คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2 เยี่ยมบ้านเยี่ยมสวน
ตอนที่ 2
นารารินเดินย่ำกรวดทรายแดงที่ลาดเป็นถนนสายแคบ ๆ เพียงพอที่จะให้รถขนาดเล็กเพื่อการขนส่งสามารถวิ่งเข้าออกได้ระหว่างถนนใหญ่กับตัวบ้านที่อยู่ไม่ไกลนัก สองข้างทางคือแนวคันนาที่ทอดยาวไปจรดตีนเขาสีเขียวเข้มปนน้ำเงินครึ้ม บางช่วงก็สลับด้วยแนวสวนผลไม้ของชาวบ้าน ปลูกเรียงรายได้ระเบียบ เป็นแถวเป็นแนวสุดลูกหูลูกตา
เมื่อเดินเท้าลัดเลาะมาจากถนนใหญ่ได้ไม่นาน เสียงเครื่องยนต์คุ้นหูก็ทำให้เธอหันมองไปด้านหลัง จากปากทางถนนโรยกรวด รถกระบะบรรทุกผลไม้คันคุ้นตาวิ่งช้า ๆ มาตามทางเหมือนวัวแก่ขี้คร้านจำใจทำงาน พาให้ฝุ่นคลุ้งตลบไล่หลังมาเป็นลูก ๆ สักพักก็มาจอดลงข้าง ๆ เสียงเครื่องยนต์ที่ดังเหมือนวัวตัวนั้นหายใจหอบกระชั้นถี่ แล้วเสียงเรียกจากฝั่งคนขับก็ดังขึ้น
“รินใช่มั้ย ทำไมวันนี้มาแต่เช้าเชียว ทุกครั้งจะมาบ่าย ๆ ไม่ใช่เหรอ”
ลุงธงนั่นเอง นารารินยิ้มให้กับคนถาม ยิ้มอย่างคนคุ้นเคย ยิ้มด้วยความสบายใจ และยิ้มด้วยเรื่องสุขใจที่ได้รับมาเมื่อวันวาน จึงทำให้รอยยิ้มนั้นแสนหวาน ตราตรึงหัวใจของผู้พบเห็นได้อย่างแช่มชื่น และไม่ยากที่ผู้ได้รับความหวานใสนั้นจะตักปันน้ำใจอันบริสุทธิ์ยื่นมาตอบแทนโดยไม่ลังเล เช่นที่ลุงธงกำลังเสนอให้เธออยู่เดี๋ยวนี้
“มา...ขึ้นมา ลุงกำลังจะไปรับผลไม้ที่บ้านยายของหนูอยู่พอดี”
ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่คุ้นเคยมาแต่ครั้งยังเยาว์ เป็นดั่งจิตรกรผู้ป้ายสีรอยยิ้มบนใบหน้าของเธออีกครั้ง หลังจากความรังเกียจเดียดฉันท์ของคนที่ ‘บ้านใหญ่’ ได้ลบมันไปแล้วครั้งหนึ่ง
หญิงสาวยังคงยิ้ม ตอบรับขอบคุณเบา ๆ ปัดกางเกงยีนเปื้อนฝุ่นแดงก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งอย่างกลัวว่าที่นั่งของรถลุงธงจะเปรอะ ก่อนเจ้าวัวขี้เกียจตัวนี้ก็เดินอืด ๆ ต่อไป
“จะมาหลายวันหรือเปล่าล่ะคราวนี้ นังหนูแฟงกะไอ้ก้างมันบ่นถึง เห็นว่ามีอะไรจะอวดก็ไม่รู้ สงสัยวาดรูประบายสีได้คะแนนเต็มตามประสาพวกมัน...”
