ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    O_อุ่นรักในสายลมหนาว_O

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3 แม่ไม่รัก

    • อัปเดตล่าสุด 28 พ.ย. 51


    ตอนที่ 3

     

     

    เธอยังไม่รู้จริง ๆ ไม่รู้ว่ามารดาเธอจะให้ไปหรือเปล่า สำมะหาอะไรกับของฝากที่น้องน้อยทั้งสองเพียรถาม แต่ที่รู้ก็คือเธอจะต้องไปให้พ้น บางทีหากที่นั่นมีหนทางอย่างไร เธอก็อาจจะหาช่องทางเรียนต่ออยู่ทางโน้นเสียเลย ติดอยู่ก็แต่ยายสายใจนี่แหละ ที่เธอเป็นห่วงจับใจ...

     

    อะไรกันนะที่ผลักดันให้เธอหมายจะเดินทางไปที่นั่น หญิงสาวตัวเล็ก ๆ คนเดียวเท่านั้น จะมองไปทางไหนก็คงจะมีแต่คนแปลกหน้า ถึงแม้ว่าจะเป็นเอเชียด้วยกันก็ตาม ก็ไม่ใช่คนไทย และคงจะมีคนละลักษณะ คนละความคิดกันอย่างสิ้นเชิง

     

    นารารินไม่เคยยอมรับ และจะไม่ยอมรับ เพราะความดื้อดึงแบบหมุดตอกย้ำของเธอนั้นแน่นหนา หญิงสาวต้องการหนีจากความไม่แยแสของมารดา ความทรมานจากการที่เธอคิดว่าไม่เป็นที่ต้องการ

     

    นั่นก็ต้องแลกมาด้วยการจากยายที่รักของเธอไปเช่นกัน

     

    แต่ทิฐิที่มีอยู่ในใจดวงน้อย หากแข็งแกร่งเกินวัยก็บอกกับเธอว่า หากเธอได้โลดแล่นไปแล้ว เธอจะไม่มีวันกลับมาเด็ดขาด กลับมาพบกับความหมิ่นหยามจากญาติฝ่ายบิดาเลี้ยง แม้แต่มารดาเธอเองก็ไม่อาจเอื้อมมือเข้ามาช่วยได้ หรือแม้แต่ใส่ใจที่จะช่วย!

     

    ก็คงมีแต่ยายเท่านั้นที่คอยปลอบประโลม ยามน้ำตาที่เกิดขึ้นจากความน้อยเนื้อต่ำใจไหลรินเป็นสาย ผู้เป็นมารดาไม่เคยจะใยดีเธอหรอก

     

    เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะว่าเธอเป็นลูกที่ไม่ต้องการน่ะสิ!

     

    มารดาเธอทุ่มเทกำลังแรงใจทั้งหมดให้กับลูกที่เกิดจากสามีใหม่ แล้วเลี้ยงเธออย่างเสียไม่ได้

     

    ปมน้อยในใจค่อยๆ ผูกมัด รัดใจเด็กน้อยจนวันวัยกลายผ่าน ปมความเข้าใจเช่นนั้นก็เติบโตตาม ความไม่เท่าเทียมที่เธอเป็นฝ่ายถูกกีดกันจากทุกอย่างที่ไอริณได้รับ ตามกดดันเธอ จนพูดได้ว่าความสำเร็จของเธอในวันนี้ ก็คงมีสักส่วนเสี้ยวเป็นแรงผลักดันให้เธอตะเกียกตะกายหาสิ่งดีๆ ต่างๆ ให้กับชีวิตเธอเอง

     

    แน่ละไอริณ น้องสาวต่างบิดาคนนี้ แสนจะเพียบพร้อมไปด้วยสินทรัพย์ทางฝ่ายบิดา...ฝ่ายพี่ป้าน้าอาผู้หยิ่งผยองในศักดิ์ตระกูลที่พร้อมจะทุ่มเท เติมเต็ม

     

    เธอ เหนื่อย เบื่อ และระอา อีกทั้งไม่อาจทนกับความถือตัวของญาติทางฝ่ายนั้นได้

     

