่วนเพื่อน ๆ ที่มหาวิทยาลัยมาไม่ได้ เพราะเป็นวันสอบพอดีแม้ว่าจะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ตาม ไม่เช่นนั้นคงได้มีเรื่องสนุกแผลง ๆ ฝากให้ทำ
พวกนั้นน่ะ ไม่มาก็ไม่เป็นไรหรอก แต่คนที่เธออยากให้มาใจแทบขาดนี่สิ กลับไม่เห็นแม้แต่เงา
‘เบิร์ดจะไม่ไปส่งรินจริงหรือ’
‘โธ่...ริน เรายังสอบไม่เสร็จเลยรินก็รู้’
‘แต่วันที่รินจะไปเป็นวันเสาร์นะ’
‘ก็นั่นแหละ เรายังอ่านไม่จบเลย ให้ไปถึงสนามบิน ไม่ไหวหรอกริน คงหมดไปทั้งวันแน่ รินก็รู้ว่าหอเรามันคนละทิศกับสนามบินเลยนะ’
‘นี่เรากำลังจะไม่ได้เจอกันปีนึงเต็ม ๆ เลยนะ เบิร์ด ไม่ห่วงรินเลยหรือ’
‘มีเหตุผลหน่อยสิ ริน โทร.หากันก็ได้ แล้ววิชานี้เบิร์ดตกไม่ได้นะ ถ้าตกเราก็ไม่จบนะ รินนั่นแหละ ไม่ห่วงเบิร์ดเลย’
‘ก็ได้ ๆ อ่านไปนะ รินไม่กวนก็ได้ ทำข้อสอบให้ดี ๆ ล่ะ แล้วรินจะโทรฯ หานะ’
ปลายสายวางหูทันที นารารินเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นฝ่ายตามเขาอยู่ร่ำไป บางทีก็เหนื่อย
ทั้งกายและใจ
กลุ่มที่ตามมาสมทบทีหลังมีเอกรักษ์กับไอริณ มารดาของเธอมาไม่ได้เพราะติดธุระ หญิงสาวทำเป็นไม่รู้สึกรู้สา แต่ความน้อยใจก็วาบลึกอยู่ในใจ แม้จะรู้และยอมรับตามความคิดอันดื้อดึงไม่ฟังใครของตัวเองว่าเกษราไม่ห่วงใย แต่ก็ไม่น่าถึงกับไม่มาเลยอย่างนี้
“แม่เขาติดธุระสำคัญละมั้ง ถึงมาไม่ได้
ใช่มั้ยพ่อเอก”
“ครับคุณแม่ เกษเขาติดประชุมงานด่วนกับลูกค้าฝรั่ง ฝ่ายนั้นก็เรียกร้องเอาแต่ประโยชน์ตัวเอง บอกว่าจะต้องประชุมให้ได้ เกษเขาก็เล่าให้ฟังบ่อย ๆ ล่ะครับ ไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนเลย”
“แหม...พ่อเอก ก็ฝรั่งมังค่า มันจะมารู้จักได้ยังไงว่าอะไรคืออินทร์อะไรคือพรหม จะไปรู้จักเกรงใจอะไรกัน เห็นแต่เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เป็นเรื่องใหญ่ทั้งนั้น”
แม่ของเธอก็เห็นเงินทองนั้นดีกว่าเธอด้วยสินะ ถึงได้เออออเอาใจลูกค้าบ้างาน
หญิงสาวตัดใจ แม่ก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ
จะมาเสียใจทำไมล่ะ
“แล้วนี่ไอซ์พาเจ้าก้างกับหนูแฟงไปไหนแล้วล่ะ”
“พาไปซื้อไอศกรีมทางด้านโน้นน่ะครับคุณแม่”
เด็กทั้งสามดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี วัยเก้าขวบอย่างเจ้าก้างกับหนูแฟง และไอริณซึ่งแก่ว่าไม่กี่ปี เป็นแม่เหล็กธรรมชาติดึงดูดเข้าหากันได้อย่างเหนียวแน่น เพียงไม่กี่นาทีที่ได้พบกัน