หลังจากนั้นลุงธงพูดอะไรต่อนารารินก็ไม่รับรู้แล้ว ดวงใจนั้นกลับกระหวัดไปถึงภาพและเสียงของเมื่อคืนวาน ที่ทำให้เธอนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายทำให้เธอหวั่นไหว...หวั่นเกรงว่ามารดาจะไม่อนุญาตให้เธอได้สยายปีกอิสระ เพื่อโบยบินไปสู่โลกกว้าง และหวั่นใจความจริงบางอย่างเกี่ยวกับแฟนหนุ่มที่เธอได้โทรศัพท์ถึงเมื่อคืน
นึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่คุยกับเบิร์ดแล้วก็ให้นึกคลางแคลง เขาไม่ว่าอะไร ให้กำลังใจ น้ำเสียงฟังดูตื่นเต้นทีเดียว แต่ในความยินดีที่แสดงมากลับมีเสี้ยวหนึ่งที่สะกิดให้เธอรู้สึกแปลก ๆ แต่เธอก็ยังตีความไปว่าเป็นเพราะเธอคิดมากไปเท่านั้น
‘เราดีใจด้วย’
คำพูดฟังคล้ายโล่งอก ไม่ซิ...ดีใจและโล่งอกที่เธอสามารถทำได้ในที่สุดต่างหาก
แต่เธอก็ยังกระแทกกลับไป
“เบิร์ดจะไม่ถามซักหน่อยเหรอว่า รินเดินทางเมื่อไหร่ ไปยังไง’
‘อ้อ...เบิร์ดมัวแต่ดีใจน่ะ’
เขาทำเสียงร่าเริง ที่เธอไม่อยากคิดว่าเขาปรับเสียงเพื่อเอาใจเธอ น้ำเสียงร่าเริงติดตลก
อารมณ์ขันของเขาที่เธอชอบ
..เป็นบุญนะที่ได้เขามาเป็นแฟน...
วิไลพรรณเคยแกล้งว่าเป็นบุญของเธอ วิไลพรรณชอบแหย่ว่าเธอไม่สวยพอจะมีแฟน
แต่เธอก็คบกับเขามาปีกว่าโดยที่สัมพันธภาพระหว่างเขากับเธอแทบไม่พัฒนา บางหนกลับมีไอเย็นแห่งความห่างเหินและมึนชาต่อกัน แต่หญิงสาวป้ายโทษไปให้กับการเรียนของเธอและเขาที่อยู่ในขั้นเตรียมสำเร็จการศึกษา ความเครียดทำให้จิตใจไม่หวานเหมือนขาดน้ำตาลไปโดยปริยาย ...
ไม่น่าจะมีเหตุอื่น หญิงสาวบอกอย่างเชื่อมั่นให้กับตัวเอง
เชื่อมั่นตัวเองและเชื่อมั่นเขา และยังเคยสงสัยว่า หากเสียเขาไปแล้ว เธอจะเสียใจมากมายขนาดไหนกัน...
“เอ้า...ถึงแล้ว”
เสียงร้องบอกของลุงธงทำให้นารารินตื่นจากภวังค์ หันไปมองหน้าคนพูดแล้วยิ้มแก้เก้ออีกครั้ง เอ่ยออกไปเหมือนจะรู้ตัวในความเงียบของตน
“รินขอโทษนะคะ รินเป็นคู่สนทนาที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย”
“โอ้ย...ไม่เป็นไรหรอก คนแก่แล้วก็พูดไปเรื่อยเปื่อยนั่นแหละ มีคนฟังก็ดีใจตายแล้ว ไอ้ลูกหลานที่บ้านซิ มันกลับว่า บ่นอะไรน่ารำคาญ”
ภาพแรกที่เธอเห็นหลังจากเดินผ่านบ้านทรงไทยใต้ถุนสูงเข้าสู่บริเวณภายในบ้าน คือภาพที่คุณสายใจกำลังนั่งตรวจเช็คบัญชีรายรับรายจ่ายประจำเดือนอยู่บนชานเรือน พื้นยกสูง ยื่นออกไปในคลองที่เป็นลำน้ำสะอาดสดชื่น
