ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    O_อุ่นรักในสายลมหนาว_O

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2 เยี่ยมบ้านเยี่ยมสวน

    • อัปเดตล่าสุด 28 พ.ย. 51


    ตอนที่ 2

     

     

    นารารินเดินย่ำกรวดทรายแดงที่ลาดเป็นถนนสายแคบ ๆ เพียงพอที่จะให้รถขนาดเล็กเพื่อการขนส่งสามารถวิ่งเข้าออกได้ระหว่างถนนใหญ่กับตัวบ้านที่อยู่ไม่ไกลนัก สองข้างทางคือแนวคันนาที่ทอดยาวไปจรดตีนเขาสีเขียวเข้มปนน้ำเงินครึ้ม บางช่วงก็สลับด้วยแนวสวนผลไม้ของชาวบ้าน ปลูกเรียงรายได้ระเบียบ เป็นแถวเป็นแนวสุดลูกหูลูกตา

     

    เมื่อเดินเท้าลัดเลาะมาจากถนนใหญ่ได้ไม่นาน เสียงเครื่องยนต์คุ้นหูก็ทำให้เธอหันมองไปด้านหลัง จากปากทางถนนโรยกรวด รถกระบะบรรทุกผลไม้คันคุ้นตาวิ่งช้า ๆ มาตามทางเหมือนวัวแก่ขี้คร้านจำใจทำงาน พาให้ฝุ่นคลุ้งตลบไล่หลังมาเป็นลูก ๆ สักพักก็มาจอดลงข้าง ๆ เสียงเครื่องยนต์ที่ดังเหมือนวัวตัวนั้นหายใจหอบกระชั้นถี่ แล้วเสียงเรียกจากฝั่งคนขับก็ดังขึ้น

     

    รินใช่มั้ย ทำไมวันนี้มาแต่เช้าเชียว ทุกครั้งจะมาบ่าย ๆ ไม่ใช่เหรอ

     

    ลุงธงนั่นเอง นารารินยิ้มให้กับคนถาม ยิ้มอย่างคนคุ้นเคย ยิ้มด้วยความสบายใจ และยิ้มด้วยเรื่องสุขใจที่ได้รับมาเมื่อวันวาน จึงทำให้รอยยิ้มนั้นแสนหวาน ตราตรึงหัวใจของผู้พบเห็นได้อย่างแช่มชื่น และไม่ยากที่ผู้ได้รับความหวานใสนั้นจะตักปันน้ำใจอันบริสุทธิ์ยื่นมาตอบแทนโดยไม่ลังเล เช่นที่ลุงธงกำลังเสนอให้เธออยู่เดี๋ยวนี้

     

    มา...ขึ้นมา ลุงกำลังจะไปรับผลไม้ที่บ้านยายของหนูอยู่พอดี

     

    ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่คุ้นเคยมาแต่ครั้งยังเยาว์ เป็นดั่งจิตรกรผู้ป้ายสีรอยยิ้มบนใบหน้าของเธออีกครั้ง หลังจากความรังเกียจเดียดฉันท์ของคนที่ บ้านใหญ่ได้ลบมันไปแล้วครั้งหนึ่ง

     

    หญิงสาวยังคงยิ้ม ตอบรับขอบคุณเบา ๆ ปัดกางเกงยีนเปื้อนฝุ่นแดงก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งอย่างกลัวว่าที่นั่งของรถลุงธงจะเปรอะ ก่อนเจ้าวัวขี้เกียจตัวนี้ก็เดินอืด ๆ ต่อไป

     

    จะมาหลายวันหรือเปล่าล่ะคราวนี้ นังหนูแฟงกะไอ้ก้างมันบ่นถึง เห็นว่ามีอะไรจะอวดก็ไม่รู้ สงสัยวาดรูประบายสีได้คะแนนเต็มตามประสาพวกมัน...