“พี่รินดูสิ พี่ไอซ์เขาพาไปซื้อไอติมมาด้วยล่ะ” คนพูดยิ้ม คราบครีมขาว ๆ ติดที่ริมปาก แล้วก็หยดย้อยลงเปรอะมือ
“แหม เข้ากันได้ดีจริงนะ เดี๋ยวอีกหน่อยก็ลืมพี่แล้วใช่มั้ยล่ะ มีพี่ไอซ์เขาคอยดูแลแล้วนี่”
“ไอซ์จะมาดูแลได้ไงคะ เอาตัวเองไม่รอดอยู่เลย นี่ตะกี้ก็ยังสั่งไอติมผิด ๆ ถูก ๆ “
จริง ๆ การเป็นเด็กในเมืองก็ได้เรียนรู้และทำอะไรด้วยตนเองกว่าเด็กต่างจังหวัด จึงทำให้เธอดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่า มันเป็นความประสงค์ของเอกรักษ์เองด้วย ที่ต้องการเลี้ยงลูกให้ช่วยเหลือตัวเอง พร้อมเสมอกับการอาศัยอยู่ในเมืองหลวง เพื่อที่จะได้ไม่พลัดหลงเข้าไปในสังคมที่มีแต่อันตรายมากขึ้นทุกวัน
เสียงประกาศเรียกดังมาตามลำโพงเป็นสัญญาสุดท้ายแห่งการร่ำลา
“รินคงต้องไปแล้วนะจ๊ะ ยาย”
จะจากกันจริง ๆ แล้ว น้ำตาก็อดไหลไม่ได้
อะไรกันนี่อุตส่าห์เก็บไว้ตั้งนาน
“ไม่ต้องร้องลูก แป๊บเดียวเดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว” คนเป็นยายได้แต่ปลอบ
“ว่าแต่ริน ยายก็ตาแดงเหมือนกันแหละน่า”
ว่าแล้วก็พากันหัวเราะ นารารินกราบลงที่อก กอดเนื้อนุ่มที่จะไม่ได้กอดไปอีกนานปานจะกำซาบความอบอุ่นให้เธอหอบบินไปด้วย
หญิงสาวไหว้เอกรักษ์แล้วโบกมือลาเด็ก ๆ ที่สูดน้ำมูกคนละทีสองที ขอบตาก็มีสีแดงแต้มแต่ง แล้วเธอจึงเดินเข้าประตูไป พร้อมกับโบกมืออำลาเป็นครั้งสุดท้าย
ลอบมองไปไกล หวังให้คนเป็นแม่มาสักนาทีสุดท้ายนี้ก็ยังดี แต่เธอก็มองไม่เห็น
ห่างออกไปไม่ไกลนัก ในมุมสำหรับผู้โดยสารนั่งรอ ร่างบอบบางยืนชะเง้อ แลมองไปพร้อมกับน้ำตาอุ่น ๆ ไหลเป็นสาย มือขาวเนียนอ่อนกว่าวัยโบกให้แต่ไกล ไม่ได้หวังจะให้คนที่เพิ่งเข้าห้องตรวจผู้โดยสารไปได้เห็นหรอก
แต่อวยชัยให้พร ทั้งโชคดีและเดินทางอย่างปลอดภัย เพราะเธอไม่เข้มแข็งพอที่จะไปส่ง ‘ลูก’ ด้วยตัวเอง
//////////////////////////////////////////////////////
นารารินนั่งมองสร้อยและจี้รูปหยดน้ำที่ยายให้มาอย่างพินิจ นี่คงเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับรูปถ่ายที่เธอเก็บไว้อย่างมิดชิดในกระเป๋าสตางค์ เพื่อทำภารกิจที่ยายสายใจมอบหมายให้สำเร็จ
นั่นคือการตามหาชายผู้นั้น หญิงสาวมองที่จี้ ภาพใบหน้าของชายคนนั้นราวจะปรากฏขึ้นในใจ
เธอบรรจงสวมสร้อยไว้ที่คอ แนบจี้นั้นไว้ที่อก เอาล่ะ นี่คือตัวแทนของยาย
ขอบคุณค่ะยาย ถ้ารินเหงารินจะมองจี้แล้วจะนึกถึงยายนะคะ