ลำน้ำนี้ไหลผ่านหลังเรือนไม้ของคุณสายใจ
ในวัยหกสิบตอนต้นท่านยังทะมัดทะแมงแข็งขัน แม้ว่าจะดูผอมบาง แต่ท่านก็ผอมอย่างแข็งแรง ไม่ได้ผ่ายผอมเหมือนคนไม่สบาย
“อ้าว! มาแล้วเหรอ ทำไมไม่โทรฯ มาก่อนล่ะ จะได้ให้ไอ้ก้างมันไปรับ”
ไอ้ก้างคือเด็กผอมกะหร่อง ชอบมาวิ่งเล่นแถวบ้านและละแวกใกล้เคียงเป็นประจำ เธอเองก็เคยได้เล่นด้วย และเรียกใช้สอยอยู่บ่อยครั้ง
“ไปรับยังไงล่ะจ๊ะ ยาย มอเตอร์ไซค์เหรอ จะพากันล้มทั้งคู่ล่ะซิไม่ว่า เห็นเพิ่งหัดไม่ใช่เหรอจ๊ะ” เธอพูดพลางเดินเข่าเข้าไปกราบ และนั่งยืดแข้งขาอย่างสบายใจรับลมชายน้ำที่พัดโชยฉิวผ่านผิวเนื้อให้เย็นฉ่ำ
“ไอ้ก้างน่ะ มันขี่เป็นแล้ว ตอนนี้ก็ได้มอเตอร์ไซค์นั่นแหละ ช่วยแม่มันไปซื้อของในตลาดมาทำขนมขาย”
“น้ากลั่นทำขนมขายเหรอจ๊ะ ฝีมือกับข้าวใช่ย่อย ทำขนมนี่คงอร่อยแน่ ๆ อย่างงี้ต้องไปลองชิมซะแล้ว”
แม้ว่าจะสนทนาในเรื่องทั่ว ๆ ไป แต่ก้อนหินหนักอึ้งในใจก็ถ่วงให้เธอกังวลจนต้องลอบระบายลมหายใจออกมาเบา ๆ คิดไม่ตกว่าจะเริ่มเรื่องที่เธอได้รับทุนกับยายอย่างไรดี บางทีอาจเป็นตอนเย็น ประเดี๋ยวขอตัวไปอาบน้ำอาบท่าผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สะอาดสะอ้าน พร้อมให้ใจเย็นและหาหนทางดี ๆ ก่อนทำจะดีกว่า
“แม่เขาโทรฯ มาหายาย ก่อนที่รินจะมา
”
เสียงเรียบไม่แสดงอารมณ์อะไรของคุณสายใจดังขึ้นขัดแผนการของเธอเสียก่อน ...เห็นทีว่าคงไม่จำเป็นต้องเป็นคนเปิดประเด็นเองเสียแล้ว
“แม่เขาบอกว่าได้ทุนไปเรียนต่อเหรอ ลูก...”
“ก็แค่แลกเปลี่ยนปีเดียวเท่านั้นแหละจ้ะ ยาย” พูดแล้วก็มองหน้าผู้เป็นยายคล้ายดูท่าทีว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่คนถูกมองก็ยังสาละวนอยู่กับสมุดบัญชี ทั้ง ๆ ที่เอ่ยถามหลานสาวราวไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใด
“แล้วเราน่ะ ไปสมัครไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่” ดวงตาเอื้ออารีของผู้เป็นยายส่งผ่านมายังหลาน
“ก็เมื่อปลายปีที่แล้วล่ะค่ะ ก่อนสอบกลางภาค พอขึ้นปีใหม่เขาก็เลยประกาศให้รู้ จะได้เตรียมตัวได้ทัน เพราะว่าเทอมที่โน่นเขาไม่เหมือนบ้านเราค่ะ เขาเริ่มกันตอนเดือนมีนาฯ”
“แล้วทางนี้เราจะสอบปลายภาคเสร็จทันเหรอ ลูก” คนเป็นยายยังอดห่วงไม่ได้
“จริง ๆ แล้วรินก็ยังสอบไม่เสร็จหรอกค่ะ แต่ก็ขออาจารย์ท่านสอบก่อนแล้ว ทำเรื่องกับทางคณะไว้ คงไม่มีปัญหาอะไรค่ะ”