     

    หลังจากนั้นลุงธงพูดอะไรต่อนารารินก็ไม่รับรู้แล้ว ดวงใจนั้นกลับกระหวัดไปถึงภาพและเสียงของเมื่อคืนวาน ที่ทำให้เธอนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายทำให้เธอหวั่นไหว...หวั่นเกรงว่ามารดาจะไม่อนุญาตให้เธอได้สยายปีกอิสระ เพื่อโบยบินไปสู่โลกกว้าง และหวั่นใจความจริงบางอย่างเกี่ยวกับแฟนหนุ่มที่เธอได้โทรศัพท์ถึงเมื่อคืน

     

    นึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่คุยกับเบิร์ดแล้วก็ให้นึกคลางแคลง เขาไม่ว่าอะไร ให้กำลังใจ น้ำเสียงฟังดูตื่นเต้นทีเดียว แต่ในความยินดีที่แสดงมากลับมีเสี้ยวหนึ่งที่สะกิดให้เธอรู้สึกแปลก ๆ แต่เธอก็ยังตีความไปว่าเป็นเพราะเธอคิดมากไปเท่านั้น

     

    เราดีใจด้วย

     

    คำพูดฟังคล้ายโล่งอก ไม่ซิ...ดีใจและโล่งอกที่เธอสามารถทำได้ในที่สุดต่างหาก

     

    แต่เธอก็ยังกระแทกกลับไป

     

    เบิร์ดจะไม่ถามซักหน่อยเหรอว่า รินเดินทางเมื่อไหร่ ไปยังไง

     

    อ้อ...เบิร์ดมัวแต่ดีใจน่ะ

     

    เขาทำเสียงร่าเริง ที่เธอไม่อยากคิดว่าเขาปรับเสียงเพื่อเอาใจเธอ น้ำเสียงร่าเริงติดตลก

    อารมณ์ขันของเขาที่เธอชอบ

     

    ..เป็นบุญนะที่ได้เขามาเป็นแฟน...

     

    วิไลพรรณเคยแกล้งว่าเป็นบุญของเธอ วิไลพรรณชอบแหย่ว่าเธอไม่สวยพอจะมีแฟน

     

    แต่เธอก็คบกับเขามาปีกว่าโดยที่สัมพันธภาพระหว่างเขากับเธอแทบไม่พัฒนา บางหนกลับมีไอเย็นแห่งความห่างเหินและมึนชาต่อกัน แต่หญิงสาวป้ายโทษไปให้กับการเรียนของเธอและเขาที่อยู่ในขั้นเตรียมสำเร็จการศึกษา ความเครียดทำให้จิตใจไม่หวานเหมือนขาดน้ำตาลไปโดยปริยาย ...

     

    ไม่น่าจะมีเหตุอื่น หญิงสาวบอกอย่างเชื่อมั่นให้กับตัวเอง

     

    เชื่อมั่นตัวเองและเชื่อมั่นเขา และยังเคยสงสัยว่า หากเสียเขาไปแล้ว เธอจะเสียใจมากมายขนาดไหนกัน...

     

    เอ้า...ถึงแล้ว

     

    เสียงร้องบอกของลุงธงทำให้นารารินตื่นจากภวังค์ หันไปมองหน้าคนพูดแล้วยิ้มแก้เก้ออีกครั้ง เอ่ยออกไปเหมือนจะรู้ตัวในความเงียบของตน

     

    รินขอโทษนะคะ รินเป็นคู่สนทนาที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย

     

    โอ้ย...ไม่เป็นไรหรอก คนแก่แล้วก็พูดไปเรื่อยเปื่อยนั่นแหละ มีคนฟังก็ดีใจตายแล้ว ไอ้ลูกหลานที่บ้านซิ มันกลับว่า บ่นอะไรน่ารำคาญ

     

    ภาพแรกที่เธอเห็นหลังจากเดินผ่านบ้านทรงไทยใต้ถุนสูงเข้าสู่บริเวณภายในบ้าน คือภาพที่คุณสายใจกำลังนั่งตรวจเช็คบัญชีรายรับรายจ่ายประจำเดือนอยู่บนชานเรือน พื้นยกสูง ยื่นออกไปในคลองที่เป็นลำน้ำสะอาดสดชื่น

     

    ลำน้ำนี้ไหลผ่านหลังเรือนไม้ของคุณสายใจ

     