    ทั้งหมดทั้งมวลในใจดวงน้อยที่สวยใสทว่ามีรอยร้าว เจ็บช้ำและความคำนึงก็มักไปทางร้าย มีแต่เพียงยายสายใจเท่านั้นที่เป็นคนคอยประคองไม่ให้แก้วใสใบบางนี้แตกกระจายลง

     

    การตัดสินใจเพื่อเดินทางครั้งนี้ของนาราริน จึงเหมือนเป็นการเริ่มต้นด้วยตัวเองครั้งสำคัญและยิ่งใหญ่มากมายนักในความคิดของเธอ เพราะนั่นหมายถึงการหลุดออกมาจากบ่วงแห่งความทรมานและสิ่งที่เธอคิดว่าเป็นภาพลวงตาจากคนที่เธอเรียกว่า...แม่

     

     

    /////////////////////////////////////////////////////////

     

    เช้านี้สดใสเหลือเกิน ลมเย็นอย่างที่คุ้นเคยพัดอ่อนเอื่อยเรื่อยมากับเสียงนกแรกร้องออกหากิน ตะวันดวงแดงส่องกำลังแสงขับไล่ความอนธการแห่งค่ำคืนให้ผ่านพ้นไปนานแล้ว หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ นารารินก็เดินออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก

     

    กลิ่นเช้าช่างหอมนัก หอมลึกเข้าไปในหัวใจ

     

    วูบหนึ่งทำให้หญิงสาวคิด หากเธอต้องจากที่นี่ไป เธอจะคิดถึงมันมากขนาดไหนนะ

     

    ไก่โต้งโก่งคอขันเหมือนเรียกร้องความสนใจ เมื่อเห็นไก่บ้านที่เลี้ยงไว้ในเล้าถัดจากเรือนหลังใหญ่ เดินคุ้ยเขี่ยไปทั่วบริเวณกว้างขวางของอาณาจักรสวนผลไม้แห่งนี้ หญิงสาวจึงจัดแจงหาข้าวเปลือกที่อยู่ในถังข้างเล้ามาหว่านโปรยให้เหล่าไก่ผู้หิวโหยอย่างที่เคยทำมาตั้งแต่เล็ก ๆ

     

    เธอหวังเพียงว่าการทำงานอะไรสักอย่างอาจจะผ่อนคลายอาการเครียดเคร่ง เพื่อคิดหาวิธีทำให้ยายอนุญาตได้ด้วยความสบายใจ ไร้กังวล

     

    จากนั้นจึงเป็นการปัดกวาดเช็ดถูเรือน อันเป็นกิจวัตรที่เธอถูกฝึกหัดให้ทำมาแต่ไหนแต่ไร คุณสายใจสอนให้หญิงสาวรู้จักทำงานบ้าน

     

    แม้ว่าเราจะมีแรงเงิน จะจ้างใครก็ตามมาทำความสะอาดให้เราได้ แต่ก็ไม่สู้แรงกายทำเองหรอกนะริน เป็นการฝึกตนไปด้วยในตัวไงล่ะ

     

    ฝึกไปทำไมก็ไม่รู้ ไม่เห็นชอบเลย

     

    เวลานั้นเสียงเล็ก ๆ ของเด็กตัวน้อย ๆ ก็โต้ไปอย่างไม่กลัวไม้เรียวทีเดียว

     

    เป็นเด็กเป็นเล็กริเกียจคร้านได้อย่างไร งานบ้านทำไว้ เวลาอยู่คนเดียวจะได้ทำเป็น ไม่ต้องพึ่งใคร เรือนชานก็เหมือนหน้าตาของตัวเองนั่นแหละ ไม่ขัดไม่ถู ฝุ่นมันก็เกาะจับ เหมือนเช้ามาหน้าไม่ล้าง มันก็กระดำกระด่าง ดูไม่งามนักอย่างนั้นน่ะ ชอบรึ…’

     

    แหมยายจ๋า พื้นน่ะ รินถูได้ แต่ถ้าเป็นหน้า ขัดถูมันมาก ๆ ก็พังหมดสิจ๊ะ

     