หญิงสาวพูดให้ความมั่นใจ วางฐานแห่งความแน่นอนไว้ในใจคุณสายใจก่อน ปูพื้นอย่างดีเพื่อให้ยายคล้อยตามให้ได้ แต่ประเด็นที่เธอตั้งใจจะทำให้มั่นคงกลับโยกไหวไปทางอื่นเสียแล้ว
“ทางโรงเรียนไม่มีปัญหาน่ะใช่ แต่ทาง ‘บ้านใหญ่’ เขาว่าอย่างไรล่ะ
” พูดแล้วก็มองใบหน้าของหลาวสาวที่ ‘ตึง’ ขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำนั้น
ก็หลาย ๆ ครั้งที่คนบ้านใหญ่ทำท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์ เหมือนไม่ต้องการจะนับญาติกับเธอนับตั้งแต่เธอยังเล็กจวบจนขณะนี้
ความไม่เข้าใจของเด็กน้อยในวัยเยาว์จึงตีความเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ได้ ‘เห็น’ มาจาก ‘บ้านใหญ่’ มาผูกมัดในใจตน บีบรัดและกัดลึกจนเนื้อใจของเธอไม่เหลือส่วนที่จะสามารถทำความเข้าใจ หรือแม้แต่พยายามจะเข้าใจญาติข้างบิดาเลี้ยงได้
ก็เมื่อเช้า ก่อนออกจากบ้านนั้นมา เธอก็ได้มีโอกาสประสบเหตุการณ์ ‘ดูแคลน’ เหมือนเช่นหลาย ๆ ครั้งที่เธอเคยประสบมาน
‘ฉันได้ข่าวว่าเราจะไปเมืองนอกเมืองนาใช่ไหม
’
‘ค่ะ’ นารารินรับคำสั้น ๆ หากตั้งใจฟังดี ๆ คำนั้นจะฟังดูห้วนทีเดียว หญิงสาวถูกเรียกมาพบคุณเอี่ยมทิพย์ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ของเอกรักษ์
เนื่องจากบิดามารดาของเอกรักษ์เสียไปนานแล้ว ความเป็นใหญ่ในบ้านหลังนี้จึงตกเป็นของคุณเอี่ยมทิพย์แต่เพียงผู้เดียว ทั้งอายุก็ห่างจากน้องอีกสองคนคือเอกรักษ์และอังค์วราร่วมสิบปี นั่นจึงทำให้ดูว่าทุกคนเคารพและเกรงใจคุณเอี่ยมทิพย์เป็นพิเศษ
‘แล้วไปยังไง ไปเมื่อไหร่
’ น้ำเสียงกังวานแบบมีอำนาจที่หญิงสาวได้ยินมาเรื่อยตั้งแต่เล็ก ถามย้ำอย่างแสดงบารมี ข่มคนตัวเล็กอย่างเธอให้ด้อยลงไปอีกหลายเท่า ทว่า ด้วยความแข็งภายในที่มักจะแสดงออกมายามอยู่หน้าคนที่ตนเองยกให้เป็นปฏิปักษ์ ทำให้นารารินยิ้มเยาะออกมาอย่างไม่รู้ตัวก่อนจะโพล่งออกไปว่า
‘คุณเอี่ยมสนใจรินด้วยเหรอคะ
’
แต่คนฟังยังไม่อาจผิดสังเกตในน้ำเสียง กล่าวไปว่า
‘ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะแม่ริน
เราก็อยู่บ้านนี้ก็ถือว่าเป็นคนของบ้านนี้ ฉันดูแลอยู่ ฉันก็เป็นห่วงคนในบ้าน’
คนในบ้าน
เห็นไหมล่ะ เธอก็เป็นได้แค่ ‘คนในบ้าน’ เท่านั้น ไม่อาจเผยอเทียบศักดิ์ไปเป็นหลานท่านได้หรอก
‘ไม่ต้องห่วงรินหรอกค่ะ รินเอาตัวรอดได้ ขนาดแม่ยังไม่ห่วงรินเลย
’