    ในวัยหกสิบตอนต้นท่านยังทะมัดทะแมงแข็งขัน แม้ว่าจะดูผอมบาง แต่ท่านก็ผอมอย่างแข็งแรง ไม่ได้ผ่ายผอมเหมือนคนไม่สบาย

     

    อ้าว! มาแล้วเหรอ ทำไมไม่โทรฯ มาก่อนล่ะ จะได้ให้ไอ้ก้างมันไปรับ

     

    ไอ้ก้างคือเด็กผอมกะหร่อง ชอบมาวิ่งเล่นแถวบ้านและละแวกใกล้เคียงเป็นประจำ เธอเองก็เคยได้เล่นด้วย และเรียกใช้สอยอยู่บ่อยครั้ง

     

    ไปรับยังไงล่ะจ๊ะ ยาย มอเตอร์ไซค์เหรอ จะพากันล้มทั้งคู่ล่ะซิไม่ว่า เห็นเพิ่งหัดไม่ใช่เหรอจ๊ะเธอพูดพลางเดินเข่าเข้าไปกราบ และนั่งยืดแข้งขาอย่างสบายใจรับลมชายน้ำที่พัดโชยฉิวผ่านผิวเนื้อให้เย็นฉ่ำ

     

    ไอ้ก้างน่ะ มันขี่เป็นแล้ว ตอนนี้ก็ได้มอเตอร์ไซค์นั่นแหละ ช่วยแม่มันไปซื้อของในตลาดมาทำขนมขาย

     

    น้ากลั่นทำขนมขายเหรอจ๊ะ ฝีมือกับข้าวใช่ย่อย ทำขนมนี่คงอร่อยแน่ ๆ อย่างงี้ต้องไปลองชิมซะแล้ว

     

    แม้ว่าจะสนทนาในเรื่องทั่ว ๆ ไป แต่ก้อนหินหนักอึ้งในใจก็ถ่วงให้เธอกังวลจนต้องลอบระบายลมหายใจออกมาเบา ๆ คิดไม่ตกว่าจะเริ่มเรื่องที่เธอได้รับทุนกับยายอย่างไรดี บางทีอาจเป็นตอนเย็น ประเดี๋ยวขอตัวไปอาบน้ำอาบท่าผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สะอาดสะอ้าน พร้อมให้ใจเย็นและหาหนทางดี ๆ ก่อนทำจะดีกว่า

     

    แม่เขาโทรฯ มาหายาย ก่อนที่รินจะมา…”

     

    เสียงเรียบไม่แสดงอารมณ์อะไรของคุณสายใจดังขึ้นขัดแผนการของเธอเสียก่อน ...เห็นทีว่าคงไม่จำเป็นต้องเป็นคนเปิดประเด็นเองเสียแล้ว

     

    แม่เขาบอกว่าได้ทุนไปเรียนต่อเหรอ ลูก...

     

    ก็แค่แลกเปลี่ยนปีเดียวเท่านั้นแหละจ้ะ ยายพูดแล้วก็มองหน้าผู้เป็นยายคล้ายดูท่าทีว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่คนถูกมองก็ยังสาละวนอยู่กับสมุดบัญชี ทั้ง ๆ ที่เอ่ยถามหลานสาวราวไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใด

     

    แล้วเราน่ะ ไปสมัครไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ดวงตาเอื้ออารีของผู้เป็นยายส่งผ่านมายังหลาน

    ก็เมื่อปลายปีที่แล้วล่ะค่ะ ก่อนสอบกลางภาค พอขึ้นปีใหม่เขาก็เลยประกาศให้รู้ จะได้เตรียมตัวได้ทัน เพราะว่าเทอมที่โน่นเขาไม่เหมือนบ้านเราค่ะ เขาเริ่มกันตอนเดือนมีนาฯ

     

    แล้วทางนี้เราจะสอบปลายภาคเสร็จทันเหรอ ลูกคนเป็นยายยังอดห่วงไม่ได้

     