    คุณประจักษ์ ผู้เป็นตาของเธอที่นั่งฟังอยู่ข้าง ๆ ได้แต่หัวเราะชอบใจในความช่างจำนรรจาของหลานสาว มีแต่คุณสายใจเท่านั้นที่หยิกเข้าที่แขนเนียนของเด็กน้อยให้เขียวช้ำ แล้วไล่ให้ไปถูพื้นเสียเดียวนั้น

     

    เมื่อนึกถึงวานวันในความทรงจำแล้วนารารินในวัยนี้ก็ได้แต่กลั้นยิ้มในความดื้อซนของเธอเอง

     

    เป็นเวลาสายเกือบเที่ยงแล้วเมื่อนารารินเสร็จงานบ้าน หญิงสาวจึงเดินลงไปที่สวนเพื่อร้องเรียกเตือนให้ผู้เป็นยายที่ออกสวนตั้งแต่เช้ามาทานข้าวเที่ยง

     

    สวนผลไม้ขนาดหลายสิบไร่นี้ เป็นน้ำพักน้ำแรงของคุณประจักษ์และคุณสายใจเพียงลำพัง ท่านทั้งคู่ทำงานหนัก แม้ว่าจะเป็นการงานที่ไม่ได้ทำให้ร่ำรวยขึ้นมาได้ในพริบตา แต่ความอดทนและขยันขันแข็งก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทรัพย์สินที่ได้มาจากงานสุจริตนั้นมีค่าเพียงใด

     

    ยายและตามีบุตรคนเดียวคือมารดาของเธอ และด้วยความเป็นหญิง จึงไม่ได้ให้มาสัมผัสกับงานในสวนในไร่นัก ประกอบกับนิสัยของเกษราก็เป็นคนรักสวยรักงาม รักความสบาย คุณสายใจและคุณประจักษ์ก็ไม่ว่า ตามใจทุกอย่างด้วยว่าเป็นบุตรีเพียงคนเดียวที่รักยิ่งกว่าหัวใจตัวเอง แต่ก็สอนงานทุกอย่างที่ลูกผู้หญิงคนหนึ่งพึงจะเป็น เช่นเดียวกับที่สอนนาราริน

     

    หากแต่คนเป็นหลานกลับชอบงานในสวนมากกว่า ตอนเด็ก ๆ จึงเที่ยววิ่งเล่นในสวน หรือไม่ก็กระโจนลงร่องน้ำระหว่างแถวต้นไม้ จนได้เสียงดุจากคุณสายใจหลายครั้ง แต่จะได้ยินแค่เสียงหัวเราะเอ็นดูจากคุณประจักษ์เป็นคำปลอบ

     

    โตขึ้นมาแล้ว มันคงแกร่งไม่ยอมใครเหมือน พ่อมันนะ

     

    ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลยค่ะคุณ ฉันรับไม่ไหวนะ

     

    หรือคุณอยากให้เจ้ารินมันเป็นเหมือนยายเกษหรือไงล่ะ

     

    นารารินในวัยเด็กฟังบทสนทนานั้นอย่างไม่เข้าใจ เด็กตัวน้อยจึงได้แต่ยิ้มแป้นมองหน้าผู้เป็นตาและยาย คุณสายใจได้แต่มองหน้าแล้วส่ายหัวไปมาด้วยความอ่อนใจหลานตัวน้อย ต้องขาดพ่อผู้ที่ทุกคนพร่ำบอกว่าเสียชีวิตไปนานแล้ว ซ้ำแม่ตัวก็มาฝากทิ้งไว้ให้ตากับยายเลี้ยง...คนเป็นยายก็เลี้ยงไปไม่ให้มีปมด้อยอันใดผูกขึ้นมากลางใจเด็กน้อยคนนี้เท่านั้นเอง

     

    หากในความทรงจำของเด็กน้อย มือใหญ่กร้านของคนซึ่งเธอเรียกว่า พ่อที่คอยประคองความเปราะบางของแก้วใสในวัยเด็กของเธอ กลับไม่จางหาย พ่อของเธอชื่อนาคร ผู้ที่ยังทิ้งร่องรอยแห่งความอบอุ่นไว้ในใจ แม้ว่าเขาจะลาโลกนี้ไปตั้งแต่เธออายุได้ 5 ขวบก็ตาม