หญิงสาวเลือกใช้คำว่า ‘ห่วง’ แต่ในความหมายที่ต่างกันอย่างชัดเจนกับเรื่องที่กำลังสนทนาอยู่
‘ฮึ
อย่าอวดดีไปนะแม่ริน เราน่ะเป็นลูกผู้หญิง ไปไกลหูไกลตาขนานนั้น บอกตรง ๆ นะฉันไม่ไว้ใจ’
คนอ่อนอายุกว่าแค่นหัวเราะในใจ
ไม่ไว้ใจงั้นเหรอ
‘รินไม่ได้อวดดีหรอกค่ะ รินพูดไปเพราะว่ารินมั่นใจว่ารินดูแลตัวเองได้ คุณเอี่ยมไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ’
‘ใครว่าฉันห่วงเธอ
’ ผู้อาวุโสรีบแก้ หลังตรง หน้าเชิดขึ้นทันที ‘ฉันก็กลัวแม่ไอซ์เขาจะริเอาอย่างเธอด้วย อย่างนั้นฉันไม่ยอมเป็นอันขาด
’
นารารินนึกยิ้มเยาะในใจอีกหน
ก็ใครเลยจะไปสู้หลานรักของคุณเอี่ยมทิพย์ได้ล่ะ
‘ไอซ์คงไม่ตามอย่างรินหรอกค่ะ เขาไม่ชอบเที่ยว ไม่ชอบไปไหนมาไหนคนเดียว ไอซ์เขาชอบอยู่บ้าน ติดแม่
’
คำสุดท้ายพูดแล้วก็เหมือนเสี้ยนแหลมแทงใจ มันเจ็บเป็นพัก ๆ ฝังแน่นไม่อาจบ่งออก เพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่ามันฝังอยู่ ณ จุดใดของหัวใจ
ใช่สิ ไอซ์ติดแม่และแม่ก็ติดไอซ์ หากเป็นไอริณมาขอทำเรื่องแบบนี้ แม่คงไม่ยอมยิ่งกว่าเธอเป็นแน่
“ริน ยายถามว่าที่ ‘บ้านใหญ่’ เขาว่าไง” เห็นเงียบไปนาน คุณสายใจจึงเอ่ยถาม
“ยายก็คงจะรู้แล้วมังคะ...มี ‘คน’ โทรฯ มารายงานแต่เนิ่น ๆ แล้วนี่”
คุณสายใจฟังน้ำเสียงผิดปรกตินั้น แล้วก็หันมามองคนพูดอย่างเต็มตา
“ริน
ทำไมต้องพูดประชดเหมือนกับแม่เขาเป็นคนอื่นอย่างนั้นด้วยล่ะ ลูก”
“แล้วยายจะให้รินพูดอย่างไรล่ะคะ ให้พูดจาหวานหู ฟังดูเลี่ยนจนมดตอม ประจบประแจงน่ะหรือคะ ไม่เอาหรอกค่ะ ไม่เคยทำ แล้วก็ทำไม่ได้ด้วย ไม่สนิทใจ”
“ริน
ไม่เกินไปหน่อยเหรอลูก แม่เราทั้งคนนะ” คุณสายใจถอนใจ เสียงเข้มขึ้นมาบ้าง แต่คนฟังราวไม่รับรู้ เพราะไม่มองหน้าเสียแล้ว
“แม่...ฮึ...คนที่ไม่เคยสนใจใยดีรินน่ะเหรอคะ” เธอเองก็ตกใจคำพูดนั้น เธอว่าร้ายคนเป็นแม่ได้แรงขนาดนี้เชียวหรือ
แต่ด้วยม่านของความไม่เข้าใจยังคลี่คลุมใจเธออยู่ หญิงสาวจึงไม่อาจเห็นได้ว่า สิ่งที่ตนพูดนั้นดูมากเกิน
“พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้ อย่างที่ยายสอนมาเสมอ แม่เขามีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบ การที่เขาไม่ได้มาดูแลเราไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่ได้รักเรา หรือไม่ได้ห่วงใยเรานะ ลูก”