    จริง ๆ แล้วรินก็ยังสอบไม่เสร็จหรอกค่ะ แต่ก็ขออาจารย์ท่านสอบก่อนแล้ว ทำเรื่องกับทางคณะไว้ คงไม่มีปัญหาอะไรค่ะ

     

    หญิงสาวพูดให้ความมั่นใจ วางฐานแห่งความแน่นอนไว้ในใจคุณสายใจก่อน ปูพื้นอย่างดีเพื่อให้ยายคล้อยตามให้ได้ แต่ประเด็นที่เธอตั้งใจจะทำให้มั่นคงกลับโยกไหวไปทางอื่นเสียแล้ว

     

    ทางโรงเรียนไม่มีปัญหาน่ะใช่ แต่ทาง บ้านใหญ่เขาว่าอย่างไรล่ะ…” พูดแล้วก็มองใบหน้าของหลาวสาวที่ ตึงขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำนั้น

     

    ก็หลาย ๆ ครั้งที่คนบ้านใหญ่ทำท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์ เหมือนไม่ต้องการจะนับญาติกับเธอนับตั้งแต่เธอยังเล็กจวบจนขณะนี้

     

    ความไม่เข้าใจของเด็กน้อยในวัยเยาว์จึงตีความเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ได้ เห็นมาจาก บ้านใหญ่มาผูกมัดในใจตน บีบรัดและกัดลึกจนเนื้อใจของเธอไม่เหลือส่วนที่จะสามารถทำความเข้าใจ หรือแม้แต่พยายามจะเข้าใจญาติข้างบิดาเลี้ยงได้

     

    ก็เมื่อเช้า ก่อนออกจากบ้านนั้นมา เธอก็ได้มีโอกาสประสบเหตุการณ์ ดูแคลนเหมือนเช่นหลาย ๆ ครั้งที่เธอเคยประสบมาน

     

    ฉันได้ข่าวว่าเราจะไปเมืองนอกเมืองนาใช่ไหม…’

     

    ค่ะนารารินรับคำสั้น ๆ หากตั้งใจฟังดี ๆ คำนั้นจะฟังดูห้วนทีเดียว หญิงสาวถูกเรียกมาพบคุณเอี่ยมทิพย์ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ของเอกรักษ์

     

    เนื่องจากบิดามารดาของเอกรักษ์เสียไปนานแล้ว ความเป็นใหญ่ในบ้านหลังนี้จึงตกเป็นของคุณเอี่ยมทิพย์แต่เพียงผู้เดียว ทั้งอายุก็ห่างจากน้องอีกสองคนคือเอกรักษ์และอังค์วราร่วมสิบปี นั่นจึงทำให้ดูว่าทุกคนเคารพและเกรงใจคุณเอี่ยมทิพย์เป็นพิเศษ

     

    แล้วไปยังไง ไปเมื่อไหร่…’ น้ำเสียงกังวานแบบมีอำนาจที่หญิงสาวได้ยินมาเรื่อยตั้งแต่เล็ก ถามย้ำอย่างแสดงบารมี ข่มคนตัวเล็กอย่างเธอให้ด้อยลงไปอีกหลายเท่า ทว่า ด้วยความแข็งภายในที่มักจะแสดงออกมายามอยู่หน้าคนที่ตนเองยกให้เป็นปฏิปักษ์ ทำให้นารารินยิ้มเยาะออกมาอย่างไม่รู้ตัวก่อนจะโพล่งออกไปว่า

     

    คุณเอี่ยมสนใจรินด้วยเหรอคะ…’

     

    แต่คนฟังยังไม่อาจผิดสังเกตในน้ำเสียง กล่าวไปว่า

     

    ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะแม่รินเราก็อยู่บ้านนี้ก็ถือว่าเป็นคนของบ้านนี้ ฉันดูแลอยู่ ฉันก็เป็นห่วงคนในบ้าน

     

    คนในบ้าน

     

    เห็นไหมล่ะ เธอก็เป็นได้แค่ คนในบ้านเท่านั้น ไม่อาจเผยอเทียบศักดิ์ไปเป็นหลานท่านได้หรอก

     