     

    เธอดื้อเหมือนพ่อหรือ ถ้าอย่างนั้นก็ดีสิ เพราะเธอต้องการเป็นเหมือนพ่อ เพียงได้รู้ว่าเลือดในกายของตนมีของพ่ออยู่ครึ่งหนึ่งนั้นก็ทำให้เธอภูมิใจมากแล้ว น้ำเสียงทุ้มนุ่มติดจะใจดีของพ่อยังดังแว่วอยู่ข้างหู ใบหน้าแม้ว่าจะถูกกาลเวลาลบเลือนไปเกือบหมด แต่เด็กหญิงก็ยังคงเห็นหน้าพ่อได้ทุกวันในกรอบรูปที่ติดอยู่ข้างฝาเรือน

     

    ยายเล่าว่าพ่อเป็นคนเก่ง นาครเป็นถึงปลัดประจำอำเภอ ไฟแรงเก่งกล้าสามารถ แต่ใครจะรู้เล่าว่าโชคชะตาจะเล่นตลกกับเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ ให้ต้องเสียพ่อไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทิ้งให้ลูกวัยเล็กอยู่ในความดูแลของยายแม้ว่าจะมีแม่ แต่แม่ก็ไม่สนใจใยดีใด ๆ เลย

     

    เวลาเธอดื้อรั้นหรือเล่นซนอะไร คุณสายใจก็จะชี้ให้เธอดูรูปที่ข้างฝา

     

    โน่นแน่ะพ่อริน รินอยากทำให้พ่อเขาผิดหวังอย่างนั้นหรือ ดื้อ ๆ ซน ๆ อย่างนี้ ถ้าพ่อเขาได้ยินได้เห็นคงต้องเสียใจมากแน่ ๆ

     

    ด้วยความรักและศรัทธาในตัวนาคร เด็กหญิงจึงได้แต่ก้มหน้าลงทุกทีด้วยรู้สึกผิด ราวกับภาพซีดเหลืองด้วยกาลเวลามีชีวิต ส่งแสงตาอันอ่อนโยนมาตักเตือนเธอ

     

    รินจะไม่ทำอีกแล้วจ้ะพ่อ พ่ออย่าโกรธรินเลยนะจ๊ะ รินขอโทษ

     

    นารารินคิดว่ายายควรจะพักได้แล้ว แม้ว่าท่านจะมีความแข็งแรงอย่างคนทำงาน แต่เธอก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ จะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ยายได้พัก หาคนมาทำแทน เป็นใครดีหนอ คนที่อาจมาใช้ชีวิตร่วมกับเธอด้วยอย่างนั้นหรือ คนนั้นจะเป็นเบิร์ดได้หรือไม่หญิงสาวตั้งคำถามให้กับตัวเอง แต่คำพูดที่เขาเคยบอกว่าเขาไม่ชอบอยู่กับไร่กับสวนก็ทำลายความหวังนั้นเสียแล้ว

     

    ไม่ทันที่ความคิดของเธอจะหาหนทางไปมากกว่านี้ เท้าก้าวยาว ๆ ก็พาเดินมาที่เพิงพักกันแดดร้อนซึ่งปลูกไว้ใต้ร่มต้นไทรใหญ่อีกชั้น

     

    ยายจ๋า ดื่มน้ำเย็น ๆ ก่อนนะจ๊ะ รินไม่อยู่อย่างนี้แล้วใครจะหาน้ำหาท่าให้ยาย ดูแลยายละเนี่ย…” หญิงสาวหยอดคำ เพื่อหยั่งเชิง

     

    ไม่ต้องห่วงหรอก ก็เจ้าหนูแฟงกะเจ้าก้างมันก็มาวิ่งเล่นแถวเรือนอยู่ทุกวัน ก็ได้เรียกใช้สอยได้บ้าง ยังไงก็ชินซะแล้วล่ะ ตั้งแต่ที่รินไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ น่ะ

     

    คนเป็นยายเอาหมวกไม้สานมาพัดต่างพัดลม แดดแรง ๆ ไม่ราแสงร้อนลงเสียที

     