“แต่การมีภาระอะไรมากมาย ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะละทิ้ง ไม่แยแสลูกคนหนึ่งได้หรอกนะคะ”
เธอโต้เถียงอย่างดื้อดึงแบบเด็กน้อย ก็เธอยังจำได้ว่า ตอนเด็ก ๆ ที่โรงเรียนมีงาน ผู้ปกครองของนักเรียนทุกคนจะมาให้กำลังใจลูก ๆ ของตนที่งานแสดง แต่เป็นเธอนั้นเองที่คอยเก้อ และเมื่อได้รู้เหตุผลภายหลังว่า แม่มาไม่ได้เพราะไอริณไม่สบาย นั่นยิ่งทำให้ความน้อยใจถ่วงหนักจนเป็นหลุมโพลงในใจเด็กหญิง นานวันก็ยิ่งยากที่จะนำความเข้าใจใด ๆ มาถมหลุมใจนั้นให้เต็มได้
“ริน
รินโตแล้วก็น่าจะรู้ว่าในสังคมของคนคนนึง มีพันธะมากมายที่เรามองไม่เห็น แต่กลับผูกเราไว้ไม่ให้ทำอะไรที่อยากทำได้ดังใจน่ะ มันมีอยู่มากโขนะ นี่ไม่ใช่ข้ออ้างหรอก แต่มันคือข้อผูกมัดที่แม่เราจะทำอะไรตามใจ ตามสบายเขาไม่ได้ต่างหาก”
นารารินไม่ตอบและไม่โต้แย้งอีกต่อไป หญิงสาวรู้ว่าเธอไม่อาจทำให้คุณสายใจเข้าใจได้
เท่า ๆ กับที่คุณสายใจก็รู้ว่าไม่อาจลบความคิดดื้อดึงของหลานสาวให้หาย จากนั้นหญิงสาวก็ขอตัว
“รินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่านะคะ”
เธอไม่อาจจะเอาชนะยายได้ จนมุมต่อคำพูดทุกทีไป เธอแพ้ทางยายตลอด แต่ใจที่มีทิฐิดังกำแพงหนาก็ไม่อาจสั่นคลอน เพราะมันได้สร้างขึ้นมากับกาลเวลา ก่อฉาบด้วยความไม่เข้าใจ โบกทับด้วยความสนเท่ห์ในบทบาทความเป็นแม่ที่เกษรามอบให้ ...
แท้จริงมันเป็นบทบาทประเภทใดกันแน่ เหตุไฉนแม่ช่างผิดแผกแตกต่างไปจากแม่ของเด็กคนอื่น ๆ ได้ถึงเพียงนี้
...หญิงสาวก็ไม่อาจหาคำตอบได้
////////////////////////////////////////////////////////
“พี่รินจะไปเมืองนอกจริง ๆ เหรอฮะ” เสียงถามนั้นดังมาจากเจ้าของร่างผอมบาง สมชื่อที่ถูกเรียกว่า ‘เจ้าก้าง’ เสียงใส ๆ ระคนตื่นเต้นดีใจอย่างเด็ก ๆ ไม่อาจควบคุมได้
“จริง ๆ เหรอจ๊ะ พี่ริน หนูแฟงล่ะไม่อยากเชื่อคำไอ้ก้างมันเลย ชอบขี้โม้อยู่เรื่อย” ร่างเล็กๆ อีกร่างของเด็กหญิงวัยไม่เกินเก้าขวบก็ก้าวลงมาจากที่นั่งตอนท้ายจักรยานคันใหญ่ ไม่สมกับตัว ทั้งคนขี่และคนโดยสารแม้แต่น้อย เด็กหญิงที่เรียกตัวเองว่าหนูแฟง มีใบหน้าเกือบกลม เสียแต่ว่าแก้มสองข้างมันยุ้ยออกมาทำให้เสียรูปทรงกลมไปเท่านั้นเอง ผมดำขลับบนศีรษะก็มัดไว้สองข้าง อย่างที่ตัวเองชอบเรียกว่าทรง ‘น้ำพุ’
“หนูแฟงก็เลยมาถามพี่แต่ไก่โห่อย่างงี้น่ะเหรอจ๊ะ”
“ก็มันสงกะสัยจริง ๆ นี่จ๊ะ หนูแฟงล่ะไม่อยากจะเชื่อน้ำคำไอ้ก้างมันนักหรอก...”