    ไม่ต้องห่วงรินหรอกค่ะ รินเอาตัวรอดได้ ขนาดแม่ยังไม่ห่วงรินเลย…’

     

    หญิงสาวเลือกใช้คำว่า ห่วงแต่ในความหมายที่ต่างกันอย่างชัดเจนกับเรื่องที่กำลังสนทนาอยู่

     

    ฮึอย่าอวดดีไปนะแม่ริน เราน่ะเป็นลูกผู้หญิง ไปไกลหูไกลตาขนานนั้น บอกตรง ๆ นะฉันไม่ไว้ใจ

     

    คนอ่อนอายุกว่าแค่นหัวเราะในใจไม่ไว้ใจงั้นเหรอ

     

    รินไม่ได้อวดดีหรอกค่ะ รินพูดไปเพราะว่ารินมั่นใจว่ารินดูแลตัวเองได้ คุณเอี่ยมไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ

     

    ใครว่าฉันห่วงเธอ…’ ผู้อาวุโสรีบแก้ หลังตรง หน้าเชิดขึ้นทันที ฉันก็กลัวแม่ไอซ์เขาจะริเอาอย่างเธอด้วย อย่างนั้นฉันไม่ยอมเป็นอันขาด…’

     

    นารารินนึกยิ้มเยาะในใจอีกหนก็ใครเลยจะไปสู้หลานรักของคุณเอี่ยมทิพย์ได้ล่ะ

     

    ไอซ์คงไม่ตามอย่างรินหรอกค่ะ เขาไม่ชอบเที่ยว ไม่ชอบไปไหนมาไหนคนเดียว ไอซ์เขาชอบอยู่บ้าน ติดแม่…’

     

    คำสุดท้ายพูดแล้วก็เหมือนเสี้ยนแหลมแทงใจ มันเจ็บเป็นพัก ๆ ฝังแน่นไม่อาจบ่งออก เพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่ามันฝังอยู่ ณ จุดใดของหัวใจ

     

    ใช่สิ ไอซ์ติดแม่และแม่ก็ติดไอซ์ หากเป็นไอริณมาขอทำเรื่องแบบนี้ แม่คงไม่ยอมยิ่งกว่าเธอเป็นแน่

     

    ริน ยายถามว่าที่ บ้านใหญ่เขาว่าไงเห็นเงียบไปนาน คุณสายใจจึงเอ่ยถาม

     

    ยายก็คงจะรู้แล้วมังคะ...มี คนโทรฯ มารายงานแต่เนิ่น ๆ แล้วนี่

     

    คุณสายใจฟังน้ำเสียงผิดปรกตินั้น แล้วก็หันมามองคนพูดอย่างเต็มตา

     

    รินทำไมต้องพูดประชดเหมือนกับแม่เขาเป็นคนอื่นอย่างนั้นด้วยล่ะ ลูก

     

    แล้วยายจะให้รินพูดอย่างไรล่ะคะ ให้พูดจาหวานหู ฟังดูเลี่ยนจนมดตอม ประจบประแจงน่ะหรือคะ ไม่เอาหรอกค่ะ ไม่เคยทำ แล้วก็ทำไม่ได้ด้วย ไม่สนิทใจ

     

    รินไม่เกินไปหน่อยเหรอลูก แม่เราทั้งคนนะคุณสายใจถอนใจ เสียงเข้มขึ้นมาบ้าง แต่คนฟังราวไม่รับรู้ เพราะไม่มองหน้าเสียแล้ว

     

    แม่...ฮึ...คนที่ไม่เคยสนใจใยดีรินน่ะเหรอคะเธอเองก็ตกใจคำพูดนั้น เธอว่าร้ายคนเป็นแม่ได้แรงขนาดนี้เชียวหรือแต่ด้วยม่านของความไม่เข้าใจยังคลี่คลุมใจเธออยู่ หญิงสาวจึงไม่อาจเห็นได้ว่า สิ่งที่ตนพูดนั้นดูมากเกิน

     

    พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้ อย่างที่ยายสอนมาเสมอ แม่เขามีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบ การที่เขาไม่ได้มาดูแลเราไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่ได้รักเรา หรือไม่ได้ห่วงใยเรานะ ลูก