    รินคงจะคิดถึงยายมากแน่ ๆ เลย แค่เรียนอยู่กรุงเทพฯ ก็รอให้ถึงวันหยุดเสาร์อาทิตย์แทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว

     

    คิดถึงแล้วจะไปทำไมล่ะ…”

     

    คนฟังนิ่ง ก็มันเป็นความจริง เธอเป็นห่วงยายเหลือเกิน ท่านทำงานหนักมาตลอดและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพักสักนาทีชีวิต วัยที่เพิ่มมากขึ้นคอยแต่จะบั่นทอนแรงกำลังให้หดหาย จนยายเองก็บ่นอยู่บ่อย ๆ ว่า คงทนทำไปได้อีกไม่นาน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหาใครมารับช่วง และท่านเองก็ไม่อยากให้หญิงสาวมาสานต่องานเหนื่อยหนักอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่เธอก็เต็มใจหากยายให้เธอทำ

     

    ราวกับว่าคุณสายใจจะรับรู้ถึงความกังวลใจของหลานสาว จึงเอ่ยสำทับขึ้น กึ่งปลอบกึ่งให้กำลังใจ

     

    เถอะลูก ไปหาคำตอบให้กับตัวเองว่าเราต้องการอะไรกันแน่ ไปทดสอบตัวเองดูว่าเราเข้มแข็งขนาดไหน

     

    คนฟังรับคำมั่นเหมาะ เหมือนกับจะรับรองความมั่นใจให้ตัวเองด้วย หากก็ไม่แน่ใจว่าอารมณ์ที่เวียนวนอยู่ขณะนี้มันคือสิ่งใด จะโล่งใจกับคำพูดของยายที่ฟังดูเป็นคำอนุญาตกลาย ๆ หรือจะกังวล สับสนอยู่ด้วยความเป็นห่วง แต่ด้วยกระแสความคิดที่แรงกล้าก็ทำให้พูดออกไปว่า

     

    รินจะไปพิสูจน์ตัวเอง ว่ารินก็สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้แม่มาดูแล หรือพยายามดูแลเพื่อทดแทนสิ่งที่เขาไม่เคยทำให้ริน รินไม่ต้องการหรอกค่ะยาย

     

    คุณสายใจมองหน้าหลานสาว สายตามีแววตำหนิในคำพูดอย่างเห็นได้ชัด

     

    ตัวเธอเองสอนมาผิดหรือเปล่า จริงแล้วคุณสายใจก็ไม่ได้ใส่สีดำลงบนผืนผ้านี้แม้แต่น้อย

     

    หากแต่จิตใจของผู้เป็นหลานได้รับการซึมซับสีหม่นให้หมองใจนี้มาจากไหน หรือว่าจะเป็นเพียงแค่เธอไม่ได้เคี่ยวเข็ญให้หลานคนนี้เห็นคุณของมารดาบังเกิดเกล้า ก็คงอาจเป็นเพราะนึกรำคาญในความดื้อดึงของบุตรสาวอยู่ด้วยกระมัง เมื่อครั้งที่เกษรายังทำตัวเป็นเด็กรักสนุก เอาแต่ใจมาตลอด ชอบเอาชนะคะคานผู้อื่นหรือว่าหลานสาวคนนี้นอกจากจะถอดพิมพ์ทางกายมาแล้ว ยังถอดรหัสนิสัยของผู้เป็นมารดามาอีกด้วย จึงได้ส่งให้หลานสาวคนนี้กลายเป็นคนดื้อรั้นหัวแข็งพอ ๆ กัน

     

    ลุงธงเดินเข้ามา มารายงานผลการขายเมื่อวานนี้และส่งผลไม้ไปให้แม่ค้าที่เป็นคนรู้จักกันดีในตัวตลาดห่างออกไปไม่ไกลนัก เมื่อเสร็จธุระจากคุณสายใจ ลุงธงจึงหันมาหานาราริน

     

    ลุงดีใจด้วยนะ แหมได้ไปเมืองนอกเมืองนาสักทีอย่างนี้ต้องเลี้ยงฉลองกันยกหมู่บ้านแล้วละนะป้าสาย

     