นารารินอดหัวเราะไม่ได้กับศัพท์แสงที่คงจะไปจำมาจากละครโทรทัศน์
“ชอบโกหกหนูแฟงอยู่เรื่อย วันก่อนก็หลอกหนูแฟงไปกลางทุ่งบอกว่ามีญาติมาหา ไอ้เร้าก็งงว่าญาติที่ไหนจะอยู่กลางทุ่ง ที่ไหนได้...พี่ริน มันพาหนูแฟงไปที่แร้วดักหนู แล้วชี้ให้หนูแฟงดูหนูนาที่มาติดกับ...ฮือ ๆ แล้วบอกว่าจะกินญาติของหนูแฟงด้วย
”
“แล้วญาติ ‘หนู’ แฟงอร่อยไหม ก้าง”
“พี่ริน อ่ะ
” นัยน์ตาแสนงอนจ้องคนเป็นพี่ทันที
“ล้อเล่นจ้า...” ปรับแก้แล้วก็ถามสิ่งที่สงสัย “...แล้วใครไปบอกเรากัน ว่าพี่จะไป”
“ก็ยายสายนั่นแหละบอกลุงธง แล้วไอ้ก้างมันก็ได้ยินมา เลยมาบอก อย่างงี้ ‘ข่าวกรอง’ แล้วหรือยังจ๊ะ”
“เชื่อได้อยู่แล้ว นักข่าวอย่างก้างไม่เคยทำงานผิดพลาด” เจ้าก้างยืนกอดอกแสดงมาดนักข่าวหัวเห็ดเต็มที่
“ว่าแต่ว่าทำไมนักข่าวมีรถประจำตำแหน่งเป็นจักรยานคันนี้ละจ๊ะ มอร์เตอร์ไซค์ที่ได้ยินว่าขี่เป็นแล้วน่ะ เอาไปไว้ไหน”
“แฮะ ๆ ไปล้มมาจ้ะ แล้วแม่ก็เลยให้หยุดไว้ก่อน เอาไปซ่อมอยู่ แต่นักข่าวก้างไม่เป็นอะไรเลยนะจ๊ะ ดูสิ...ยังฟิตปั๋ง” เจ้าเด็กผอม ยึดแขนสองข้างทำท่านักกีฬา หวังจะอวดกล้าม หากมีแต่ ‘ก้าง’ ให้ดูแทน
“พี่ริน ยังไม่ตอบพวกเราเลยว่าจะไปเมืองนอกจริงเหรอ ไปประเทศอะไรจ๊ะ แล้วไปยังไง ไปนานไหม” หนูแฟงได้ที ร้องถาม
“แหม เล่นยิงคำถามเป็นชุดอย่างงี้แล้วพี่จะตอบทันได้ยังไงล่ะ
”
แทนที่จะตอบความให้เด็ก ๆ หายสงสัย นารารินพาทั้งสองคนมานั่งที่แคร่หลังบ้าน ซึ่งอยู่ใต้ต้นไทร ทิ้งรากทิ้งใบลงในลำคลอง ราวกับเด็กน้อยขี้ร้อนหย่อนแขนขาลงเล่นน้ำเพลินใจ
“พี่จะไปเกาหลีจ้ะ”
“โห
เกาหลีซะด้วย” หนูแฟงตกใจ ท่าทาง ‘โอเวอร์’ เหมือนในละครอีกครั้ง
“แล้วไอ้เกาหลีนี่มันอยู่ตรงไหนจ๊ะ” ก้างถาม หน้าตาบ่งบอกว่างุนงงเต็มที่
“ก็อยู่ข้างๆ จีนกะญี่ปุ่นไงล่ะ” หนูแฟงแสดงภูมิ
“หือ
หนูแฟงรู้จักเกาหลีด้วยเหรอจ๊ะ” คนเป็นพี่ถาม
“รู้สิคะ รู้สึกละครเกาหลี แม่หนูติดงอมแงม อ้อ รู้จากที่เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกร่วมกับญี่ปุ่นอีกด้วย”