“รับน้ำอะไรดีคะ” เสียงพนักงานต้อนรับบนเครื่องเรียกถามเป็นภาษาไทย
นารารินแปลกใจเล็กน้อยที่แอร์โฮสเตสคนไทยคนนี้รู้ได้อย่างไรว่าเธอเป็นคนไทยเช่นเดียวกัน ดูจากที่นั่งซึ่งถูกจับจองโดยชาวเกาหลีที่เดินทางกลับประเทศหมดแล้ว ก็ไม่น่าจะเดาได้ว่าเธอเป็นคนไทย ยิ่งหน้าตาเธอก็กระเดียดไปทางจีน ญี่ปุ่น เกาหลี อย่างที่เพื่อน ๆ ล้อว่า ‘หน้าตาเอเชียตะวันออกไกล’ เสียด้วย
“ขอน้ำมะเขือเทศแล้วกันค่ะ”
ตอบเบา ๆ แล้วก็รับน้ำสีแดงขุ่นยกดื่มอย่างกระหาย
สงสัยจะเสียน้ำตาไปมาก
หญิงสาวนึกขำในใจ
“ไปเที่ยวหรือคะ?” พนักงานถามไถ่
“ไปเรียนแลกเปลี่ยนค่ะ
หนึ่งปี”
พยักหน้ารับรู้ พลางช่วยเธอปรับพนักเก้าอี้ให้เอนลงอย่างชำนาญ
“ตอนนี้ที่นั่นหนาวมากนะคะ ถึงแม้ว่าจะเข้าต้นเดือนมีนาฯ แล้วก็ตาม แต่ก็ยังหนาวอยู่ ระวังเรื่องอากาศเปลี่ยนด้วยนะคะ”
ยิ้มให้แล้วก็ถามผู้โดยสารที่นั่งข้าง ๆ นารารินเป็นภาษาเกาหลี เธอนึกทึ่งที่พนักงานต้อนรับพูดได้เก่งอย่างนี้ ก็คงเพราะทำหน้าที่เช่นนี้มาเป็นระยะเวลานาน
หญิงสาวก้มหน้าลงอ่านนิตยสารในเครื่องที่เสียบอยู่หลังพนักเก้าอี้ ไม่ได้สนใจอะไรนัก แต่หูเจ้ากรรมก็ดันแอบได้ยินคำพูดเกาหลีว่า
ขอเบียร์หนึ่งกระป๋อง
นั่นยิ่งเน้นย้ำความเข้าใจของเธอไปอีกว่าคนเกาหลีเป็น ‘คนของแอลกอฮอล์’ จริง ๆ ว่ากันว่า ไม่ว่าเทศกาลงานใด ทุกปาร์ตี้จะมีเหล้าเกาหลีที่เรียกว่า ‘โซจู’ เป็นเครื่องชูโรงอยู่ทุกทีไป
แต่ไม่ทันที่ความคิดของหญิงสาวจะลอยไปไหนไกล น้ำเย็น ๆ ของเบียร์กระป๋องนั้นก็ราดรดลงที่ตักให้เสียแล้ว เธอฉุนขึ้นมาทันที หันมองหน้าคนผิดที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ ภาษาอังกฤษนั้นคล่องแคล่วทีเดียว
น้อยนักที่คนเกาหลีจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่อง คงเป็นลูกผู้ดีมีอันจะกินละสินะ คงจะได้ร่ำเรียนกับครูฝรั่งมาเป็นอย่างดี
เขาหยิบผ้าห่มของสายการบินขึ้นหมายจะเช็ดให้ แต่หญิงสาวรับมาเช็ดเสียเอง น้ำเสียงของเขาฟังดูสำนึกผิดเต็มที่ แต่รอยยิ้มทางดวงตาบนใบหน้าที่มีเคราเขียวขึ้นเต็มนี่สิ
ทำให้เธอคิดว่าเขาเจตนาจะแกล้งเธอเล่นหรือเปล่านะ
“คุณเป็นอะไรไหม ขอโทษจริง ๆ นะ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
พูดตื๊ออยู่สองสามครั้ง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวคร้านที่จะต่อบทสนทนา ชายหนุ่มแปลกหน้าก็เลิกสนใจเธอไปเอง แต่จากปลายตาที่เหลือบมา ด้วยอุปาทานหรือไรไม่รู้ นารารินรู้สึกว่าเขากำลังมองมาด้วยสายตาขบขันเสียเต็มประดา