    อู๊ยลุงธงจ๋า ไม่จำเป็นต้องขนาดนั้นหรอกจ้ะ รินไปแค่ปีเดียวเอง เผลอ ๆ จะพากันคิดว่ารินแค่ไปเที่ยวเล่นที่ นอกเมืองไม่กี่วันเองน่ะสิจ๊ะ

     

    ทุกคนหัวเราะ ลบแววขุ่นข้องใจของหญิงสาวเมื่อครู่ไปแล้ว

     

    แหม! แต่ยังไงก็เป็นหน้าเป็นตากะหมู่บ้านแหละน่า รินเอ๊ยอย่างลุงคงไม่มีวาสนาไปเหยียบแผ่นดินอื่นหรอก มีแต่ทำงานงก ๆ อยู่อย่างนี้

     

    ว่าได้เหรอจ๊ะ เผลอ ๆ ลุงธงอาจจะร่ำรวยขึ้นมาก็ได้ใครจะไปรู้

     

    ขับรถส่งผลไม้นี่นะ ชาติหน้าเถอะ ไม่ก็ถูกล็อตตารี่รางวัลที่หนึ่งละเอ้า…”

     

    หญิงสาวนึก ถึงอย่างไรชาวบ้านก็ยังคงมีชีวิตอยู่กับการหวังเสี่ยงโชค ไม่ว่าความเจริญจะโถมถั่งเข้ามาในสังคมชนบทมากเท่าไร หรือกลับกันความเจริญนั้นอาจเป็นเชือกสำคัญที่ดึงให้ความงมงายในการเสี่ยงโชคเข้าหาชาวบ้านมากขึ้นไปกันใหญ่

     

    ว่าแล้วก็ต้องขอตัวไปดูล็อตตารี่ที่ซื้อไว้ก่อนนะลุงธงไปฟังวิทยุคลื่นที่ออกอากาศสดการประกาศผลจับเลขรางวัลนั่นเอง

     

    ยายไม่ซื้อเหมือนอย่างเขาไว้บ้างสักใบสองใบเหรอจ๊ะ

     

    ไม่เอาหรอกลูก เอาอะไรกับการเสี่ยงโชคสุ่มเดา มีแต่จะพาให้หลงติดตัวดึงหัวออกมาไม่พ้นน่ะสิ

     

    พูดอย่างนี้เถอะ เดี๋ยวรินไม่อยู่แล้วยายอาจจะแอบซื้อก็ได้

     

    ฟังแล้วคุณสายใจมองหน้าหลานสาว นี่เธอต้องปล่อยให้นกน้อยตัวนี้บินไกลแล้วหรือ แม้ว่าจะจากรังเดิมไปสู่รังใหม่ในเมืองหลวงแล้วก็ตาม แต่ที่นั่นก็ถือว่ามีแม่นกคอยดูแล ทว่า ระยะทางบินอันยาวไกล ปีกอ่อนที่เพิ่งหัดบินนี้จะล้าลงเสียเมื่อไรก็ไม่รู้

     

    การ ออกบินของนารารินไปยัง ถิ่นนั้นคือสิ่งที่คุณสายใจคิดมาตลอด แต่ไม่นึกว่าจะเร็วถึงขนาดนี้

    //////////////////////////////////////////////////////////////////





    เกษรานั่งอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่น หลังจากส่งไอริณขึ้นนอนแล้ว โทรทัศน์เบื้องหน้าไม่ได้อยู่ในความสนใจของเธอแม้แต่น้อย เพราะดวงความคิดนั้นกำลังวิ่งวน หาหนทางออกให้กับเรื่องนารารินจะไป ‘เมืองนอก’ ร่างบอบบางในชุดนอนพลิ้วสบายตัวนั่งระบายลมหายใจอ่อน ๆ หลายครั้ง แม้ว่าทุกครั้งมันจะยิ่งทำให้ภูเขาใจนั้นทบหนักลงอีกเรื่อย ๆ ก็ตาม 


    เสียงรถยนต์ประจำตัวเอกรักษ์ดังมาแต่ไกล ตามด้วยเสียงพูดคุยเบา ๆ จับความไม่ได้กับเด็กรับใช้ ก่อนที่ร่างของเขาจะเดินเข้ามาจากทางห้องโถงของบ้าน 