     

    แต่การมีภาระอะไรมากมาย ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะละทิ้ง ไม่แยแสลูกคนหนึ่งได้หรอกนะคะ

     

    เธอโต้เถียงอย่างดื้อดึงแบบเด็กน้อย ก็เธอยังจำได้ว่า ตอนเด็ก ๆ ที่โรงเรียนมีงาน ผู้ปกครองของนักเรียนทุกคนจะมาให้กำลังใจลูก ๆ ของตนที่งานแสดง แต่เป็นเธอนั้นเองที่คอยเก้อ และเมื่อได้รู้เหตุผลภายหลังว่า แม่มาไม่ได้เพราะไอริณไม่สบาย นั่นยิ่งทำให้ความน้อยใจถ่วงหนักจนเป็นหลุมโพลงในใจเด็กหญิง นานวันก็ยิ่งยากที่จะนำความเข้าใจใด ๆ มาถมหลุมใจนั้นให้เต็มได้

     

    รินรินโตแล้วก็น่าจะรู้ว่าในสังคมของคนคนนึง มีพันธะมากมายที่เรามองไม่เห็น แต่กลับผูกเราไว้ไม่ให้ทำอะไรที่อยากทำได้ดังใจน่ะ มันมีอยู่มากโขนะ นี่ไม่ใช่ข้ออ้างหรอก แต่มันคือข้อผูกมัดที่แม่เราจะทำอะไรตามใจ ตามสบายเขาไม่ได้ต่างหาก

     

    นารารินไม่ตอบและไม่โต้แย้งอีกต่อไป หญิงสาวรู้ว่าเธอไม่อาจทำให้คุณสายใจเข้าใจได้

    เท่า ๆ กับที่คุณสายใจก็รู้ว่าไม่อาจลบความคิดดื้อดึงของหลานสาวให้หาย จากนั้นหญิงสาวก็ขอตัว

     

    รินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่านะคะ

     

    เธอไม่อาจจะเอาชนะยายได้ จนมุมต่อคำพูดทุกทีไป เธอแพ้ทางยายตลอด แต่ใจที่มีทิฐิดังกำแพงหนาก็ไม่อาจสั่นคลอน เพราะมันได้สร้างขึ้นมากับกาลเวลา ก่อฉาบด้วยความไม่เข้าใจ โบกทับด้วยความสนเท่ห์ในบทบาทความเป็นแม่ที่เกษรามอบให้ ...

     

    แท้จริงมันเป็นบทบาทประเภทใดกันแน่ เหตุไฉนแม่ช่างผิดแผกแตกต่างไปจากแม่ของเด็กคนอื่น ๆ ได้ถึงเพียงนี้

     

    ...หญิงสาวก็ไม่อาจหาคำตอบได้

     

    ////////////////////////////////////////////////////////

    พี่รินจะไปเมืองนอกจริง ๆ เหรอฮะเสียงถามนั้นดังมาจากเจ้าของร่างผอมบาง สมชื่อที่ถูกเรียกว่า เจ้าก้างเสียงใส ๆ ระคนตื่นเต้นดีใจอย่างเด็ก ๆ ไม่อาจควบคุมได้

     

    จริง ๆ เหรอจ๊ะ พี่ริน หนูแฟงล่ะไม่อยากเชื่อคำไอ้ก้างมันเลย ชอบขี้โม้อยู่เรื่อยร่างเล็กๆ อีกร่างของเด็กหญิงวัยไม่เกินเก้าขวบก็ก้าวลงมาจากที่นั่งตอนท้ายจักรยานคันใหญ่ ไม่สมกับตัว ทั้งคนขี่และคนโดยสารแม้แต่น้อย เด็กหญิงที่เรียกตัวเองว่าหนูแฟง มีใบหน้าเกือบกลม เสียแต่ว่าแก้มสองข้างมันยุ้ยออกมาทำให้เสียรูปทรงกลมไปเท่านั้นเอง ผมดำขลับบนศีรษะก็มัดไว้สองข้าง อย่างที่ตัวเองชอบเรียกว่าทรง น้ำพุ

     

    หนูแฟงก็เลยมาถามพี่แต่ไก่โห่อย่างงี้น่ะเหรอจ๊ะ

     

    ก็มันสงกะสัยจริง ๆ นี่จ๊ะ หนูแฟงล่ะไม่อยากจะเชื่อน้ำคำไอ้ก้างมันนักหรอก...