การวางแผนว่าเธอควรจะทำอะไรต่อไปน่าจะเป็นการตัดรำคาญจากชายคนนั้นได้ เธอจึงดึงสมุดจดเล่นเล่มบางออกมาจากกระเป๋าถือ พลางคิดว่าควรจะทำอะไรเป็นเรื่องถัดไป
สิ่งที่นารารินควรจะทำเป็นอย่างแรกเมื่อถึงสนามบินคือมองหาเพื่อนของมารดาให้เจอ
น้า
หอมจันทน์ที่บอกว่าจะมารับ ได้ยินว่าน้าหญิงแต่งงานกับคนเกาหลี แล้วไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น เป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ทิ้งบ้านต่างเมืองไป
ความรักแท้แน่หรือที่เป็นเครื่องรัดรั้งให้ใจสองดวงเป็นบ่วงเข้าหากัน จนขนาดยอมจากบ้านเกิดเมืองนอนมาผจญกับสิ่งอันแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ได้
วาบหนึ่งของความคิดนั้นโยงไปถึงเพื่อนชายของเธอ แม้ว่าเธอจะมีเบิร์ด และรักเขามากเท่าไร แต่หากเบิร์ดของเธอเป็นคนต่างชาติต่างภาษา แล้วต้องบังคับให้เธอโยกย้ายถิ่นฐานไปอยู่กับเขาอย่างนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นเธอจะตัดสินใจอย่างไร
เสียงอะไรกุกกักข้าง ๆ ตัวดึงความสนใจของเธออีกแล้ว ชายหนุ่มแปลกหน้ากำหนังสือพิมพ์เกาหลีแน่นราวกลัวว่ามันจะหลุดหายไป ท่าทางหัวเสีย แล้วสบถภาษาเกาหลีที่เธอฟังไม่เข้าใจออกมาสองสามคำ
นารารินเหลือบดูที่พาดหัวข่าว นึกว่าอะไร ที่แท้ก็รูปนักฟุตบอลเกาหลีที่ต้องปราชัยให้กับทีมคู่แข่งคู่แค้นอย่างญี่ปุ่นในการเตะนัดกระชับมิตร
สักพักเขาก็ขอตัวออกไป ท่าจะเข้าห้องน้ำ ตัวใหญ่ ๆ ของเขาเหมือนจะเบียดเธอให้ติดเบาะไปเลยทีเดียว
จำใจหน่อยก็แล้วกัน นั่งไม่สบายเพราะมันเป็นชั้นประหยัดอย่างนี้แหละ
เมื่อปรับท่านั่งให้ดี ๆ แล้ว เธอจึงหยิบหนังสือนำเที่ยวขึ้นมาดู คิดวางแผนว่าจะเที่ยวที่ไหน คงต้องไหว้วานให้น้าหอมจันทน์นั่นแหละแนะนำสถานที่ที่น่าสนใจ ในหนังสือนอกจากจะมีที่เที่ยวแล้วยังมีที่กิน และที่ดูละคร รวมไปถึงโฆษณาละครเกาหลีด้วย
แต่ดูไปแค่นั้น เธอก็รู้สึกแปลก ๆ ข้างหลังคล้ายมีคนจ้องมอง นารารินหันขวับ ก็เจ้าคนเกาหลีคนนั้น เขากำลังยืนขำอยู่ ตาที่เล็กอยู่แล้วกลับหยีเล็กลงไปอีก กลุ่มผมบาง ๆ ที่ปรกอยู่ตรงหน้าผากไหวเผยิบไปมาราวขบขันไปกับเขาด้วย หน้าตาผ่องใสแย้มยิ้มเปิดเผยอย่างคนที่ไม่มีอะไรแฝงเร้นให้ต้องค้นหา