    “วันเสาร์อย่างนี้ ทำไม่ไม่พักบ้างคะคุณ” 


    เกษราเอ่ยทัก บอกกับตัวเองให้ถือโอกาสพักความคิดที่วกวนบ้าง 


    “ไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมก็ทำสนุก ๆ ของผมไปเรื่อยเปื่อยนั่นแหละ ทำอะไรทำให้สนุก มันก็ทำได้ทน ทำได้นานเองล่ะ จริงไหมคุณ” 


    เมื่อคลายเนคไท และนั่งลงดื่มน้ำเย็นจากเด็กคนใช้ที่นำมาวางให้ เอกรักษ์จึงได้เห็นสีหน้าภรรยาที่ผิดปรกติอย่างชัดเจน 


    “เป็นอะไรไปคุณ ไม่สบายหรือเปล่า หรือยังไม่เลิกคิดเรื่องยายริน” 


    “จะมีเรื่องที่ไหนให้ฉันคิดอีกล่ะคะ นอกจากเรื่องนั้น” 


    ว่าแล้วก็ถอนหายใจ คราวนี้หนักและแรงกว่าเดิมราวจะถอนมันให้หมดออกมา 


    “เราไปห้ามเขาไม่ได้หรอกนะ...เกษ สักวันเด็กเขาก็ต้อง ‘ไป’ รั้งเขาไว้ไม่ได้หรอก” 


    “ค่ะ ฉันรู้ แต่ว่ามันจะไม่เร็วเกินไปหรอกหรือคะ” 


    “เร็วไปอะไรกันล่ะคุณ ยายรินอายุอานามตั้งเท่าไหร่เข้าไปแล้ว เรียนก็จะจบปริญญาอยู่รอมร่อ ให้เขาได้ ‘รู้และเห็น’ เสียเลยจะเป็นไรไป” 


    อีกทางด้านหนึ่งของมุมประตูที่ติดกับบันไดขึ้นชั้นบน ไอริณเดินง่วงลงมา มือขยี้ตาพยายามจะขับไล่ความง่วงนั้นเสีย มือน้อยถือซองจดหมายจากโรงเรียนมาด้วย เพราะเด็กหญิงลืมไปว่าต้องคุยกับมารดาเรื่องที่คุณครูเชิญไปงานแสดงประจำปีของโรงเรียน 


    เมื่อลงมาที่มุมมืดนั้น เด็กสาวจึงได้ยินบทสนทนาอย่างถนัด 


    “ให้เขาไปเถอะคุณ สักวันเขาก็ต้องรู้ สู้ให้รู้ให้เห็นตอนนี้ไม่ดีกว่าเหรอ ให้รู้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องมีใครบอก ประสบการณ์ที่ไปอยู่คนเดียวก็น่าจะทำให้เขาเข้มแข็งพอที่จะรับรู้เรื่องราวได้นะ” 


    เกษรานิ่งเสียเป็นคำตอบ 


    ไอริณที่ยืนอยู่ตรงหัวบันได ดีใจจนระงับเอาไว้ไม่ไหว อารมณ์ง่วงงุนเมื่อครู่หายไปราวปลิดทิ้ง…ท่าทางอย่างนั้นของมารดา มันบ่งบอกชัดว่าพี่รินของเธอจะได้ไปแล้ว เด็กสาวถลาเข้าไปหาผู้เป็นมารดาทันที อารมณ์วัยเด็กนั้นสวยใสเสมอ… 


    “ยังไม่นอนอีกหรือ ไอซ์ ดึกแล้วนะลูก” เกษราร้องขึ้นอย่างแปลกใจ พลางมองซองกระดาษขาวที่อยู่ในมือไอริณ แล้วดึงขึ้นมาอ่าน 


    “ไอซ์ลืมเอาหนังสือเชิญจากโรงเรียนมาให้แม่น่ะค่ะ เขาเชิญผู้ปกครองทุกคนไปร่วมงานแสดงประจำปีของโรงเรียน ปีนี้ไอซ์ได้แสดงด้วยนะคะ...แหม ปีที่แล้วได้เป็นแต่ต้นไม้ ยืนถือฉากอยู่ เมื่อยก็เมื่อย แต่ปีนี้ดีขึ้นมาหน่อย” 