     

    นารารินอดหัวเราะไม่ได้กับศัพท์แสงที่คงจะไปจำมาจากละครโทรทัศน์

     

    ชอบโกหกหนูแฟงอยู่เรื่อย วันก่อนก็หลอกหนูแฟงไปกลางทุ่งบอกว่ามีญาติมาหา ไอ้เร้าก็งงว่าญาติที่ไหนจะอยู่กลางทุ่ง ที่ไหนได้...พี่ริน มันพาหนูแฟงไปที่แร้วดักหนู แล้วชี้ให้หนูแฟงดูหนูนาที่มาติดกับ...ฮือ ๆ แล้วบอกว่าจะกินญาติของหนูแฟงด้วย…”

     

    แล้วญาติ หนูแฟงอร่อยไหม ก้าง

     

    พี่ริน อ่ะ…” นัยน์ตาแสนงอนจ้องคนเป็นพี่ทันที

     

    ล้อเล่นจ้า...ปรับแก้แล้วก็ถามสิ่งที่สงสัย “...แล้วใครไปบอกเรากัน ว่าพี่จะไป

     

    ก็ยายสายนั่นแหละบอกลุงธง แล้วไอ้ก้างมันก็ได้ยินมา เลยมาบอก อย่างงี้ ข่าวกรองแล้วหรือยังจ๊ะ

     

    เชื่อได้อยู่แล้ว นักข่าวอย่างก้างไม่เคยทำงานผิดพลาดเจ้าก้างยืนกอดอกแสดงมาดนักข่าวหัวเห็ดเต็มที่

     

    ว่าแต่ว่าทำไมนักข่าวมีรถประจำตำแหน่งเป็นจักรยานคันนี้ละจ๊ะ มอร์เตอร์ไซค์ที่ได้ยินว่าขี่เป็นแล้วน่ะ เอาไปไว้ไหน

     

    แฮะ ๆ ไปล้มมาจ้ะ แล้วแม่ก็เลยให้หยุดไว้ก่อน เอาไปซ่อมอยู่ แต่นักข่าวก้างไม่เป็นอะไรเลยนะจ๊ะ ดูสิ...ยังฟิตปั๋งเจ้าเด็กผอม ยึดแขนสองข้างทำท่านักกีฬา หวังจะอวดกล้าม หากมีแต่ ก้างให้ดูแทน

     

    พี่ริน ยังไม่ตอบพวกเราเลยว่าจะไปเมืองนอกจริงเหรอ ไปประเทศอะไรจ๊ะ แล้วไปยังไง ไปนานไหมหนูแฟงได้ที ร้องถาม

     

    แหม เล่นยิงคำถามเป็นชุดอย่างงี้แล้วพี่จะตอบทันได้ยังไงล่ะ…”

     

    แทนที่จะตอบความให้เด็ก ๆ หายสงสัย นารารินพาทั้งสองคนมานั่งที่แคร่หลังบ้าน ซึ่งอยู่ใต้ต้นไทร ทิ้งรากทิ้งใบลงในลำคลอง ราวกับเด็กน้อยขี้ร้อนหย่อนแขนขาลงเล่นน้ำเพลินใจ

     

    พี่จะไปเกาหลีจ้ะ

     

    โหเกาหลีซะด้วยหนูแฟงตกใจ ท่าทาง โอเวอร์เหมือนในละครอีกครั้ง

     

    แล้วไอ้เกาหลีนี่มันอยู่ตรงไหนจ๊ะก้างถาม หน้าตาบ่งบอกว่างุนงงเต็มที่

     

    ก็อยู่ข้างๆ จีนกะญี่ปุ่นไงล่ะหนูแฟงแสดงภูมิ

     