“โห
หนูแฟงดูฟุตบอลด้วยเหรอ” เจ้าก้างโพล่งขึ้นมาอย่างสงสัย
“ทำไม...ดูไม่ได้เหรอ” หนูแฟงเชิดหน้า ปรายตามมองคนถามอย่างหยิ่ง ๆ โกรธนิด ๆ ที่บังอาจมาดูถูกตนได้
“แล้วเล่นเป็นเหรอเราน่ะ” นารารินถามขึ้นบ้าง
“ไม่เห็นจะยาก ก็เอาลูกบอลมาเตะ ๆ ก็เป็นแล้ว...ฮ่า ๆ เก่งซะอย่าง อย่างหนูแฟงไม่มีใครเก่งเกินหรอกค่ะ” คนพูดยิ้มร่า
“หมั่นไส้
ถ้าเก่งนัก ต่อไปก็ขี่จักรยานไปตลาดเองเลยสิ จะมาให้ฉันขี่ให้ทำไม”
คนถูกเหน็บถลึงตาใส่ แต่ก็กลับมาสนใจคนที่อยู่ในประเด็นก่อนหน้านี้
“แล้วพี่รินจะไปนานแค่ไหนจ๊ะ อย่างงี้หนูแฟงคิดถึงแย่เลย แค่พี่ไปเรียนต่อกรุงเทพฯ แล้วกลับมาได้แค่เสาร์กะอาทิตย์ หนูแฟงก็คิดถึงพี่รินจะแย่อยู่แล้ว ไม่มีใครคอยช่วยหนูแฟงตอนถูกไอ้ก้างมันแกล้งหนูแฟงเลย”
“อย่าน้อยใจไปเลยจ้า พี่ไปปีเดียวเอง”
“โห! ตั้งปีแน่ะ นานจัง
ว่าแต่ว่าอย่าลืมของฝากของก้างนะพี่ริน เอาอะไรดีล่ะ เอาท็อฟฟี่ดีกว่า
ชอบ” ก้างยิ้ม อวดฟันหลอ แสดงว่าเป็นแฟนลูกอมตัวจริง
“แหม! เห็นแก่กินจังนะไอ้ก้างนี่ พี่รินเค้าก็ต้องซื้อฝากญาติ ๆ เขาก่อนสิ” หนูแฟงทำท่าหมั่นไส้ หันมาถาม ‘พี่ริน’ ของตัวเองดีกว่า
“พี่รินจะซื้ออะไรฝากป้าเกษเหรอจ๊ะ”
คนฟังสะดุดใจกับคำถาม อยากจะบอกไปว่า...การที่พี่ไป ไม่ได้ทำเพื่อแม่หรอกนะ แต่เพื่ออิสระของพี่เองต่างหาก
...ไปให้พ้นจากคนที่ไม่แยแส แต่กลับทรมานเธอให้อยู่ด้วย ขังเธอไว้ในกรงที่เรียกว่าความรัก ทั้งที่เธอไม่อาจเข้าใจได้ว่ามันเป็นความรักประเภทใด จึงได้เจ็บปวดเสมอยามพบเจอ
ความห่วงใย ความหวังดีที่แม่พร่ำบอก มันไม่สามารถทะลุผ่านกำแพงใจที่ก่อร่างขึ้นได้แม้สักน้อยนิด
ด้วยวัยเยาว์เกินกว่าจะเข้าใจในความซับซ้อนของเรื่องราว และไม่อาจแต่งสีมัว ๆ ของความจริงที่เธอได้รับ ให้กับผ้าขาวใสของเด็กทั้งสองได้ เธอจึงเอ่ยเลี่ยงไปอย่างอื่น
“พี่ยังไม่รู้เลยจ้ะ”
//////////////////////////////////////////////////////////
ความคิดเห็น