    เมื่อนึกถึงธุระของตนเอง เด็กน้อยก็พูดขึ้นเสียยืดยาวตามนิสัยช่างพูดช่างจาของตัวเอง 


    “ได้แสดงเป็นอะไรหรือลูก” เอกรักษ์ถามลูกสาวอย่างกระตือรือร้น 


    “เป็นแกะค่ะ” 


    ว่าแล้วก็ยิ้มแก้มปริให้ทั้งบิดาและมารดา ทำท่าจะนั่งลงพูดคุยต่อ หากเกษราไม่ยอม จับจูงพาเด็กหญิงไปนอนจนได้ แต่ก่อนที่จะลับหายไปเธอส่งสายตาที่แฝงด้วยความวิงวอน แกมกึ่งกังวลมายังสามี 


    เอกรักษ์สบนัยน์ตานั้น แล้วยิ้มให้ เน้นย้ำการตัดสินใจนั้นให้หนักแน่นยิ่งขึ้น… 


    /////////////////////////////////////////////////////////



    นารารินเพิ่งวางโทรศัพท์จากน้องสาวต่างบิดา น้ำเสียงยินดี มีชีวิตชีวาแบบเด็ก ๆ นี้สินะ ที่พลอยทำให้เธอคิดน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ร่ำไป ว่าเด็กหญิงเกิดมาคอยแต่จะได้ความสุข การโทรศัพท์มาครั้งนี้ก็ไม่ได้ยินดีปรีดาอะไรมากมายไปกว่าการจะได้ลายเซ็นของดารา 


    “ใครโทรฯ มาเหรอลูก” 


    “ไอซ์จ้ะยาย” หญิงสาวเดินมานั่งกับยายที่ชานเรือน 


    “ไอซ์บอกว่าดูเหมือนแม่จะอนุญาตให้รินไปเกาหลีได้แล้วค่ะ” 


    คุณสายใจนึก ง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ… 


    “ถ้าแม่เขาให้ไปได้ก็ดีแล้ว จะได้ไม่มีเรื่องขัดแย้งกันอีก” 


    “ก็คงเป็นเพราะลุงเอกเขาช่วย ‘กล่อม’ ให้ละมังคะ” 


    น้ำเสียงน้อยใจฟังได้ชัด แม้ว่าจะดีใจและโล่งอกที่ในที่สุดมารดาก็อนุญาต แต่ติดที่ว่ามันคือความสมัครใจของมารดาหรือเปล่า…คงเพราะลุงเอกอันเป็นที่รักและยำเกรงของมารดามากกว่าที่เป็นฝ่ายทำให้แม่ยอมจำนนจนได้ 


    …ก็เขาเป็นฝ่ายให้ทุกอย่างกับมารดาเธอมาน่ะสิ ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกสบาย เงินทองมากมายใช้จ่ายไม่ขาดมือ แล้วเช่นนี้จะให้ไปมีปากเสียงได้อย่างไร แต่ก็ไม่ภูมิใจที่มารดาให้ไปเพราะเกรงใจเขา ไม่ใช่ให้ไปด้วยเห็นความสำคัญของลูกสาวคนนี้… 


    “แม่เขาคงรักแล้วก็เกรงใจลุงเอกมากนะคะ ให้ไปโดยที่เกรงใจ” 


    “ลุงเขาก็เห็นว่าควรไปนั่นแหละ บางทีไปแล้ว รินอาจจำเป็นจะต้องรู้ ‘อะไรบางอย่าง’ ที่มันจะมาพร้อมกับการเรียนรู้ กับประสบการณ์นั่นแหละลูก…” 


    ...แล้วเอกรักษ์ก็คงรู้สึกเช่นเดียวกับคุณสายใจว่า ถึงเวลาอันสมควรแล้วที่จะปล่อยนกน้อยตัวนี้ให้ไปผจญกับความเป็นจริงที่เธอควรได้รับรู้อย่างที่ผู้ชราเห็นควร... 


    //////////////////////////////////////////////////////////////

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×