    หือหนูแฟงรู้จักเกาหลีด้วยเหรอจ๊ะคนเป็นพี่ถาม

     

    รู้สิคะ รู้สึกละครเกาหลี แม่หนูติดงอมแงม อ้อ รู้จากที่เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกร่วมกับญี่ปุ่นอีกด้วย

     

    โหหนูแฟงดูฟุตบอลด้วยเหรอเจ้าก้างโพล่งขึ้นมาอย่างสงสัย

     

    ทำไม...ดูไม่ได้เหรอหนูแฟงเชิดหน้า ปรายตามมองคนถามอย่างหยิ่ง ๆ โกรธนิด ๆ ที่บังอาจมาดูถูกตนได้

     

    แล้วเล่นเป็นเหรอเราน่ะนารารินถามขึ้นบ้าง

     

    ไม่เห็นจะยาก ก็เอาลูกบอลมาเตะ ๆ ก็เป็นแล้ว...ฮ่า ๆ เก่งซะอย่าง อย่างหนูแฟงไม่มีใครเก่งเกินหรอกค่ะคนพูดยิ้มร่า

     

    หมั่นไส้ถ้าเก่งนัก ต่อไปก็ขี่จักรยานไปตลาดเองเลยสิ จะมาให้ฉันขี่ให้ทำไม

    คนถูกเหน็บถลึงตาใส่ แต่ก็กลับมาสนใจคนที่อยู่ในประเด็นก่อนหน้านี้

     

    แล้วพี่รินจะไปนานแค่ไหนจ๊ะ อย่างงี้หนูแฟงคิดถึงแย่เลย แค่พี่ไปเรียนต่อกรุงเทพฯ แล้วกลับมาได้แค่เสาร์กะอาทิตย์ หนูแฟงก็คิดถึงพี่รินจะแย่อยู่แล้ว ไม่มีใครคอยช่วยหนูแฟงตอนถูกไอ้ก้างมันแกล้งหนูแฟงเลย

     

    อย่าน้อยใจไปเลยจ้า พี่ไปปีเดียวเอง

     

    โห! ตั้งปีแน่ะ นานจังว่าแต่ว่าอย่าลืมของฝากของก้างนะพี่ริน เอาอะไรดีล่ะ เอาท็อฟฟี่ดีกว่าชอบก้างยิ้ม อวดฟันหลอ แสดงว่าเป็นแฟนลูกอมตัวจริง

     

    แหม! เห็นแก่กินจังนะไอ้ก้างนี่ พี่รินเค้าก็ต้องซื้อฝากญาติ ๆ เขาก่อนสิหนูแฟงทำท่าหมั่นไส้ หันมาถาม พี่รินของตัวเองดีกว่า

     

    พี่รินจะซื้ออะไรฝากป้าเกษเหรอจ๊ะ

     

    คนฟังสะดุดใจกับคำถาม อยากจะบอกไปว่า...การที่พี่ไป ไม่ได้ทำเพื่อแม่หรอกนะ แต่เพื่ออิสระของพี่เองต่างหาก

     

    ...ไปให้พ้นจากคนที่ไม่แยแส แต่กลับทรมานเธอให้อยู่ด้วย ขังเธอไว้ในกรงที่เรียกว่าความรัก ทั้งที่เธอไม่อาจเข้าใจได้ว่ามันเป็นความรักประเภทใด จึงได้เจ็บปวดเสมอยามพบเจอความห่วงใย ความหวังดีที่แม่พร่ำบอก มันไม่สามารถทะลุผ่านกำแพงใจที่ก่อร่างขึ้นได้แม้สักน้อยนิด

     

    ด้วยวัยเยาว์เกินกว่าจะเข้าใจในความซับซ้อนของเรื่องราว และไม่อาจแต่งสีมัว ๆ ของความจริงที่เธอได้รับ ให้กับผ้าขาวใสของเด็กทั้งสองได้ เธอจึงเอ่ยเลี่ยงไปอย่างอื่น

     

    พี่ยังไม่รู้เลยจ้ะ

     

    //////////////////////////////////////////////////////////

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×