แต่แววตาขี้เล่นนั้นไม่ทำให้เธอหงุดหงิดไปได้มากกว่าริมฝีปากบางเผยอยิ้มให้เธออย่างเป็นกันเอง
“ขำอะไรไม่ทราบ” คนถูกมองถามอย่างโกรธ ๆ เป็นภาษาเกาหลี
เขาขอโทษแล้วแปลกใจเล็กน้อย คงไม่นึกว่าเธอจะพูดภาษาเกาหลีได้
“แล้วมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ ไม่เข้าไปข้างใน”
“ผมเห็นคุณกำลังอ่านหนังสือเพลินอยู่ ก็เลยไม่อยากกวน” ชายหนุ่มเปลี่ยนท่ายืนเป็นกอดอกไว้มาดอย่างผู้ใหญ่พูดคุยกับเด็กน้อย
นี่เขามองเธอว่าเป็นเด็กงั้นหรือ
“แต่คุณก็กวนฉันไปแล้วล่ะ มีอะไรน่าขำนักหรือไง”
“ก็ผมเห็นตัวอย่างหนังเกาหลีที่เขาโฆษณาน่ะสิ แล้วก็ทำให้นึกถึงนักแสดงคนที่เขากล่าวถึง เขาถูกจับฐานหนีทหาร”
จริงสิ เธอก็ได้ข่าวนี้เหมือนกัน เพื่อน ๆ ที่คลั่งไคล้เจ้าดาราคนนี้พากันประณาม
แต่ไม่ใช่พระเอกหนุ่มหรอก กลับเป็นเจ้าหน้าที่เกณฑ์ทหารต่างหาก ที่ไม่ยืดหยุ่นให้เลย ทำอย่างนี้ก็แย่ พระเอกหนุ่มก็อดมีผลงานมาให้พวกเธอชมน่ะเอง
“แล้วมันน่าขำตรงไหน” เธอยังคงไม่ยอม
หงุดหงิดที่ทำไมต้องมาขำบนหัวเธอด้วย
“ก็ตรงที่เขาบอกว่าเป็นโรคอะไรสักอย่างนี่แหละ โลหิตจางมั้ง แล้วมาตรวจเจอทีหลังว่าไม่เป็น ก็เลยโดนจับ มันน่าขำตรงที่ว่า เกิดเป็นชายแท้ ๆ แต่ทำไมกลัวการเป็นทหาร”
นารารินไม่แปลกใจเลย เพราะรู้มาแล้วว่าชายเกาหลีทุกคนต้องเข้ารับการฝึกเป็นทหารกองหนุนอย่างน้อย 2 ปี ไม่มีการจับใบดำใบแดงแบบบ้านเรา
“แล้วใจคอคุณจะยืนอยู่อย่างนั้นไปจนถึงเกาหลีเลยหรือไง”
ไม่ทันตอบ พนักงานต้อนรับก็เดินมาขอทาง
“สงสัยผมต้องขอโทษที่ทำให้คุณลำบากอีกแล้วล่ะ”
ลำบากจริง ๆ ด้วย คนอะไรไม่รู้ตัวโตเป็นบ้า
นารารินเอี้ยวตัวหลบสุดชีวิต อุปาทานหรือไรไม่รู้ เธอได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอราวเอ็นดูให้กับลักษณะงอเป็นกุ้งของเธอ
เมื่อนั่งได้ที่แล้ว เขาจึงหยิบสมุดออร์แกไนเซอร์จากกระเป๋าสะพายข้างทำด้วยหนังขึ้นมา
หญิงสาวไม่เข้าใจตัวเองเลยจริง ๆ ที่ไม่อาจห้ามความสงสัยได้ เธอจึงแอบเหลือบเห็นสติกเกอร์ถ่ายคู่กับผู้หญิงหน้าตาดีแปะอยู่ที่หน้าปกสมุด
คงเสน่ห์แรงไม่เบา สาวเจ้าก็สวยออกอย่างนั้น คงเป็นแฟนกันแน่ ๆ
ราวกับรู้ว่าถูกลอบมอง ชายหนุ่มคนนั้นหันมา คนแอบดูหันขวับ แต่ก็ทันได้เห็นรอยยิ้มที่บ่งบอกว่ารู้ทัน
เชอะ...ใครอยากสอดกันล่ะ
แต่หญิงสาวก็งงตัวเองว่าที่เธอทำเมื่อครู่มันคืออะไร
//////////////////////////////////////////////////////////////////
ความคิดเห็น